https://so07.tci-thaijo.org/index.php/JMCR/issue/feed วารสารมณีเชษฐาราม วัดจอมมณี 2025-04-29T00:00:00+07:00 พระมหาฐิติวัสส์ หมั่นกิจ, ดร. thitiwattano@gmail.com Open Journal Systems <p>วารสารมณีเชษฐาราม วัดจอมมณี (Journal of Mani Chettha Ram Wat Chommani) <br />เลขมาตรฐาน P-ISSN : 2774-0455 (Print): 2774-0455 (Print) E-ISSN : 2774-0978 (Online)<br />เป็นวารสารในกลุ่มมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ </p> <p> </p> https://so07.tci-thaijo.org/index.php/JMCR/article/view/6772 ภาวะผู้นำทางวิชาการของผู้บริหารสถานศึกษาที่ส่งผลต่อการเป็นองค์การแห่งการเรียนรู้ในสถานศึกษา สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา ประถมศึกษาจันทบุรี เขต 1 2025-02-26T16:49:01+07:00 สุทธาทิพย์ เขียวชะอุ่ม suttatipk92@gmail.com ชัยฤทธิ์ แสงสว่าง noyakip@gmail.com ประทุมทอง ไตรรัตน์ noyakip@gmail.com <p>งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาระดับภาวะผู้นำทางวิชาการของผู้บริหารสถานศึกษา 2) ศึกษาระดับการเป็นองค์การแห่งการเรียนรู้ของสถานศึกษา 3) ศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างภาวะผู้นำทางวิชาการของผู้บริหารที่ส่งผลต่อการเป็นองค์การแห่งการเรียนรู้ และ 4) สร้างสมการพยากรณ์ภาวะผู้นำทางวิชาการของผู้บริหารที่ส่งผลต่อการเป็นองค์การแห่งการเรียนรู้ กลุ่มตัวอย่างคือครูในโรงเรียนประถมศึกษาสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาจันทบุรี เขต 1 จำนวน 306 คน กำหนดขนาดกลุ่มตัวอย่างตามตารางของเครจซี่และมอร์แกน ใช้วิธีสุ่มตัวอย่างแบบง่ายและเทียบบัญญัติไตรยางค์ เครื่องมือวิจัยเป็นแบบสอบถาม มีค่าความเชื่อมั่น 0.996 วิเคราะห์ข้อมูลด้วยค่าความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์แบบเพียร์สัน และการวิเคราะห์การถดถอยพหุคูณ</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า 1) ภาวะผู้นำทางวิชาการของผู้บริหารอยู่ในระดับมาก 2) องค์การแห่งการเรียนรู้ในสถานศึกษาอยู่ในระดับมาก 3) ภาวะผู้นำทางวิชาการของผู้บริหารมีความสัมพันธ์เชิงบวกกับองค์การแห่งการเรียนรู้อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 และ 4) สมการพยากรณ์ภาวะผู้นำทางวิชาการสามารถอธิบายการเป็นองค์การแห่งการเรียนรู้ได้ร้อยละ 92.2 โดยมีค่าความคลาดเคลื่อนมาตรฐาน 0.234 อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01</p> 2025-04-14T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2025 วารสารมณีเชษฐาราม วัดจอมมณี https://so07.tci-thaijo.org/index.php/JMCR/article/view/6786 ความสัมพันธ์ของการบริหารแบบมีส่วนร่วมกับการทำงานเป็นทีมของครูในสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสระแก้ว เขต 1 2025-02-26T17:32:15+07:00 ผกากรอง ศรีอริยานนท์ pakakrong.sria@northbkk.ac.th อุษาพร กลิ่นเกษร usaporn.kl@northbkk.ac.th <p>การวิจัยมีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) เพื่อศึกษาการบริหารแบบมีส่วนร่วมของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสระแก้ว เขต 1 2) เพื่อศึกษาการทำงานเป็นทีมของครูในสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสระแก้ว เขต 1 และ 3) เพื่อศึกษาความสัมพันธ์ของการบริหารแบบมีส่วนร่วมของผู้บริหารสถานศึกษากับการทำงานเป็นทีมของครูในสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสระแก้ว เขต 1 กลุ่มตัวอย่าง คือ ครูในสถานศึกษาสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสระแก้ว เขต 1 จำนวน 302 คน โดยการสุ่มกลุ่มตัวอย่างแบบชั้นภูมิ ตามขนาดสถานศึกษา และทำการสุ่มอย่างง่ายจากโรงเรียนแต่ละขนาด ซึ่งเก็บรวบรวมข้อมูลโดยใช้แบบสอบถาม เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยเป็นแบบสอบถามที่ผู้วิจัยสร้างขึ้น วิเคราะห์ข้อมูล โดยใช้สถิติ ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์แบบเพียร์สัน</p> <p> ผลการวิจัย พบว่า 1.การบริหารแบบมีส่วนร่วม สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสระแก้ว เขต 1 โดยรวมอยู่ในระดับมาก (x̄= 3.87,S.D. =0.50) เมื่อพิจารณาเป็นรายด้าน พบว่า อยู่ในระดับมากทุกด้าน ตามลำดับ ดังนี้ 1) ด้านความมีอิสระในการปฏิบัติงาน (x̄ = 3.89, S.D. = 0.53) 2) ด้านการกำหนดเป้าหมายและวัตถุประสงค์ของงาน (x̄ = 3.88, S.D. =0.55) 3) ด้านการมีส่วนร่วมในการประเมิน (x̄ = 3.88,S.D. = 0.55) 4) ด้านการมีส่วนร่วมในการตัดสินใจ (x̄ = 3.88, S.D. = 0.57) 5) ด้านความยึดมั่นผูกพัน (x̄ = 3.85, S.D. = 0.58) และ 6) ด้านการไว้วางใจ (x̄ = 3.84, S.D. = 0.58) 2.