https://so07.tci-thaijo.org/index.php/JMCR/issue/feed
วารสารมณีเชษฐาราม วัดจอมมณี
2025-10-31T00:00:00+07:00
พระมหาฐิติวัสส์ หมั่นกิจ, ดร.
thitiwattano@gmail.com
Open Journal Systems
<p>วารสารมณีเชษฐาราม วัดจอมมณี (Journal of Mani Chettha Ram Wat Chommani) <br />เลขมาตรฐาน P-ISSN : 2774-0455 (Print): 2774-0455 (Print) E-ISSN : 2774-0978 (Online)<br />เป็นวารสารในกลุ่มมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ </p> <p> </p>
https://so07.tci-thaijo.org/index.php/JMCR/article/view/8453
การส่งเสริมวิชาชีพเชิงพุทธ
2025-07-08T10:08:56+07:00
พระครูโกศลกิจจานุกิจ
Aphinant.cha@mcu.ac.th
สมเดช นามเกตุ
Aphinant.cha@mcu.ac.th
ณิชาภัทร เงินจัตุรัส
Aphinant.cha@mcu.ac.th
<p>บทวิจารณ์หนังสือ “การส่งเสริมวิชาชีพเชิงพุทธ” เขียนโดย </p> <p>ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.สมเดช นามเกตุ พิมพ์ครั้งที่ 1 พ.ศ. 2566 จำนวนหน้าหนังสือ 147 หน้า พิมพ์ที่ญาณรนทร พรนตง ๘๘/๑๐๒ ขอนแก่น จังหวัดขอนแก่น ๔๐๐๐๐ เป็นหนังสือที่นำเสนอเนื้อหาเกี่ยวกับ มนุษย์ทุกคนย่อมมีความหวังในการประกอบอาชีพ แต่การประกอบอาชีพที่จะทำให้ประสบผลสำเร็จนั้น จะต้องมีหลักสัมมาอาชีวะ ซึ่งเป็นหลักธรรมคำสอนของพระพุทธศาสนา ที่ประชาชนทั่วไป บางส่วนก็ประกอบอาชีพไม่สุจริต เช่นอาชีพค้าขายอาวุธ ค้าขายเนื้อสัตว์ อาชีพค้าขายสุรายาเมา อาชีพค้าขายยาพิษ เป็นต้น บุคคลไม่ควรค้าสิ่งเหล่านี้ เมื่อประสบปัญหาในการประกอบอาชีพ ก็สามารถนำหลักธรรมคำสอนของพระพุทธศาสนาไปประยุกต์ใช้ในการประกอบอาชีพได้ เพราะหลักคำสอนในพระพุทธศาสนานั้นสอนให้คนเป็นคนดี เว้นความชั่วทั้งปวง ศาสนาจึงเป็นประหนึ่งว่า เป็นประทีปส่องโลกให้สว่างไสว ด้วยความรู้แจ้ง และยังสอนให้มนุษย์รู้รักสามัคคี มีความยุติธรรมปฏิบัติในสิ่งที่ถูกต้อง มีความเมตตากรุณา ช่วยเหลือซึ่งกันและกัน ช่วยเหลือผู้ที่อ่อนแอกว่า ไม่อิจฉาริษยาพยาบาทต่อกัน การปฏิบัติตามหลักธรรมทางพระพุทธศาสนาเป็นการปลูกฝังให้คนเป็นคนดีและประกอบอาชีพสุจริต ทางพระพุทธศาสนาเรียกว่าสัมมาอาชีวะ</p>
2025-10-29T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารมณีเชษฐาราม วัดจอมมณี
https://so07.tci-thaijo.org/index.php/JMCR/article/view/8051
ภาวะผู้นำเชิงเทคโนโลยีที่ส่งผลต่อการบริหารงานวิชาการ ที่มีประสิทธิภาพของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาบุรีรัมย์ เขต 3
2025-06-07T06:37:21+07:00
พงศ์พณิช คณะนาม
pongpanit.k27@gmail.com
เบญจวรรณ ศรีมารุต
pongpanit.k27@gmail.com
ศิริรัตน์ ทองมีศรี
pongpanit.k27@gmail.com
<p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาภาวะผู้นำเชิงเทคโนโลยี และการบริหารงานวิชาการที่มีประสิทธิภาพของผู้บริหาร 2) ศึกษาความสัมพันธ์ของภาวะผู้นำเชิงเทคโนโลยีกับการบริหารงานวิชาการที่มีประสิทธิภาพของผู้บริหาร 3) สร้างสมการพยากรณ์ของภาวะผู้นำเชิงเทคโนโลยีของผู้บริหารที่ส่งผลต่อการบริหารงานวิชาการที่มีประสิทธิภาพ 4) นำเสนอแนวทางการพัฒนาภาวะผู้นำเชิงเทคโนโลยีที่ส่งผลต่อการบริหารงานวิชาการที่มีประสิทธิภาพ กลุ่มตัวอย่างคือ ครูและผู้บริหาร จำนวน 331 คน ได้จากการเทียบตารางของเครจซี่และมอร์แกน เครื่องมือวิจัยเป็นแบบสอบถาม มีค่าความเชื่อมั่นเท่ากับ .959 และแบบสัมภาษณ์ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ค่าสัมประสิทธิ์สหพันธ์เพียร์สัน และวิเคราะห์ถดถอยพหุคูณ</p> <p> ผลการวิจัย พบว่า 1) ภาวะผู้นำเชิงเทคโนโลยีของผู้บริหาร อยู่ในระดับมาก และการบริหารงานวิชาการที่มีประสิทธิภาพของผู้บริหาร อยู่ในระดับมาก 2) ความสัมพันธ์ของภาวะผู้นำเชิงเทคโนโลยี และการบริหารงานวิชาการที่มีประสิทธิภาพของผู้บริหาร มีความสัมพันธ์กันทางบวกในระดับสูง 3) ภาวะผู้นำเชิงเทคโนโลยีของผู้บริหารที่สามารถพยากรณ์การบริหารงานวิชาการที่มีประสิทธิภาพของผู้บริหาร มีค่าอำนาจพยากรณ์ร้อยละ 85 อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ .01 และ 4) แนวทางการพัฒนาผู้บริหาร คือ ผู้บริหารควรมีวิสัยทัศน์ทางเทคโนโลยี กำหนดนโยบายรองรับการเปลี่ยนแปลง และบูรณาการเทคโนโลยีในการเรียนรู้และบริหารจัดการอย่างเป็นรูปธรรม ส่งเสริมวัฒนธรรมการใช้เทคโนโลยีอย่างมีจริยธรรม เป็นแบบอย่างที่ดี ใช้เทคโนโลยีในการวัดผล ประเมินผล นิเทศ ตลอดจนสนับสนุนงบประมาณ โครงสร้างพื้นฐาน การอบรม และระบบติดตามผล โดยใช้ข้อมูลจริง เพื่อการตัดสินใจทางวิชาการ มุ่งยกระดับการศึกษาอย่างยั่งยืนในยุคดิจิทัล</p>
2025-10-29T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารมณีเชษฐาราม วัดจอมมณี
https://so07.tci-thaijo.org/index.php/JMCR/article/view/7964
แนวทางการพัฒนานักการเมืองท้องถิ่นตามหลักอปริหานิยธรรม 7
2025-05-30T12:02:32+07:00
พระขวัญแก้ว กิตฺติโสภโณ ชัยภูมิ
khwankaew.cha@student.mbu.ac.th
สุขพัฒน์ อนนท์จารย์
Khwankaew.cha@student.mbu.ac.th
<p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาหลักอปริหานิยธรรม 7 ในพระพุทธศาสนา 2) เพื่อศึกษาสภาพ ปัญหา และความต้องการในการพัฒนานักการเมืองท้องถิ่นเทศบาลเมืองเลย 3) เพื่อเสนอแนวทางการพัฒนาโดยใช้หลักอปริหานิยธรรม ใช้วิธีการวิจัยแบบผสมผสาน กลุ่มตัวอย่างเชิงปริมาณคือบุคลากรในเทศบาลเมืองเลย 297 คน และผู้ให้ข้อมูลสำคัญเป็นนักการเมืองและผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย 29 คน เป็นเชิงคุณภาพ เก็บข้อมูลโดยแบบสอบถามและสัมภาษณ์ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าความถี่, ค่าร้อยละ, ค่าเฉลี่ย, ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และวิเคราะห์ข้อมูลโดยวิธีพรรณนา</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1) หลักอปริหานิยธรรม 7 ได้แก่ การประชุมสม่ำเสมอ ความพร้อมเพรียง ความเคารพกฎ การรับฟังความคิดเห็น การให้เกียรติสตรี การรักษาวัฒนธรรม และการคุ้มครองสิ่งที่ชอบธรรม 2) ปัญหาที่พบคือ การประชุมที่ยืดเยื้อ ความไม่พร้อมเพรียง การออกข้อบัญญัติที่ยุ่งยาก และการมีส่วนร่วมของประชาชนที่ยังจำกัด ระดับความต้องการพัฒนาโดยรวมอยู่ในระดับปานกลาง () = 3.53, S.D.=0.21 โดยด้านที่ต้องการพัฒนามากที่สุดคือความพร้อมเพรียงในการประชุม และน้อยที่สุดคือการให้เกียรติและคุ้มครองสตรี 3) แนวทางการพัฒนานักการเมืองท้องถิ่นตามหลักอปริหานิยธรรม ทั้ง 7 ด้าน คือ การจัดประชุมอย่างสม่ำเสมอ กำหนดวาระประชุมที่ชัดเจน ปฏิบัติตามกฎหมาย เคารพความคิดเห็นของประชาชนและผู้อาวุโส ยึดหลักความเสมอภาค สนับสนุนวัฒนธรรมท้องถิ่น อนุรักษ์โบราณสถาน และส่งเสริมกิจกรรมทางพุทธศาสนา โดยเน้นการมีส่วนร่วมของประชาชนและการน้อมนำหลักธรรมไปใช้ในชีวิตประจำวัน</p>
2025-10-29T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารมณีเชษฐาราม วัดจอมมณี
https://so07.tci-thaijo.org/index.php/JMCR/article/view/7961
การส่งเสริมความเข้มแข็งทางจิตใจของนักเรียนด้วยหลักฆราวาสธรรม กรณีศึกษา : นักเรียนโรงเรียนสตรีทุ่งสง อำเภอทุ่งสง จังหวัดนครศรีธรรมราช
2025-05-30T11:59:31+07:00
สุภารัตน์ ชวดชุม
suparat@benjama.ac.th
พระเมธีวชิราภิรัต
suparat@benjama.ac.th
<p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาแนวคิดทฤษฎีการส่งเสริมความเข้มแข็งทางจิตใจ 2) เพื่อศึกษาหลักฆราวาสธรรมที่ส่งเสริมความเข้มแข็งทางจิตใจของนักเรียน และ 3) เพื่อส่งเสริมความเข้มแข็งทางจิตใจด้วยหลักฆราวาสธรรมของนักเรียน : กรณีศึกษา นักเรียนโรงเรียนสตรีทุ่งสง อำเภอทุ่งสง จังหวัดนครศรีธรรมราช เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพ ประชากรที่ใช้ในการวิจัย แบ่งออกเป็น 3 กลุ่ม ได้แก่ กลุ่มนักวิชาการทางด้านพระพุทธศาสนา กลุ่มผู้บริหารและคณะครู และกลุ่มผู้ปกครองและนักเรียน จำนวน 15 รูป/คน เก็บรวบรวมข้อมูลโดยใช้แบบสัมภาษณ์เชิงลึกแบบมีโครงสร้างด้วยวิธีการเลือกแบบเฉพาะเจาะจง ซึ่งได้วิเคราะห์ข้อมูลจากแนวคิด ทฤษฎี งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง และคำให้สัมภาษณ์ของผู้ให้ข้อมูลสำคัญตามวัตถุประสงค์การวิจัย และใช้เทคนิคการวิเคราะห์เนื้อหาเชิงพรรณนาประกอบบริบทงานวิจัย โดยลดข้อความที่ซ้ำซ้อนและพยายามรักษาสำนวนเดิมให้มากที่สุด</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า</p> <p> 1) การส่งเสริมความเข้มแข็งทางจิตใจของนักเรียนมี 4 องค์ประกอบ คือ รู้สึกดีกับตัวเอง จัดการชีวิตได้ มีสายสัมพันธ์เกื้อหนุน และมีจุดมุ่งหมายในชีวิต สามารถส่งเสริมได้ผ่านสถาบันครอบครัว สถาบันการศึกษาโดยใช้หลักบวร “บ้าน วัด โรงเรียน” ในการส่งเสริมความเข้มแข็งทางจิตใจของนักเรียน</p> <p> 2) หลักฆราวาสธรรม มี 4 องค์ประกอบ คือ สัจจะ ทมะ ขันติ และจาคะ เป็นหลักปฏิบัติในการดำเนินชีวิตของคฤหัสถ์ที่ต้องการเปลี่ยนแปลงตนเองโดยใช้หลักฆราวาสธรรมเป็นตัวช่วยในการส่งเสริมความเข้มแข็งทางจิตใจจนสามารถแก้ไขปัญหาและอุปสรรคในชีวิตได้</p> <p> 3) การส่งเสริมความเข้มแข็งทางจิตใจของนักเรียนด้วยหลักฆราวาสธรรมสามารถนำมาส่งเสริม ดังนี้ 3.1) รู้สึกดีกับตนเองด้วยหลักฆราวาสธรรม ส่งเสริมให้นักเรียนเห็นคุณค่าของตนเองด้วยความรักความเอาใจใส่จากบุคคลในครอบครัว บุคคลรอบข้างหรือนำตัวเองไปทำในสิ่งที่ตนเองถนัดหรือสนใจ 3.2) จัดการชีวิตได้ด้วยหลักฆราวาสธรรม ส่งเสริมให้นักเรียนวางแผนในการแก้ไขปัญหาอุปสรรค เข้าใจธรรมชาติของชีวิตว่าเป็นสิ่งที่ต้องพบเจอ 3.3) มีสายสัมพันธ์เกื้อหนุนด้วยหลักฆราวาสธรรม ส่งเสริมให้นักเรียนเป็นบุคคลที่รักษาคำพูด รู้จักการเสียสละเพื่อตนเองและผู้อื่น 3.4) มีจุดมุ่งหมายในชีวิตด้วยหลักฆราวาสธรรม ส่งเสริมให้นักเรียนกำหนดเป้าหมายในชีวิตและอดทนรอต่อเป้าหมายที่กำหนดจนประสบความสำเร็จ</p>
2025-10-29T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารมณีเชษฐาราม วัดจอมมณี
https://so07.tci-thaijo.org/index.php/JMCR/article/view/8060
แนวทางการพัฒนาการเรียนรู้อย่างมีความสุขของนักเรียน ในสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาสุพรรณบุรี
2025-06-07T06:41:50+07:00
สิรินทรา สังข์ศิริ
faiisirintha@gmail.com
ประยูร บุญใช้
faiisirintha@gmail.com
พรเทพ รู้แผน
faiisirintha@gmail.com
<p> การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาสภาพการเรียนรู้อย่างมีความสุขของนักเรียนในสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาสุพรรณบุรี และ 2) เพื่อนำเสนอแนวทางการพัฒนาการเรียนรู้อย่างมีความสุขของนักเรียนในสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาสุพรรณบุรี วิธีวิจัยมี 2 ขั้นตอน คือ ขั้นตอนที่ 1 ศึกษาสภาพการเรียนรู้อย่างมีความสุขของนักเรียน กลุ่มตัวอย่างคือ นักเรียนในสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาสุพรรณบุรี รวมทั้งสิ้นจำนวน 335 คน เลือกสุ่มแบบหลายขั้นตอน มีค่าความเชื่อมั่นทั้งฉบับเท่ากับ .976 วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติพื้นฐานหาร้อยละ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ขั้นตอนที่ 2 แนวทางการพัฒนาการเรียนรู้อย่างมีความสุขของนักเรียน ผู้ให้ข้อมูลหลัก จำนวน 7 คน คือ ผู้บริหารการศึกษา ผู้อำนวยการโรงเรียน หัวหน้าระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียน และนักเรียน โดยเลือกแบบเจาะจง เครื่องมือที่ใช้เป็นแบบสัมภาษณ์ วิเคราะห์ข้อมูลด้วยการวิเคราะห์เชิงเนื้อหา</p> <p>ผลการวิจัย พบว่า 1) สภาพของการเรียนรู้อย่างมีความสุขของนักเรียนในสถานศึกษาสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาสุพรรณบุรี ภาพรวมอยู่ในระดับมาก และรายด้านพบว่าค่าเฉลี่ยสูงสุดคือ ด้านการเป็นกัลยาณมิตรของครู และ 2) นำเสนอแนวทางการพัฒนาการเรียนรู้อย่างมีความสุขของนักเรียนในสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาสุพรรณบุรี ประกอบด้วย 6 ด้าน 59 รายการ ดังนี้ ด้านที่ 1 ด้านการได้รับการยอมรับ มีจำนวน 8 รายการ ด้านที่ 2 ด้านการเป็นกัลยาณมิตรของครู มีจำนวน 18 ด้านที่ 3 ด้านการเกิดความรักและภูมิใจในตนเอง มีจำนวน 5 รายการ ด้านที่ 4 ด้านการเลือกเรียนตามความสนใจ มีจำนวน 10 รายการ ด้านที่ 5 ด้านบทเรียนสนุก เร้าใจนักเรียน มีจำนวน 10 รายการ ด้านที่ 6 ด้านการประยุกต์บทเรียนกับชีวิตประจำวัน มีจำนวน 8 รายการ </p>
2025-10-29T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารมณีเชษฐาราม วัดจอมมณี
https://so07.tci-thaijo.org/index.php/JMCR/article/view/7903
ภาวะผู้นำเชิงสร้างสรรค์ของผู้บริหารสถานศึกษา กลุ่มโรงเรียนคลองน้ำไหล สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษากำแพงเพชร เขต 2
2025-05-25T16:11:08+07:00
วิทวัส ช้างบุญมี
kruwittawus2532@gmail.com
จารุวรรณ แก่นทรัพย์
jaruwon.gan@gmail.com
<p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาภาวะผู้นำเชิงสร้างสรรค์ของผู้บริหารสถานศึกษา <br />กลุ่มโรงเรียนคลองน้ำไหล สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษากำแพงเพชร เขต 2 และ 2) หาแนวทางการพัฒนาภาวะผู้นำเชิงสร้างสรรค์ของผู้บริหารสถานศึกษา กลุ่มโรงเรียนคลองน้ำไหล ขั้นตอนที่ 1 เก็บข้อมูลเชิงปริมาณ ประชากรที่ใช้ในการวิจัย คือ ครูผู้สอนในสถานศึกษา กลุ่มโรงเรียนคลองน้ำไหล จำนวน 114 คน โดยใช้ประชากรทั้งหมดในการวิจัย และขั้นตอนที่ 2 เก็บข้อมูลเชิงคุณภาพ กลุ่มผู้ให้ข้อมูล จำนวน 9 คน เครื่องมือที่ใช้เป็น แบบสอบถาม มีค่าความเชื่อมั่นเท่ากับ .96 และแบบสัมภาษณ์แบบมีโครงสร้าง วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้ ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และวิเคราะห์เนื้อหา</p> <p> ผลการวิจัย พบว่า</p> <ol> <li>ภาวะผู้นำเชิงสร้างสรรค์ของผู้บริหารสถานศึกษา กลุ่มโรงเรียนคลองน้ำไหล สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษากำแพงเพชร เขต 2 รวมเฉลี่ยอยู่ในระดับมาก มีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 4.47 เมื่อพิจารณารายด้าน พบว่า ด้านการทำงานเป็นทีม มีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 4.51 ด้านความยืดหยุ่น มีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 4.48 ด้านแรงจูงใจ มีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 4.47 ด้านวิสัยทัศน์ มีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 4.47 และ ด้านจินตนาการ มีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 4.44</li> <li>แนวทางการพัฒนาภาวะผู้นำเชิงสร้างสรรค์ของผู้บริหารสถานศึกษา กลุ่มโรงเรียนคลองน้ำไหล สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษากำแพงเพชร เขต 2 มีทั้งหมด 5 ด้าน ได้แก่ ด้านวิสัยทัศน์ ด้านความยืดหยุ่น ด้านจินตนาการ ด้านแรงจูงใจ และด้านการทำงานเป็นทีม ทั้ง 5 ด้าน มีแนวทางการพัฒนาภาวะผู้นำเชิงสร้างสรรค์ รวมทั้งสิ้น 39 แนวทาง</li> </ol>
2025-10-29T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารมณีเชษฐาราม วัดจอมมณี
https://so07.tci-thaijo.org/index.php/JMCR/article/view/8127
แนวทางการพัฒนาโรงเรียนอ้อมน้อยโสภณชนูปถัมภ์ สู่การเป็นโรงเรียนแห่งความสุข
2025-06-14T19:46:15+07:00
ธัญลักษณ์ ทานะสิงห์
czzie19@gmail.com
นุชนรา รัตนศิระประภา
nuchnara57@gmail.com
<p>การศึกษาครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อทราบ 1) การเป็นโรงเรียนแห่งความสุข และ 2) แนวทางการพัฒนาสู่การเป็นโรงเรียนแห่งความสุข ประชากรคือผู้บริหารและข้าราชการครูโรงเรียนอ้อมน้อยโสภณชนูปถัมภ์ จำนวน 80 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยเป็นแบบสอบถามความคิดเห็นเกี่ยวกับการเป็นโรงเรียนแห่งความสุข สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลคือ ความถี่ ร้อยละ มัชฌิมเลขคณิต ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการวิเคราะห์เนื้อหา</p> <p>ผลการศึกษาพบว่า</p> <ol> <li>โรงเรียนอ้อมน้อยโสภณชนูปถัมภ์เป็นโรงเรียนแห่งความสุขโดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก เมื่อพิจารณารายด้านพบว่าการเป็นโรงเรียนแห่งความสุขอยู่ในระดับมากสองด้านคือด้านกระบวนการและด้านคน</li> <li>แนวทางการพัฒนาโรงเรียนอ้อมน้อยโสภณชนูปถัมภ์สู่การเป็นโรงเรียนแห่งความสุขเป็นพหุแนวทาง โดยมีแนวทางที่สำคัญ ดังนี้ ด้านกระบวนการ 1) การใช้เทคโนโลยีเพื่อกระตุ้นการมีส่วนร่วมของนักเรียน 2) กำหนดปริมาณงานและการบ้านให้เหมาะสมกับช่วงวัยของนักเรียน 3) จัดระบบการทำงานเป็นกลุ่มที่เอื้อต่อการพัฒนาทักษะทางสังคมและการทำงานร่วมกัน 4) จัดให้มีมาตรการช่วยเหลือนักเรียนที่เผชิญกับความเครียดหรือปัญหาทางอารมณ์ ด้านคน 1) ผู้บริหารควรให้ความสำคัญกับกระบวนการตัดสินใจและบริหารงานด้วยความยุติธรรมและโปร่งใส 2) สนับสนุนให้ครูมีโอกาสพัฒนาการวางแผนการสอนและปรับปรุงเทคนิคการสอนอย่างต่อเนื่อง 3) ควรมีการปรับเปลี่ยนวิธีการสอนให้เหมาะสมกับความแตกต่างของนักเรียน 4) ครูควรให้ความสำคัญกับการให้คำแนะนำที่ช่วยพัฒนาศักยภาพของนักเรียนเป็นรายบุคคล ด้านสถานที่ 1) ผู้บริหารควรให้ความสำคัญกับการบริหารจัดการโรงเรียนอย่างมีภาวะผู้นำและประชาธิปไตย 2) จัดสภาพแวดล้อมที่ปลอดภัย และ 3) ส่งเสริมสุขภาพ สุขอนามัย และโภชนาการที่ดี</li> </ol>
2025-10-29T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารมณีเชษฐาราม วัดจอมมณี
https://so07.tci-thaijo.org/index.php/JMCR/article/view/8102
การบริหารแบบมีส่วนร่วมของผู้บริหารและครูโรงเรียนอ้อมน้อยโสภณชนูปถัมภ์ สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาสมุทรสาคร สมุทรสงคราม
2025-06-15T19:42:35+07:00
พิไลพร จันทรพิภพ
czzie19@gmail.com
สงวน อินทร์รักษ์
Chantharapiphop_p@old.silpakorn.edu
<p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) การบริหารแบบมีส่วนร่วมของผู้บริหารและครูโรงเรียนอ้อมน้อยโสภณชนูปถัมภ์ สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาสมทรสาคร สมุทรสงคราม 2) ผลการเปรียบเทียบความคิดเห็นต่อการบริหารแบบมีส่วนร่วมของผู้บริหารและครูโรงเรียนอ้อมน้อยโสภณชนูปถัมภ์ สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาสมุทรสาคร สมุทรสงครามเมื่อจำแนกตามเพศ อายุ วุฒิการศึกษา ตำแหน่งหน้าที่ และประสบการณ์การทำงานในตำแหน่งปัจจุบัน กลุ่มตัวอย่างในการวิจัย คือ ผู้บริหารและครูโรงเรียนอ้อมน้อยโสภณชนูปถัมภ์ ลังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาสมุทรสาคร สมุทรสงคราม จำนวน 73 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยเป็นแบบสอบถามความคิดเห็นเกี่ยวกับการบริหารแบบมีส่วนร่วมของโรงเรียนอ้อมน้อยโสภณชนูปถัมภ์ สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาสมุทรสาคร สมุทรสงคราม ตามแนวคิดของโคเฮน และอัพฮอฟ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลคือ ความถี่ ร้อยละ มัชฌิมเลขคณิต ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การทดสอบค่าที การทดสอบความแปรปรวนทางเดียว และการทดสอบรายคู่</p> <p>ผลการศึกษาพบว่า</p> <ol> <li>การบริหารแบบมีส่วนร่วมของผู้บริหารและครูโรงเรียนอ้อมน้อยโสภณชนูปถัมภ์ สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาสมุทรสาคร สมุทรสงคราม โดยภาพรวม อยู่ในระดับมากที่สุด เมื่อพิจารณารายด้านพบว่า การบริหารแบบมีส่วนร่วมของผู้บริหารและครูโรงเรียนอ้อมน้อยโสภณชนูปถัมภ์ สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาสมุทรสาคร สมุทรสงคราม อยู่ในระดับมากที่สุด 1 ด้าน คือ ด้านการกำกับ ติดตาม และประเมินผล และอยู่ในระดับมาก 3 ด้าน โดยเรียงค่ามัชฌิมเลขคณิตจากมากไปน้อย ดังนี้ ด้านการตัดสินใจ ด้านการดำเนินการ และด้านการรับผลประโยชน์ ตามลำดับ</li> <li>ผลการเปรียบเทียบความคิดเห็นการบริหารแบบมีส่วนร่วมของผู้บริหารและครูโรงเรียนอ้อมน้อยโสภณชนูปถัมภ์ สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาสมุทรสาคร สมุทรสงคราม เมื่อจำแนกตามเพศ อายุ วุฒิการศึกษา ตำแหน่งหน้าที่ และประสบการณ์ทำงานในตำแหน่งปัจจุบัน ผลการเปรียบเทียบความคิดเห็นการบริหารแบบมีส่วนร่วมของผู้บริหารและครูโรงเรียนอ้อมน้อยโสภณชนูปถัมภ์ สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาสมุทรสาคร สมุทรสงคราม พบว่า ไม่แตกต่างกัน</li> </ol>
2025-10-29T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารมณีเชษฐาราม วัดจอมมณี
https://so07.tci-thaijo.org/index.php/JMCR/article/view/8027
บทบาทของผู้บริหารในการส่งเสริมเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารของสถานศึกษาในกลุ่มเครือข่ายสถานศึกษาที่ 4 อ่างศิลา สำนักงานเขตพื้นที่ การศึกษาประถมศึกษาอุบลราชธานี เขต 3
2025-06-03T09:21:25+07:00
แดนอังเจลโล่ บุญหลง
danangelo1992@gmail.com
เมธาวี โชติชัยพงศ์
danangelo1992@gmail.com
เจริญวิชญ์ สมพงษ์ธรรม
danangelo1992@gmail.com
<p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาบทบาทของผู้บริหารในการส่งเสริมเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารของสถานศึกษา และ 2) ศึกษาแนวทางการพัฒนาบทบาทของผู้บริหารในการส่งเสริมเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารของสถานศึกษา กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการศึกษา ได้แก่ ผู้บริหาร และครู จำนวน 115 คน กำหนดกลุ่มตัวอย่างโดยใช้สูตรของทาโร่ ยามาเน่ เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แบบสอบถาม มีค่าความเชื่อมั่น เท่ากับ <strong>.</strong>958 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการวิเคราะห์เนื้อหา</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า 1) บทบาทของผู้บริหารสถานศึกษาด้านการบริหารจัดการเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารที่ส่งผลต่อการบริหารงานในโรงเรียน โดยรวมมีการปฏิบัติอยู่ในระดับมาก 2) แนวทางการพัฒนาบทบาทของผู้บริหารในการส่งเสริมเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารของสถานศึกษา มีดังนี้ (1) ด้านการบริหารจัดการภายในสถานศึกษา ควรวางแผนและกำหนดนโยบายด้านเทคโนโลยีสารสนเทศอย่างชัดเจนให้สอดคล้องกับวิสัยทัศน์ พันธกิจ และเป้าหมายของสถานศึกษา (2) ด้านโครงสร้างพื้นฐาน ควรจัดหาและติดตั้งอุปกรณ์เทคโนโลยีที่จำเป็นอย่างเพียงพอและทันสมัยในสถานศึกษา (3) ด้านการเรียนการสอน ควรจัดอบรมครูให้มีทักษะการใช้เทคโนโลยีเพื่อการเรียนการสอนอย่างต่อเนื่อง (4) ด้านกระบวนการเรียนรู้ ควรพัฒนาแหล่งเรียนรู้ออนไลน์ให้มีความทันสมัย น่าสนใจ และเข้าถึงง่าย (5) ด้านทรัพยากรการเรียนรู้ ควรมีการสร้างและพัฒนาแหล่งเรียนรู้ดิจิทัล เพื่อให้ครูและนักเรียนสามารถเข้าถึงเนื้อหาได้สะดวก และ (6) ด้านความร่วมมือภาครัฐ เอกชนและชุมชน ควรมีการสร้างความร่วมมือกับภาคีเครือข่ายหรือหน่วยงานภายนอก เพื่อสนับสนุนด้านอุปกรณ์และเทคโนโลยี ผลการศึกษานี้สามารถนำไปประยุกต์ใช้ในการวางนโยบาย ICT ในสถานศึกษาระดับประถมศึกษาอย่างเป็นระบบ</p>
2025-10-29T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารมณีเชษฐาราม วัดจอมมณี
https://so07.tci-thaijo.org/index.php/JMCR/article/view/7907
ผลการจัดการเรียนรู้โดยใช้โครงงานเป็นฐานเสริมด้วยแนวคิดเชิงออกแบบต่อทักษะ กระบวนการทางคณิตศาสตร์และผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนสำหรับชั้นประถมศึกษาปีที่ 5
2025-05-25T16:17:05+07:00
พรวิลัย วิเชียรเครือ
sutthida.ch@udru.ac.th
สุทธิดา จันทร์ดวง
phonwilaiw@gmail.com
ชาติชาย ม่วงปฐม
phonwilaiw@gmail.com
<p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อเปรียบเทียบทักษะกระบวนการทางคณิตศาสตร์และผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียน ที่จัดการเรียนรู้โดยใช้โครงงานเป็นฐานเสริมด้วยแนวคิดเชิงออกแบบ ก่อนเรียน หลังเรียนและเกณฑ์ร้อยละ 70 กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ เป็นนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 โรงเรียนบ้านดงพัฒนา อำเภอไชยวาน จังหวัดอุดรธานี สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาอุดรธานี เขต 3 ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2567 จำนวน 12 คน ได้มาจากการเลือกแบบเจาะจง เนื่องจากประชากรที่ใช้ในการทดลองครั้งนี้เป็นโรงเรียนขนาดเล็กในกลุ่มโรงเรียนไชยวาน จึงมีความใกล้เคียงกันในด้านจำนวนนักเรียน บริบทของชุมชน และความสามารถของนักเรียนที่คละความสามารถเก่ง กลาง อ่อน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ประกอบด้วย 1) แผนการจัดการเรียนรู้โดยใช้โครงงานเป็นฐานเสริมด้วยแนวคิดเชิงออกแบบ จำนวน 5 แผน ๆ ละ 4 ชั่วโมง 2) แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง รูปสามเหลี่ยม และ 3) แบบประเมินทักษะกระบวนการทางคณิตศาสตร์ (ใช้แบบประเมินของ สสวท.) ทำการวิเคราะห์ข้อมูลโดยการหาค่าเฉลี่ย ร้อยละ ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน Dependent Samples T-test และ One Samples T-test</p> <p>ผลการวิจัย พบว่า นักเรียน มีทักษะกระบวนการทางคณิตศาสตร์หลังเรียน ( = 3.17) สูงกว่าก่อนเรียน <br />( = 1.63) และมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังเรียน ( = 33.25) สูงกว่าก่อนเรียน ( = 27.88) นอกจากนี้ทักษะกระบวนการทางคณิตศาสตร์ ( = 3.72) และผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ( = 35.42) ของนักเรียน หลังเรียนยังสูงกว่าเกณฑ์ร้อยละ 70 ชี้ให้เห็นว่าการจัดการเรียนรู้โดยใช้โครงงานเป็นฐานเสริมด้วยแนวคิดเชิงออกแบบ เป็นรูปแบบการสอนที่ช่วยพัฒนานักเรียนในหลายมิติ ทั้งทักษะทางวิชาการ ทักษะการคิด และทักษะชีวิต</p>
2025-10-29T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารมณีเชษฐาราม วัดจอมมณี
https://so07.tci-thaijo.org/index.php/JMCR/article/view/6535
วิเคราะห์ข้อผิดพลาดการแปลภาษาไทยเป็นภาษาญี่ปุ่นของนักศึกษาหลักสูตรภาษาญี่ปุ่นชั้นปีที่ 3 มหาวิทยาลัยราชภัฏพระนครศรีอยุธยา
2025-02-07T09:47:34+07:00
ทาโร ไซโต
cheawchan07@gmail.com
เชี่ยวชาญ ทรัพย์สุริต
Cheawchan07@gmail.com
<p>ปัจจุบันประเทศญี่ปุ่นมีการลงทุนในประเทศไทยที่มีสัดส่วนสูง เช่น ในนิคมโรจนะ จังหวัดพระนครศรีอยุธยา โดยมีบัณฑิตที่สำเร็จการศึกษาจากสาขาวิชาภาษาญี่ปุ่น เข้าทำงานในบริษัทญี่ปุ่น แต่พบว่าปัญหาทักษะด้านการแปลภาษาไทยเป็นญี่ปุ่นนั้นยังไม่ดีมากนัก การวิจัยเชิงคุณภาพนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อวิเคราะห์ข้อผิดพลาดในการแปลภาษาไทยเป็นภาษาญี่ปุ่นของนักศึกษาหลักสูตรภาษาญี่ปุ่นชั้นปีที่ 3 มหาวิทยาลัยราชภัฏพระนครศรีอยุธยา โดยมุ่งเน้นศึกษาข้อผิดพลาดด้านการเรียงลำดับคำ (Word Order) การใช้คำช่วย (Particles) และการผันคำกริยา (Verb Conjugation) จากกลุ่มตัวอย่างนักศึกษาที่ลงทะเบียนเรียนรายวิชาการแปลภาษาไทย-ญี่ปุ่น (1563304) ภาคการศึกษาที่ 1 ปีการศึกษา 2566 จำนวน 25 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยคือแบบฝึกหัดการแปลภาษาไทยเป็นภาษาญี่ปุ่น 3 ชุด และวิเคราะห์ข้อมูลโดยการวิเคราะห์เนื้อหา (Content Analysis) และใช้กรอบแนวคิด Skopostheorie</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า นักศึกษามีข้อผิดพลาดในการแปลทั้ง 3 ด้าน โดยข้อผิดพลาดด้านการเรียงลำดับคำมีจำนวนมากที่สุด (ร้อยละ 42.45) รองลงมาคือการใช้คำช่วย (ร้อยละ 31.04) และการผันคำกริยา (ร้อยละ 26.51) สาเหตุหลักของข้อผิดพลาดเกิดจากการถ่ายโอนเชิงลบของโครงสร้างประโยคภาษาไทย ความสับสนการใช้คำช่วยที่มีความหมายใกล้เคียงกัน นอกจากนี้ ผลการวิเคราะห์ตามกรอบแนวคิด Skopostheorie ชี้ให้เห็นว่านักศึกษาส่วนใหญ่มีการแปลที่เน้นความถูกต้องตามตัวอักษร โดยไม่คำนึงถึงความหมายของบริบท</p> <p>การวิจัยนี้แสดงให้เห็นถึงความจำเป็นในการปรับปรุงการเรียนการสอนวิชาการแปลภาษาไทย-ญี่ปุ่น โดยควรเน้นการสอนไวยากรณ์เปรียบเทียบภาษาไทยกับภาษาญี่ปุ่น ฝึกฝนการแปลประโยคที่คำนึงถึงการเรียงลำดับคำ การใช้คำช่วย และการผันคำกริยาโดยคำนึงถึงบริบทและความเหมาะสม</p>
2025-10-29T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารมณีเชษฐาราม วัดจอมมณี
https://so07.tci-thaijo.org/index.php/JMCR/article/view/8192
วิเคราะห์ความเชื่อเรื่องพญานาคกับกระบวนการสร้างอัตลักษณ์ทางวัฒนธรรมวิถีพุทธของชุมชนลุ่มแม่น้ำโขง
2025-06-23T08:05:48+07:00
ศศิธร บุตรดี
pookie2517@gmail.com
พระครูพิศาลสารบัณฑิต
pookie2517@gmail.com
พระมหาไพฑูรย์ สิริธมฺโม
pookie2517@gmail.com
<p>งานวิจัยนี้ มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาความเชื่อและความสัมพันธ์ของพญานาคในพระพุทธศาสนาเถรวาท 2) เพื่อศึกษาความเชื่อและอิทธิพลเรื่องพญานาคต่อวัฒนธรรมวิถีพุทธของชุมชนลุ่มแม่น้ำโขง และ 3) เพื่อวิเคราะห์ความเชื่อเรื่องพญานาคกับกระบวนการสร้าง อัตลักษณ์ทางวัฒนธรรมวิถีพุทธของชุมชนลุ่มแม่น้ำโขง เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพ โดยการลงพื้นที่เก็บข้อมูลสัมภาษณ์เชิงลึกและการสนทนากลุ่ม ผู้ให้ข้อมูลหลักประกอบด้วย พระสงฆ์ ปราชญ์ชาวบ้าน และประชาชนลุ่มแม่น้ำโขง รวมจำนวน 27 รูป/คน เครื่องมือที่ใช้เก็บข้อมูลคือ แบบสัมภาษณ์เชิงลึก การวิเคราะห์เชิงเนื้อหา ผลการวิจัยพบว่า</p> <ol> <li>ความเชื่อและความสัมพันธ์ของพญานาคในพระพุทธศาสนาเถรวาท ในอดีตชาติเมื่อพระพุทธเจ้าเสวยพระชาติเป็นพระโพธิสัตว์ ได้เกิดเป็นพญานาค บำเพ็ญตบะ รักษาศีลอุโบสถเพื่อสั่งสมบารมีจนกว่าจะพ้นอัตภาพนาค และเหตุที่ทำให้เกิดเป็นพญานาค ได้แก่กรรม 2 คือกุศลกรรมและอกุศลกรรม</li> <li>ความเชื่อและอิทธิพลเรื่องพญานาคต่อวัฒนธรรมวิถีพุทธของชุมชนลุ่มแม่น้ำโขง มีองค์ประกอบหลัก คือ 1) ศรัทธาในพระพุทธศาสนา 2) ความเชื่อเรื่องพญานาค 3) มีตำนาน/เรื่องเล่าและวัฒนธรรม/ประเพณี</li> <li>วิเคราะห์ความเชื่อเรื่องพญานาคกับกระบวนการสร้างอัตลักษณ์ทางวัฒนธรรมวิถีพุทธของชุมชนลุ่มแม่น้ำโขง พบว่ากระบวนการสร้างอัตลักษณ์ทางวัฒนธรรมวิถีพุทธของชุมชนลุ่มแม่น้ำโขง มี 6 ประการ ได้แก่ 1) การรู้จักตัวตน/รู้ประวัติศาสตร์ 2) การสืบสาน/อนุรักษ์ 3) การสร้างความสัมพันธ์ 4) การมีส่วนร่วมของชุมชน 5) การสร้างความภูมิใจ 6) การจัดการเชิงประเพณี ซึ่งสะท้อนถึงอัตลักษณ์และคุณค่าทางวัฒนธรรมของชุมชนลุ่มแม่น้ำโขง จังหวัดหนองคาย บึงกาฬ และนครพนม</li> </ol>
2025-10-29T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารมณีเชษฐาราม วัดจอมมณี
https://so07.tci-thaijo.org/index.php/JMCR/article/view/7902
การพัฒนาสถานศึกษาสู่องค์กรแห่งการเรียนรู้ กลุ่มโรงเรียนนาบ่อคำ สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษากำแพงเพชร เขต 1
2025-05-25T16:07:38+07:00
ศิริญา ช้างบุญมี
krusiriya2533@gmail.com
จารุวรรณ แก่นทรัพย์
jaruwon.gan@gmail.com
<p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาสภาพการพัฒนาสถานศึกษาสู่องค์กรแห่งการเรียนรู้ กลุ่มโรงเรียนนาบ่อคำ สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษากำแพงเพชร เขต 1 และ 2) เพื่อหาแนวทางการพัฒนาสถานศึกษาสู่องค์กรแห่งการเรียนรู้ กลุ่มโรงเรียนนาบ่อคำ ขั้นตอนที่ 1 เก็บข้อมูลเชิงปริมาณ ประชากรที่ใช้ในการวิจัย คือ ผู้บริหารและครูผู้สอนในสถานศึกษา กลุ่มโรงเรียนนาบ่อคำ จำนวน 71 คน โดยใช้ประชากรทั้งหมดในการวิจัย และขั้นตอนที่ 2 เก็บข้อมูลเชิงคุณภาพ กลุ่มผู้ให้ข้อมูล จำนวน 9 คน เครื่องมือที่ใช้เป็น แบบสอบถาม มีค่าความเชื่อมั่น .98 และแบบสัมภาษณ์แบบมีโครงสร้าง วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้ ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และวิเคราะห์เนื้อหา</p> <p> ผลการวิจัย พบว่า</p> <ol> <li>การพัฒนาสถานศึกษาสู่องค์กรแห่งการเรียนรู้ กลุ่มโรงเรียนนาบ่อคำ สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษากำแพงเพชร เขต 1 โดยรวมและรายด้าน อยู่ในระดับมากที่สุด คือ ด้านการนำเทคโนโลยีมาใช้ รองลงมาคือ ด้านการคิดอย่างเป็นระบบ ด้านการมีแบบแผนความคิด ด้านการมีวิสัยทัศน์ร่วมกัน ด้านการเรียนรู้เป็นทีม และด้านที่มีค่าเฉลี่ยอันดับสุดท้ายคือ ด้านการเป็นบุคคลที่รอบรู้ </li> <li>แนวทางการพัฒนาสถานศึกษาสู่องค์กรแห่งการเรียนรู้ กลุ่มโรงเรียนนาบ่อคำ สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษากำแพงเพชร เขต 1 มีแนวทางการพัฒนาองค์กรแห่งการเรียนรู้ 6 ด้าน ได้แก่ ด้านการเป็นบุคคลที่รอบรู้ ด้านการมีแบบแผนความคิด ด้านการมีวิสัยทัศน์ร่วมกัน ด้านการเรียนรู้เป็นทีม ด้านการคิดอย่างเป็นระบบ และด้านการนำเทคโนโลยีมาใช้ รวมทั้งสิ้น 50 แนวทาง</li> </ol> <p> </p>
2025-10-29T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารมณีเชษฐาราม วัดจอมมณี
https://so07.tci-thaijo.org/index.php/JMCR/article/view/8040
การรับรู้และความคาดหวังของบุคลากรต่อการพัฒนาองค์การสู่ระบบราชการ 4.0: กรณีศึกษากรมกิจการพลเรือนทหารอากาศ
2025-06-07T06:25:51+07:00
นภสร ประเสริฐวงษ์
napasorn.pra2@gmail.com
พรพรรณ เหมะพันธุ์
napasorn.pras@ku.th
<p>การศึกษาครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่ออธิบายระดับความคิดเห็นเกี่ยวกับการพัฒนาองค์การสู่ระบบราชการ 4.0 ของบุคลากรกรมกิจการพลเรือนทหารอากาศ 2) เพื่อเปรียบเทียบปัจจัยที่ส่งผลต่อการพัฒนาองค์การสู่ระบบราชการ 4.0 จำแนกตามปัจจัยส่วนบุคคล 3) เพื่อค้นหาความสัมพันธ์ของการรับรู้และความคาดหวังของบุคลากรกรมกิจการพลเรือนทหารอากาศ<br />กับการพัฒนาองค์การสู่ระบบราชการ 4.0 กลุ่มตัวอย่างจำนวน 200 คน โดยใช้วิธีคัดเลือกการสุ่มแบบชั้นภูมิ เครื่องมือในการเก็บรวบรวมข้อมูลเป็นแบบสอบถาม ซึ่งผ่านการตรวจสอบ<br />ความเที่ยงตรงเชิงเนื้อหาและหาค่าความเชื่อมั่นแล้ว วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติพรรณนา ได้แก่ <br />ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน และสถิติอนุมาน ได้แก่ การทดสอบค่าที การวิเคราะห์ความแปรปรวนทางเดียว และค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์เพียร์สัน</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า 1) ระดับความคิดเห็นต่อการพัฒนาความเป็นองค์การระบบราชการ 4.0 ของบุคลากรกรมกิจการพลเรือนทหารอากาศโดยรวมอยู่ในระดับมาก 2) ผลการเปรียบเทียบ<br />ปัจจัยที่ส่งผลต่อการพัฒนาองค์การสู่ระบบราชการ 4.0 จำแนกตามปัจจัยส่วนบุคคล <br />ด้านประสบการณ์ทำงานต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 ส่วนปัจจัยด้านเพศ อายุ ระดับการศึกษา และหน่วยงานไม่แตกต่างกัน 3) ความสัมพันธ์ของการรับรู้ของบุคลากร<br />กับการพัฒนาองค์การสู่ระบบราชการ 4.0 พบว่า มีความสัมพันธ์ระดับต่ำมากทางบวก <br />ขณะที่ความสัมพันธ์ของความคาดหวังของบุคลากรกับการพัฒนาองค์การสู่ระบบราชการ 4.0 พบว่า <br />ความคาดหวังทุกด้าน มีความสัมพันธ์ระดับปานกลางทางบวก ซึ่งเป็นไปตามสมมติฐาน ดังนั้น <br />การเปลี่ยนแปลงองค์การสู่ระบบราชการ 4.0 อย่างยั่งยืน ควรให้ความสำคัญกับการบูรณาการองค์ประกอบทั้ง 4 ประการของระบบราชการ 4.0 เพื่อให้สอดคล้องกับความคาดหวังของบุคลากรในองค์การ</p>
2025-10-29T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารมณีเชษฐาราม วัดจอมมณี
https://so07.tci-thaijo.org/index.php/JMCR/article/view/8082
ปัจจัยและแนวทางการใช้ภาวะผู้นำเชิงจริยธรรมของผู้บริหารเพื่อเสริมสร้างความปลอดภัยทางจิตวิทยาของครู สังกัดสำนักงาน เขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาพระนครศรีอยุธยา เขต 1
2025-06-15T05:29:41+07:00
ครองคลัง บำรุงเวช
krongklung@gmail.com
จันทรัศม์ ภูติอริยวัฒน์
Krongklung@gmail.com
<p> งานวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) เพื่อศึกษาระดับภาวะผู้นําเชิงจริยธรรมของผู้บริหารสถานศึกษา และระดับความปลอดภัยทางจิตวิทยาของครู 2) เพื่อศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างปัจจัยส่วนบุคคลของครูกับความปลอดภัยทางจิตวิทยาของครู 3) เพื่อศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างภาวะผู้นําเชิงจริยธรรมของผู้บริหารสถานศึกษากับความปลอดภัยทางจิตวิทยาของครู 4) เพื่อศึกษาปัจจัยส่วนบุคคลของครูและภาวะผู้นําเชิงจริยธรรมของผู้บริหารสถานศึกษาที่ส่งผลต่อความปลอดภัยทางจิตวิทยาของครู ใช้วิธีการวิจัยเชิงปริมาณ กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ ข้าราชการครู สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาพระนครศรีอยุธยา เขต กลุ่มตัวอย่างได้จำนวน 320 คน วิธีสุ่มตัวอย่างแบบหลายขั้นตอน เครื่องมือวิจัยเป็นแบบสอบถาม มีค่าความเชื่อมั่น 0.98 วิเคราะห์ข้อมูลด้วยความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน สัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์แบบเพียร์สัน และการวิเคราะห์การถดถอยพหุคูณ</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1) ระดับภาวะผู้นำเชิงจริยธรรมของผู้บริหารสถานศึกษาภาพรวมอยู่ในระดับมากที่สุดและความปลอดภัยทางจิตวิทยาของครูภาพรวมอยู่ในระดับมาก 2) ปัจจัยส่วนบุคคลของครู ด้านเพศและด้านอายุมีความสัมพันธ์กับความปลอดภัยทางจิตวิทยาของครู โดยภาพรวมอยู่ในระดับต่ำมาก อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 3) ปัจจัยภาวะผู้นำเชิงจริยธรรมของผู้บริหารสถานศึกษามีความสัมพันธ์กับความปลอดภัยทางจิตวิทยาของครู ในทางบวกระดับปานกลาง อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 4) ปัจจัยส่วนบุคคลของครูและปัจจัยภาวะผู้นำเชิงจริยธรรมของผู้บริหารสถานศึกษา ส่งผลต่อความปลอดภัยทางจิตวิทยาของครู อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 สามารถพยากรณ์ความปลอดภัยทางจิตวิทยาของครู ได้ร้อยละ 64.30 อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05</p>
2025-10-29T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารมณีเชษฐาราม วัดจอมมณี
https://so07.tci-thaijo.org/index.php/JMCR/article/view/7783
Effect of Knowledge-based Live Streamers’ Features on Undergraduate’s Purchase Intention in Private Universities of Jinan, China
2025-05-15T06:47:43+07:00
Lingling Li
atiporn.gerdruang@stamford.edu
Aitporn Gerdruang
atiporn.gerdruang@stamford.edu
<p>The research objectives are to (1) explore the impact of features of knowledge-based live streamers on undergraduate’s flow experience in the context of live streaming; (2) explore the impact of knowledge-based live streamers’ features on undergraduate’s purchase intention; (3) explore the impact of flow experience on undergraduate’s purchase intention; (4) explore the mediating role of flow experience between the features of knowledge-based live streamers and undergraduate’s purchase intention. To achieve these objectives, quantitative research was adopted in this research. A total of 425 students from five private universities of Jinan, China, participated in the survey by stratified sampling. Data was analyzed using a Structural Equation Modeling (SEM) approach to test the research hypotheses.</p> <p> The research findings showed that (1) the features of knowledge-based live streamers had significant influence on undergraduate’s flow experience; (2) the features of knowledge-based live streamers had significant influence on undergraduate’s purchase intention; (3) the flow experience had significant impact on undergraduate’s purchase intention; (4) the flow experience played a mediating role in the influence of knowledge-based e-commerce live streamers on undergraduate’s purchase intention. Overall, this study not only enriches the theoretical understanding of consumer psychological mechanism in the e-commerce live streaming but also offers empirical evidence for the e-commerce live streaming industry to better meet consumer psychological needs, promoting sustainable development of the e-commerce live streaming industry in Jinan and beyond.</p> <p><strong> </strong></p>
2025-10-29T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารมณีเชษฐาราม วัดจอมมณี
https://so07.tci-thaijo.org/index.php/JMCR/article/view/7694
THE INFLUENCING FACTORS OF INNOVATION PERFORMANCE OF CHINESE MSMEs IN THE INTERNET INDUSTRY BASED ON AMO THEORY MODEL - A CASE STUDY OF HENAN PROVINCE
2025-05-04T22:53:53+07:00
Atiporn Gerdruang
atiporn.gerdruang@stamford.edu
Yibo Zhang
atiporn.gerdruang@stamford.edu
<p>This research article aims to explore factors influencing innovation performance in China's Internet MSMEs, focusing on Henan Province. A random online survey of 401 grassroots employees in Henan's Internet MSMEs reveals key insights: employee innovation motivation and ability significantly impact enterprise innovation performance, with enhanced ability boosting motivation. An organizational innovation atmosphere moderates the relationship between employee ability and enterprise performance, highlighting employees' central role in innovation. Findings confirm that leveraging employee-side factors motivation, ability, and innovation atmospheres offers theoretical and practical guidance for MSMEs. By focusing on these elements under resource constraints, Internet MSMEs can achieve breakthroughs in competitive markets through targeted innovative reforms.</p>
2025-10-29T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารมณีเชษฐาราม วัดจอมมณี
https://so07.tci-thaijo.org/index.php/JMCR/article/view/7930
การพัฒนาการจัดการเรียนรู้โดยใช้กระบวนการแก้ปัญหาตามแนวคิดของโพลยาร่วมกับโปรแกรมจีโอจีบราที่ส่งเสริมความสามารถในการแก้ปัญหาทางคณิตศาสตร์ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4
2025-05-26T19:30:16+07:00
นริศรา ภูฉลอง
66010582021@msu.ac.th
มนตรี วงษ์สะพาน
montree.v@msu.ac.th