การทำงานเป็นทีมของครูในสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสระแก้ว เขต 1 โดยรวมอยู่ในระดับมาก (x̄ = 3.91, S.D. = 0.54) เมื่อพิจารณาเป็นรายด้าน พบว่า อยู่ในระดับมากทุกด้าน ตามลำดับ ดังนี้1) ด้านวัตถุประสงค์ที่ชัดเจนและเป้าหมายที่เห็นพ้องต้องกัน (x̄ = 4.00, S.D. = 0.56) 2) ด้านการปฏิบัติงานที่ชัดเจน (x̄ = 3.93, S.D. = 0.59) 3)ด้านการมีมนุษยสัมพันธ์ (x̄ = 3.93, S.D. = 0.60) 4) ด้านการตัดสินใจร่วมกัน (x̄ = 3.92, S.D. = 0.58) 5) ด้านการติดต่อสื่อสาร (x̄ = 3.89, S.D. = 0.59) และ 6) ด้านความไว้วางใจกัน (x̄ = 3.80, S.D. = 0.63) 3.ความสัมพันธ์ของการบริหารแบบมีส่วนร่วมกับการทำงานเป็นทีมของครูในสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสระแก้ว เขต 1 โดยรวมพบว่ามีความสัมพันธ์ในระดับสูงและเป็นไปในทิศทางบวก (r= 0.84) อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 </p> 2025-04-14T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2025 วารสารมณีเชษฐาราม วัดจอมมณี https://so07.tci-thaijo.org/index.php/JMCR/article/view/6779 แนวทางการรู้ดิจิทัลของผู้บริหารสถานศึกษาใหม่ สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาอุดรธานี เขต 3 2025-02-26T17:09:00+07:00 พิทยา เขียวดวงดี 66120605227@udru.ac.th คณิศร จี้กระโทก 66120605227@udru.ac.th นวัตกร หอมสิน 66120605227@udru.ac.th ธีระพล เพ็งจันทร์ 66120605227@udru.ac.th <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาสภาพปัจจุบัน สภาพที่พึงประสงค์ และความต้องการจำเป็นของการรู้ดิจิทัลของผู้บริหารสถานศึกษาใหม่ และ 2) พัฒนาแนวทางการรู้ดิจิทัลของผู้บริหารสถานศึกษาใหม่ สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาอุดรธานี เขต 3 โดยใช้ระเบียบวิธีวิจัยแบบผสมผสาน แบ่งเป็น 2 ระยะ ระยะที่ 1 ศึกษาสภาพปัจจุบันและสภาพที่พึ่งประสงค์ กลุ่มเป้าหมาย คือ ผู้บริหารสถานศึกษาใหม่ จำนวน 30 คน โดยการเลือกแบบเจาะจง เครื่องมือที่ใช้เป็นแบบสอบถามมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ มีค่า IOC อยู่ระหว่าง 0.70 - 1.00 มีความเชื่อมั่น เท่ากับ 0.98 ระยะที่ 2 ใช้วิธีการประชุมกลุ่มผู้เชี่ยวชาญ จำนวน 12 คน โดยการเลือกแบบเจาะจง เครื่องมือเป็นแบบบันทึกการประชุมกลุ่มผู้เชี่ยวชาญวิเคราะห์และสังเคราะสร้างข้อสรุปจากเนื้อหาที่ได้</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า 1) สภาพปัจจุบันโดยรวมอยู่ในระดับมากและสภาพที่พึงประสงค์โดยรวมอยู่ในระดับมากที่สุด ค่าความต้องการจำเป็นโดยรวมอยู่ระหว่าง 0.277 – 0.370 2) แนวทางการรู้ดิจิทัลของผู้บริหารสถานศึกษาใหม่ สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาอุดรธานี เขต 3 ซึ่งประกอบด้วย 5 ด้าน จำนวน 36 แนวทาง ดังนี้ ด้านการสร้าง มีจำนวน 8 แนวทาง ด้านการใช้งาน มีจำนวน 8 แนวทาง ด้านการเข้าใจ มีจำนวน 6 แนวทาง ด้านการเข้าถึง มีจำนวน 7 แนวทาง และ ด้านการรู้สารสนเทศ มีจำนวน 7 แนวทาง</p> 2025-04-14T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2025 วารสารมณีเชษฐาราม วัดจอมมณี https://so07.tci-thaijo.org/index.php/JMCR/article/view/6813 สภาพและปัญหาการดำเนินงานในงานการเงินและบัญชี มหาวิทยาลัยพะเยา 2025-02-27T17:20:59+07:00 รุจิรา ลายสาน ruchira_amp27@hotmail.com โสภา อำนวยรัตน์ ruchira_amp27@hotmail.com <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา 1) สภาพการดำเนินงานในงานการเงินและบัญชี มหาวิทยาลัยพะเยา 2) ปัญหาการดำเนินงานในงานการเงินและบัญชี มหาวิทยาลัยพะเยา 3) ข้อเสนอแนะการพัฒนาการดำเนินงานในงานการเงินและบัญชี มหาวิทยาลัยพะเยา ประชากรที่ใช้ในการวิจัย คือ หัวหน้างานบริหารทั่วไป และบุคลากรสายสนับสนุนที่ปฏิบัติงานในงานการเงินและบัญชี จากทั้งหมด 18 คณะ จำนวน 36 คน เครื่องมือที่ใช้เป็นแบบสอบถามแบบมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ มีค่าดัชนีความสอดคล้องระหว่าง 0.67-1.00 และค่าความเชื่อมั่นเท่ากับ 0.977 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ค่าร้อยละ และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน</p> <p> ผลการวิจัย พบว่า 1) ผลการศึกษาสภาพการดำเนินงานในงานการเงินและบัญชี โดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก เมื่อพิจารณาเป็นรายด้าน พบว่า ด้านที่มีค่าเฉลี่ยสูงสุด คือ ด้านงานบัญชีเจ้าหนี้ รองลงมา คือ ด้านงานการเงินรับ ด้านที่มีค่าเฉลี่ยต่ำสุด คือ ด้านงานการเงินจ่าย 2) ผลการศึกษาปัญหาการดำเนินงานในงานการเงินและบัญชี โดยรวมอยู่ในระดับน้อย เมื่อพิจารณาเป็นรายด้าน พบว่า ด้านที่มีค่าเฉลี่ยสูงสุด คือ ด้านงานการเงินจ่าย รองลงมา คือ ด้านงานการเงินรับ และด้านที่มีค่าเฉลี่ยต่ำสุด คือ ด้านงานบัญชีเจ้าหนี้ 3) ผลการศึกษาข้อเสนอแนะการพัฒนาการดำเนินงานในงานการเงินและบัญชี ด้านงานการเงินรับ ด้านงานการเงินจ่าย ด้านงานบัญชี และด้านงานบัญชีเจ้าหนี้ พบว่า ควรมีการจัดทำและเผยแพร่คู่มือการปฏิบัติงานทุกด้าน</p> 2025-04-14T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2025 วารสารมณีเชษฐาราม วัดจอมมณี https://so07.tci-thaijo.org/index.php/JMCR/article/view/6812 ความสัมพันธ์ระหว่างภาวะผู้นำเชิงกลยุทธ์ของผู้บริหารสถานศึกษา กับการบริหารงานวิชาการของสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาพะเยา เขต 1 2025-02-27T17:25:46+07:00 ธีรภัทร ผลทอง teerapat.phonthong211@gmail.com โสภา อำนวยรัตน์ Teerapat.phonthong211@gmail.com <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาระดับภาวะผู้นำเชิงกลยุทธ์ของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาพะเยา เขต 1 2) เพื่อศึกษาระดับการบริหารงานวิชาการของสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาพะเยา เขต 1 และ 3) เพื่อศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างภาวะผู้นำเชิงกลยุทธ์ของผู้บริหารสถานศึกษากับการบริหารงานวิชาการของสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาพะเยา เขต 1 กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย คือ ครูผู้สอนในสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาพะเยา เขต 1 จำนวน 242 คน กำหนดกลุ่มตัวอย่างด้วยตารางสำเร็จรูปของเครจซี่และมอร์แกน ใช้วิธีการสุ่มกลุ่มตัวอย่างแบบแบ่งชั้น โดยใช้กลุ่มโรงเรียนตามอำเภอเป็นเกณฑ์ กำหนดสัดส่วนตามขนาดของกลุ่มประชากร เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยเป็นแบบสอบถามมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ มีค่าดัชนีความสอดคล้องเท่ากับ 1.00 และมีค่าความเชื่อมั่นเท่ากับ0.97 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการวิเคราะห์ค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ของเพียร์สัน</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1) ระดับภาวะผู้นำเชิงกลยุทธ์ของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาพะเยา เขต 1 โดยรวมทุกด้านอยู่ในระดับมาก 2) ระดับการบริหารงานวิชาการของสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาพะเยา เขต 1 โดยรวมทุกด้านอยู่ในระดับมาก และ 3) ความสัมพันธ์ระหว่างภาวะผู้นำเชิงกลยุทธ์ของผู้บริหารสถานศึกษากับการบริหารงานวิชาการของสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาพะเยา เขต 1 โดยภาพรวมมีความสัมพันธ์ทางบวกในระดับสูงอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 ผลการวิจัยนี้สามารถนำไปใช้เป็นแนวทางสำหรับการพัฒนาวิชาชีพเฉพาะทาง เพื่อเสริมสร้างทักษะภาวะผู้นำเชิงกลยุทธ์ให้แก่ผู้บริหารสถานศึกษา <br />ซึ่งจะนำไปสู่การเพิ่มประสิทธิผลในการบริหารงานวิชาการในสถานศึกษา</p> 2025-04-14T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2025 วารสารมณีเชษฐาราม วัดจอมมณี https://so07.tci-thaijo.org/index.php/JMCR/article/view/6808 สมรรถนะของผู้บริหารในการบริหารสถานศึกษายุคดิจิทัล สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงราย เขต 2 2025-02-27T17:32:35+07:00 ธนัท อัศวมงคล tanat722@gmail.com โสภา อำนวยรัตน์ tanat722@gmail.com <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาสมรรถนะของผู้บริหารสถานศึกษายุคดิจิทัล สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงราย เขต 2 และ 2) เพื่อเปรียบเทียบความสมรรถนะของผู้บริหารในการบริหารสถานศึกษายุคดิจิทัลสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงราย เขต 2 จำแนกตามเพศ อายุและประสบการณ์การทำงาน กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ ครูในสถานศึกษาสังกัดสำสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงราย เขต 2 จำนวน 302 คน โดยวิธีเลือกแบบสุ่มแบบแบ่งชั้นใช้ตารางสำเร็จรูปของเครจซี่และมอร์แกน เครื่องมือที่ใช้เป็นแบบสอบถามแบบมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ มีค่าดัชนีความสอดคล้องเท่ากับ 1.00 มีค่าความเชื่อมั่นเท่ากับ 0.98 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ ได้แก่ การแจกแจงความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การทดสอบค่าที การทดสอบค่าเอฟ และวิเคราะห์ความแปรปรวนทางเดียว</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า 1) ระดับสมรรถนะของผู้บริหารในการบริหารสถานศึกษายุคดิจิทัล สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงราย เขต 2 โดยรวมอยู่ในระดับมาก 2) ผลการเปรียบเทียบสมรรถนะของผู้บริหารในการบริหารสถานศึกษายุคดิจิทัล สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงราย เขต 2 จำแนกตามเพศ พบว่า ไม่แตกต่าง สมรรถนะของผู้บริหารในการบริหารสถานศึกษายุคดิจิทัล สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงราย เขต 2 จำแนกช่วงอายุ และ ประสบการณ์ทำงาน พบว่า แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05</p> 2025-04-14T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2025 วารสารมณีเชษฐาราม วัดจอมมณี https://so07.tci-thaijo.org/index.php/JMCR/article/view/6807 อิทธิพลของคุณภาพชีวิตในการทำงานที่มีผลต่อความผูกพันในองค์การชองธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตรจังหวัดขอนแก่น 2025-02-27T17:38:44+07:00 รวัฒน์ มันทรา rawat.man@lru.ac.th เยาว์ธิดา รัตนพลแสน rawat.man@ac.th วนันพรณ์ ชื่นพิบูลย์ rawat.man@ac.th นริศรา ธรรมรักษา rawat.man@ac.th สัญญา เนียมเปรม rawat.man@ac.th <p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาระดับคุณภาพชีวิตในการทำงานของพนักงาน ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร จังหวัดขอนแก่น 2) เพื่อศึกษาระดับความผูกพันของพนักงานที่มีต่อองค์การ ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร จังหวัดขอนแก่น และ 3) เพื่อเปรียบเทียบระดับความผูกพันของพนักงานที่มีต่อองค์การ ธนาคารเพื่อการเกษตร และสหกรณ์การเกษตร จังหวัดขอนแก่น การศึกษาครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงปริมาณ โดยใช้ข้อมูลจากกลุ่มประชากรของพนักงานธนาคารเพื่อการเกษตร และสหกรณ์การเกษตร จังหวัดขอนแก่น จำนวน 190 คน เครื่องมือที่ใช้คือ แบบสอบถาม สถิติที่ใช้ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การทดสอบค่าสถิติที และ ค่าสถิติเอฟ</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า</p> <ol> <li>คุณภาพชีวิตในการทำงานของพนักงานธนาคารเพื่อการเกษตร และสหกรณ์การเกษตร จังหวัดขอนแก่น ด้านต่าง ๆ โดยภาพรวม มีระดับความคิดเห็นอยู่ในระดับมาก <br />เมื่อพิจารณาเป็นรายด้าน พบว่า ด้านที่มีค่าเฉลี่ยมากที่สุดคือ ด้านโอกาสในการพัฒนาความสามารถของบุคคล รองลงมา คือ ด้านการกำหนดความรู้ และ ด้านที่มีค่าเฉลี่ยต่ำที่สุดคือ ด้านสภาพแวดล้อมการทำงานที่ปลอดภัย</li> <li>ความผูกพันของพนักงานที่มีต่อองค์การ ของธนาคารเพื่อการเกษตร และสหกรณ์การเกษตร จังหวัดขอนแก่น ด้านต่าง ๆ โดยภาพรวม มีระดับความคิดเห็นอยู่ในระดับมาก <br />เมื่อพิจารณาเป็นรายด้าน พบว่า ด้านที่มีค่าเฉลี่ยมากที่สุดคือ ด้านความเต็มใจที่จะทุ่มเท<br />ความพยายาม เพื่อองค์การ รองลงมาคือ ด้านความสมดุลระหว่างงานกับชีวิตส่วนตัว ส่วนด้าน<br />ที่มีค่าเฉลี่ยต่ำที่สุด คือ ความเป็นสมาชิกภาพในองค์การคม</li> <li>ผลการวิเคราะห์ข้อมูลการเปรียบเทียบความคิดเห็นความผูกพันของพนักงานที่มีต่อองค์การของพนักงานธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร จังหวัดขอนแก่น จำแนกตามเพศ สถานภาพ ระดับการศึกษา และรายได้ต่อเดือน พบว่า ทุกด้านไม่แตกต่าง จึงปฏิเสธสมมติฐานที่ตั้งไว้ ส่วนจำแนกตามอายุ ด้านคุณธรรม ด้านความเต็มใจที่จะทุ่มเทความพยายามเพื่อองค์การ และด้านความเป็นสมาชิกภาพในองค์การ พบว่า แตกต่างกัน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 ซึ่งเป็นไปตามสมมติฐานที่ตั้งไว้</li> </ol> 2025-04-14T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2025 วารสารมณีเชษฐาราม วัดจอมมณี https://so07.tci-thaijo.org/index.php/JMCR/article/view/6782 แนวทางการพัฒนาโรงเรียนในฐานะชุมชนแห่งการเรียนรู้ ของโรงเรียนขยายโอกาสทางการศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาอุดรธานี 2025-02-26T17:13:50+07:00 ธนพัฒน์ พิมพรภิรมย์ 66120605204@udru.ac.th นวัตกร หอมสิน 66120605204@udru.ac.th ธีระพล เพ็งจันทร์ 66120605204@udru.ac.th <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาสภาพปัจจุบัน สภาพที่พึงประสงค์และความต้องการจำเป็น และ 