<p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อพัฒนาการจัดการเรียนรู้โดยใช้กระบวนการแก้ปัญหาตามแนวคิดของโพลยาร่วมกับโปรแกรมจีโอจีบรา ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 ให้มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ 70/70 2) เพื่อเปรียบเทียบความสามารถในการแก้ปัญหาทางคณิตศาสตร์ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 เทียบกับเกณฑ์ร้อยละ 70 3) เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 เทียบกับเกณฑ์ร้อยละ 70 และ 4) เพื่อศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 ที่มีต่อการจัดการเรียนรู้ กลุ่มตัวอย่าง คือ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 ที่เรียนวิชาคณิตศาสตร์ ปีการศึกษา 2567 จำนวน 39 คน เลือกโดยการสุ่มแบบกลุ่ม เครื่องมือที่ใช้ ได้แก่ 1) แผนการจัดการเรียนรู้ เรื่อง ฟังก์ชัน โดยใช้กระบวนการแก้ปัญหาตามแนวคิดของโพลยาร่วมกับโปรแกรมจีโอจีบรา 2) แบบทดสอบความสามารถในการแก้ปัญหาทางคณิตศาสตร์ 3) แบบทดสอบผลสัมฤทธิ์ในการแก้ปัญหาทางคณิตศาสตร์ 4) แบบวัดความพึงพอใจต่อการเรียน สถิติที่ใช้ ได้แก่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และ ทดสอบสมมติฐานโดยใช้ One Sample t-test</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า 1) การจัดกิจกรรมการเรียนรู้มีประสิทธิภาพเท่ากับ 82.74/75.73 ซึ่งมีประสิทธิภาพ ตามเกณฑ์ 70/70 2) หลังได้รับการจัดการเรียนรู้นักเรียนมีความสามารถในการแก้ปัญหาทางคณิตศาสตร์ สูงกว่าเกณฑ์ร้อยละ 70 อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 3) หลังได้รับการจัดการเรียนรู้นักเรียน มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนคณิตศาสตร์ สูงกว่าเกณฑ์ร้อยละ 70 อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 4) นักเรียนมีความพึงพอใจต่อการจัดการเรียนรู้ โดยรวมอยู่ในระดับมากที่สุด</p>
2025-10-29T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารมณีเชษฐาราม วัดจอมมณี
https://so07.tci-thaijo.org/index.php/JMCR/article/view/8045
ความผูกพันต่อองค์การของข้าราชการสำนักงานปลัดกระทรวงยุติธรรม : การออกแบบงานและบรรยากาศองค์การ
2025-06-30T09:16:09+07:00
ธิดารัตน์ โกวิทยา
thidarat.kov@ku.th
พรพรรณ เหมะพันธุ์
pornphan.h@ku.th
<p>การศึกษาครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ คือ 1) เพื่ออธิบายระดับความผูกพันของข้าราชการสำนักงานปลัดกระทรวงยุติธรรม 2) เพื่อเปรียบเทียบปัจจัยส่วนบุคคลที่ส่งผลต่อความผูกพันต่อองค์การของข้าราชการสำนักงานปลัดกระทรวงยุติธรรม และ3) เพื่อศึกษาความสัมพันธ์ของบรรยากาศองค์การและการออกแบบงานกับความผูกพันต่อองค์การของข้าราชการสำนักงานปลัดกระทรวงยุติธรรม โดยใช้การวิจัยเชิงปริมาณ กลุ่มตัวอย่าง คือ ข้าราชการสำนักงานปลัดกระทรวงยุติธรรม (ส่วนกลาง) รวมทั้งสิ้น 183 คน ซึ่งคัดเลือกโดยการสุ่มตัวอย่างแบบชั้นภูมิอย่างมีสัดส่วน เก็บรวบรวมข้อมูลโดยใช้แบบสอบถาม และประมวลผลข้อมูลด้วยโปรแกรมสำเร็จรูปทางสถิติ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การทดสอบที (t-test) การวิเคราะห์ความแปรปรวนทางเดียว และค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์เพียร์สัน</p> <p>ผลการศึกษาพบว่า 1) ระดับความผูกพันของข้าราชการสำนักงานปลัดกระทรวงยุติธรรมมีความผูกพันต่อองค์การในภาพรวมอยู่ในระดับสูง โดยด้านความต้องการที่จะคงอยู่กับองค์การมีค่าเฉลี่ยมากที่สุด รองลงมาคือด้านความทุ่มเทพยายามและตั้งใจเพื่อองค์การ และ 2) การทดสอบสมมติฐาน พบว่า ปัจจัยส่วนบุคคลด้านอายุ ส่งผลต่อความผูกพันต่อองค์การอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 ในขณะที่ปัจจัยส่วนบุคคลอื่น ๆ ได้แก่ เพศ ระดับการศึกษา รายได้ประจำต่อเดือน และระยะเวลาที่ปฏิบัติงาน ไม่พบความแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ และบรรยากาศองค์การและการออกแบบงานมีความสัมพันธ์เชิงบวกในระดับปานกลางกับความผูกพันต่อองค์การของข้าราชการมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ.01 ดังนั้น องค์การควรพัฒนาการออกแบบงานโดยคำนึงถึงความแตกต่างระหว่างช่วงวัยของข้าราชการ การเสริมสร้างบรรยากาศองค์การที่เอื้อต่อการปฏิบัติงาน และผลักดันรูปแบบการออกแบบงานที่หลากหลาย เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานและส่งเสริมความผูกพันต่อองค์การ</p>
2025-10-29T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารมณีเชษฐาราม วัดจอมมณี
https://so07.tci-thaijo.org/index.php/JMCR/article/view/8092
ความสัมพันธ์ระหว่างภาวะผู้นำของผู้บริหารสถานศึกษายุคดิจิทัลกับแรงจูงใจ ในการปฏิบัติงานของครู ในกลุ่มเครือข่ายสถานศึกษาที่ 4 อ่างศิลา สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาอุบลราชธานี เขต 3
2025-06-15T05:40:36+07:00
ศรินยารัตน์ สุวรรณพรม
sarin.koolkate1@gmail.com
สุรางคนา มัณยานนท์
sarin.koolkate1@gmail.com
สุรศักดิ์ หลาบมาลา
sarin.koolkate1@gmail.com
<p>การวิจัยครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาภาวะผู้นำของผู้บริหารสถานศึกษาในยุคดิจิทัลกับแรงจูงใจในการปฏิบัติงานของครู และศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างภาวะผู้นำของผู้บริหารสถานศึกษายุคดิจิทัลกับแรงจูงใจในการปฏิบัติงานของครู ในเครือข่ายสถานศึกษาที่ 4 อ่างศิลาสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาอุบลราชธานี เขต 3 กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ ครูโรงเรียนในกลุ่มเครือข่ายสถานศึกษาที่ 4 อ่างศิลา สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาอุบลราชธานี เขต 3 จำนวน 107 คน ได้มาโดยการสุ่มตัวอย่างแบบชั้นภูมิ และการสุ่มอย่างง่าย เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แบบสอบถาม มีค่าความเชื่อมั่น เท่ากับ <strong>.</strong>95 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์แบบเพียร์สัน</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า 1) ภาวะผู้นำของผู้บริหารสถานศึกษายุคดิจิทัล ในกลุ่มเครือข่ายสถานศึกษาที่ 4 อ่างศิลา สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาอุบลราชธานี เขต 3 โดยรวมมีการปฏิบัติอยู่ในระดับมาก 2) แรงจูงใจในการปฏิบัติงานของครู ในกลุ่มเครือข่ายสถานศึกษาที่ 4 อ่างศิลา สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาอุบลราชธานี เขต 3 โดยรวมอยู่ในระดับมาก และ 3) ภาวะผู้นำของผู้บริหารสถานศึกษายุคดิจิทัลกับแรงจูงใจในการปฏิบัติงานของครู ในกลุ่มเครือข่ายสถานศึกษาที่ 4 อ่างศิลา สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาอุบลราชธานี เขต 3 โดยรวมมีความสัมพันธ์กันทางบวกในระดับสูงมาก (r=.902) อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 ผู้บริหารสามารถนำไปประยุกต์ใช้ในการส่งเสริมแรงจูงใจในการปฏิบัติงานของครูในยุคดิจิทัลได้</p>
2025-10-29T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารมณีเชษฐาราม วัดจอมมณี
https://so07.tci-thaijo.org/index.php/JMCR/article/view/7944
การศึกษาพฤติกรรมและปัจจัยทางการตลาดในการบริโภคโปรตีนผงทางเลือก ของกลุ่มผู้บริโภครักสุขภาพ อำเภอเมือง จังหวัดขอนแก่น
2025-05-30T11:56:42+07:00
พรรณธวรรณ บุตรดีสุวรรณ
pantawan.but@lru.ac.th
รวัฒน์ มันทรา
pantawan.but@lru.ac.th
อารีรัตน์ ภูธรรมะ
pantawan.but@lru.ac.th
วิลัยพร ยาขามป้อม
pantawan.but@lru.ac.th
ณปาล อุทยารัตน์
pantawan.but@lru.ac.th
คณาบุญ บุญวิเศษ
pantawan.but@lru.ac.th
<p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค 1) เพื่อศึกษาพฤติกรรมในการบริโภคโปรตีนผงของกลุ่มผู้บริโภค<br />รักสุขภาพ 2) เพื่อศึกษาปัจจัยที่มีผลต่อกระบวนการตัดสินใจซื้อของกลุ่มผู้บริโภครักสุขภาพ และ<br />3) เพื่อเปรียบเทียบปัจจัยที่มีผลต่อกระบวนการตัดสินใจซื้อของกลุ่มผู้บริโภครักสุขภาพ อำเภอเมือง จังหวัดขอนแก่น โดยใช้ข้อมูลจากกลุ่มประชากร คือ ผู้บริโภคผลิตภัณฑ์โปรตีนผง ในเขตอำเภอเมือง จังหวัดขอนแก่น จำนวน 400 คน โดยวิธีการสุมตัวอยางแบบแบงชั้นภูมิ (Stratified Random Sampling) การวิเคราะห์ข้อมูลใช้สถิติพื้นฐาน ได้แก่ ความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน และสถิติที่ใช้ทดสอบสมมติฐานได้แก่ <br />การทดสอบค่าที และการวิเคราะห์ความแปรปรวนทางเดียวตามวิธีของ LSD</p> <p> ผลการวิจัย พบว่า วัตถุประสงค 1) ผู้ตอบแบบสอบถาม ส่วนใหญ่เป็นเพศชาย 119 คน มีอายุ 20-29 ปี การศึกษาระดับปริญญาตรี 97 คน มีรายได้ต่อเดือน 30,001-50,000 บาท ส่วนใหญ่บริโภคโปรตีน 3-5 ครั้งต่อสัปดาห์ มีความสนใจมาก 96 คน ให้ความสำคัญมากในการรับรองมาตรฐาน 193 คน เห็นว่าสมควรอย่างยิ่งในการให้ความสำคัญด้านคุณค่าทางโภชนาการที่คุ้มค่ากับราคา 168 คน และมีระดับความพึงพอใจมากที่สุดในผลิตภัณฑ์ที่เลือกใช้ 67 คน วัตถุประสงค 2) ปัจจัยที่มีผลต่อกระบวนการตัดสินใจซื้อ (4Ps) โปรตีนผงของกลุ่มผู้บริโภครักสุขภาพ อำเภอเมือง จังหวัดขอนแก่น พบว่าโดยภาพรวม มีความคิดเห็นอยู่ในระดับมาก เมื่อพิจารณาเป็นรายด้านพบว่า ด้านที่มีค่าเฉลี่ยมากที่สุดคือด้านราคา รองลงมาคือด้านผลิตภัณฑ์ และด้านที่มีค่าเฉลี่ยต่ำที่สุดคือด้านการส่งเสริมการตลาด และวัตถุประสงค 3 ) ผลการวิเคราะห์ข้อมูลเปรียบเทียบปัจจัยที่มีผลต่อกระบวนการตัดสินใจซื้อ จำแนกตามเพศ อายุ ระดับการศึกษา อาชีพ และ รายได้เฉลี่ยต่อเดือน พบว่า มีความคิดเห็นแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05</p>
2025-10-29T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารมณีเชษฐาราม วัดจอมมณี
https://so07.tci-thaijo.org/index.php/JMCR/article/view/7516
การสร้างแบบทดสอบวินิจฉัยข้อบกพร่องทางการเรียน วิชาวิทยาศาสตร์ชีวภาพ เรื่องการรักษาดุลยภาพของร่างกายมนุษย์ สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาอุดรธานี
2025-04-23T08:49:09+07:00
มณีญา สุราช
naraboon3030@gmail.com
ณราภรณ์ บุญซ้อน
naraboon3030@gmail.com
<p> การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) สร้างแบบทดสอบวินิจฉัยข้อบกพร่องทางการเรียน วิชาวิทยาศาสตร์ชีวภาพ เรื่องการรักษาดุลยภาพของร่างกายมนุษย์ 2) หาคุณภาพแบบทดสอบวินิจฉัยข้อบกพร่องทางการเรียน 3) สร้างคู่มือการใช้แบบทดสอบวินิจฉัยข้อบกพร่องทางการเรียน กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยคือ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาอุดรธานี กลุ่มตัวอย่าง จำนวน 678 คน โดยการสุ่มตัวอย่างแบบหลายขั้นตอน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ 1) แบบทดสอบเพื่อสำรวจข้อบกพร่องทางการ 2) แบบทดสอบวินิจฉัยข้อบกพร่องทางการเรียน 3) คู่มือการใช้แบบทดสอบวินิจฉัย วิเคราะห์ข้อมูลด้วยวิธีการทางสถิติ ได้แก่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ดัชนีความสอดคล้อง อำนาจจำแนก ความยาก และความเชื่อมั่น</p> <p>ผลการวิจัย พบว่า</p> <ol> <li>การสร้างแบบทดสอบวินิจฉัยข้อบกพร่องทางการเรียน วิชาวิทยาศาสตร์ชีวภาพ เรื่องการรักษาดุลยภาพของร่างกายมนุษย์ จำนวน 40 ข้อ คุณภาพของแบบทดสอบวินิจฉัยข้อบกพร่องทางการเรียน ความเที่ยงตรงเชิงเนื้อหา (IOC) อยู่ระหว่าง 0.60 - 1.00 อำนาจจำแนกรายข้อ (B) อยู่ระหว่าง 0.22 - 0.56 ความยาก (p) อยู่ระหว่าง 0.47 - 0.75 และค่าความเชื่อมั่น (r<sub>cc</sub>) ของแบบทดสอบ เท่ากับ 0.85</li> <li>การวิเคราะห์สาเหตุข้อบกพร่องทางการเรียน พบว่า สาเหตุความบกพร่องที่พบใน 6 จุดประสงค์ ได้แก่ 1) แยกแยะเนื้อหาไม่ได้ ร้อยละ 32.04 2) ไม่เข้าใจเนื้อหา ร้อยละ 25.11 3) จดจำเนื้อหาไม่ได้ ร้อยละ 21.55 4) วิเคราะห์เนื้อหาไม่ได้ ร้อยละ 11.72 และ 5) ตีความหมายไม่ได้ ร้อยละ 9.58</li> <li>การสร้างคู่มือการใช้แบบทดสอบวินิจฉัยข้อบกพร่องทางการเรียน ประกอบด้วย วัตถุประสงค์ ลักษณะของแบบทดสอบ คุณภาพแบบทดสอบ เวลาที่ใช้ในการดำเนินการ วิธีดำเนินการตรวจให้คะแนนของแบบทดสอบ และการวินิจฉัย มีผลการประเมินทุกข้อผ่านการพิจารณาความเหมาะสม</li> </ol>
2025-10-29T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารมณีเชษฐาราม วัดจอมมณี
https://so07.tci-thaijo.org/index.php/JMCR/article/view/8423
ผลการจัดการเรียนรู้โดยเน้นภาระงานเป็นฐานที่มีต่อผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนภาษาอังกฤษ ของนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1
2025-07-06T09:36:28+07:00
องค์อร เสริมกล่ำ
ongonsermklam@gmail.com
เนติ เฉลยวาเรศ
ongonsermklam@gmail.com
สุวัทนา สงวนรัตน์
ongonsermklam@gmail.com
<p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนภาษาอังกฤษของนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ระหว่างก่อนและหลังเรียนด้วยการจัดการเรียนรู้โดยเน้นภาระงานเป็นฐาน และ 2) เพื่อศึกษาความพึงพอใจต่อการเรียนภาษาอังกฤษของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ด้วยการจัดการเรียนรู้โดยเน้นภาระงานเป็นฐาน กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย คือ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนบ้านหัวลำ ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2567จำนวน 20 คน ได้มาด้วยวิธีการสุ่มแบบกลุ่ม เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ 1) แผนการจัดการเรียนรู้โดยเน้นภาระงานเป็นฐานวิชาภาษาอังกฤษ จำนวน 4 แผน 2) แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ซึ่งเป็นแบบทดสอบปรนัยชนิดเลือกตอบ 4 ตัวเลือก จำนวน 30 ข้อ ซึ่งมีค่าความยากง่ายระหว่าง 0.40 – 0.59 ค่าอำนาจจำแนกระหว่าง 0.30 – 0.63 และค่าความเชื่อมั่นเท่ากับ 0.80 และ 3) แบบประเมินความพึงพอใจต่อการเรียนภาษาอังกฤษ จำนวน 20 ข้อ มีค่าความเชื่อมั่น เท่ากับ 0.89 วิเคราะห์ข้อมูลโดยหาค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และ การทดสอบค่าทีแบบตัวอย่างไม่อิสระต่อกัน</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1) ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนภาษาอังกฤษของนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 หลังเรียนด้วยการจัดการเรียนรู้โดยเน้นภาระงานเป็นฐานสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 และ 2) ความพึงพอใจต่อการเรียนภาษาอังกฤษของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ด้วยการจัดการเรียนรู้โดยเน้นภาระงานเป็นฐาน โดยภาพรวมอยู่ในระดับมากที่สุด</p>
2025-10-29T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารมณีเชษฐาราม วัดจอมมณี
https://so07.tci-thaijo.org/index.php/JMCR/article/view/8135
ภาวะผู้นำเชิงจิตวิญญาณของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาหนองคาย เขต 1
2025-06-15T05:49:33+07:00
เรณู ชั้นเสมา
faiy.confidant@gmail.com
ชิษณพงศ์ ศรจันทร์
ranu.cha@student.mbu.ac.th
<p>งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาภาวะผู้นำเชิงจิตวิญญาณของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาหนองคาย เขต 1 กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย คือ ผู้บริหารและครูผู้สอน จำนวน 305 คน ได้รับการตอบกลับ 278 คน คิดเป็นร้อยละ 91.15 เครื่องมือที่ใช้เก็บรวบรวมข้อมูลเป็นแบบสอบถามและมีค่าความเชื่อมั่นเท่ากับ 0.993 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ประกอบด้วย สถิติเชิงพรรณนา ได้แก่ ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน สถิติเชิงอ้างอิง ได้แก่ t-test และ One-Way ANOVA รวมถึงการเปรียบเทียบค่าเฉลี่ยเป็นรายคู่โดยวิธีการของ Scheffé และเก็บข้อมูลการสัมภาษณ์ผู้ทรงคุณวุฒิ 5 คน โดยใช้แบบสัมภาษณ์กึ่งโครงสร้าง วิเคราะห์ข้อมูลเชิงคุณภาพด้วยการวิเคราะห์เชิงเนื้อหา</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า ภาวะผู้นำเชิงจิตวิญญาณของผู้บริหารสถานศึกษาโดยรวมอยู่ในระดับมาก โดยด้านความศรัทธาและความรักที่เห็นแก่ผู้อื่นมีค่าเฉลี่ยสูงสุด ขณะที่ด้านการมีวิสัยทัศน์มีค่าเฉลี่ยต่ำสุด การเปรียบเทียบตามตำแหน่งพบว่า ผู้บริหารและครูผู้สอนมีความคิดเห็นแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ โดยผู้บริหารประเมินตนเองสูงกว่าที่ครูประเมิน การเปรียบเทียบตามขนาดสถานศึกษาและประสบการณ์การทำงานพบความแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญ โดยสถานศึกษาขนาดกลางและผู้ที่มีประสบการณ์ 5-10 ปี มีค่าเฉลี่ยต่ำกว่า แนวทางการพัฒนาประกอบด้วย การพัฒนาด้านการมีวิสัยทัศน์ผ่านการฝึกอบรมเชิงปฏิบัติการ การพัฒนาด้านความหวังผ่านโปรแกรมเสริมสร้างพลังบวก การพัฒนาด้านความศรัทธาผ่านกิจกรรมเสริมสร้างจิตวิญญาณความเป็นครู การพัฒนาด้านความรักที่เห็นแก่ผู้อื่นผ่านการอบรมทักษะทางอารมณ์และสังคม และการพัฒนาด้านความไว้วางใจผ่านการสร้างวัฒนธรรมแห่งความไว้วางใจและการบริหารแบบมีส่วนร่วม</p> <p> </p>
2025-10-29T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารมณีเชษฐาราม วัดจอมมณี
https://so07.tci-thaijo.org/index.php/JMCR/article/view/8246
ภาวะผู้นำเชิงบูรณาการของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาหนองคาย เขต 1
2025-06-29T10:00:35+07:00
อภิญญา บุตรอุดม
mihangjai@gmail.com
พิมพ์อร สดเอี่ยม
Mihangjai@Gmail.Com
<p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาระดับภาวะผู้นำเชิงบูรณาการของผู้บริหารสถานศึกษาสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาหนองคาย เขต 1 โดยเปรียบเทียบตามตำแหน่ง ขนาดสถานศึกษา และประสบการณ์การทำงาน รวมทั้งศึกษาแนวทางการพัฒนาภาวะผู้นำ ใช้การวิจัยแบบผสมผสาน <strong>(</strong>Mixed Methods) เก็บข้อมูลเชิงปริมาณจากกลุ่มตัวอย่าง 277 คนจาก 152 โรงเรียน แบ่งเป็นผู้บริหาร 30 คน และครูผู้สอน 247 คน ด้วยแบบสอบถามมาตราส่วน 5 ระดับ จำนวน 4 ด้าน 40 ข้อ ที่มีค่าความเชื่อมั่น 0.951 ส่วนข้อมูลเชิงคุณภาพเก็บจากการสัมภาษณ์แบบกึ่งโครงสร้างผู้ทรงคุณวุฒิ 5 ท่าน วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติ t-test และ One-way ANOVA และการวิเคราะห์เนื้อหา</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า ระดับภาวะผู้นำเชิงบูรณาการโดยรวมอยู่ในระดับมาก <strong>(</strong>x̄ = 4.34, S.D. = 0.31) เมื่อพิจารณาเป็นรายด้าน ด้านวิสัยทัศน์เชิงบูรณาการและการทำงานเป็นทีมมีค่าเฉลี่ยสูงสุด <strong>(</strong>x̄ = 4.39) รองลงมาคือ ด้านความคิดสร้างสรรค์ <strong>(</strong>x̄ = 4.30) และด้านการมุ่งความสำเร็จ <strong>(</strong>x̄ = 4.27) ทั้งหมดอยู่ในระดับมาก ผลการเปรียบเทียบพบว่า ผู้บริหารประเมินภาวะผู้นำของตนสูงกว่าครูอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.01 สถานศึกษาขนาดเล็กและใหญ่มีคะแนนสูงกว่าขนาดกลางอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 ส่วนประสบการณ์มีผลต่อเพียง 2 ด้าน คือ การมุ่งความสำเร็จและความคิดสร้างสรรค์ จากการสัมภาษณ์ผู้ทรงคุณวุฒิ ได้แนวทางพัฒนา 4 ประการ ได้แก่ การสร้างวิสัยทัศน์ร่วมผ่านกระบวนการมีส่วนร่วม การบูรณาการเทคโนโลยีและนวัตกรรม การพัฒนาระบบงานแบบยืดหยุ่น และการสร้างกลไกการเรียนรู้อย่างต่อเนื่อง ผลการวิจัยสอดคล้องกับแนวคิดภาวะผู้นำในศตวรรษที่ 21</p>
2025-10-29T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารมณีเชษฐาราม วัดจอมมณี
https://so07.tci-thaijo.org/index.php/JMCR/article/view/8245
ภาวะผู้นำเชิงนวัตกรรมของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาหนองคาย เขต 1
2025-06-24T09:07:46+07:00
คนึงนิตย์ พลอาษา
kp3660677@gmail.com
ชิษณพงศ์ ศรจันทร์
kp3660677@gmail.com
<p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาระดับภาวะผู้นำเชิงนวัตกรรมของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาหนองคาย เขต 1 2) เพื่อเปรียบเทียบระดับภาวะผู้นำเชิงนวัตกรรมของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาหนองคาย เขต 1 จำแนกตาม ตำแหน่งหน้าที่ ขนาดสถานศึกษา ประสบการณ์ในการทำงาน 3) เพื่อศึกษาแนวทางการพัฒนาภาวะผู้นำเชิงนวัตกรรมของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาหนองคาย เขต 1 กลุ่มตัวอย่างในการวิจัย ประกอบด้วย ผู้บริหาร จำนวน 30 คน และครูผู้สอน จำนวน 252 คน จำนวนทั้งสิ้น 282 คน เครื่องมือที่ใช้เก็บรวบรวมข้อมูลเป็นแบบสอบถาม มีค่าความเชื่อมั่นเท่ากับ 0.900 และแบบสัมภาษณ์ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ประกอบด้วย สถิติเชิงพรรณนา ได้แก่ ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน สถิติเชิงอ้างอิง ได้แก่ Independent t-test และ One-Way ANOVA รวมถึงการเปรียบเทียบค่าเฉลี่ยเป็นรายคู่โดยวิธีการของ Scheffé</p> <p> <strong>ผลการวิจัยพบว่า</strong></p> <p>ภาวะผู้นำเชิงนวัตกรรมของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาหนองคาย เขต 1 โดยภาพรวมและรายด้านทุกด้านอยู่ในระดับมาก และเมื่อเปรียบเทียบภาวะผู้นำเชิงนวัตกรรมของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาหนองคาย เขต 1 จำแนกตาม ตำแหน่งหน้าที่ ขนาดสถานศึกษา ประสบการณ์ในการทำงาน โดยภาพรวม พบว่า ผู้บริหารสถานศึกษาสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาหนองคาย เขต 1 ที่มีตำแหน่งหน้าที่ ขนาดสถานศึกษา และประสบการณ์ในการทำงาน ที่ต่างกัน มีภาวะผู้นำเชิงนวัตกรรมแตกต่างกัน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05</p>
2025-10-29T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารมณีเชษฐาราม วัดจอมมณี
https://so07.tci-thaijo.org/index.php/JMCR/article/view/8136
ทักษะการสื่อสารของผู้บริหารสถานศึกษาที่ส่งผลต่อการปฏิบัติตามมาตรฐานการปฏิบัติงานของครูในโรงเรียน สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาเลย หนองบัวลำภู
2025-06-15T05:31:24+07:00
พสิกา พิมพ์ประชา
phasika.pim@pcru.ac.th
บุญช่วย ศิริเกษ
Phasika.pim@pcru.ac.th
<p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา (1) ระดับทักษะการสื่อสารของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาเลย หนองบัวลำภู (2) ระดับการปฏิบัติตามมาตรฐานการปฏิบัติงานของครูสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาเลย หนองบัวลำภู ตามความคิดเห็นของผู้บริหารและครูผู้สอน (3) ความสัมพันธ์ระหว่างทักษะการสื่อสารของผู้บริหารสถานศึกษาและการปฏิบัติตามมาตรฐานการปฏิบัติงานของครูสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาเลย หนองบัวลำภู ตามความคิดเห็นของผู้บริหารและครูผู้สอน และ (4) เพื่อศึกษาทักษะการสื่อสารของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาเลยหนองบัวลำภู ด้านใดบ้างที่มีอำนาจพยากรณ์ต่อการปฏิบัติตามมาตรฐานการปฏิบัติงานของครู สังกัดเขตพื้นที่การศึกษาสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาเลย หนองบัวลำภู ตามความคิดเห็นของผู้บริหารและครูผู้สอน</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า</p> <p>1) ทักษะการสื่อสารของผู้บริหารสถานศึกษา โดยรวมอยู่ในระดับมาก 2) การปฏิบัติตามมาตรฐานการปฏิบัติงานของครูในโรงเรียน โดยรวม อยู่ในระดับมาก 3) ความสัมพันธ์ระหว่างทักษะการสื่อสารของผู้บริหารสถานศึกษาที่ส่งผลต่อการปฏิบัติตามมาตรฐานการปฏิบัติงานของครูในโรงเรียน โดยรวมมีความสัมพันธ์กันในระดับสูง เท่ากับ 0.721 ซึ่งมีความสัมพันธ์ในเชิงบวก อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติเท่ากับ .01 และ 4) ทักษะการสื่อสารของผู้บริหารสถานศึกษากับการปฏิบัติตามมาตรฐานการปฏิบัติงานของครูในโรงเรียน ได้แก่ ช่องทางการสื่อสาร (x<sup>4</sup>) ความเข้าใจของผู้รับสาร (x<sup>3</sup>) สามารถอธิบายความแปรปรวนของทักษะการสื่อสารของผู้บริหารสถานศึกษากับการปฏิบัติตามมาตรฐานการปฏิบัติงานของครูในโรงเรียน ได้อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 และความชัดเจน (x<sup>2</sup>) และความน่าเชื่อถือ (x<sup>1</sup>) สามารถอธิบายความแปรปรวนของทักษะการสื่อสารของผู้บริหารสถานศึกษากับการปฏิบัติตามมาตรฐานการปฏิบัติงานของครูในโรงเรียน สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาเลย หนองบัวลำภู ได้อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 </p>
2025-10-29T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารมณีเชษฐาราม วัดจอมมณี
https://so07.tci-thaijo.org/index.php/JMCR/article/view/8432
ผลการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือ โดยใช้เทคนิค TGT ที่มีผลต่อผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2
2025-07-10T17:27:45+07:00
ธิดารัตน์ งามกุศล
thidarat.yuy@gmail.com
เนติ เฉลยวาเรศ
thidarat.yuy@gmail.com
สุวัทนา สงวนรัตน์
thidarat.yuy@gmail.com
<p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 ระหว่างก่อนเรียนและหลังเรียนด้วยการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือ โดยใช้เทคนิค TGT และ 2) ศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 ที่มีต่อวิชาคณิตศาสตร์หลังเรียนด้วยการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือ โดยใช้เทคนิค TGT ใช้ระเบียบวิธีวิจัยเชิงทดลองแบบกลุ่มเดียวทดสอบก่อนและหลัง กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2/6 ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2568 โรงเรียนอนุบาลลพบุรี สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาลพบุรี เขต 1 จำนวน 40 คน ได้มาโดยวิธีการสุ่มตัวอย่างแบบแบ่งกลุ่ม โดยมีห้องเรียนเป็นหน่วยของการสุ่ม เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ 1) แผนการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือโดยใช้เทคนิค TGT 2) แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ และ 3) แบบสอบถามความพึงพอใจ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการทดสอบทีแบบไม่เป็นอิสระต่อกัน</p> <p> ผลการวิจัย พบว่า 1) ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 หลังเรียนด้วยการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือ โดยใช้เทคนิค TGT สูงกว่า</p> <p>ก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 และ 2) ความพึงพอใจของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 ที่มีต่อวิชาคณิตศาสตร์หลังเรียนด้วยการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือ โดยใช้เทคนิค TGT ภาพรวมอยู่ในระดับมากที่สุด (=4.57 S.D.=0.54)</p>
2025-10-29T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารมณีเชษฐาราม วัดจอมมณี
https://so07.tci-thaijo.org/index.php/JMCR/article/view/8435
การพัฒนาหลักสูตรฝึกอบรม เรื่อง การใช้โปรแกรมบริหารจัดการเรียนรู้ออนไลน์ สำหรับครูประถมศึกษา จังหวัดลพบุรี
2025-07-10T20:21:52+07:00
สิทธิโชค สุภกิจ
sittichoke.fd@gmail.com
สุวัทนา สงวนรัตน์
Sittichoke.fd@gmail.com
เนติ เฉลยวาเรศ
Sittichoke.fd@gmail.com
<p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อพัฒนาหลักสูตรฝึกอบรม เรื่อง การใช้โปรแกรมบริหารจัดการเรียนรู้ออนไลน์ สำหรับครูประถมศึกษา จังหวัดลพบุรี 2) เพื่อศึกษาผลการใช้หลักสูตรฝึกอบรม เรื่อง การใช้โปรแกรมบริหารจัดการเรียนรู้ออนไลน์ ประกอบด้วย (1) เปรียบเทียบความรู้ความเข้าใจก่อนและหลัง การฝึกอบรมด้วยหลักสูตรฝึกอบรม เรื่อง การใช้โปรแกรมบริหารจัดการเรียนรู้ออนไลน์ สำหรับครูประถมศึกษา จังหวัดลพบุรี และ (2) ศึกษาความพึงพอใจที่มีต่อหลักสูตรฝึกอบรม โดยกระบวนการวิจัยและพัฒนาแบ่งเป็น 2 ระยะ ระยะที่ 1 การพัฒนาหลักสูตรฝึกอบรม และ ระยะที่ 2 ผลการใช้หลักสูตรฝึกอบรม กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ ได้แก่ ครูประถมศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา จังหวัดลพบุรี ปีการศึกษา 2566 จำนวน 30 คน ใช้วิธีการเลือกแบบเจาะจงผู้ปฏิบัติการสอนมาแล้ว 2 ปี เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ 1) แบบสอบถามความต้องการของครู 2) หลักสูตรฝึกอบรม 3) คู่มือการใช้หลักสูตรฝึกอบรม 4) แบบทดสอบความรู้ความเข้าใจ และ 5) แบบสอบถามความพึงพอใจ วิเคราะห์ข้อมูลโดย ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การทดสอบทีแบบไม่เป็นอิสระต่อกัน และการวิเคราะห์เชิงเนื้อหา</p> <p> ผลการวิจัย พบว่า 1) ครูประถมศึกษา จังหวัดลพบุรี มีความต้องการฝึกอบรมใช้โปรแกรมบริหารจัดการเรียนรู้ออนไลน์ เช่น Google classroom Canva Zoom meeting หลักสูตรฝึกอบรมมีองค์ประกอบ ที่สำคัญ ได้แก่ หลักการและเหตุผล จุดมุ่งหมายของหลักสูตร โครงสร้างเนื้อหา กิจกรรมการฝึกอบรม สื่อประกอบการฝึกอบรม การวัดและประเมินผล และ ประเมินหน่วยการเรียนรู้ ซึ่งหลักสูตรฝึกอบรม และ คู่มือการใช้หลักสูตรฝึกอบรมที่พัฒนาขึ้นมีความเหมาะสมอยู่ในระดับมาก และ 2) คะแนนความรู้ความเข้าใจของครูผู้สอนหลังการฝึกอบรมสูงกว่าก่อนการฝึกอบรมอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ.05 นอกจากนี้ครูผู้สอนยังมีความพึงพอใจต่อหลักสูตรฝึกอบรมอยู่ในระดับมากที่สุด</p>
2025-10-29T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารมณีเชษฐาราม วัดจอมมณี
https://so07.tci-thaijo.org/index.php/JMCR/article/view/8433
ผลการจัดการเรียนรู้ตามแนวคิดการใช้สมองเป็นฐานที่มีต่อ ทักษะการพูดภาษาอังกฤษ ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3
2025-07-10T17:30:38+07:00
สุธีรา ฉายชูวงษ์
maethrylah@gmail.com
เนติ เฉลยวาเรศ
maethrylah@gmail.com
สุวัทนา สงวนรัตน์
maethrylah@gmail.com
<p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) เปรียบเทียบความสามารถด้านการพูดภาษาอังกฤษของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 ก่อนและหลังการจัดการเรียนรู้ตามแนวคิดการใช้สมองเป็นฐาน 2) ศึกษาผลการประเมินทักษะการพูดภาษาอังกฤษของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 หลังได้รับการจัดการเรียนรู้ตามแนวคิดการใช้สมองเป็นฐาน และ 3) ศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 ที่มีต่อการจัดการเรียนรู้ตามแนวคิดการใช้สมองเป็นฐาน ใช้ระเบียบวิธีวิจัยเชิงทดลองแบบกลุ่มเดียวทดสอบก่อนและหลัง กลุ่มตัวอย่าง คือ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3/1 โรงเรียนอนุบาลสิงห์บุรี จำนวน 29 คน ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2568 ได้มาโดยวิธีการสุ่มตัวอย่างแบบแบ่งกลุ่ม ซึ่งใช้ห้องเรียนเป็นหน่วยการสุ่ม เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แผนการจัดการเรียนรู้ตามแนวคิดการใช้สมองเป็นฐาน แบบทดสอบความสามารถด้านการพูดภาษาอังกฤษ แบบประเมินทักษะการพูดภาษาอังกฤษ และแบบวัดความพึงพอใจ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการทดสอบอันดับที่มีเครื่องหมายกำกับของวิลคอกสัน</p> <p> ผลการวิจัย พบว่า 1) ความสามารถด้านการพูดภาษาอังกฤษของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 หลังเรียนด้วยแนวคิดการใช้สมองเป็นฐานสูงกว่าก่อนเรียน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 2) ทักษะการพูดภาษาอังกฤษของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 หลังเรียนด้วยแนวคิดการใช้สมองเป็นฐาน ในภาพรวมอยู่ในระดับดีเยี่ยม และ 3) ความพึงพอใจของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 ที่หลังเรียนตามแนวคิดการใช้สมองเป็นฐาน อยู่ในระดับมาก</p>
2025-10-29T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารมณีเชษฐาราม วัดจอมมณี
https://so07.tci-thaijo.org/index.php/JMCR/article/view/8266
คุณลักษณะของผู้บริหารสถานศึกษาในยุคดิจิทัลที่ส่งผลต่อประสิทธิผลของสถานศึกษา สังกัดกรุงเทพมหานคร กลุ่มกรุงธนใต้
2025-06-29T10:03:52+07:00
ณัฐพล กองทุ่งมน
nattaol2539@gmail.com
สุภัทรศักดิ์ คำสามารถ
Supattarasak@gmail.com
วิเชียร อินทรสมพันธ์
wichianin@bsru.ac.th
<p><strong><u> การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา 1) ศึกษาระดับคุณลักษณะของผู้บริหารสถานศึกษาในยุคดิจิทัล 2) ศึกษาระดับประสิทธิผลของสถานศึกษา 3) ศึกษาคุณลักษณะของผู้บริหารสถานศึกษาในยุคดิจิทัล ที่ส่งผลต่อประสิทธิผลของสถานศึกษา กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ ได้แก่ ครูในสังกัดกรุงเทพมหานคร กลุ่มกรุงธนใต้ ปีการศึกษา 2567 จำนวน 340 คน สุ่มกลุ่มตัวอย่างแบบแบ่งชั้นตามสัดส่วน (Proportionate Stratified Sampling) จำแนกตามขนาดของสถานศึกษา เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แบบสอบถาม สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การวิเคราะห์ การถดถอยพหุคูณแบบขั้นตอน (Stepwise Multiple Regression Analysis) ผลการวิจัยพบว่า 1) คุณลักษณะของผู้บริหารสถานศึกษาในยุคดิจิทัล ที่สังกัดกรุงเทพมหานคร กลุ่มกรุงธนใต้ โดยภาพรวมมีค่าเฉลี่ยอยู่ในระดับมาก เมื่อพิจารณาเป็นรายด้าน พบว่า ด้านการปรับวิสัยทัศน์สิ่งแวดล้อมและพื้นที่ในการเรียนรู้ มีค่าเฉลี่ยสูงสุด รองลงมาได้แก่ ด้านความผูกพันและการเรียนรู้ของผู้เรียน ส่วนการสร้างภาพลักษณ์ มีค่าเฉลี่ยต่ำสุด <br />2) ประสิทธิผลของสถานศึกษา สังกัดกรุงเทพมหานคร กลุ่มกรุงธนใต้ โดยภาพรวมมีค่าเฉลี่ยอยู่ในระดับมาก เมื่อพิจารณาเป็นรายด้าน พบว่า ด้านความสามารถในการแก้ปัญหาภายในสถานศึกษา มีค่าเฉลี่ยสูงสุด รองลงมาได้แก่ ด้านความสามารถในการปรับเปลี่ยนและพัฒนาสถานศึกษาให้เข้ากับสิ่งแวดล้อม ส่วนด้านความสามารถในการผลิตนักเรียนให้มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนสูงขึ้น มีค่าเฉลี่ยต่ำสุด 3) คุณลักษณะของผู้บริหารสถานศึกษาในยุคดิจิทัล ส่งผลต่อประสิทธิผลของสถานศึกษา สังกัดกรุงเทพมหานคร กลุ่มกรุงธนใต้ อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 โดย ด้านการสร้างภาพลักษณ์ (X<sub>6</sub>) ด้านการสร้างโอกาส (X<sub>7</sub>) ด้านการสื่อสาร (X<sub>4</sub>) ด้านการประชาสัมพันธ์ (X<sub>5</sub>) และด้านการพัฒนาสู่ความเป็นมืออาชีพ (X<sub>3</sub>) สามารถร่วมกันทำนายคุณลักษณะของผู้บริหารสถานศึกษาในยุคดิจิทัล ได้ร้อยละ 52.60 (R<sup>2</sup> = 0.526) </u></strong></p>
2025-10-29T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารมณีเชษฐาราม วัดจอมมณี
https://so07.tci-thaijo.org/index.php/JMCR/article/view/8449
การประเมินหลักสูตรสถานศึกษาโรงเรียนวัดคลองใหม่ จังหวัดสระบุรี โดยใช้รูปแบบ CIPP Model
2025-07-10T20:18:53+07:00
ศิรินภา กลิ่นหอม
boweisirinapa@gmail.com
สุวัทนา สงวนรัตน์
boweisirinapa@gmail.com
เนติ เฉลยวาเรศ
boweisirinapa@gmail.com
<p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาผลการประเมินหลักสูตรสถานศึกษาโรงเรียนวัดคลองใหม่ <br />จังหวัดสระบุรี ด้านบริบท ด้านปัจจัยนำเข้า ด้านกระบวนการ และด้านผลผลิต กลุ่มผู้ให้ข้อมูลในการวิจัย<br />ครั้งนี้ใช้วิธีการเลือกกลุ่มผู้ให้ข้อมูลแบบเจาะจง ประกอบด้วยผู้บริหารโรงเรียน จำนวน 1 คน คณะกรรมการสถานศึกษาโรงเรียนวัดคลองใหม่ จำนวน 7 คน ครูผู้สอน จำนวน 3 คน และนักเรียน ใช้วิธีเลือกกลุ่มผู้ให้ข้อมูลแบบการสุ่มอย่างง่าย โดยวิธีจับฉลาก จำนวน 15 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยได้แก่ 1) . แบบสอบถาม เป็นแบบสอบถามชนิดประมาณค่า 5 ระดับ จำนวน 3 ชุดดังนี้คือ ชุดที่ 1 แบบสอบถามสำหรับผู้บริหารและครูผู้สอน มีค่าดัชนีความสอดคล้อง (IOC) ระหว่าง 0.60 - 1.00 และค่าความเชื่อมั่นเท่ากับ 0.73 ชุดที่ 2 แบบสอบถามสำหรับคณะกรรมการสถานศึกษา ค่าดัชนีความสอดคล้อง (IOC) ระหว่าง 0.60 - 1.00 และค่าความเชื่อมั่นเท่ากับ 0.72 ชุดที่ 3 แบบสอบถามสำหรับนักเรียน มีค่าดัชนีความสอดคล้อง (IOC) ระหว่าง 0.60 - 1.00 และค่าความเชื่อมั่นเท่ากับ 0.73 2) แบบสัมภาษณ์ เป็นแบบมีโครงสร้าง จำนวน 3 ชุดดังนี้คือ ชุดที่ 1 แบบสัมภาษณ์สำหรับผู้บริหารและครูผู้สอน มีค่าดัชนีความสอดคล้อง (IOC) ระหว่าง 0.60 - 1.00 และค่าความเชื่อมั่นเท่ากับ 0.81 ชุดที่ 2 แบบสัมภาษณ์สำหรับคณะกรรมการสถานศึกษา ค่าดัชนีความสอดคล้อง (IOC) ระหว่าง 0.60 - 1.00 และค่าความเชื่อมั่นเท่ากับ 0.88 ชุดที่ 3 แบบสัมภาษณ์สำหรับนักเรียน มีค่าดัชนีความสอดคล้อง (IOC) ระหว่าง 0.60 - 1.00 และค่าความเชื่อมั่นเท่ากับ 0.87 วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ร้อยละ และการวิเคราะห์เนื้อหา</p> <p> <strong>ผลการวิจัยพบว่า </strong></p> <ol> <li>ผลการประเมินหลักสูตรสถานศึกษาโรงเรียนวัดคลองใหม่ จังหวัดสระบุรี ด้านบริบท มีผลการประเมินความเหมาะสมอยู่ในระดับมากที่สุด (=4.67, S.D.=0.46 ) 2. ผลการประเมินหลักสูตรสถานศึกษาโรงเรียนวัดคลองใหม่ จังหวัดสระบุรี ด้านปัจจัยนำเข้า ผลการประเมินความเหมาะสมอยู่ในระดับมาก ( =4.38, S.D.=0.68) 3. ผลการประเมินหลักสูตรสถานศึกษาโรงเรียนวัดคลองใหม่ จังหวัดสระบุรี ด้านกระบวนการมีผลการประเมินความเหมาะสมอยู่ในระดับมาก ( = 4.41, S.D.=0.64) 4. ผลการประเมินหลักสูตรสถานศึกษาโรงเรียนวัดคลองใหม่ จังหวัดสระบุรี ด้าน ผลผลิตมีผลการประเมินความเหมาะสมอยู่ในระดับมากที่สุด (= 4.55, S.D.=0.07) 5. ผลการประเมินหลักสูตรสถานศึกษาโรงเรียนวัดคลองใหม่ จังหวัดสระบุรี ในภาพรวมหลักสูตรสถานศึกษามีความเหมาะสมอยู่ในระดับมากที่สุด (= 4.50, S.D.=0.46 )</li> </ol>
2025-10-29T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารมณีเชษฐาราม วัดจอมมณี
https://so07.tci-thaijo.org/index.php/JMCR/article/view/8352
ภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลงของผู้บริหารสถานศึกษาที่ส่งผลต่อ การเป็นองค์กรแห่งการเรียนรู้ของสถานศึกษา สังกัดกรุงเทพมหานคร กลุ่มกรุงธนใต้
2025-07-06T09:59:32+07:00
รัศถิตย์ ศรีสังข์งาม
bamsokool@gmail.com
สุภัทรศักดิ์ คำสามารถ
bamsokool@gmail.com
วิเชียร อินทรสมพันธ์
bamsokool@gmail.com
<p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา 1) ระดับภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลงของผู้บริหารสถานศึกษา 2) ระดับการเป็นองค์กรแห่งการเรียนรู้ของ 3) ภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลงของผู้บริหารสถานศึกษาที่ส่งผลต่อการเป็นองค์กรแห่งการเรียนรู้ของสถานศึกษา กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ ครูในสังกัดกรุงเทพมหานคร กลุ่มกรุงธนใต้ ปีการศึกษา 2567 ศึกษาโดยใช้ตารางกำหนดขนาดกลุ่มตัวอย่างของเครจซี่ และมอร์แกน ได้จำนวน 340 คน สุ่มกลุ่มตัวอย่างโดยใช้วิธีการสุ่มแบบแบ่งชั้น เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แบบสอบถาม สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ความถี่ ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การวิเคราะห์การถดถอยพหุคูณแบบขั้นตอน</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า 1) ภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลงของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดกรุงเทพมหานคร กลุ่มกรุงธนใต้ โดยภาพรวมมีค่าเฉลี่ยอยู่ในระดับมาก เมื่อพิจารณาเป็นรายด้าน พบว่า ด้านการมีอิทธิพลอย่างมีอุดมการณ์ มีค่าเฉลี่ยสูงสุด รองลงมาได้แก่ ด้านการสร้างแรงบันดาล ส่วนด้านการกระตุ้นทางปัญญา มีค่าเฉลี่ยต่ำสุด 2) การเป็นองค์กรแห่งการเรียนรู้ของสถานศึกษา สังกัดกรุงเทพมหานคร กลุ่มกรุงธนใต้ โดยภาพรวมมีค่าเฉลี่ยอยู่ในระดับมาก เมื่อพิจารณาเป็นรายด้าน พบว่า ด้านการเพิ่มอำนาจแก่บุคคล มีค่าเฉลี่ยสูงสุด รองลงมาได้แก่ ด้านการจัดการความรู้ ส่วนด้านการการประยุกต์ใช้เทคโนโลยี มีค่าเฉลี่ยต่ำสุด 3) ภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลงของผู้บริหารสถานศึกษาส่งผลต่อการเป็นองค์กรแห่งการเรียนรู้ของสถานศึกษา สังกัดกรุงเทพมหานคร กลุ่มกรุงธนใต้ อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 โดยด้านการมีอิทธิพลอย่างมีอุดมการณ์ (X<sub>1</sub>) ด้านการสร้างแรงบันดาลใจ(X<sub>2</sub>) ด้านการคำนึงถึงความเป็นปัจเจกบุคคล(X<sub>4</sub>)และด้านการกระตุ้นทางปัญญา(X<sub>3</sub>) สามารถพยากรณ์การเป็นองค์กรแห่งการเรียนรู้ของสถานศึกษา สังกัดกรุงเทพมหานคร กลุ่มกรุงธนใต้ ได้ร้อยละ 42.60</p>
2025-10-29T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารมณีเชษฐาราม วัดจอมมณี
https://so07.tci-thaijo.org/index.php/JMCR/article/view/8212
การตลาดดิจิทัลส่งผลต่อประสบการณ์ลูกค้าและความภักดีในการซื้อสินค้าและบริการของร้านอาหารเฉพาะทาง
2025-07-06T09:09:45+07:00
นภาภรณ์ เจียมทอง
tawan.jiam@gmail.com
ณัฐสพันธ์ เผ่าพันธ์
tawan.jiam@gmail.com
<p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาการตลาดดิจิทัล ประสบการณ์ของลูกค้า และความภักดีของลูกค้าในร้านอาหารเฉพาะทาง 2) วิเคราะห์อิทธิพลของการตลาดดิจิทัลที่มีต่อประสบการณ์ของลูกค้าและความภักดีของลูกค้าในร้านอาหารเฉพาะทาง 3) วิเคราะห์อิทธิพลของประสบการณ์ของลูกค้าที่มีต่อความภักดีของลูกค้าในร้านอาหารเฉพาะทาง และ 4) วิเคราะห์อิทธิพลร่วมของการตลาดดิจิทัลและประสบการณ์ของลูกค้าที่มีต่อความภักดีของลูกค้าในร้านอาหารเฉพาะทาง กลุ่มตัวอย่างเป็นลูกค้าร้านอาหารเฉพาะทาง เลือกโดยวิธีเจาะจง (Purposive sampling) จำนวน 397 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้เป็นแบบสอบถาม ที่ผ่านการทดสอบคุณภาพ โดยมีค่าความเที่ยงตรงเชิงเนื้อหาทั้งฉบับอยู่ที่ 0.93 และค่าสัมประสิทธิ์แอลฟาของ ครอนบาค (Cronbrach’ Alpha) อยู่ที่ 0.78 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงพรรณนา ได้แก่ ค่าความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน ส่วนสถิติเชิงอนุมานเพื่อใช้ทดสอบสมมติฐานการวิจัย ได้แก่ การวิเคราะห์ถดถอยเชิงพหุ (Multiple Regression Analysis)</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1) กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่มีความคิดเห็นเกี่ยวกับร้านอาหารเฉพาะทางด้านการตลาดดิจิทัล ด้านประสบการณ์ของลูกค้า และด้านความภักดีของลูกค้าใน อยู่ในระดับมากที่สุดทุกด้าน 2) การตลาดดิจิทัลสามารถพยากรณ์ประสบการณ์ลูกค้าได้ร้อยละ 84.0 84% ( = 0.84) 3) ประสบการณ์ของลูกค้าสามารถพยากรณ์ความภักดีของลูกค้าในร้านอาหารเฉพาะทางได้ร้อยละ 81.0 ( = 0.805) 4) ปัจจัยการตลาดดิจิทัลและประสบการณ์ลูกค้าสามารถร่วมกันพยากรณ์ความภักดีของลูกค้าได้ 89% ( = 0.89) การศึกษาสรุปว่า การสร้างประสบการณ์ที่ดีผ่านการตลาดดิจิทัลเป็นกลยุทธ์สำคัญในการสร้างความภักดีลูกค้า ผู้ประกอบการควรใช้กลยุทธ์แบบบูรณาการที่เน้นทั้งการตลาดดิจิทัลและการสร้างประสบการณ์เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการรักษาลูกค้า</p>
2025-10-29T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารมณีเชษฐาราม วัดจอมมณี
https://so07.tci-thaijo.org/index.php/JMCR/article/view/8446
การพัฒนาหลักสูตรฝึกอบรม เรื่อง เกราะสูงวัย ใส่ใจสื่อ เพื่อเสริมสร้างทักษะการรู้เท่าทันสื่อของผู้สูงอายุ
2025-07-14T13:21:06+07:00
ชัยธวัช สมนึก
chaitawat.ae@gmail.com
สุวัทนา สงวนรัตน์
chaitawat.ae@gmail.com
กรวุฒิ แผนพรหม
chaitawat.ae@gmail.com
<p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ดังนี้ 1) เพื่อสร้างและหาคุณภาพของหลักสูตรฝึกอบรม เรื่อง เกราะสูงวัย ใส่ใจสื่อ 2) เพื่อศึกษาผลการใช้หลักสูตรฝึกอบรม ประกอบด้วย<br />(1) เปรียบเทียบทักษะการรู้เท่าทันสื่อของผู้สูงอายุก่อนและหลังการฝึกอบรม (2) เปรียบเทียบทักษะการรู้เท่าทันสื่อของผู้สูงอายุหลังการฝึกอบรมกับเกณฑ์ร้อยละ 75 และ (3) ศึกษา<br />ความพึงพอใจของผู้สูงอายุที่มีต่อการฝึกอบรม วิธีดำเนินการวิจัย แบ่งออกเป็น 2 ระยะ <br />ระยะที่ 1 เลือกกลุ่มตัวอย่างผู้สูงอายุแบบเจาะจง จำนวน 35 คน และระยะที่ 2 เลือกกลุ่มตัวอย่างผู้สูงอายุแบบอาสาสมัคร จำนวน 15 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ <br />แบบสัมภาษณ์ความต้องการจำเป็น, หลักสูตรฝึกอบรม, คู่มือการใช้หลักสูตรฝึกอบรม, <br />แบบประเมินความเหมาะสมของหลักสูตรฝึกอบรม, แบบประเมินความเหมาะสมของคู่มือ<br />การใช้หลักสูตรฝึกอบรม, แบบวัดทักษะการรู้เท่าทันสื่อของผู้สูงอายุ และแบบสอบถาม<br />ความพึงพอใจของผู้สูงอายุที่มีต่อการฝึกอบรม วิเคราะห์ข้อมูลโดยหาค่าเฉลี่ย, ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน, การทดสอบ Wilcoxon signed rank test และการวิเคราะห์เนื้อหา</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1) หลักสูตรฝึกอบรมประกอบด้วย ความสำคัญ, จุดมุ่งหมายของหลักสูตร, โครงสร้างหลักสูตร, การจัดกระบวนการเรียนรู้, สื่อและแหล่งเรียนรู้ และการวัดผลและประเมินผล แบ่งเป็น 6 หน่วย โดยหลักสูตรฝึกอบรมมีความเหมาะสมอยู่ในระดับมากที่สุด ( = 4.93, = 0.12) และคู่มือการใช้หลักสูตรฝึกอบรมมีความเหมาะสมอยู่ในระดับมากที่สุด ( = 5.00, = 0.00) 2) ผู้สูงอายุมีทักษะการรู้เท่าทันสื่อหลังฝึกอบรมสูงกว่าก่อนฝึกอบรม อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 และมีทักษะการรู้เท่าทันสื่อหลังฝึกอบรมสูงกว่าเกณฑ์ร้อยละ 75 อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 และ 3) ผู้สูงอายุมีความพึงพอใจ<br />ต่อการฝึกอบรมในภาพรวมอยู่ในระดับมากที่สุด ( = 4.66, = 0.50)</p>
2025-10-29T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารมณีเชษฐาราม วัดจอมมณี
https://so07.tci-thaijo.org/index.php/JMCR/article/view/8467
การสร้างแรงจูงใจในการปฏิบัติงานของครูศูนย์การศึกษาพิเศษ ส่วนกลาง สังกัดสำนักบริหารงานการศึกษาพิเศษ
2025-07-15T10:54:14+07:00
นิรวิทธิ์ ไกลถิ่น
bos.lps13@gmail.com
สาลินี มีเจริญ
bos.lps13@gmail.com
<p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาระดับแรงจูงใจในการปฏิบัติงานของครูศูนย์การศึกษาพิเศษ ส่วนกลาง สังกัดสำนักบริหารงานการศึกษาพิเศษ 2) เปรียบเทียบแรงจูงใจในการปฏิบัติงาน จำแนกตามเพศ ตำแหน่ง สถานที่ปฏิบัติงาน และประสบการณ์ทำงาน 3) ศึกษาแนวทางการสร้างแรงจูงใจในการปฏิบัติงาน การวิจัยใช้ระเบียบวิธีวิจัยแบบผสมผสานทั้งเชิงปริมาณและเชิงคุณภาพ กลุ่มตัวอย่างประกอบด้วยครู 136 คน กำหนดขนาดของกลุ่มตัวอย่าง โดยใช้ตารางกำหนดขนาดกลุ่มตัวอย่างของเครจซี่ และมอร์แกน จากนั้นทำการกำหนดสัดส่วนและสุ่มอย่างง่าย ด้วยวิธีการจับสลากแบบไม่ใส่คืนและผู้ให้ข้อมูลสัมภาษณ์ 5 คน ใช้วิธีการเลือกแบบเจาะจง เครื่องมือที่ใช้ ได้แก่ แบบสอบถามเกี่ยวกับแรงจูงใจในการปฏิบัติงาน มี 2 ตอนเป็นแบบตรวจสอบรายการและเป็นมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ และแบบสัมภาษณ์แบบมีโครงสร้าง สถิติเชิงพรรณนาที่ใช้ ได้แก่ ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ส่วนสถิติเชิงอนุมานใช้ t-test F-test และวิเคราะห์เนื้อหา (Content Analysis)</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า แรงจูงใจในการปฏิบัติงานของครูโดยรวมอยู่ในระดับมาก โดยเรียงลำดับจากมากไปน้อย ได้แก่ ด้านความก้าวหน้าในงาน ความสำเร็จในงาน ความสัมพันธ์ในองค์กร ลักษณะของงาน และเงินเดือน สวัสดิการและรางวัล ผลการทดสอบสมมติฐานพบว่า ครูที่มีเพศ ตำแหน่ง สถานที่ปฏิบัติงาน และประสบการณ์ทำงานต่างกัน มีแรงจูงใจแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 แนวทางการสร้างแรงจูงใจ ได้แก่ การวางระบบงานที่ชัดเจน ส่งเสริมการพัฒนาตนเองอย่างต่อเนื่อง มอบหมายงานตามความถนัด ลดภาระงานที่ไม่เกี่ยวข้องกับการสอน สร้างระบบพัฒนาความก้าวหน้าทางวิชาชีพ ส่งเสริมบรรยากาศการทำงานที่เป็นมิตรและปลอดภัย สนับสนุนการทำงานเป็นทีมสหวิชาชีพ และให้ขวัญกำลังใจอย่างสม่ำเสมอ</p>
2025-10-29T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารมณีเชษฐาราม วัดจอมมณี
https://so07.tci-thaijo.org/index.php/JMCR/article/view/8447
ผลการจัดการเรียนรู้โดยใช้ปรากฏการณ์เป็นฐานร่วมกับเทคนิคการใช้คำถาม 5W1H ที่มีต่อผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนและจิตวิทยาศาสตร์ของนักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 6
2025-07-14T19:19:55+07:00
พงศ์พิพัฒน์ แย้มปราศัย
pongpipat.yamprasai@gmail.com
สุวัทนา สงวนรัตน์
pongpipat.yamprasai@gmail.com
บุณยานุช เฉวียงหงส์
pongpipat.yamprasai@gmail.com
<p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนด้วยการจัดการเรียนรู้โดยใช้ปรากฏการณ์เป็นฐานร่วมกับเทคนิคการใช้คำถาม 5W1H ก่อนเรียนและหลังเรียน และเพื่อพัฒนาจิตวิทยาศาสตร์ที่ได้รับการจัดการเรียนรู้โดยใช้ปรากฏการณ์เป็นฐานร่วมกับเทคนิคการใช้คำถาม 5W1H ต่อการเรียนวิทยาศาสตร์ของนักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ นักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนบ้านท่ากรวด อำเภอท่าหลวง สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาลพบุรีเขต 2 จำนวน 15 คน วิธีการสุ่มแบบแบ่งกลุ่ม เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่1) แผนการจัดการเรียนรู้โดยใช้ปรากฏการณ์เป็นฐานร่วมกับเทคนิคการใช้คำถาม 5W1H ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 จำนวน 5 แผนการจัดการเรียนรู้ 2) แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาวิทยาศาสตร์ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 จำนวน 1 ฉบับ เป็นแบบทดสอบปรนัยชนิดเลือกตอบ 4 ตัวเลือก จำนวน 30 ข้อ 3) แบบวัดจิตวิทยาศาสตร์ต่อการเรียนวิชาวิทยาศาสตร์ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 จำนวน 10 ข้อ วิเคราะห์ข้อมูลโดยค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการทดสอบโดยใช้วิธีการทดสอบอันดับที่มีเครื่องหมายกำกับของวิลคอกสัน (The Wilcoxon match pairs signed - ranks test)</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1) ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังการจัดการเรียนรู้โดยใช้ปรากฏการณ์เป็นฐานร่วมกับเทคนิคการใช้คำถาม 5W1H สูงกว่าก่อนการจัดการเรียนรู้อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 และ 2) จิตวิทยาศาสตร์ที่ได้รับการจัดการเรียนรู้โดยใช้ปรากฏการณ์เป็นฐานร่วมกับเทคนิคการใช้คำถาม 5W1H อยู่ในระดับมาก</p>
2025-10-29T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารมณีเชษฐาราม วัดจอมมณี
https://so07.tci-thaijo.org/index.php/JMCR/article/view/8405
การมีส่วนร่วมของประชาชนในการพัฒนาชุมชนในเขตเทศบาล ตำบลนายูง อำเภอนายูง จังหวัดอุดรธานี
2025-07-06T10:12:58+07:00
ทองหยาด รัตนประเสริฐ
Thongyad.31012522@gmail.com
บุญเหลือ บุบผามาลา
Thongyad.31012522@gmail.com
<p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา 1) การมีส่วนร่วมของประชาชนในการพัฒนาชุมชน 2) เปรียบเทียบการมีส่วนร่วมของประชาชนในการพัฒนาชุมชน ที่จำแนกตามเพศ อายุ ระดับการศึกษา และอาชีพ 3) เสนอแนวทางในการพัฒนาการมีส่วนร่วมของประชาชนในการพัฒนาชุมชน กลุ่มตัวอย่างที่ คือประชาชนที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป จำนวน 377 คน จากสูตร ทาโรยามาเน่ เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมเป็นแบบสอบถาม สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ คือ สถิติพรรณนา ได้แก่ จำนวน ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน และสถิติอนุมาน ได้แก่ สถิติค่า และใช้สถิติเอฟ </p> <p> ผลการวิจัยพบว่า</p> <ol> <li>1. การมีส่วนร่วมของประชาชนในการพัฒนาชุมชน โดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก (= 3.86, S.D.= 31) และเมื่อพิจารณารายด้าน พบว่า ด้านที่มีค่าเฉลี่ยสูงสุดคือ ด้านการมีส่วนร่วมดำเนินการ (= 4.08, S.D.= 0.41) รองลงมาคือด้านการมีส่วนร่วมในการตัดสินใจ (= 4.02, S.D.= 0.43) และด้านที่มีค่าเฉลี่ยน้อยที่สุดคือด้านการมีส่วนร่วมประเมินผล (= 3.64, S.D.= 0.66)</li> <li>2. การเปรียบเทียบระดับการมีส่วนร่วมของประชาชนในการพัฒนาชุมชน พบว่า โดยภาพรวมประชาชนที่มีเพศ และอายุต่างกัน มีส่วนร่วมในการพัฒนาชุมชนในเขตเทศบาลตำบลนายูง แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 ส่วนประชาชนที่มีระดับการศึกษา และอาชีพต่างกัน มีส่วนร่วม ไม่แตกต่างกัน</li> <li>3. ข้อเสนอแนวทางในการพัฒนาการมีส่วนร่วมของประชาชนในการพัฒนาชุมชนในเขตเทศบาลตำบลนายูง ได้แก่ จัดตั้งคณะกรรมการที่มีตัวแทนจากทุกกลุ่มในชุมชน</li> </ol>
2025-10-29T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารมณีเชษฐาราม วัดจอมมณี
https://so07.tci-thaijo.org/index.php/JMCR/article/view/8391
การศึกษาความเชื่อมั่นในตนเองและกระบวนการคิดเชิงอภิปัญญา ที่มีต่อการแก้ปัญหาทางคณิตศาสตร์ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1
2025-07-15T10:33:24+07:00
อารียา วงศ์สวัสดิ์
arywongsawat@gmail.com
ยุทธพงศ์ ทิพย์ชาติ
yuthapong.t@rmu.ac.th
<p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ (1) เปรียบเทียบการแก้ปัญหาทางคณิตศาสตร์ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 จำแนกตามความเชื่อมั่นในตนเอง (2) เปรียบเทียบการแก้ปัญหาทางคณิตศาสตร์ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 จำแนกตามกระบวนการคิดเชิงอภิปัญญา และ (3) ศึกษาความเชื่อมั่นในตนเองและกระบวนการคิดเชิงอภิปัญญาที่มีต่อการแก้ปัญหาทางคณิตศาสตร์ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนท่าขอนยางพิทยาคม จำนวน 86 คน ได้มาโดยวิธีการสุ่มตัวอย่างแบบกลุ่ม เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ (1) แบบวัดความเชื่อมั่นในตนเอง (2) แบบวัดกระบวนการคิดเชิงอภิปัญญา (3) แบบทดสอบการแก้ปัญหาทางคณิตศาสตร์แบบเขียนตอบ และ (4) แบบสัมภาษณ์แบบกึ่งโครงสร้างเกี่ยวกับการแก้ปัญหาคณิตศาสตร์ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ การแจกแจงความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ยและส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การวิเคราะห์ความแปรปรวนทางเดียว การศึกษารายกรณี แล้วนำเสนอข้อมูลด้วยวิธีการวิเคราะห์เชิงพรรณนา</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า (1) นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ที่มีความเชื่อมั่นในตนเองต่างกัน การแก้ปัญหาทางคณิตศาสตร์แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 (2) นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ที่มีกระบวนการคิดเชิงอภิปัญญาต่างกัน การแก้ปัญหาทางคณิตศาสตร์แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 และ (3) นักเรียนที่มีความเชื่อมั่นในตนเองและกระบวนการคิดเชิงอภิปัญญาระดับสูง สามารถเข้าใจโจทย์ เชื่อมโยงความรู้ วางแผน และอธิบายเหตุผล ระดับปานกลาง ยังขาดความสามารถในการวางแผนและเลือกวิธีแก้ปัญหาที่เหมาะสม และระดับต่ำ ไม่สามารถตีความโจทย์ หรืออธิบายวิธีคิดและเหตุผลได้</p>
2025-10-29T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารมณีเชษฐาราม วัดจอมมณี
https://so07.tci-thaijo.org/index.php/JMCR/article/view/8491
ผลการจัดการเรียนรู้โดยใช้กลวิธี RAFT ที่มีต่อทักษะการเขียน เชิงสร้างสรรค์ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6
2025-07-16T18:43:00+07:00
ณัฐจุฑา ปุณยชัยปรีดา
nutjutha.ice27@gmail.com
สุวัทนา สงวนรัตน์
nutjutha.ica27@gmail.com
กรวุฒิ แผนพรหม
nutjutha.ica27@gmail.com
<p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อเปรียบเทียบทักษะการเขียนเชิงสร้างสรรค์ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ก่อนและหลังการจัดการเรียนรู้โดยใช้กลวิธี RAFT และ 2) เพื่อศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ที่มีต่อการจัดการเรียนรู้โดยใช้กลวิธี RAFT กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย คือ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนวัดบางพึ่ง และโรงเรียนพิบูลปัทมาคม จำนวน 30 คน ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2568 ได้มาด้วยวิธีการเลือกแบบเจาะจง เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยได้แก่ ประกอบด้วย 1) แผนการจัดการเรียนรู้โดยโดยใช้กลวิธี RAFT ที่มีต่อทักษะการเขียนเชิงสร้างสรรค์ ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 จำนวน 4 แผน ใช้เวลา 12 ชั่วโมง 2) แบบวัดทักษะการเขียนเชิงสร้างสรรค์ ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 เป็นแบบทดสอบแบบอัตนัย จำนวน 4 ข้อ ซึ่งมีค่าความยากง่ายระหว่าง 0.21 - 0.35 ค่าอำนาจจำแนกระหว่าง 0.42 - 0.47 และค่าความเชื่อมั่นเท่ากับ 0.96 และ 3) แบบประเมินความพึงพอใจต่อการจัดการเรียนรู้โดยใช้กลวิธี RAFT จำนวน 10 ข้อ มีค่าความเชื่อมั่นเท่ากับ 0.71 วิเคราะห์ข้อมูลโดยหาค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และ การทดสอบค่าทีแบบตัวอย่างไม่อิสระต่อกัน</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า 1) ผลการเปรียบเทียบทักษะการเขียนเชิงสร้างสรรค์ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ด้วยการจัดการเรียนรู้โดยใช้กลวิธี RAFT ของนักเรียนกลุ่มตัวอย่างสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 และ 2) ผลความพึงพอใจของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ที่มีต่อการจัดการเรียนรู้โดยใช้กลวิธี RAFT ของนักเรียนกลุ่มตัวอย่าง ภาพรวมอยู่ในระดับมากที่สุด</p>
2025-10-29T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารมณีเชษฐาราม วัดจอมมณี
https://so07.tci-thaijo.org/index.php/JMCR/article/view/8018
การจัดการกองทุนออมทรัพย์เพื่อการผลิตบ้านดอนคา อำเภอพรหมคีรี จังหวัดนครศรีธรรมราช
2025-07-15T21:54:08+07:00
สุวรรณดี รุ่งรักษ์
Kanokpak_boon@nstru.ac.th
เจษฎากร มณีลาภ
Kanokpak_boon@nstru.ac.th
กนกภักดิ์ บุญสิทธิ์
Kanokpak_boon@nstru.ac.th
<p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา 1) ระดับความคิดเห็นของสมาชิกที่มีต่อการจัดการกองทุนออมทรัพย์เพื่อการผลิตบ้านดอนคา 2) เปรียบเทียบความคิดเห็นของสมาชิกที่มีต่อการจัดการกองทุนออมทรัพย์เพื่อการผลิตบ้านดอนคา และ 3) ข้อเสนอแนะของสมาชิกที่มีต่อการจัดการกองทุนออมทรัพย์เพื่อการผลิตบ้านดอนคา กลุ่มตัวอย่าง คือ สมาชิกกองทุนออมทรัพย์เพื่อการผลิตบ้านดอนคา จำนวน 367 คน โดยใช้สูตรเครซี่และมอร์แกน (Krejcie and Morgan, 1970) เครื่องมือที่ใช้เป็นแบบสอบถาม สถิติที่ใช้ในวิจัย ได้แก่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน และวิเคราะห์ข้อมูลทดสอบสมมติฐานด้วยใช้สถิติค่าที (T-Test)</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า</p> <ol> <li>ความคิดเห็นของสมาชิกที่มีต่อการจัดการกองทุนออมทรัพย์เพื่อการผลิตบ้านดอนคา โดยรวมอยู่ในระดับมาก ด้านที่มีค่าเฉลี่ยมากที่สุด คือ การประสานงาน และ ด้านที่มีค่าเฉลี่ยน้อยที่สุด คือ การวางแผน</li> <li>ผลวิเคราะห์การเปรียบเทียบความคิดเห็นของสมาชิกที่มีต่อการจัดการกองทุนออมทรัพย์เพื่อการผลิตบ้านดอนคา จำแนกตามปัจจัยส่วนบุคคล พบว่า สมาชิกที่มีเพศแตกต่างกัน มีความคิดเห็นแตกต่างกัน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 ส่วน อายุ อาชีพ ระดับการศึกษา และรายได้ต่อเดือน มีความคิดเห็นไม่แตกต่างกัน</li> <li>ข้อเสนอแนะ 1) เชิงนโยบาย ควรมีการอบรมสมาชิกเพื่อจัดทำแผนพัฒนากองทุนอย่างเป็นระบบ และ มีการกำหนดโครงสร้าง บทบาทและหน้าที่ของคณะกรรมการอย่างชัดเจน 2) เชิงปฏิบัติงาน ควรมีการเสริมสร้างความรู้ความเข้าใจการบริหารจัดการกองทุนด้วยการศึกษา การอบรมและทัศนศึกษาดูงานให้แก่สมาชิกเพื่อให้มีความรู้กระจ่างชัดนำไปสู่การปฏิบัติงานได้จริง</li> </ol> <p> </p>
2025-10-29T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารมณีเชษฐาราม วัดจอมมณี
https://so07.tci-thaijo.org/index.php/JMCR/article/view/8420
การมีส่วนร่วมของประชาชนในการพัฒนาท้องถิ่นขององค์การบริหารส่วนตำบลนางัว อำเภอน้ำโสม จังหวัดอุดรธานี
2025-07-06T09:50:52+07:00
วรัญญา พันธผล
nuspong.ggg@gmail.com
ชาญยุทธ หาญชนะ
nuspong.ggg@gmail.com
<p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา 1) การมีส่วนร่วมของประชาชนในการพัฒนาท้องถิ่น 2) เปรียบเทียบการมีส่วนร่วมของประชาชนในการพัฒนาท้องถิ่นขององค์การบริหารส่วนตำบลนางัว ที่จําแนกตามปัจจัยส่วนบุคคล 3) แนวทางพัฒนาการมีส่วนร่วมของประชาชนในการพัฒนาท้องถิ่น เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมเป็นแบบสอบถาม มีค่าความเชื่อมั่นเท่ากับ 0.834 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ คือ จำนวน ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน และวิเคราะห์ข้อมูล ทดสอบสมมติฐาน โดยใช้สถิติค่าที (t-test) และใช้สถิติเอฟ (f-test)</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า</p> <ol> <li>การมีส่วนร่วมของประชาชนในการพัฒนาท้องถิ่นขององค์การบริหารส่วนตำบลนางัว โดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก และเมื่อพิจารณารายด้าน พบว่า ด้านที่มีค่าเฉลี่ยสูงสุด คือ ด้านการมีส่วนร่วมในการดำเนินงาน รองลงมา คือ ด้านการมีส่วนร่วมในการตัดสินใจ และด้านที่มีค่าเฉลี่ยน้อยที่สุด คือ ด้านการมีส่วนร่วมในการประเมินผล</li> <li>ผลการเปรียบเทียบ โดยภาพรวม พบว่าประชาชนที่มีเพศ อายุ ระดับการศึกษา และอาชีพต่างกัน มีส่วนร่วมในการพัฒนาท้องถิ่นขององค์การบริหารส่วนตำบลนางัว อำเภอน้ำโสม จังหวัดอุดรธานี ไม่แตกต่างกัน</li> <li>ข้อเสนอแนวทางพัฒนาการมีส่วนร่วมของประชาชนในการพัฒนาท้องถิ่นขององค์การบริหารส่วนตำบลนางัว ได้แก่ ควรให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการจัดทำร่างข้อบัญญัติเกี่ยวกับนโยบายสาธารณะ</li> </ol> <p><strong> </strong></p>
2025-10-29T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารมณีเชษฐาราม วัดจอมมณี
https://so07.tci-thaijo.org/index.php/JMCR/article/view/8458
การจัดการขยะมูลฝอยในครัวเรือนของประชาชนในเขตองค์การบริหารส่วนตำบลนาแค อำเภอนายูง จังหวัดอุดรธานี
2025-07-16T18:56:59+07:00
รัชฏาภรณ์ บำรุงสุข
nuspong.ggg@gmail.com
โกศล สอดส่อง
nuspong.ggg@gmail.com
<p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา 1) การจัดการขยะมูลฝอยในครัวเรือน 2) เปรียบเทียบระดับการจัดการขยะมูลฝอยในครัวเรือน ที่จำแนกตามเพศ อายุ ระดับการศึกษา และอาชีพ และ 3) แนวทางในการพัฒนาและแก้ไขปัญหาเกี่ยวกับการจัดการขยะมูลฝอยในครัวเรือน กลุ่มตัวอย่าง คือหัวหน้าครัวเรือนในเขตองค์การบริหารส่วนตำบลนาแค จำนวน 321 คน ด้วยการใช้สูตรของ Yamane เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมเป็นแบบสอบถาม มีค่าความเชื่อมั่นเท่ากับ 0.812 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ คือ จำนวน ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน และวิเคราะห์ข้อมูล ทดสอบสมมติฐาน โดยใช้สถิติค่าที (t-test) และใช้สถิติเอฟ (f-test)</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า </p> <ol> <li>การจัดการขยะมูลฝอยในครัวเรือน โดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก และเมื่อพิจารณารายด้าน พบว่า ด้านที่มีค่าเฉลี่ยสูงสุด คือ ด้านการลดการเกิดขยะมูลฝอย รองลงมา คือ ด้านการคัดแยกขยะมูลฝอย และด้านที่มีค่าเฉลี่ยน้อยที่สุด คือ ด้านการหลีกเลี่ยงวัสดุที่ทำลายยาก</li> <li>ผลการเปรียบเทียบระดับการจัดการขยะมูลฝอยในครัวเรือน พบว่าโดยภาพรวมหัวหน้าครัวเรือนที่มีระดับการศึกษาต่างกัน มีการจัดการขยะมูลฝอยในครัวเรือน แตกต่างกันอย่างมีนัยสําคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 ส่วนหัวหน้าครัวเรือนที่มีเพศ อายุ และอาชีพ ต่างกัน มีการจัดการขยะมูลฝอย ไม่แตกต่างกัน</li> <li>ข้อเสนอแนวทางการพัฒนาการจัดการขยะมูลฝอยในครัวเรือนของประชาชนในเขตองค์การบริหารส่วนตำบลนาแค ได้แก่ รณรงค์ให้ประชาชนลดการใช้วัสดุที่ใช้ครั้งเดียว เช่น ถุงพลาสติก หลอดพลาสติก กล่องโฟม โดยสนับสนุนให้ใช้ถุงผ้า แก้วน้ำส่วนตัว หรือภาชนะที่สามารถนำกลับมาใช้ใหม่ได้</li> </ol>