2) เพื่อศึกษาแนวทางการพัฒนาโรงเรียนในฐานะชุมชนแห่งการเรียนรู้ของโรงเรียนขยายโอกาสทางการศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาอุดรธานี โดยใช้ระเบียบวิธีวิจัยแบบผสมผสาน แบ่งออกเป็น 2 ระยะ คือ ระยะที่ 1 ศึกษาสภาพปัจจุบันและสภาพที่พึ่งประสงค์ กลุ่มตัวอย่างเป็นกลุ่มผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย คือ ผู้อำนวยการสถานศึกษา ครู คณะกรรมการสถานศึกษา และผู้ปกครองหรือชุมชน จำนวน 264 คน โดยได้มาจากการสุ่มแบบหลายขั้นตอน เครื่องมือที่ใช้เป็นแบบสอบถามมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ ทำการวิเคราะห์ข้อมูลโดยการหาความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน มีความเชื่อมั่นเท่ากับ 0.98 ระยะที่ 2 หาแนวทาง โดยการเลือกแบบเจาะจง กลุ่มผู้ให้ข้อมูล จำนวน 12 คน วิเคราะห์ข้อมูลด้วยกระบวนการหาฉันทามติแบบพหุลักษณ์ ผลการวิจัยพบว่า</p> <p> 1) สภาพปัจจุบันโดยรวมอยู่ในระดับปานกลาง สภาพที่พึงประสงค์โดยรวมอยู่ในระดับมากที่สุด ค่าความต้องการจำเป็นโดยรวมอยู่ระหว่าง 0.663 – 0.711 และ 2) แนวทางการพัฒนาโรงเรียนในฐานะชุมชนแห่งการเรียนรู้ของโรงเรียนขยายโอกาสทางการศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาอุดรธานี คือ (1) วิสัยทัศน์ คือ นักเรียนได้เรียนรู้ร่วมกัน ครูเรียนรู้ร่วมกันเพื่อพัฒนาวิชาชีพตน ผู้ปกครองและชุมชนมีส่วนร่วมให้ความร่วมมือกันปฏิรูปโรงเรียน (2) ปรัชญา คือ ปรัชญาว่าด้วยความเป็นสาธารณะ ปรัชญาว่าด้วยประชาธิปไตย ปรัชญาว่าด้วยความเสมอภาค ปรัชญาว่าด้วยความเป็นเลิศ และ (3) ระบบกิจกรรม คือ การเรียนรู้แบบร่วมมือร่วมพลังในห้องเรียน การสร้างความเป็นเพื่อนร่วมงานในห้องพักครู การเข้าร่วมเรียนรู้ของผู้ปกครองและชุมชนท้องถิ่น</p> 2025-04-14T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2025 วารสารมณีเชษฐาราม วัดจอมมณี https://so07.tci-thaijo.org/index.php/JMCR/article/view/6785 ความสัมพันธ์ระหว่างการใช้อำนาจของผู้บริหารกับขวัญกำลังใจในการปฏิบัติงานของครู สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาฉะเชิงเทรา เขต 1 2025-02-26T17:26:20+07:00 จารุวรรณ ขันทะวิเศษ jaruwan.kant@northbkk.ac.th อุษาพร กลิ่นเกษร jaruwan.kant@northbkk.ac.th <p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาการใช้อำนาจของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาฉะเชิงเทรา เขต 1 2) เพื่อศึกษาขวัญกำลังใจในการปฏิบัติงานของครูในสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาฉะเชิงเทรา เขต 1 และ 3) เพื่อศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างการใช้อำนาจของผู้บริหารกับขวัญกำลังใจในการปฏิบัติงานของครู สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาฉะเชิงเทรา เขต 1 กลุ่มตัวอย่าง คือ ครูในสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาฉะเชิงเทรา เขต 1 ปีการศึกษา 2567 จำนวน 309 คน ได้มาโดยวิธีการสุ่มแบบแบ่งชั้นภูมิ โดยกำหนดขนาดโรงเรียนเป็นชั้นภูมิ และสุ่มอย่างง่าย เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูลคือ แบบสอบถาม สถิติที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการวิเคราะห์สัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ของเพียร์สัน</p> <p> ผลการวิจัย พบว่า 1) การใช้อำนาจของผู้บริหาร สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาฉะเชิงเทรา เขต 1 ในภาพรวมและรายด้านอยู่ในระดับมาก ด้านที่มีระดับค่าเฉลี่ยสูงสุด คือ ด้านอำนาจการให้รางวัล 2) ขวัญกำลังใจในการปฏิบัติงานของครู สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาฉะเชิงเทรา เขต 1 ในภาพรวมและรายด้านอยู่ในระดับมาก ด้านที่มีระดับค่าเฉลี่ยสูงสุด คือ ด้านความสัมพันธ์ระหว่างบุคคล และด้านความก้าวหน้าในหน้าที่การงาน 3) ความสัมพันธ์ระหว่างการใช้อำนาจของผู้บริหารกับขวัญกำลังใจในการปฏิบัติงานของครู สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาฉะเชิงเทรา เขต 1มีความสัมพันธ์ทางบวกในระดับสูง อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ ระดับ .01 (r = 0.97) โดยเรียงลำดับสูงสุดไปต่ำสุด คือ ด้านอำนาจการให้รางวัล ด้านอำนาจตามกฎหมาย ด้านอำนาจความเชี่ยวชาญด้านอำนาจอ้างอิง และด้านอำนาจการบังคับบัญชา</p> 2025-04-14T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2025 วารสารมณีเชษฐาราม วัดจอมมณี https://so07.tci-thaijo.org/index.php/JMCR/article/view/6717 กลยุทธ์การพัฒนาภาวะผู้นำเชิงสร้างสรรค์ของผู้บริหารสถานศึกษาในการเสริมสร้างความเป็นองค์กรสมรรถนะสูงของสถานศึกษา