2025-10-29T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารมณีเชษฐาราม วัดจอมมณี
https://so07.tci-thaijo.org/index.php/JMCR/article/view/7756
การจัดสภาพแวดล้อมสถานศึกษาของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครราชสีมา เขต 1
2025-05-12T20:17:17+07:00
อรรถวิทย์ นิธิวรเกียรติ
6604033202116@nmc.ac.th
กฤษฎา วัฒนาศักดิ์
6604033202116@nmc.ac.th
<p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1.ศึกษาและเปรียบเทียบการจัดสภาพแวดล้อมสถานศึกษาของผู้บริหารสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครราชสีมา เขต 1 ที่จำแนกตามตำแหน่งและขนาดของสถานศึกษา และ2.ศึกษาแนวทางการพัฒนาการบริหารการจัดสภาพแวดล้อมสถานศึกษาของผู้บริหารสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครราชสีมา เขต 1 กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยคือ ผู้บริหารและครูผู้สอน จำนวน 325 คน กำหนดขนาดกลุ่มตัวอย่างตามตารางของเครจซี่และมอร์แกนและเครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยเป็นแบบสอบถามแบบมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ ได้ค่าดัชนีความสอดคล้องระหว่าง 0.60 - 1.00 และมีค่าความเชื่อมั่นของแบบสอบถามทั้งฉบับเท่ากับ 0.95 สถิติที่ใช้การวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การทดสอบค่าที การวิเคราะห์ความแปรปรวนทางเดียว และการทดสอบความแตกต่างเป็นรายคู่โดยวิธีการของเชฟเฟ่</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า</p> <ol> <li>ผลการวิเคราะห์ความคิดเห็นที่มีต่อการจัดสภาพแวดล้อมสถานศึกษาของผู้บริหารสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครราชสีมา เขต 1 โดยภาพรวมอยู่ในระดับมากที่สุด</li> <li>ผลการวิเคราะห์การเปรียบเทียบความคิดเห็นต่อการจัดสภาพแวดล้อมสถานศึกษาของผู้บริหาร สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครราชสีมา เขต 1 จำแนกตามตำแหน่งและขนาดของสถานศึกษา โดยภาพรวมและรายด้าน ไม่แตกต่างกัน</li> <li>แนวทางการพัฒนาการบริหารการจัดสภาพแวดล้อมสถานศึกษาของผู้บริหารสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครราชสีมา เขต 1 ดังนี้ ควรส่งเสริมบรรยากาศที่ร่มรื่น อำนวยความสะดวกและรักษาความปลอดภัยในห้องเรียนที่เหมาะสม เพื่อส่งเสริมความคิดสร้างสรรค์ สร้างแรงจูงใจ ความกระตือรือร้น และความสามารถของผู้เรียน รวมถึงส่งเสริมให้บุคลากรให้มีความเอื้อเฟื้อช่วยเหลือเกื้อกูลกัน และมีการมอบหมายงานให้เป็นไปตามความเหมาะสมกับความสามารถ</li> </ol> <p><strong> </strong></p>
2025-10-29T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารมณีเชษฐาราม วัดจอมมณี
https://so07.tci-thaijo.org/index.php/JMCR/article/view/8540
การบริหารแบบมีส่วนร่วมกับประสิทธิผลของศูนย์การศึกษาพิเศษ ส่วนกลาง สำนักบริหารงานการศึกษาพิเศษ
2025-07-18T20:06:59+07:00
ศศิวิมล คำขัติ
jeawfei.jeawfei2526@gmail.com
สาลินี มีเจริญ
jeawfei.jeawfei2526@gmail.com
<p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาระดับการบริหารงานแบบมีส่วนร่วมของศูนย์การศึกษาพิเศษ ส่วนกลาง สังกัดสำนักบริหารงานการศึกษาพิเศษ 2) เพื่อศึกษาประสิทธิผลของศูนย์การศึกษาพิเศษ ส่วนกลาง สังกัดสำนักบริหารงานการศึกษาพิเศษ 3) เพื่อศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างการบริหารแบบมีส่วนร่วมกับประสิทธิผลของศูนย์การศึกษาพิเศษ ส่วนกลาง สังกัดสำนักบริหารงานการศึกษาพิเศษ เป็นการวิจัยแบบเชิงปริมาณ กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ ได้แก่ ครูผู้สอนในสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา ปีการศึกษา 2567 จำนวน 136 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยเป็นแบบสอบถามชนิดมาตราประมาณค่า 5 ระดับ วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้ร้อยละ ค่าความถี่ ค่าเฉลี่ย ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน และวิเคราะห์ค่าสหสัมพันธ์แบบเพียร์สัน</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1) การบริหารแบบมีส่วนร่วมของศูนย์การศึกษาพิเศษ ส่วนกลาง สังกัดสำนักบริหารงานการศึกษาพิเศษ ในภาพรวมอยู่ในระดับมากที่สุด เมื่อพิจารณารายด้าน พบว่า อยู่ในระดับมากที่สุดทุกด้าน 2) ประสิทธิผลของศูนย์การศึกษาพิเศษ ส่วนกลาง สังกัดสำนักบริหารงานการศึกษาพิเศษ ในภาพรวมอยู่ในระดับมากที่สุด เมื่อพิจารณารายด้าน พบว่า อยู่ในระดับมากที่สุดทุกด้าน 3) ความสัมพันธ์ระหว่างการบริหารแบบมีส่วนร่วมกับประสิทธิผลของศูนย์การศึกษาพิเศษ ส่วนกลาง สังกัดสำนักบริหารงานการศึกษาพิเศษ พบว่า ภาพรวมมีความสัมพันธ์กันทางบวก ในระดับสูง อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 เมื่อพิจารณารายด้านของการบริหารแบบมีส่วนร่วมกับประสิทธิผลของสถานศึกษา โดยรวมแต่ละด้านมีความสัมพันธ์กันทางบวกในระดับปานกลาง - สูงมาก อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01</p>
2025-10-29T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารมณีเชษฐาราม วัดจอมมณี
https://so07.tci-thaijo.org/index.php/JMCR/article/view/8270
กลยุทธ์การเสริมสร้างพลังการมีส่วนร่วมของชุมชน เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการรักษาอัตลักษณ์พื้นถิ่นทางชาติพันธุ์ไทยทรงดำ อำเภอห้วยกระเจา จังหวัดกาญจนบุรี
2025-06-29T10:07:51+07:00
รจนาภรณ์ ศรีช่วงโชติ
p_namploy@kru.ac.th
<p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ 1)เพื่อศึกษาพลวัตการมีส่วนร่วมของชุมชนในการรักษาอัตลักษณ์ทางชาติพันธุ์ไทยทรงดำ อำเภอห้วยกระเจา จังหวัดกาญจนบุรี 2)เพื่อวิเคราะห์ศักยภาพของชุมชนในการรักษาอัตลักษณ์ทางชาติพันธุ์ไทยทรงดำ และ 3)เพื่อนำเสนอกลยุทธ์การเสริมสร้างพลังการมีส่วนร่วมของชุมชน ที่เพิ่มขีดความสามารถในการรักษาอัตลักษณ์ทางชาติพันธุ์ไทยทรงดำและการนำไปใช้ประโยชน์ต่อไป กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการศึกษาวิจัยครั้งนี้ คือ ผู้บริหารหน่วยงานราชการ ผู้นำชุมชน ผู้นำกลุ่มชาติพันธุ์ และผู้รู้หรือตัวแทนชุมชน ซึ่งอาศัยอยู่ในตำบลสระลงเรือ อำเภอห้วยกระเจา จังหวัดกาญจนบุรี จำนวน 367 คน</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า ชุมชนมีส่วนร่วมในพิธีกรรมและกิจกรรมวัฒนธรรมไทยทรงดำอย่างชัดเจน ทั้งในด้านการเตรียมงาน เช่น การวางแผน การจัดเตรียมสถานที่และอุปกรณ์ และด้านการดำเนินงาน เช่น การเข้าร่วมพิธีกรรม การสืบสานประเพณี การแต่งกายและการทำอาหารพื้นบ้าน นอกจากนี้ยังพบว่าชุมชนมีบทบาทในการเผยแพร่วัฒนธรรมและแลกเปลี่ยนความรู้ระหว่างคนรุ่นใหม่และผู้สูงอายุ การวิเคราะห์ SWOT ช่วยระบุจุดแข็ง จุดอ่อน โอกาส และอุปสรรคของชุมชนในการรักษาอัตลักษณ์ชาติพันธุ์ โดยจากนั้นได้กำหนดกลยุทธ์ส่งเสริมการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วน ได้แก่ องค์กรภาครัฐที่รับผิดชอบในการกำหนดยุทธศาสตร์ วางแผน และอำนวยความสะดวกในการจัดกิจกรรม เพื่อสร้างความร่วมมือระหว่างภาคส่วนต่าง ๆ อย่างเป็นระบบและต่อเนื่อง สถาบันการศึกษาควรบูรณาการวัฒนธรรมไทยทรงดำในกิจกรรมพัฒนาผู้เรียน เพื่อปลูกฝังจิตสำนึกและความภาคภูมิใจในวัฒนธรรมท้องถิ่น ส่วนหน่วยงานด้านวัฒนธรรมในระดับจังหวัดควรส่งเสริมการสร้างองค์ความรู้และแหล่งเรียนรู้ พร้อมประสานงานกับองค์กรภาครัฐและเอกชนเพื่อส่งเสริมวัฒนธรรมนี้อย่างครบวงจร บทบาทของผู้นำชุมชนเป็นกุญแจสำคัญในการสร้างการมีส่วนร่วมโดยการแบ่งงานให้ชัดเจน เพื่อให้ประชาชนได้มีส่วนร่วมในการวางแผนและดำเนินกิจกรรมอย่างแท้จริง ในขณะที่ภาคประชาชน โดยเฉพาะผู้เชี่ยวชาญด้านวัฒนธรรมและเยาวชนชาติพันธุ์ไทยทรงดำ ควรมีบทบาทในการรักษาและถ่ายทอดวัฒนธรรมต่อเนื่องอย่างยั่งยืน</p>
2025-10-29T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารมณีเชษฐาราม วัดจอมมณี
https://so07.tci-thaijo.org/index.php/JMCR/article/view/8384
การมีส่วนร่วมของประชาชนในการจัดการขยะมูลฝอยของ องค์การบริหารส่วนตำบลบ้านก้อง อำเภอนายูง จังหวัดอุดรธานี
2025-07-06T10:05:53+07:00
สตรีรัตน์ สุครีพ
satreerat1989@hotmail.com
โกศล สอดส่อง
satreerat1989@hotmail.com
<p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา 1) การมีส่วนร่วมของประชาชนในการจัดการขยะมูลฝอยขององค์การบริหารส่วนตำบลบ้านก้อง 2) เปรียบเทียบระดับการมีส่วนร่วมของประชาชนในการจัดการขยะมูลฝอยขององค์การบริหารส่วนตำบลบ้านก้อง ที่จำแนกตามเพศ อายุ ระดับการศึกษา และอาชีพ 3) ข้อเสนอแนะ แนวทางการพัฒนาการมีส่วนร่วมของประชาชนในการจัดการขยะมูลฝอยขององค์การบริหารส่วนตำบลบ้านก้อง กลุ่มตัวอย่าง คือ หัวหน้าครัวเรือนที่อาศัยอยู่ในเขตพื้นที่ขององค์การบริหารส่วนตำบลบ้านก้อง จำนวน 346 คน ด้วยการใช้สูตรของ Yamane เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมเป็นแบบสอบถาม มีค่าความเชื่อมั่นเท่ากับ 0.885 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ คือ จำนวน ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน และวิเคราะห์ข้อมูล ทดสอบสมมติฐาน โดยใช้สถิติค่าที (t-test) และใช้สถิติเอฟ (f-test)</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า </p> <ol> <li>การมีส่วนร่วมของประชาชนในการจัดการขยะมูลฝอยขององค์การบริหารส่วนตำบลบ้านก้อง โดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก (= 3.66) และเมื่อพิจารณารายด้าน พบว่า ด้านที่มีค่าเฉลี่ยสูงสุด คือ ด้านการมีส่วนร่วมในการประเมินผล (= 3.80) รองลงมา คือ ด้านการมีส่วนร่วมในการดำเนินงาน (= 3.73) และด้านที่มีค่าเฉลี่ยน้อยที่สุด คือ ด้านการมีส่วนร่วมในการตัดสินใจ (= 3.41)</li> <li>ผลการเปรียบเทียบระดับการมีส่วนร่วมของประชาชนในการจัดการขยะมูลฝอยขององค์การบริหารส่วนตำบลบ้านก้อง ที่จำแนกตามเพศ อายุ ระดับการศึกษา และอาชีพ โดยภาพรวมหัวหน้าครัวเรือนที่มีอายุต่างกัน มีส่วนร่วมในการจัดการขยะมูลฝอยขององค์การบริหารส่วนตำบลบ้านก้อง อำเภอนายูง จังหวัดอุดรธานี แตกต่างกันอย่างมีนัยสําคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 ส่วนหัวหน้าครัวเรือนที่มีเพศ ระดับการศึกษา และอาชีพต่างกัน มีส่วนร่วมในการจัดการขยะมูลฝอยขององค์การบริหารส่วนตำบลบ้านก้อง ไม่แตกต่างกัน</li> <li>ข้อเสนอแนะ แนวทางการพัฒนาการมีส่วนร่วมของประชาชนในการจัดการขยะมูลฝอยขององค์การบริหารส่วนตำบลบ้านก้อง ได้แก่ เปิดโอกาสให้ทุกภาคส่วน เช่น ผู้นำชุมชน ครัวเรือน กลุ่มเยาวชน และผู้สูงอายุ มีส่วนเสนอความคิดเห็นและแนวทางที่เหมาะสมกับท้องถิ่น</li> </ol>
2025-10-29T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารมณีเชษฐาราม วัดจอมมณี
https://so07.tci-thaijo.org/index.php/JMCR/article/view/8412
ภาวะผู้นำทางเทคโนโลยีของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาหนองคายเขต 1
2025-07-21T12:24:53+07:00
ชนิกา รักษาวัง
chanikafang21228@gmail.com
บุญช่วย ศิริเกษ
Chanikafang21228@Gmail.Com
<p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาระดับภาวะผู้นำทางเทคโนโลยีของผู้บริหารสถานศึกษาในโรงเรียนสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาหนองคายเขต 1 2) เพื่อเปรียบเทียบระดับภาวะผู้นำทางเทคโนโลยีของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาหนองคายเขต 1 จำแนกตามตำแหน่งหน้าที่ ขนาดสถานศึกษา ประสบการณ์ในการทำงานของข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา 3) เพื่อศึกษาแนวทางการพัฒนาภาวะผู้นำทางเทคโนโลยีของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาหนองคายเขต 1 กลุ่มตัวอย่างการศึกษาครั้งนี้ ได้แก่ ผู้บริหารสถานศึกษา จำนวน 35 คน และครูผู้สอน จำนวน 270 คน รวมเป็น จำนวน 305 คน ได้มาโดยการสุ่มแบบแบ่งชั้นภูมิ มีค่าความเชื่อมั่น 0.937 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า 1) ระดับภาวะผู้นำทางเทคโนโลยีของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาหนองคายเขต 1 โดยรวมและรายด้าน พบว่าค่าเฉลี่ยอยู่ในระดับมาก 2) ผลการเปรียบเทียบภาวะผู้นำทางเทคโนโลยีของผู้บริหารสถานศึกษา (1) จำแนกตามตำแหน่งหน้าที่ พบว่าโดยภาพรวมและรายด้านพบว่า ไม่แตกต่างกัน (2) จำแนกตามขนาดสถานศึกษา พบว่า โดยภาพรวมแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ 0.01 เมื่อพิจารณารายด้านพบว่า มีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 (3) จำแนกตามประสบการณ์การทำงาน พบว่า โดยรวมไม่แตกต่างกัน เมื่อพิจารณารายด้านพบว่า มีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 3) แนวทางการพัฒนาภาวะผู้นำทาเทคโนโลยีของผู้บริหารสถานศึกษาสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาหนองคาย เขต 1 ประกอบด้วย 6 ด้าน ได้แก่ (1) ด้านภาวะผู้นำ และวิสัยทัศน์ (2) ด้านการใช้เทคโนโลยีในการบริหารงาน (3) ด้านการสนับสนุนการใช้เทคโนโลยีในการเรียนการสอน (4) ด้านการใช้เทคโนโลยีในการวัดผลและประเมินผล (5) ด้านการมีจริยธรรมในการใช้เทคโนโลยี (6) ด้านการสนับสนุนการใช้เทคโนโลยีในการบริหารงาน</p>
2025-10-29T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารมณีเชษฐาราม วัดจอมมณี
https://so07.tci-thaijo.org/index.php/JMCR/article/view/8419
การศึกษาความเข้าใจทางคณิตศาสตร์และความเชื่อมั่นในตนเองที่มีต่อการแก้ปัญหาทางคณิตศาสตร์ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1
2025-07-06T09:56:17+07:00
กฤตเมธ กาสินพิลา
kittamethka@gmail.com
ยุทธพงศ์ ทิพย์ชาติ
yuthapong.t@rmu.ac.th
<p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อเปรียบเทียบความสามารถในการแก้ปัญหาทางคณิตศาสตร์ของนักเรียนที่มีระดับความเข้าใจทางคณิตศาสตร์ต่างกัน 2) เปรียบเทียบความสามารถในการแก้ปัญหาทางคณิตศาสตร์ของนักเรียนที่มีระดับความเชื่อมั่นในตนเองต่างกัน และ 3) ศึกษาความเข้าใจทางคณิตศาสตร์และความเชื่อมั่นในตนเองที่มีต่อการแก้ปัญหาทางคณิตศาสตร์ กลุ่มตัวอย่างในการวิจัย ได้แก่ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนสารคามพิทยาคม จังหวัดมหาสารคาม จำนวน 120 คน ซึ่งได้จากการสุ่มตัวอย่างแบบกลุ่ม (Cluster Random Sampling) เครื่องมือวิจัยประกอบด้วย แบบทดสอบความเข้าใจทางคณิตศาสตร์ แบบวัดความเชื่อมั่นในตนเอง แบบทดสอบการแก้ปัญหาทางคณิตศาสตร์ และแบบสัมภาษณ์แบบกึ่งโครงสร้าง สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงปริมาณ ได้แก่ ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการวิเคราะห์ความแปรปรวนทางเดียว (One-way ANOVA) ส่วนข้อมูลเชิงคุณภาพใช้วิธีศึกษาเฉพาะรายกรณี (Case Study) และการวิเคราะห์เชิงพรรณนา (Descriptive Analysis)</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1) นักเรียนที่มีระดับความเข้าใจทางคณิตศาสตร์ต่างกัน ความสามารถในการแก้ปัญหาทางคณิตศาสตร์แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 2) นักเรียนที่มีระดับความเชื่อมั่นในตนเองต่างกัน ความสามารถในการแก้ปัญหาทางคณิตศาสตร์ที่แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 3) นักเรียนที่มีความเข้าใจทางคณิตศาสตร์และความเชื่อมั่นในตนเองระดับสูงแสดงออกถึงกระบวนการแก้ปัญหาที่ครบถ้วน วางแผนการแก้ปัญหาได้อย่างเป็นระบบ เชื่อมโยงความรู้เดิมกับโจทย์ใหม่ได้ดีและอธิบายคำตอบได้อย่างมีเหตุผล นักเรียนที่อยู่ในระดับปานกลาง สามารถแก้โจทย์ปัญหาที่คล้ายกับแบบฝึกหัดได้ แต่ขาดการอธิบายที่ชัดเจน ไม่มั่นใจในการตอบคำถามเมื่อถูกถามให้ขยายความแนวคิดการแก้ปัญหาของตน และนักเรียนที่อยู่ในระดับต่ำ ไม่สามารถตีความโจทย์ปัญหา วางแผน อธิบายแนวคิดและเหตุผลได้</p>
2025-10-29T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารมณีเชษฐาราม วัดจอมมณี
https://so07.tci-thaijo.org/index.php/JMCR/article/view/7769
การศึกษาความสามารถในการแก้โจทย์ปัญหาทางคณิตศาสตร์ของนักเรียน ระดับประถมศึกษา กรณีศึกษา : โรงเรียนบ้านใหม่น้ำเงิน สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาพะเยา เขต 2
2025-05-15T06:32:54+07:00
ชญตว์ แสนหวัง
chayot.rpk28@gmail.com
นวพล นนทภา
Rammareee_cute.pig@hotmail.com
<p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อศึกษาความสามารถในการแก้โจทย์ปัญหาทางคณิตศาสตร์ของนักเรียนระดับประถมศึกษา กรณีศึกษา : โรงเรียนบ้านใหม่น้ำเงิน สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาพะเยา เขต 2 กลุ่มเป้าหมายคือ นักเรียนชั้น ป. 1 – 6 ปีการศึกษา 2567 จำนวน 16 คน ประกอบด้วย ป.1<strong>=</strong>4 คน ป.2<strong>=</strong>3 คน ป.3<strong>=</strong>2 คน ป.4<strong>=</strong>2 คน ป.5<strong>=</strong>2 คน และ ป.6<strong>=</strong>3 คน เครื่องมือที่ใช้ 1)แบบทดสอบความสามารถในการแก้โจทย์ปัญหาทางคณิตศาสตร์ 2)แบบวัดการรับรู้ความสามารถของตนเอง 3)แบบวัดการสนับสนุนทางการเรียนจากผู้ปกครอง 4)แบบวัดเจตคติต่อวิชาคณิตศาสตร์ 5)แบบวัดแรงจูงใจใฝ่สัมฤทธิ์ทางการเรียนคณิตศาสตร์ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า นักเรียนมีความสามารถในการแก้โจทย์ปัญหาทางคณิตศาสตร์มากที่สุด คือ ระดับดี ร้อยละ 62.50 รองลงมาคือระดับพอใช้ ร้อยละ 25.00 และระดับดีมาก ร้อยละ 12.50 ผลการศึกษาความสัมพันธ์ของความสามารถในการแก้โจทย์ปัญหาทางคณิตศาสตร์กับปัจจัย ดังนี้ การรับรู้ความสามารถของตนเองอยู่ระดับเห็นด้วย ( =3.93, =0.74) การสนับสนุนทางการเรียนจากผู้ปกครองอยู่ระดับเห็นด้วย ( =3.98, =0.91) เจตคติต่อวิชาคณิตศาสตร์อยู่ระดับเห็นด้วยอย่างยิ่ง ( =4.00, =0.96) และแรงจูงใจใฝ่สัมฤทธิ์ทางการเรียนคณิตศาสตร์อยู่ระดับเห็นด้วย อย่างยิ่ง ( =4.30, =0.74) การศึกษาระดับความเห็นความสัมพันธ์ของความสามารถในการแก้โจทย์ปัญหาทางคณิตศาสตร์กับปัจจัยของนักเรียนรายบุคคล กลุ่มคะแนนพอใช้มีความเห็นระดับไม่แน่ใจและเห็นด้วย กลุ่มผลคะแนนดีมีความเห็นระดับเห็นด้วยและเห็นด้วยอย่างยิ่ง และกลุ่มคะแนน ดีมากมีความเห็นระดับเห็นด้วยอย่างยิ่งทั้งหมด นั่นหมายถึง ความสามารถในการแก้โจทย์ปัญหา ทางคณิตศาสตร์มีความสัมพันธ์กันกับปัจจัยที่ศึกษา</p> <p><strong> </strong></p>
2025-10-29T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารมณีเชษฐาราม วัดจอมมณี
https://so07.tci-thaijo.org/index.php/JMCR/article/view/8463
ความท้าทายต่อประสิทธิภาพในการปฏิบัติงานของบุคลากร การรถไฟแห่งประเทศไทย
2025-07-16T19:08:03+07:00
พุทธพร โพธิ์เจริญ
puttaporn.pho@ku.th
พรพรรณ เหมะพันธุ์
puttaporn.pho@ku.th
<p>การศึกษาครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) เพื่ออธิบายประสิทธิภาพการปฏิบัติงานของบุคลากรการรถไฟแห่งประเทศไทย 2) เพื่อเปรียบเทียบความแตกต่างของปัจจัยส่วนบุคคลและสภาพแวดล้อมภายในองค์กร กับประสิทธิภาพการปฏิบัติงานของบุคลากรฯ และ 3) เพื่อหาความสัมพันธ์ระหว่างการรับรู้สถานการณ์ในองค์กรและสภาพแวดล้อมภายในองค์กรกับประสิทธิภาพการปฏิบัติงานของบุคลากรฯ ใช้การกำหนดขนาดของกลุ่มตัวอย่างจากสูตร Taro Yamane (1973) และใช้การสุ่มตัวอย่างแบบชั้นภูมิตามสัดส่วน กลุ่มตัวอย่าง คือ บุคลากรของการรถไฟแห่งประเทศไทยที่ปฏิบัติงานในปี 2567 จำนวน 229 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยคือแบบสอบถาม และวิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติเชิงพรรณนาและอนุมาน ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน t-test, One - Way ANOVA และ ค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์เพียร์สัน </p> <p> ผลการศึกษา พบว่า 1) ประสิทธิภาพในการปฏิบัติงานโดยรวมอยู่ในระดับมาก ทั้งด้านคุณภาพ ปริมาณ และเวลา โดยเฉพาะความตรงต่อเวลาและการจัดลำดับความสำคัญของงานมีค่าคะแนนเฉลี่ยสูงที่สุด 2) ปัจจัยส่วนบุคคล ทุกตัวประกอบด้วย เพศ อายุ อายุงาน ระดับการศึกษา และตำแหน่งงาน ไม่มีผลแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญต่อประสิทธิภาพการปฏิบัติงาน 3) สภาพแวดล้อมภายในองค์กรและการรับรู้สถานการณ์ในองค์กรในภาพรวมไม่พบความสัมพันธ์กับประสิทธิภาพในการปฏิบัติงาน ถึงแม้บางด้านพบความสัมพันธ์ในระดับต่ำมากในทิศทางบวกกับประสิทธิภาพการปฏิบัติงานอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ <em>.</em>05 ดังนั้น องค์กรควรสนับสนุนสภาพแวดล้อมภายในองค์กรและสร้างการรับรู้เกี่ยวกับสถานการณ์องค์กรอย่างต่อเนื่อง เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการปฏิบัติงานของบุคลากร</p>
2025-10-29T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารมณีเชษฐาราม วัดจอมมณี
https://so07.tci-thaijo.org/index.php/JMCR/article/view/8078
ความสัมพันธ์ระหว่างภาวะผู้นำยุคดิจิทัลของผู้บริหารสถานศึกษา กับการบริหารงานวิชาการในโรงเรียนขยายโอกาสทางการศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครสวรรค์ เขต 3
2025-07-21T09:41:24+07:00
ชุลีพร สมบูรณ์ประเสริฐ
somboonprasert.2537@gmail.com
เยาวเรศ ภักดีจิตร
somboonprasert.2537@gmail.com
ทินกร ชอัมพงษ์
somboonprasert.2537@gmail.com
<p>การวิจัยครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาระดับภาวะผู้นำยุคดิจิทัลของผู้บริหารสถานศึกษา 2) ศึกษาระดับการบริหารงานวิชาการ 3) ศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างภาวะผู้นำยุคดิจิทัลของผู้บริหารสถานศึกษากับการบริหารงานวิชาการ กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ ผู้บริหารสถานศึกษาและครู จำนวน 234 คน แบ่งเป็นผู้บริหารสถานศึกษา จำนวน 21 คน และครู จำนวน 213 คน ใช้วิธีการเปิดตารางเครจซี่และมอร์แกน โดยการเทียบสัดส่วนและทำการสุ่มหลายขั้นตอน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แบบสอบถามภาวะผู้นำยุคดิจิทัลของผู้บริหารสถานศึกษา จำนวน 43 ข้อ ที่มีค่าความตรงเชิงเนื้อหาระหว่าง 0.67 – 1.00 และค่าความเที่ยงเท่ากับ 0.98 และแบบสอบถามการบริหารงานวิชาการ จำนวน 63 ข้อ ที่มีค่าความตรงเชิงเนื้อหาระหว่าง 0.67 – 1.00 และค่าความเที่ยงเท่ากับ 0.99 สถิติที่ใช้<br />ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และ<br />ค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์แบบเพียร์สัน</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1) ระดับภาวะผู้นำยุคดิจิทัลของผู้บริหารสถานศึกษา <br />โดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก (x̅ = 4.50, S.D. = 0.43) 2) ระดับการบริหารงานวิชาการ โดยภาพรวมอยู่ในระดับมากที่สุด (x̅ = 4.52, S.D. = 0.33) และ 3) ความสัมพันธ์ระหว่างภาวะผู้นำยุคดิจิทัลของผู้บริหารสถานศึกษากับการบริหารงานวิชาการ มีความสัมพันธ์กันทางบวก โดยภาพรวมอยู่ในระดับสูง (r<sub>xy</sub> = 0.86) อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01</p>
2025-10-29T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารมณีเชษฐาราม วัดจอมมณี
https://so07.tci-thaijo.org/index.php/JMCR/article/view/8036
Promotion of English Language Learning among Thai Buddhist Monks: Integrating Theory and Practice
2025-06-07T06:19:08+07:00
Phramaha Kriangkrai Phetsangkhad
kriangkrai.ph@mbu.ac.th
<p>English proficiency is vital for effective intercultural communication and the widespread dissemination of Buddhist pedagogy in a globalized world. However, Thai Buddhist monks face special challenges in English acquisition, including limited access to contextually relevant materials, a scarcity of qualified instructors within monastic communities, and competing religious works. This article proposes a holistic framework that integrates three theoretical perspectives: Vygotsky's sociocultural theory (Zone of Proximal Development and the More Knowledgeable Other), Dewey's experiential learning model (authentic experiences and reflection), and Buddhist pedagogical principles (mindfulness practices and ethical motivation). Practical strategies include curated e-learning modules with Buddhist content, mobile applications tailored to monastic routines, virtual classrooms with scaffolded support, temple interaction simulations, peer learning circles, and mindfulness-based study routines, all supported by mentorship programs and institutional incentives, such as internal proficiency certificates, to sustain ongoing engagement. This study assists Thai monks in developing their English proficiency, thereby increasing their capacity for religious outreach, interfaith conversations, and international engagement. It tackles issues concerning infrastructure and timing. By harmonizing theoretical frameworks with monastic principles and practical situations, it offers a viable approach to incorporating language education within monastic studies.</p>
2025-10-29T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารมณีเชษฐาราม วัดจอมมณี
https://so07.tci-thaijo.org/index.php/JMCR/article/view/8294
การศึกษาองค์ประกอบการพัฒนาอุปนิสัยของผู้มีประสิทธิผลสูงเสริมด้วยหลักพละ 5 ของผู้บริหารวิทยาลัย สังกัดสำนักงานอาชีวศึกษาจังหวัดหนองบัวลำภู
2025-07-01T17:51:27+07:00
ศิวกร อินภูษา
siwakornin@gmail.com
ประจิตร มหาหิง
siwakornin@gmail.com
ยิ่งสรรค์ หาพา
siwakornin@gmail.com
<p> การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา สังเคราะห์ และยืนยันองค์ประกอบการพัฒนาอุปนิสัยของผู้มีประสิทธิผลสูงที่เสริมด้วยหลักพละ 5 สำหรับผู้บริหารวิทยาลัยอาชีวศึกษาในจังหวัดหนองบัวลำภู โดยใช้วิธีการวิจัยแบบผสมผสานระหว่างการวิเคราะห์เอกสารและ การประเมินโดยผู้เชี่ยวชาญ กลุ่มตัวอย่างประกอบด้วยผู้เชี่ยวชาญ 9 ท่าน จากสาขาการศึกษาระดับอุดมศึกษา อาชีวศึกษา และการวิจัย เครื่องมือวิจัยเป็นแบบสอบถามแบบประเมิน 5 ระดับ ที่ผ่านการตรวจสอบความเที่ยงตรงแล้ว กระบวนการวิจัยแบ่งเป็น 2 ขั้นตอนหลัก ได้แก่ 1) การศึกษาวิเคราะห์เอกสารวิชาการที่เกี่ยวข้อง และ 2) การประเมินความเหมาะสมขององค์ประกอบโดยผู้เชี่ยวชาญ วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติเชิงบรรยาย ได้แก่ ค่าเฉลี่ยและส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ผลการศึกษาพบว่า องค์ประกอบการพัฒนาอุปนิสัยประสิทธิผลสูงประกอบด้วย 2 ส่วนสำคัญที่สามารถบูรณาการกันได้อย่างมีประสิทธิภาพ ได้แก่ อุปนิสัย 7 ประการ ตามแนวคิดของโควี (1989) และหลักพละ 5 ตามหลักพุทธธรรม โดยเฉพาะองค์ประกอบที่ได้รับการประเมินว่ามีความเหมาะสมสูงสุดคือ “การกำหนดผลลัพธ์ของการกระทำ” (ค่าเฉลี่ย 4.55) และ “การลับเลื่อยให้คมอยู่เสมอ” (ค่าเฉลี่ย 4.52) สำหรับตัวบ่งชี้ย่อยนั้น “การกำหนดวิสัยทัศน์” (ค่าเฉลี่ย 4.60) และ “การพัฒนาด้านสติปัญญา” (ค่าเฉลี่ย 4.55) ได้รับการประเมินในระดับสูงที่สุด ผลการประเมินความเป็นไปได้ในการนำไปปฏิบัติอยู่ในระดับสูง (ค่าเฉลี่ย 4.15-4.45) ซึ่งสะท้อนถึงศักยภาพในการประยุกต์ใช้จริงในการบริหารการศึกษา การวิจัยนี้ให้องค์ความรู้ใหม่ในการผสมผสานทฤษฎีตะวันตกกับหลักพุทธธรรม เพื่อพัฒนาศักยภาพผู้บริหารทั้งด้านสมรรถนะและจริยธรรมอย่างสมดุล สอดคล้องกับยุทธศาสตร์การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ของประเทศไทย</p>
2025-10-29T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารมณีเชษฐาราม วัดจอมมณี
https://so07.tci-thaijo.org/index.php/JMCR/article/view/8389
ความคาดหวังและความเชื่อมั่นของประชาชนที่มีต่อประสิทธิภาพในการให้บริการ รถไฟฟ้ารางเดี่ยวของประเทศไทย
2025-07-06T10:08:35+07:00
ปัทมา สระแก้ว
patthama.sak@ku.th
พรพรรณ เหมะพันธุ์
patthama.sak@ku.th
<p>การศึกษาวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงปริมาณมีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาระดับประสิทธิภาพในการให้บริการรถไฟฟ้ารางเดี่ยวของผู้ใช้บริการ สายสีเหลือง (ลาดพร้าว-สำโรง) และสายสีชมพู (แคราย-มีนบุรี) 2) เปรียบเทียบประสิทธิภาพการให้บริการรถไฟฟ้ารางเดี่ยวสายสีเหลืองและสายสีชมพู จำแนกตามปัจจัยส่วนบุคคล และความคาดหวังของผู้ใช้บริการ และ 3) ศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างความเชื่อมั่นของผู้ใช้บริการต่อหน่วยงานของรัฐกับประสิทธิภาพการให้บริการรถไฟฟ้ารางเดี่ยวสายสีเหลืองและสายสีชมพู กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ ผู้ใช้บริการรถไฟฟ้ารางเดี่ยวสายสีเหลืองและสายสีชมพู จำนวน 200 คนต่อสาย รวมทั้งสิ้น 400 คน โดยใช้วิธีการสุ่มแบบโควต้า เก็บรวบรวมข้อมูลด้วยแบบสอบถาม โดยภาพรวมมีค่าสัมประสิทธิ์แอลฟาครอนบาค เท่ากับ .978 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การทดสอบค่าที การวิเคราะห์ความแปรปรวนทางเดียว และค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์เพียร์สัน</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1) ระดับประสิทธิภาพการให้บริการรถไฟฟ้ารางเดี่ยว สายสีเหลืองและสายสีชมพู โดยรวมอยู่ในระดับมากที่สุด 2) ผลการเปรียบเทียบประสิทธิภาพการให้บริการรถไฟฟ้ารางเดี่ยวสายสีเหลืองและสายสีชมพู จำแนกตามปัจจัยส่วนบุคคล และความคาดหวังของผู้ใช้บริการ พบว่า อาชีพแตกต่างกัน มีความคิดเห็นต่อประสิทธิภาพการให้บริการสายสีเหลืองและสายสีชมพู แตกต่างกัน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ .05 ในทำนองเดียวกัน ความคาดหวังของผู้ใช้บริการแตกต่างกัน ประสิทธิภาพการให้บริการสายสีเหลืองและสายสีชมพูแตกต่างกัน และ 3) ผลการศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างความเชื่อมั่นของผู้ใช้บริการต่อหน่วยงานของรัฐกับประสิทธิภาพการให้บริการสายสีเหลืองและสายสีชมพู พบว่า มีความสัมพันธ์อยู่ในระดับสูงในทิศทางบวก</p>
2025-10-29T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารมณีเชษฐาราม วัดจอมมณี
https://so07.tci-thaijo.org/index.php/JMCR/article/view/8203
แนวทางการระดมทรัพยากรเพื่อการศึกษาสำหรับโรงเรียนขยายโอกาส สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาในจังหวัดสกลนคร
2025-06-24T08:49:35+07:00
กัลยลักษณ์ คำโสภา
kkanyalak37@gmail.com
พนายุทธ เชยบาล
kkanyalak37@gmail.com
<p>การวิจัยมีวัตถุประสงค์ 1) ศึกษาสภาพปัจจุบัน สภาพที่พึงประสงค์ และความต้องการจำเป็นของการระดมทรัพยากรเพื่อการศึกษาสำหรับโรงเรียนขยายโอกาส สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาในจังหวัดสกลนคร และ 2) หาแนวทาง โดยการวิจัยแบ่งออกเป็น 2 ระยะ คือ ระยะที่ 1 การศึกษาสภาพปัจจุบัน สภาพที่พึงประสงค์ และความต้องการจำเป็น กลุ่มตัวอย่าง คือ ผู้บริหารสถานศึกษาและครู สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาในจังหวัดสกลนคร จำนวน 341 คน มาจากการสุ่มกลุ่มตัวอย่างอย่างง่าย เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยเป็นแบบสอบถามประมาณค่า 5 ระดับมีความเชื่อมั่นของแบบสอบถามสภาพปัจจุบัน เท่ากับ 0.891 และแบบสอบถามสภาพที่พึงประสงค์ เท่ากับ 0.956 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และดัชนี ความต้องการจำเป็น ระยะที่ 2 การหาแนวทางจากผู้ทรงคุณวุฒิ จำนวน 9 คน เครื่องมือที่ใช้ คือ แบบสัมภาษณ์กึ่งโครงสร้างใช้การวิเคราะห์ข้อมูลเชิงเนื้อหา และยืนยันแนวทางโดยผู้ให้ข้อมูลกลุ่มเดิม ผลการวิจัยพบว่า</p> <ol> <li>การระดมทรัพยากรเพื่อการศึกษาสำหรับโรงเรียนขยายโอกาส สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาในจังหวัดสกลนคร มีสภาพปัจจุบันอยู่ในระดับมาก สภาพที่พึงประสงค์ อยู่ในระดับมากที่สุด และความต้องการจำเป็น โดยเรียงตามลำดับ ได้แก่ ด้านทรัพยากรการเงิน ด้านทรัพยากรบุคคล ด้านทรัพยากรวัสดุอุปกรณ์ และ ด้านทรัพยากร การบริหารจัดการ</li> <li>แนวทางการระดมทรัพยากรเพื่อการศึกษาสำหรับโรงเรียนขยายโอกาส สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาในจังหวัดสกลนคร มีทั้งหมด 19 แนวทาง ประกอบด้วย ด้านทรัพยากรบุคคล มี 5 แนวทาง ด้านทรัพยากรการเงิน มี 5 แนวทาง ด้านทรัพยากรวัสดุอุปกรณ์ มี 5 แนวทาง และด้านทรัพยากรการบริหารจัดการ มี 4 แนวทาง ได้รับการยืนยันว่าใช้ได้ทุกแนวทาง</li> </ol>
2025-10-29T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารมณีเชษฐาราม วัดจอมมณี
https://so07.tci-thaijo.org/index.php/JMCR/article/view/7863
การเชื่อมโยงความในบันทึกการเดินทาง ของ นิ้วกลม
2025-05-22T22:13:19+07:00
ดาราพร ศรีม่วง
dsrimuang@hotmail.com
รัตนชัย ปรีชาพงศ์กิจ
prattanachai@aru.ac.th
<p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อวิเคราะห์ลักษณะการเชื่อมโยงความที่ปรากฏในบันทึกการเดินทาง ของ นิ้วกลม เป็นการวิจัยเอกสาร โดยเก็บรวบรวมข้อมูลจากหนังสือบันทึกการเดินทางของนิ้วกลม จำนวน 9 เล่ม ได้แก่ โตเกียวไม่มีขา กัมพูชาพริบตาเดียว เนปาลประมาณสะดือ สมองไหวในฮ่องกง นั่งรถไฟไปตู้เย็น ลอนดอนไดอารี่ ความฝันที่มั่นสุดท้าย หิมาลัยไม่มีจริง และ แห่งใดหรือคือบ้าน โดยประยุกต์ใช้แนวคิดเรื่อง การเชื่อมโยงความของฮัลลิเดย์และฮะซาน (Halliday and Hasan) และ เดอ โบกรองด์ และเดรสเลอร์ (de Beaugrande and Dressler) และหลักการวิเคราะห์ข้อความของจันทิมา อังคพณิชกิจ</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า บันทึกการเดินทางของนิ้วกลมใช้กลวิธีการเชื่อมโยงความ 5 ประเภท คือ การเชื่อมโยงความด้วยการอ้างถึง คิดเป็นร้อยละ 42.50 การเชื่อมโยงความด้วยการละ คิดเป็นร้อยละ 6.21 การเชื่อมโยงความด้วยการซ้ำ คิดเป็นร้อยละ 36.88 การเชื่อมโยงความด้วยการใช้คำศัพท์ คิดเป็นร้อยละ 5.71 และการเชื่อมโยงความด้วยการใช้คำเชื่อม คิดเป็นร้อยละ 8.70</p>
2025-10-29T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารมณีเชษฐาราม วัดจอมมณี
https://so07.tci-thaijo.org/index.php/JMCR/article/view/7830
การวิเคราะห์กลวิธีการใช้ภาษาในเพจเฟซบุ๊ก “จะเที่ยวไปไหน”
2025-05-18T19:34:51+07:00
ประภัสสรา ห่อทอง
full_nui32@hotmail.com
<p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษากลวิธีการใช้ภาษาในการนำเสนอการท่องเที่ยวในเพจเฟซบุ๊ก “จะเที่ยวไปไหน” โดยใช้ระเบียบวิธีวิจัยเอกสาร และการวิเคราะห์เนื้อหา รวบรวมและวิเคราะห์เนื้อหาจากโพสต์ในเพจ “จะเที่ยวไปไหน” จำนวน 20 โพสต์ ระหว่างเดือนกรกฎาคม พ.ศ. 2562 ถึงพฤศจิกายน พ.ศ. 2563 รวมทั้งใช้วิธีการวิเคราะห์เชิงเนื้อหานำเสนอผลในลักษณะพรรณนาวิเคราะห์</p> <p>ผลการวิจัย พบว่า กลวิธีการใช้ภาษาสามารถจำแนกได้เป็น 3 ด้าน ได้แก่ <br />1) กลวิธีการใช้คำ จำนวน 18 ลักษณะ เช่น การใช้คำทับศัพท์ คำอุทาน คำภาษาปาก ศัพท์วัยรุ่น และคำคล้องจอง 2) กลวิธีการใช้โวหาร จำนวน 3 ลักษณะ ได้แก่ การอธิบายโวหาร การบรรยายโวหาร และการพรรณนาโวหาร และ 3) กลวิธีการใช้ภาพพจน์ จำนวน 6 ลักษณะ เช่น การเปรียบเทียบเชิงอุปมา อุปลักษณ์ บุคลาธิษฐาน และสัญลักษณ์ โดยกลวิธีที่พบมากที่สุดคือ การใช้คำทับศัพท์ การเปรียบเทียบเชิงอุปมา และการใช้ศัพท์วัยรุ่น ตามลำดับ จากผลการวิจัยสามารถสรุปได้ว่าเพจ “จะเที่ยวไปไหน” ใช้ภาษาที่หลากหลายและสร้างสรรค์ในการสื่อสาร เพื่อดึงดูดความสนใจของกลุ่มเป้าหมาย โดยเฉพาะในกลุ่มวัยรุ่น สะท้อนให้เห็นถึงแนวโน้มการใช้ภาษาของคนรุ่นใหม่ในยุคดิจิทัล ทั้งนี้ กลวิธีทางภาษาดังกล่าวมีบทบาทสำคัญในการสร้างอรรถรส กระตุ้นจินตนาการ และโน้มน้าวให้ผู้อ่านรู้สึกมีส่วนร่วม และเกิดแรงบันดาลใจอยากออกเดินทางท่องเที่ยวตามเนื้อหาที่นำเสนอ</p>
2025-10-29T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารมณีเชษฐาราม วัดจอมมณี
https://so07.tci-thaijo.org/index.php/JMCR/article/view/8461
การพัฒนาคลังข้อสอบด้านคณิตศาสตร์ ตามแนวข้อสอบ National Test (NT) สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 ในจังหวัดศรีสะเกษ
2025-07-16T19:02:52+07:00
ชนาพร ไชยสุวรรณ
chanapornbee6@gmail.com
เบญจมาภรณ์ เสนารัตน์
chanapornbee6@gmail.com
สมประสงค์ เสนารัตน์
chanapornbee6@gmail.com
<p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาคลังข้อสอบด้านคณิตศาสตร์สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 โดยใช้แนวข้อสอบ NT และทฤษฎีการตอบสนองข้อสอบแบบ 3 พารามิเตอร์ กลุ่มตัวอย่างคือนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 จำนวน 3,500 คนในจังหวัดศรีสะเกษ ซึ่งได้มาด้วยการสุ่มแบบหลายขั้นตอน เครื่องมือที่ใช้คือแบบทดสอบคณิตศาสตร์แบบเลือกตอบ 4 ตัวเลือกตามแนวข้อสอบ NT มีการวิเคราะห์พารามิเตอร์ข้อสอบด้วยโมเดลการตอบสนองข้อสอบที่ให้คะแนนรายข้อแบบสองค่า โดยใช้โปรแกรมภาษา R แพ็กเกจ MIRT</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า ข้อสอบที่สร้างขึ้น 210 ข้อ ผ่านการพิจารณาความตรงเชิงเนื้อหาจากผู้เชี่ยวชาญ 180 ข้อ โดยมีค่าดัชนีความสอดคล้องอยู่ระหว่าง 0.80 - 1.00 ข้อสอบถูกแบ่งเป็น 6 ฉบับๆ ละ 30 ข้อ และมีข้อสอบร่วม 10 ข้อ เมื่อนำไปทดสอบกับกลุ่มตัวอย่างและปรับเทียบด้วยโปรแกรมภาษา R แพ็กเกจ Equate โดยใช้วิธีโค้งลักษณะข้อสอบของ Haebera Method พบว่ามีข้อสอบที่มีคุณภาพตามเกณฑ์ 100 ข้อ ค่าพารามิเตอร์ของข้อสอบที่ได้ ได้แก่ ค่าความยาก 0.86 ซึ่งอยู่ในระดับปานกลางถึงค่อนข้างยาก ค่าอำนาจจำแนก 0.94 และค่าการเดา 0.12 คลังข้อสอบนี้สร้างขึ้นโดยใช้โปรแกรม PhpMyAdmin ในการจัดการฐานข้อมูลซึ่งประกอบด้วยรูปภาพ ตัวเลข และตัวอักษร คลังข้อสอบที่สร้างขึ้นนี้มีคุณภาพและเหมาะสมที่จะนำไปพัฒนาโปรแกรมการทดสอบแบบปรับเหมาะด้วยคอมพิวเตอร์ต่อไป</p>
2025-10-29T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารมณีเชษฐาราม วัดจอมมณี
https://so07.tci-thaijo.org/index.php/JMCR/article/view/8460
การพัฒนาโปรแกรมการประเมินความรู้ด้านภาษาไทย ตามแนวข้อสอบ National Test (NT) สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 ในจังหวัดศรีสะเกษ
2025-07-16T19:10:35+07:00
กีรติกร แพงอก
chanapornbee6@gmail.com
เบญจมาภรณ์ เสนารัตน์
chanapornbee6@gmail.com
สมประสงค์ เสนารัตน์
chanapornbee6@gmail.com
<p>งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาคลังข้อสอบวิชาภาษาไทยสำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 ตามแนวข้อสอบ NT โดยใช้ทฤษฎีการตอบสนองข้อสอบแบบ 3 พารามิเตอร์ กลุ่มตัวอย่างคือ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 ในจังหวัดศรีสะเกษ ปีการศึกษา 2565 ได้มาโดยการสุ่มอย่างง่าย โดยใช้เครื่องมือวิจัยเป็นแบบทดสอบจำนวน 312 ข้อ ครอบคลุมเนื้อหาสาระการอ่าน 153 ข้อ,หลักการใช้ภาษาไทย 94 ข้อ, วรรณคดีและวรรณกรรม 36 ข้อ, การเขียน 27 ข้อ และการฟัง การดู และการพูด 24 ข้อ การวิเคราะห์ข้อมูลใช้ค่าดัชนีความสอดคล้องของผู้เชี่ยวชาญ (IOC) และค่าพารามิเตอร์ต่าง ๆ ด้วยโปรแกรมภาษา R รวมถึงการปรับเทียบค่าพารามิเตอร์ด้วยวิธี Heabra Method</p> <p><strong> </strong>ผลการวิจัยพบว่า คลังข้อสอบที่พัฒนาขึ้นสามารถจัดการผ่านเว็บเบราว์เซอร์ต่าง ๆ และรองรับทั้งรูปภาพและข้อความ สามารถใช้งานได้บนหลายระบบปฏิบัติการ คุณภาพของข้อสอบทั้ง 312 ข้อได้รับการประเมินจากผู้เชี่ยวชาญ พบว่ามีความตรงเชิงเนื้อหา (Content Validity) ด้วยค่า IOC อยู่ระหว่าง 0.60 ถึง 1.00 ซึ่งอยู่ในเกณฑ์ดี นอกจากนี้ ข้อสอบยังมีคุณภาพทางจิตวิทยาการวัดที่ดี ทั้งค่าความยาก (Difficulty Index), ค่าอำนาจจำแนก (Discrimination Index) และค่าการเดา (Guessing Parameter) ซึ่งแสดงให้เห็นว่าคลังข้อสอบนี้สามารถนำไปใช้ในการพัฒนาโปรแกรมการทดสอบแบบปรับเหมาะด้วยคอมพิวเตอร์ (CAT) ได้อย่างเหมาะสม</p>
2025-10-29T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารมณีเชษฐาราม วัดจอมมณี
https://so07.tci-thaijo.org/index.php/JMCR/article/view/8582
การศึกษาการคิดอย่างมีวิจารณญาณและการรับรู้ความสามารถของตนเองที่มีต่อการแก้ปัญหาทางคณิตศาสตร์ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2
2025-07-25T23:05:55+07:00
ปรัชญาพร ศรีสุทัศน์
srisutat0803@gmail.com
ยุทธพงศ์ ทิพย์ชาติ
yuthapong.t@rmu.ac.th
<p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ (1) เปรียบเทียบการแก้ปัญหาทางคณิตศาสตร์ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ตามระดับการคิดอย่างมีวิจารณญาณ (2) เปรียบเทียบการแก้ปัญหาทางคณิตศาสตร์ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ตามระดับการรับรู้ความสามารถของตนเอง และ (3) ศึกษาการคิดอย่างมีวิจารณญาณและการรับรู้ความสามารถของตนเองที่มีต่อการแก้ปัญหาทางคณิตศาสตร์ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 กลุ่มตัวอย่าง คือ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนสารคามพิทยาคม จำนวน 105 คน โดยวิธีการสุ่มตัวอย่างแบบกลุ่ม เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ (1) แบบทดสอบความสามารถในการคิดอย่างมีวิจารณญาณ (2) แบบวัดการรับรู้ความสามารถของตนเอง (3) แบบทดสอบการแก้ปัญหาทางคณิตศาสตร์ และ (4) แบบสัมภาษณ์แบบกึ่งโครงสร้างเกี่ยวกับการแก้ปัญหาคณิตศาสตร์ สถิติที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ การแจกแจงความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ยและส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การวิเคราะห์ความแปรปรวนทางเดียว ใช้การศึกษาเฉพาะรายกรณี แล้วนำเสนอข้อมูลด้วยวิธีการวิเคราะห์เชิงพรรณนา</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า (1) นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ที่มีระดับการคิดอย่างมีวิจารณญาณต่างกัน การแก้ปัญหาทางคณิตศาสตร์แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 (2) นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ที่มีระดับการรับรู้ความสามารถของตนเองต่างกัน การแก้ปัญหาทางคณิตศาสตร์แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 (3) นักเรียนที่มีการคิดอย่างมีวิจารณญาณและการรับรู้ความสามารถของตนเองในระดับสูงจะสามารถเข้าใจโจทย์ วางแผนอย่างเป็นระบบ และเชื่อมโยงความรู้เดิมได้ดี ขณะที่นักเรียนระดับปานกลางและต่ำยังขาดทักษะในการวางแผนและไม่มั่นใจในคำตอบ</p>
2025-10-29T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารมณีเชษฐาราม วัดจอมมณี
https://so07.tci-thaijo.org/index.php/JMCR/article/view/8175
การประยุกต์ใช้หลักอิทธิบาท 4 ของประชาชน ในการดำเนินชีวิตในศตวรรษที่ 21
2025-06-24T08:59:05+07:00
พระปกรณ์ สมาจาโร นุชม่วง
pakornnuchmuang@gmail.com
พระครูสมุห์ศุภชัย สุภธมฺโม (ไชยชาญยุทธ)
pakornnuchmuang@gmail.com
พระครูบวรชัยวัฒน์
pakornnuchmuang@gmail.com
<p>งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์คือ 1) เพื่อศึกษาหลักธรรมทางพระพุทธศาสนา 2) เพื่อศึกษาการนำหลักธรรมไปใช้ในการดำเนินชีวิตในศตวรรษที่ 21 และ 3) เพื่อวิเคราะห์การประยุกต์หลักอิทธิบาท 4 ในการดำเนินชีวิต การวิจัยเป็นเชิงคุณภาพ (Qualitative Research) ด้วยการสัมภาษณ์เชิงลึก (In-Depth Interview) จากกลุ่มตัวอย่างประชาชน จำนวน 15 คน เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูลเพื่อทำการวิจัย เป็นแบบสัมภาษณ์เชิงลึกและได้นำมาเรียบเรียงพรรณนา</p> <p>ผลวิจัยพบว่า การประยุกต์ใช้หลักอิทธิบาท 4 ของประชาชนในศตวรรษที่ 21 ที่เต็มไปด้วยความเปลี่ยนแปลงด้านเทคโนโลยี สังคม วัฒนธรรม และเศรษฐกิจ เพื่อรับมือกับความท้าทายเหล่านี้อย่างมีประสิทธิภาพ ประกอบด้วย 1) ฉันทะ(ความพอใจ) คือ มีความรักในสิ่งที่ทำและมีความสุขกับสิ่งที่ทำ 2) วิริยะ(ความเพียร) คือ ความสม่ำเสมอ ไม่ท้อถอยในการทำงาน 3) จิตตะ(ความเอาใจใส่) คือ การให้ความสำคัญกับทุกสิ่งที่กำลังกระทำ เพื่อลดความเหลื่อมล้ำและลดความขัดแย้งในสังคม และ 4)วิมังสา (ความไตร่ตรอง) คือ การประเมินประสิทธิภาพของกิจกรรมที่จัดขึ้น และปรับเปลี่ยนการทำงานให้เหมาะสมกับบริบทของศตวรรษที่ 21 โดยยึดมั่นในพระธรรมวินัยเป็นหลัก เพื่อให้พระพุทธศาสนาดำรงอยู่ได้อย่างยั่งยืนและเป็นประโยชน์ต่อทุกคน สรุปได้ว่า การประยุกต์ใช้หลักอิทธิบาท 4 ของประชาชนในการดำเนินชีวิตในศตวรรษที่ 21 คือ การมีความ "มุ่งมั่นตั้งใจ เพียรพยายาม และใช้ปัญญาไตร่ตรอง" โดยการปรับตัวให้เข้ากับยุคสมัยใหม่และใช้เครื่องมือที่ทันสมัยอย่างชาญฉลาด และรักษาพระธรรมวินัยอย่างมีเหตุผล</p>
2025-10-29T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารมณีเชษฐาราม วัดจอมมณี
https://so07.tci-thaijo.org/index.php/JMCR/article/view/8281
การพัฒนาการเรียนรู้คำศัพท์ภาษาอังกฤษโดยใช้เกมคำศัพท์ ของนักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 6
2025-08-02T14:07:28+07:00
วิรดา มาเบ้า
wirada.m63@rsu.ac.th
เตชาเมธ เพียรชนะ
Wirada.m63@rsu.ac.th
<p>การวิจัยครั้งนี้มีจุดประสงค์ 1) เพื่อศึกษาระดับพัฒนาการด้านการเรียนรู้คำศัพท์ภาษาอังกฤษ และ 2)ความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการจัดการเรียนรู้โดยใช้เกมคำศัพท์ภาษาอังกฤษของนักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 กลุ่มเป้าหมายที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ ได้แก่ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ที่กำลังศึกษาในภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2567 โรงเรียนประถมศึกษาสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาปทุมธานี เขต 2 จำนวน 9 คน (เพศชาย 5 คน/เพศหญิง 4 คน) มีอายุระหว่าง 10-12 ปี เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ 1) แผนการจัดการเรียนรู้คำศัพท์ภาษาอังกฤษโดยใช้เกมคำศัพท์ จำนวน 4 แผน ใช้เวลาเรียนรวม 4 สัปดาห์, สัปดาห์ละ 2 คาบ, คาบละ 60 นาที 2) แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เป็นแบบเลือกตอบ 4 ตัวเลือก จำนวน 20 ข้อ เพื่อวัดความสามารถในการเรียนรู้คำศัพท์ภาษาอังกฤษของนักเรียน 3) แบบประเมินความพึงพอใจ จำนวน 1 ฉบับ จำนวน 12 ข้อ เพื่อประเมินความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการเรียนรู้ด้วยเกมคำศัพท์ภาษาอังกฤษ การวิเคราะห์ข้อมูลใช้ค่าสถิติเชิงพรรณนา นำเสนอเป็นค่าความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ( ) และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.)</p> <p><strong> </strong>ผลการวิจัยพบว่า 1) ระดับพัฒนาการด้านการเรียนรู้คำศัพท์ภาษาอังกฤษของนักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ที่ได้รับการจัดการเรียนรู้โดยใช้เกมคำศัพท์มีคะแนนพัฒนาการในระดับสูง คือ ร้อยละ 62.01 โดยมีคะแนนอยู่ในช่วงระหว่าง 51-75 คะแนน <strong> </strong>2) นักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 มีความพึงพอใจต่อการจัดการเรียนรู้คำศัพท์อยู่ในระดับมากที่สุด คะแนนเฉลี่ยเท่ากับ 14.22 (S.D.= 0.44)</p>
2025-10-29T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารมณีเชษฐาราม วัดจอมมณี
https://so07.tci-thaijo.org/index.php/JMCR/article/view/8584
การบริหารงานวิชาการของผู้บริหารสถานศึกษาในยุคดิจิทัลในโรงเรียนเครือข่ายชุมพลบุรี 1 สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสุรินทร์ เขต 2
2025-07-25T22:53:49+07:00
กาจพน เจริญรอย
kadpon1111@gmail.com
สุรางคนา มัณยานนท์
kadpon1111@gmail.com
สมหมาย สร้อยนาคพงษ์
kadpon1111@gmail.com
<p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาระดับการบริหารงานวิชาการของผู้บริหารสถานศึกษาในยุคดิจิทัล 2) ศึกษาแนวทางพัฒนาการบริหารงานวิชาการของผู้บริหารสถานศึกษาในยุคดิจิทัล โรงเรียนเครือข่ายชุมพลบุรี 1 สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสุรินทร์เขต 2 กลุ่มตัวอย่าง คือ ครูที่ปฏิบัติหน้าที่สอนในโรงเรียนในกลุ่มเครือข่ายชุมพลบุรี 1 กำหนดกลุ่มตัวอย่างโดยใช้ตารางเครจซี่และมอร์แกน ได้กลุ่มตัวอย่างจำนวน 125 คน เป็นการวิจัยเชิงปริมาณและเชิงคุณภาพ เครื่องมือที่ใช้ ได้แก่ แบบสอบถามมีค่าความเชื่อมั่น เท่ากับ .954 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ ได้แก่ ความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานและการวิเคราะห์เนื้อหา</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า 1) การบริหารงานวิชาการของผู้บริหารสถานศึกษาในยุคดิจิทัล โรงเรียนเครือข่ายชุมพลบุรี 1 สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสุรินทร์เขต 2 ภาพรวมและรายด้านอยู่ในระดับมาก<br />2) การศึกษาแนวทางพัฒนาการบริหารงานวิชาการของผู้บริหารสถานศึกษาในยุคดิจิทัล โรงเรียนเครือข่าย<br />ชุมพลบุรี 1 สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสุรินทร์เขต 2 พบว่า (1) ด้านการพัฒนาหลักสูตร<br />ในสถานศึกษา ผู้บริหารควรวิเคราะห์หลักสูตรแกนกลาง สภาพแวดล้อม ความต้องการของชุมชน ให้เหมาะสมและทันต่อการเปลี่ยนแปลง (2) ด้านการพัฒนากระบวนการเรียนรู้ ผู้บริหารควรส่งเสริมให้ครู<br />จัดสภาพแวดล้อมให้เอื้อการจัดการเรียนการสอนในยุคดิจิทัล จัดกิจกรรมให้ผู้เรียนได้เรียนรู้เพื่อประยุกต์ใช้กับชีวิตได้จริงในยุคดิจิทัล (3) ด้านการนิเทศการศึกษา ผู้บริหารควรดำเนินการนิเทศการศึกษาอย่างต่อเนื่อง ส่งเสริมการนิเทศเพื่อสะท้อนและปรับปรุงการทำงานให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น (4) ด้านการพัฒนาและ<br />ใช้สื่อเทคโนโลยีทางการศึกษา ผู้บริหารควรจัดหางบประมาณ จัดหาสื่อเทคโนโลยีที่ทันสมัย มาใช้ใน<br />การจัดการเรียนการสอนให้เพียงพอ</p>
2025-10-29T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารมณีเชษฐาราม วัดจอมมณี
https://so07.tci-thaijo.org/index.php/JMCR/article/view/7905
แนวทางการบริหารวิชาการเพื่อยกระดับผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ของโรงเรียนในสหวิทยาเขตศรีบูรพา สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาปราจีนบุรี นครนายก
2025-05-25T16:13:03+07:00
ศิวนันท์ อธิจันทรรัตน์
thestral1412@gmail.com
ปณต นามะวิโรจน์
thestral1412@gmail.com
<p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาการบริหารวิชาการเพื่อยกระดับผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของโรงเรียนในสหวิทยาเขตศรีบูรพา 2) เปรียบเทียบการบริหารวิชาการเพื่อยกระดับผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน จำแนกตามกลุ่มสาระการเรียนรู้ วุฒิการศึกษา ตำแหน่ง ประสบการณ์การทำงาน และขนาดโรงเรียน และ 3) ศึกษาแนวทางการบริหารวิชาการเพื่อยกระดับผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาปราจีนบุรี นครนายก กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ ผู้ทรงคุณวุฒิ จำนวน 5 คน และผู้บริหารสถานศึกษาและครูผู้สอน จำนวน 235 คน เครื่องมือที่ใช้ คือ แบบสัมภาษณ์และแบบสอบถามที่มีความตรงเชิงเนื้อหาระหว่าง .67 – 1.00 และค่าความเที่ยงเท่ากับ .93 สถิติที่ใช้ในวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การทดสอบ ค่าที การทดสอบความแตกต่างรายคู่แบบ LSD และการวิเคราะห์เนื้อหา</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า 1) การบริหารวิชาการเพื่อยกระดับผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน โดยรวมอยู่ ในระดับมาก โดยด้านที่มีค่าเฉลี่ยสูงสุด คือ ด้านการนิเทศการศึกษาเพื่อยกระดับผลสัมฤทธิ์ รองลงมา คือ ด้านการพัฒนาหลักสูตรและการวางแผนงานวิชาการ ด้านการวัด ประเมินผลและพัฒนาคุณภาพการศึกษา ด้านการพัฒนาสื่อ นวัตกรรม และเทคโนโลยีเพื่อยกระดับผลสัมฤทธิ์ ด้านการจัดการเรียนรู้เพื่อยกระดับผลสัมฤทธิ์ ตามลำดับ 2) การเปรียบเทียบความคิดเห็นของครูต่อการบริหารวิชาการเพื่อยกระดับผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน พบว่า กลุ่มสาระการเรียนรู้และตำแหน่ง มีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 ส่วนวุฒิการศึกษา ประสบการณ์การทำงาน และขนาดโรงเรียน ไม่แตกต่างกัน 3) แนวทางการบริหารวิชาการเพื่อยกระดับผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ประกอบด้วย ด้านการพัฒนาหลักสูตรและการวางแผนงานวิชาการ ด้านการจัดการเรียนรู้เพื่อยกระดับผลสัมฤทธิ์ ด้านการพัฒนาสื่อ นวัตกรรม และเทคโนโลยีเพื่อยกระดับผลสัมฤทธิ์ ด้านการนิเทศการศึกษาเพื่อยกระดับผลสัมฤทธิ์ และด้านการวัด ประเมินผลและพัฒนาคุณภาพการศึกษา</p>
2025-10-29T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารมณีเชษฐาราม วัดจอมมณี
https://so07.tci-thaijo.org/index.php/JMCR/article/view/8462
แรงจูงใจในการปฏิบัติงานของกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน อำเภอบางปะอิน จังหวัดพระนครศรีอยุธยา
2025-07-16T19:05:27+07:00
มนัสพร กลิ่นเจริญ
wkamonwan@aru.ac.th
กมลวรรณ วรรณธนัง
wkamonwan@aru.ac.th
<p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาแรงจูงใจในการปฏิบัติงานของกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน อำเภอบางปะอิน จังหวัดพระนครศรีอยุธยา และ 2) เพื่อเปรียบเทียบแรงจูงใจใน<br />การปฏิบัติงานของกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน อำเภอบางปะอิน จังหวัดพระนครศรีอยุธยา จำแนกตามปัจจัยส่วนบุคคล เป็นการวิจัยเชิงปริมาณ ประชากร ได้แก่ กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน อำเภอบางปะอิน จังหวัดพระนครศรีอยุธยา จำนวน 148 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ แบบสอบถาม ได้ค่าสัมประสิทธิ์ความเชื่อมั่น เท่ากับ 0.95 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การทดสอบค่าที และการวิเคราะห์ความแปรปรวนแบบทางเดียว</p> <p>ผลการวิจัย พบว่า 1) แรงจูงใจในการปฏิบัติงานของกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน อำเภอบางปะอิน จังหวัดพระนครศรีอยุธยา โดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก และ 2) กำนัน ผู้ใหญ่บ้านที่มีเพศแตกต่างกัน มีแรงจูงใจในการปฏิบัติงานด้านความสำเร็จในงานที่ทำของบุคคล ด้านการได้<br />การยอมรับนับถือ ด้านลักษณะของงานที่ปฏิบัติ ด้านความก้าวหน้าในหน้าที่การงาน ด้านสภาพแวดล้อมในการทำงาน และด้านผลตอบแทนในการปฏิบัติงานแตกต่างกัน กำนัน ผู้ใหญ่บ้านที่มีอายุ ระดับการศึกษา และสถานภาพแตกต่างกัน มีแรงจูงใจในการปฏิบัติงานด้านความสำเร็จในงาน<br />ที่ทำของบุคคล ด้านการได้การยอมรับนับถือ ด้านลักษณะของงานที่ปฏิบัติ ด้านความก้าวหน้า<br />ในหน้าที่การงาน และด้านสภาพแวดล้อมในการทำงานแตกต่างกัน และกำนัน ผู้ใหญ่บ้านที่มีระยะเวลาในการดำรงตำแหน่งแตกต่างกัน มีแรงจูงใจในการปฏิบัติงาน ด้านการได้การยอมรับนับถือ ด้านความก้าวหน้าในหน้าที่การงาน และด้านสภาพแวดล้อมในการทำงานแตกต่างกัน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ .05</p>
2025-10-29T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารมณีเชษฐาราม วัดจอมมณี
https://so07.tci-thaijo.org/index.php/JMCR/article/view/7803
AI ETHICS: จริยธรรมปัญญาประดิษฐ์สำหรับผู้บริหารสถานศึกษา
2025-05-16T16:37:48+07:00
นวรัตน์ ไวชมภู
navarat.wa@hu.ac.th
<p>ในยุคที่เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligence: AI) มีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนภาคการศึกษา ทั้งในด้านการเรียนการสอน การประเมินผล และการบริหารจัดการข้อมูล ผู้บริหารการศึกษาจึงต้องมีความเข้าใจอย่างลึกซึ้งต่อประเด็นจริยธรรมของ AI เพื่อป้องกันการละเมิดสิทธิ ความไม่เป็นธรรม และผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นต่อผู้เรียนและบุคลากรทางการศึกษา บทความนี้นำเสนอกรอบแนวคิด “AI Ethics” ตามแนวปฏิบัติของสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ ที่ประกอบด้วยหลักจริยธรรม 7 ประการ ได้แก่ ความเป็นส่วนตัว ความปลอดภัย ความไว้วางใจ ความเป็นธรรม ความโปร่งใส ความรับผิดชอบ และการมีมนุษย์เป็นศูนย์กลาง พร้อมทั้งจำแนกระดับความเสี่ยงของ AI ออกเป็น 4 ระดับ ได้แก่ ความเสี่ยงที่ไม่สามารถยอมรับได้ ความเสี่ยงสูง ความเสี่ยงจำกัด และความเสี่ยงต่ำ ซึ่งช่วยให้ผู้บริหารสามารถประเมินระบบ AI ก่อนนำมาใช้ในสถานศึกษาได้อย่างมีประสิทธิภาพ</p> <p>นอกจากนี้ บทความยังนำเสนอแนวปฏิบัติสำหรับผู้บริหารการศึกษา เช่น การจัดตั้งคณะกรรมการจริยธรรมเทคโนโลยี การอบรมบุคลากร การพัฒนาเกณฑ์วิเคราะห์ความเสี่ยง และการสื่อสารกับผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย รวมถึงข้อเสนอเชิงนโยบายระดับชาติ เพื่อให้การนำ AI มาใช้ในภาคการศึกษาไทยเป็นไปอย่างมีจริยธรรม โปร่งใส และยั่งยืนในระยะยาว</p>
2025-10-29T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารมณีเชษฐาราม วัดจอมมณี
https://so07.tci-thaijo.org/index.php/JMCR/article/view/7805
สัญลักษณ์แทนลักษณะเฉพาะของเศรษฐกิจบนฐานแนวคิดเศรษฐกิจหลากสี
2025-05-16T16:45:34+07:00
ถิรวุฒิ แสงมณีเดช
thirawut.article@gmail.com
กุลยา อนุโลก
thirawut.article@gmail.com
วรลักษณ์ ทองประยูร
thirawut.article@gmail.com
รัชนิดา รอดอิ้ว
thirawut.article@gmail.com
<p>บทความวิชาการฉบับนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาสัญลักษณ์แทนลักษณะเฉพาะของระบบเศรษฐกิจบนฐานแนวคิด “เศรษฐกิจหลากสี” ซึ่งสะท้อนพลวัตของเศรษฐกิจยุคใหม่ที่มีความซับซ้อน เชื่อมโยงหลากหลายมิติ ทั้งเศรษฐกิจ สังคม วัฒนธรรม และสิ่งแวดล้อม ปัญหาสำคัญ คือ กรอบการวิเคราะห์เศรษฐกิจแบบดั้งเดิมไม่สามารถอธิบายลักษณะเศรษฐกิจนอกระบบ เศรษฐกิจเชิงวัฒนธรรม หรือเศรษฐกิจด้านสิ่งแวดล้อมได้อย่างครอบคลุม แนวคิดเศรษฐกิจหลากสีจึงเป็นการเปิดมุมมองใหม่ผ่านการใช้สี เช่น สีเขียวแทนเศรษฐกิจยั่งยืน สีส้มแทนอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ สีชมพูสะท้อนเศรษฐกิจกลุ่มความหลากหลายทางเพศ สีน้ำตาลที่สะท้อนเศรษฐกิจนอกระบบและใต้ดิน ไปจนถึงสีเทา สีดำ ซึ่งจากการสังเคราะห์ทฤษฎี งานวิจัยที่เกี่ยวข้องและการทบทวนวรรณกรรมแสดงให้เห็นว่าบทบาทเชิงสัญลักษณ์ของสีต่าง ๆสามารถใช้เป็นกรอบการวิเคราะห์เชิงบูรณาการที่ตอบสนองต่อเป้าหมายความยั่งยืน ความเป็นธรรม และการพัฒนาแบบมีส่วนร่วมในสังคมไทย โดยเฉพาะในบริบทโลกหลังโควิด 19 อย่างไรก็ตาม การเปลี่ยนผ่านไปสู่เศรษฐกิจหลากสียังเผชิญข้อจำกัดเชิงโครงสร้าง ความเข้าใจของสาธารณชน และกลไกสนับสนุนที่ยังไม่เพียงพอ บทความนี้จึงเสนอให้นำแนวคิดนี้ไปประยุกต์ใช้ในเชิงนโยบายเพื่อออกแบบระบบเศรษฐกิจที่ครอบคลุมและยืดหยุ่นยิ่งขึ้นต่อความท้าทายของโลกยุคใหม่</p>
2025-10-29T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารมณีเชษฐาราม วัดจอมมณี
https://so07.tci-thaijo.org/index.php/JMCR/article/view/8094
ห้องน้ำในฐานะพื้นที่ทางเศรษฐศาสตร์การเมือง: วิภาษวิธีของการเข้าถึงทรัพยากรสาธารณะกับอัตลักษณ์ทางเพศ
2025-06-15T05:43:56+07:00
เชาวลิต สมพงษ์เจริญ
Dr.somchart2021@gmail.com
ถิรวุฒิ แสงมณีเดช
Dr.somchart2021@gmail.com
วิราวรรณ สมพงษ์เจริญ
Dr.somchart2021@gmail.com
สมชาติ เกตุพันธ์
somchartketpen1982@gmail.com
<p>บทความวิชาการนี้วิเคราะห์ "ห้องน้ำ" ในฐานะพื้นที่ที่มีความหมายเชิงเศรษฐศาสตร์การเมืองและเป็นสมรภูมิแห่งการต่อสู้เรื่องอัตลักษณ์ทางเพศ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อตรวจสอบความเชื่อมโยงระหว่างการจัดสรรทรัพยากรสาธารณะ (ห้องน้ำ) กับการนิยามและควบคุมอัตลักษณ์ทางเพศ เปรียบเทียบกฎหมายและแนวปฏิบัติในต่างประเทศกับประเทศไทย และเสนอองค์ความรู้ใหม่เชิงทฤษฎีวิพากษ์ การวิจัยใช้วิธีการวิเคราะห์เอกสาร การวิเคราะห์เชิงเปรียบเทียบ และการวิเคราะห์เชิงวิพากษ์ โดยประยุกต์ใช้แนวคิดของนักคิดคนสำคัญเช่น Foucault, Butler และทฤษฎีสตรีนิยมทางกฎหมาย</p> <p>ผลการศึกษาพบว่า ห้องน้ำไม่ได้เป็นเพียงสิ่งอำนวยความสะดวกด้านสุขอนามัย หากแต่เป็นพื้นที่ที่สะท้อนความสัมพันธ์เชิงอำนาจและความไม่สมดุลในสังคม การแบ่งแยกห้องน้ำตามเพศกำเนิดแบบทวิลักษณ์สะท้อนและผลิตซ้ำโครงสร้างอำนาจที่ไม่เท่าเทียม ก่อให้เกิดผลกระทบเชิงลบต่อบุคคลที่มีความหลากหลายทางเพศ โดยเฉพาะบุคคลข้ามเพศและบุคคลนอนไบนารี่ ทั้งในด้านสุขภาพจิต สุขภาพกาย และการมีส่วนร่วมทางสังคม การเปรียบเทียบกฎหมายชี้ให้เห็นว่าหลายประเทศมีความก้าวหน้าในการรับรองสิทธิและจัดทำห้องน้ำที่ครอบคลุม ขณะที่ประเทศไทยยังเผชิญความท้าทายทั้งในเชิงกฎหมายและทัศนคติทางสังคม</p>
2025-10-29T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารมณีเชษฐาราม วัดจอมมณี
https://so07.tci-thaijo.org/index.php/JMCR/article/view/8543
การจัดการเชิงพุทธกับงานบัญชีของวัด : แนวทางพุทธบัญชี เพื่อความโปร่งใสและยั่งยืน
2025-07-21T10:11:57+07:00
พระปลัดณพงษกร กนฺตวณฺโณ (ปิ่นทอง)
saokum.sai@mcu.ac.th
พระสมุห์อาคม อาคมธีโร (กุญแจนาค)
Saokum.sai@mcu.ac.th
<p>วัดในพระพุทธศาสนาเป็นนิติบุคคลตามกฎหมาย ดังนั้น กิจการและทรัพย์สินของนิติบุคคล ผู้มีหน้าที่รับผิดชอบในการปกครองดูแล ก็คือ เจ้าอาวาสจะต้องดำเนินการจัดให้ไวยาวัจกรหรือผู้จัดประโยชน์ของวัดซึ่งเจ้าอาวาสแต่งตั้งทำบัญชีรับจ่ายเงินของวัด และเมื่อสิ้นปีปฏิทินให้ทำบัญชีเงินรับจ่ายและคงเหลือ ทั้งนี้ ให้เจ้าอาวาสตรวจตราดูแลให้เป็นไป โดยเรียบร้อยและถูกต้อง แต่ปัญหาที่เกิดขึ้นบ่อยครั้งยังขาดระบบบัญชีที่เป็นมาตรฐานและชัดเจน พระภิกษุขาดความรู้ด้านการบัญชีและการบริหารจัดการ ขาดบุคลากรสนับสนุนที่มีความเชี่ยวชาญ และขาดการมีส่วนร่วมของญาติโยมในการตรวจสอบ จึงเป็นปัจจัยที่ต้องนำหลัก “พุทธบัญชี” เข้ามาช่วยบริหารจัดการ โดยการพัฒนาคุณธรรมและความสามารถของผู้ปฏิบัติงาน สร้างความร่วมมือและบรรยากาศที่ดีในการทำงาน รวมทั้งปลูกฝังทัศนคติที่ดีในการทำงาน เน้นความรักในงาน ความขยันเอาใจใส่ และการใช้ปัญญาวิเคราะห์งานอย่างรอบคอบ เพื่อรักษาคุณภาพและความโปร่งใสของข้อมูลบัญชี การบริหารงานที่สมดุลทั้งด้านคุณธรรมและประสิทธิภาพการน้อมนำหลักธรรมทั้งสามมาใช้ช่วยให้การจัดการบัญชีวัดเป็นระบบ มีธรรมาภิบาล โปร่งใส และสามารถตรวจสอบได้ ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญต่อความยั่งยืนในระยะยาว ดังนั้นด้วยแนวทางที่กล่าวมาจึงนำมาสู่ผลลัพธ์ของการทำบัญชีเชิงพุทธ งานบัญชีที่ยั่งยืนสร้างความไว้วางใจในชุมชน เสริมสร้างความน่าเชื่อถือของวัด และสนับสนุนการบริหารจัดการทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพและเป็นธรรม</p>
2025-10-29T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารมณีเชษฐาราม วัดจอมมณี