กลุ่มเมืองฉะเชิงเทรา 2 สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาฉะเชิงเทรา เขต 1 2025-02-26T11:09:02+07:00 กนกลักษณ์ วงษ์วิวัฒนาวุฒิ nidty.kanokrak@gmail.com ประทุมทอง ไตรรัตน์ Nidty_kanokrak@gmail.com <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาระดับภาวะผู้นำเชิงสร้างสรรค์ของผู้บริหารสถานศึกษาในการเสริมสร้างความเป็นองค์กรสมรรถนะสูงของสถานศึกษากลุ่มเมืองฉะเชิงเทรา 2 สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาฉะเชิงเทรา เขต 1 2) เพื่อศึกษาความต้องการจำเป็นของการพัฒนาภาวะผู้นำเชิงสร้างสรรค์ของผู้บริหารสถานศึกษาในการเสริมสร้างความเป็นองค์กรสมรรถนะสูงของสถานศึกษา และ 3) เพื่อนำเสนอกลยุทธ์การพัฒนาภาวะผู้นำเชิงสร้างสรรค์ผู้ของผู้บริหารสถานศึกษาในการเสริมสร้างความเป็นองค์กรสมรรถนะสูงของสถานศึกษา กลุ่มเมืองฉะเชิงเทรา 2 สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาฉะเชิงเทรา เขต 1 กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ ผู้บริหารสถานศึกษา และครู จำนวน 150 คน โดยวิธีการสุ่มอย่างง่าย กำหนดขนาดกลุ่มตัวอย่างโดยใช้ตารางของเครจซี่และมอร์แกน เครื่องมือที่ใช้ คือแบบสอบถาม สถิติที่ใช้ได้แก่ การหาร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และค่าดัชนีความต้องการจำเป็น</p> <p>ผลการวิจัย พบว่า 1) ภาวะผู้นำเชิงสร้างสรรค์ผู้ของผู้บริหารสถานศึกษาในการเสริมสร้างความเป็นองค์กรสมรรถนะสูงของสถานศึกษา ในภาพรวมอยู่ในระดับมาก ( <strong> </strong>= 3.60, S.D = 0.78) 2) ความต้องการจำเป็นของผู้นำเชิงสร้างสรรค์ผู้ของผู้บริหารสถานศึกษา พบว่า ด้านความคิดสร้างสรรค์และด้านวิสัยทัศน์ อยู่ในกลุ่มสูงเป็นจุดอ่อน ด้านความยืดหยุ่น และด้านคำนึงถึงความเป็นปัจเจกบุคคล อยู่ในกลุ่มสูงเป็นจุดอ่อน และความต้องการจำเป็น (PNI<sub>modified</sub> =0.307) ความเป็นองค์กรสมรรถนะสูงของสถานศึกษา พบว่า สภาพปัจจุบัน อยู่ในระดับมาก ( = 3.521, S.D = 0.837) และความต้องการจำเป็น (PNI<sub>modified</sub> =0.354) และ3) กลยุทธ์การพัฒนาผู้นำประกอบด้วย 2 กลยุทธ์หลัก 4 กลยุทธ์รอง ดังนี้ 1) พัฒนาทักษะความคิดสร้างสรรค์และความสามารถในการสร้างวัฒนธรรมองค์กรที่สนับสนุนความเป็นองค์กรสมรรถนะสูง 2) พัฒนาทักษะความสามารถการสร้างความได้เปรียบในการแข่งขันและบรรลุความเป็นองค์กรสมรรถนะสูง</p> 2025-04-14T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2025 วารสารมณีเชษฐาราม วัดจอมมณี https://so07.tci-thaijo.org/index.php/JMCR/article/view/6735 การมีส่วนร่วมของประชาชนในการพัฒนาชุมชนขององค์การบริหารส่วนตำบลกุดธาตุอำเภอหนองนาคำ จังหวัดขอนแก่น 2025-02-26T16:40:11+07:00 ปาณิสรา สมีแจ้ง pnpanisarasameechang@gmail.com โกศล สอดส่อง pnpanisarasameechang@gmail.com <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา 1) การมีส่วนร่วมของประชาชนในการพัฒนาชุมชน ขององค์การบริหารส่วนตำบลกุดธาตุ 2) เปรียบเทียบระดับการมีส่วนร่วมของประชาชนในการพัฒนาชุมชนขององค์การบริหารส่วนตำบลกุดธาตุ ที่จําแนกตาม เพศ อายุ ระดับการศึกษา และอาชีพ และ 3) เสนอแนวทางในการมีส่วนร่วมของประชาชนในการพัฒนาชุมชนขององค์การบริหารส่วนตำบลกุดธาตุ กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการศึกษาวิจัยครั้งนี้ คือประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้งที่อาศัยอยู่ในเขตพื้นที่ขององค์การบริหารส่วนตำบลกุดธาตุ จำนวน 384 คน ด้วยการใช้สูตรของ Yamane เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมเป็นแบบสอบถาม สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ คือ จำนวน ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน และวิเคราะห์ข้อมูล ทดสอบสมมติฐาน โดยใช้สถิติค่าที (t-test) และใช้สถิติเอฟ (f-test)</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า</p> <ol> <li>การมีส่วนร่วมของประชาชนในการพัฒนาชุมชนขององค์การบริหารส่วนตำบลกุดธาตุ อำเภอหนองนาคำ จังหวัดขอนแก่น โดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก และเมื่อพิจารณารายด้าน พบว่า ด้านที่มีค่าเฉลี่ยสูงสุด คือด้านการมีส่วนร่วมในการรับผลประโยชน์ รองลงมาคือด้านการมีส่วนร่วมในการดำเนินงาน และด้านที่มีค่าเฉลี่ยน้อยที่สุด คือด้านการมีส่วนร่วมในการตัดสินใจ</li> <li>ผลการวิเคราะห์เปรียบเทียบระดับการมีส่วนร่วมของประชาชนในการพัฒนาชุมชนขององค์การบริหารส่วนตำบลกุดธาตุ ที่จําแนกตามเพศ อายุ ระดับการศึกษา และอาชีพ โดยภาพรวมประชาชนที่มีอายุ และอาชีพต่างกัน มีส่วนร่วมของประชาชนในการพัฒนาชุมชนขององค์การบริหารส่วนตำบลกุดธาตุ แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 ส่วนประชาชนที่มีเพศ และระดับการศึกษาต่างกัน มีส่วนร่วมของประชาชนในการพัฒนาชุมชนขององค์การบริหารส่วนตำบลกุดธาตุ ไม่แตกต่างกัน</li> <li>ผลการวิเคราะห์แนวทางในการมีส่วนร่วมของประชาชนในการพัฒนาชุมชนขององค์การบริหารส่วนตำบลกุดธาตุ ได้แก่ จัดประชุมหรือเวทีที่เปิดโอกาสให้สมาชิกในชุมชนได้เสนอความคิดเห็นหรือร่วมแลกเปลี่ยนความคิดเห็นเกี่ยวกับปัญหาและการพัฒนาของชุมชน</li> </ol> 2025-04-14T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2025 วารสารมณีเชษฐาราม วัดจอมมณี https://so07.tci-thaijo.org/index.php/JMCR/article/view/6778 แนวทางการพัฒนา การเป็นนวัตกรทางการศึกษา สำหรับครู สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาหนองคาย 2025-02-26T16:56:58+07:00 วิทวุฒิ เถาว์ทวี 66120605208@udru.ac.th คณิศร จี้กระโทก 66120605208@udru.ac.th นวัตกร หอมสิน 66120605208@udru.ac.th ธีระพล เพ็งจันทร์ 66120605208@udru.ac.th <p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาสภาพปัจจุบันและสภาพที่พึงประสงค์และความต้องการจำเป็นของแนวทางการพัฒนาการเป็นนวัตกร ทางการศึกษา สำหรับครู สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาหนองคาย 2) หาแนวทางการพัฒนาการเป็นนวัตกร ทางการศึกษา สำหรับครู สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาหนองคาย การวิจัยแบ่งออกเป็น 2 ระยะ โดยใช้ระเบียบวิธีวิจัยแบบผสมผสาน ระยะที่ 1 ศึกษาสภาพปัจจุบันและสภาพที่พึงประสงค์และความต้องการจำเป็นของแนวทางการพัฒนาการเป็นนวัตกร ทางการศึกษา สำหรับครู สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาหนองคาย กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย คือ ผู้บริหารสถานศึกษา จำนวน 19 คน และข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา จำนวน 266 คน รวมทั้งสิ้น จำนวน 285 คน ซึ่งใช้การเทียบตารางสำเร็จรูปของ เครจซี่และมอร์แกน เครื่องมือที่ใช้เป็นแบบสอบถามมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ มีความเชื่อมั่นเท่ากับ 0.98 ระยะที่ 2 ใช้วิธีการการสัมมนาอิงผู้เชี่ยวชาญ โดยการเลือกแบบเจาะจง ผู้ทรงคุณวุฒิจำนวน 12 คน ซึ่งประกอบด้วย 4 ด้านจำนวน 40 แนวทาง ดังนี้ ด้านทักษะสร้างสรรค์ มีจำนวน 10 แนวทาง ด้านทักษะการเรียนรู้และแก้ไข มีจำนวน 10 แนวทาง ด้านความรู้ด้านเนื้อหาและทักษะการปฏิบัติ มีจำนวน 10 แนวทาง ด้านการสังเกต มีจำนวน 10 แนวทาง</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า 1) สภาพปัจจุบันโดยรวมอยู่ในระดับมากและสภาพที่พึงประสงค์โดยรวมอยู่ในระดับมากที่สุด ค่าความต้องการจำเป็นโดยรวมอยู่ระหว่าง 0.029 – 0.044 2) แนวทางการพัฒนาการเป็นนวัตกร ทางการศึกษา สำหรับครู สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาหนองคาย คือ ทักษะสร้างสรรค์ ทักษะการเรียนรู้และแก้ไข ความรู้ด้านเนื้อหาและทักษะการปฏิบัติและการสังเกต </p> 2025-04-14T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2025 วารสารมณีเชษฐาราม วัดจอมมณี https://so07.tci-thaijo.org/index.php/JMCR/article/view/6681 บทบาทผู้บริหารสถานศึกษาในการส่งเสริมการจัดการเรียนการสอนที่เน้น ผู้เรียนเป็นสำคัญของโรงเรียนสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา มัธยมศึกษาปทุมธานี 2025-02-26T10:53:53+07:00 ยุพา ผึ้งถนอม yupa.puen@northbkk.ac.th อุษาพร กลิ่นเกษร usaporn.kl@northbkk.ac.th <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์คือ 1) เพื่อศึกษาบทบาทผู้บริหารสถานศึกษาในการส่งเสริมการจัดการเรียนการสอนที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ 2) เพื่อเปรียบเทียบบทบาทผู้บริหารสถานศึกษาในการส่งเสริมการจัดการเรียนการสอนที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ จำแนกตามเพศ ระดับการศึกษา ประสบการณ์ทำงาน และขนาดโรงเรียน 3) เพื่อเสนอแนวทางในการพัฒนาบทบาทผู้บริหารสถานศึกษาในการส่งเสริมการจัดการเรียนรู้ที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย คือ ครูผู้สอน สังกัดสํานักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาปทุมธานี จํานวน 323 คน โดยวิธีสุ่มตัวอย่างแบบแบ่งชั้น เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ แบบสอบถาม วิเคราะห์ข้อมูลโดยหาค่าเฉลี่ย ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน การทดสอบที และการทดสอบความแปรปรวนทางเดียว</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1) บทบาทของผู้บริหารสถานศึกษาในการส่งเสริมการจัดการเรียนการสอนที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ โดยภาพรวมพบว่า อยู่ในระดับมาก 2) ผลการเปรียบเทียบบทบาทของผู้บริหารสถานศึกษาในการส่งเสริมการจัดการเรียนการสอนที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ โดยภาพรวมและรายด้านแตกต่างกันอย่างไม่มีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 และ 3) แนวทางการพัฒนาบทบาทของผู้บริหารสถานศึกษาในการส่งเสริมการจัดการเรียนการสอนที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ สามารถจำแนกออกเป็น 4 ด้าน ดังนี้ 1) ด้านการพัฒนาแหล่งเรียนรู้ 2) ด้านการวัดและประเมินผล 3) ด้านการพัฒนากระบวนการเรียนรู้ และ 4) ด้านการพัฒนาสื่อ นวัตกรรม และเทคโนโลยีทางการศึกษา </p> 2025-04-14T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2025 วารสารมณีเชษฐาราม วัดจอมมณี https://so07.tci-thaijo.org/index.php/JMCR/article/view/6795 การพัฒนาความสามารถในการจำพยัญชนะไทย ก-ฮ ผ่านการจัดประสบการณ์การเรียนรู้โดยใช้ชุดการสอน EdTech ของนักเรียน Early Years 4 2025-02-27T09:53:08+07:00 วรพิชชา เพชรานนท์ vorapitchan@gmail.com ชัยวัฒน์ วารี vorapitcha.petc@northbkk.ac.th <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อหาประสิทธิภาพของชุดการสอน EdTech 2) เพื่อศึกษาการพัฒนาความสามารถในการจำพยัญชนะไทยผ่านการจัดประสบการณ์การเรียนรู้โดยใช้ชุดการสอน EdTech 3) เพื่อเปรียบเทียบความสามารถในการจำพยัญชนะไทยก่อนและหลังการจัดประสบการณ์การเรียนรู้โดยใช้ชุดการสอน EdTech และ 4) เพื่อเปรียบเทียบความสามารถในการจำพยัญชนะไทยหลังการจัดประสบการณ์การเรียนรู้โดยใช้ชุดการสอน EdTech กับเกณฑ์ร้อยละ 70 กลุ่มตัวอย่างเป็นนักเรียน Early Years 4 ปีการศึกษา 2567 โรงเรียนนานาชาติแห่งหนึ่งในอำเภอบางพลี จังหวัดสมุทรปราการ มีนักเรียนจำนวน 14 คน โดยใช้แผนการจัดประสบการณ์การเรียนรู้โดยใช้ชุดการสอน EdTech และแบบทดสอบความสามารถในการจำพยัญชนะไทย สถิติที่ใช้ประกอบไปด้วยร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และสถิติแบบไม่อิงพารามิเตอร์</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า 1) ประสิทธิภาพของชุดการสอน EdTech มีค่า E<sub>1</sub>/E<sub>2</sub> = 76.13/76.30 2) ผลศึกษาการพัฒนาความสามารถในการจำพยัญชนะไทยผ่านการจัดประสบการณ์การเรียนรู้โดยใช้ชุดการสอน EdTech ส่งผลให้ความสามารถในการจำพัฒนาขึ้นอย่างมีนัยสำคัญโดยมีค่าเฉลี่ยเพิ่มขึ้นและส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานลดลง 3) ผลการเปรียบเทียบความสามารถในการจำพยัญชนะไทยก่อนและหลังการจัดประสบการณ์การเรียนรู้โดยใช้ชุดการสอน EdTech แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 และ 4) การเปรียบเทียบคะแนนความสามารถในการจำพยัญชนะไทยหลังการจัดประสบการณ์การเรียนรู้โดยใช้ชุดการสอน EdTech กับเกณฑ์ร้อยละ 70 พบว่า มีนักเรียนผ่านเกณฑ์ 12 คน คิดเป็นร้อยละ 85.71 และมีนักเรียนไม่ผ่านเกณฑ์ 2 คน คิดเป็นร้อยละ 14.29</p> 2025-04-14T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2025 วารสารมณีเชษฐาราม วัดจอมมณี https://so07.tci-thaijo.org/index.php/JMCR/article/view/6796 การพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนภาษาไทยเรื่อง ชนิดของคำ โดยใช้การจัดการเรียนรู้แบบซิปปาร่วมกับแบบเสริมทักษะ สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาอุบลราชธานี เขต 1 2025-02-27T09:57:32+07:00 สาวิตรี พวงทอง sawitri1210@gmail.com ระพิน ชูชื่น sawitri1210@gmail.com พรรณี สุวัตถี sawitri1210@gmail.com <p>การวิจัยในครั้งนี้มีจุดประสงค์ 1) เพื่อศึกษาประสิทธิภาพของแผนการจัดการเรียนภาษาไทยเรื่อง ชนิดของคำ โดยใช้การจัดการเรียนรู้แบบซิปปา ร่วมกับแบบเสริมทักษะ สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ให้มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ 80/80 2) เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนภาษาไทยเรื่อง ชนิดของคำ ก่อนและหลังการใช้การจัดการเรียนรู้แบบซิปปาร่วมกับแบบเสริมทักษะ สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 และ 3) เพื่อศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ที่มีต่อการจัดการเรียนรู้แบบซิปปาร่วมกับแบบเสริมทักษะ สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนบ้านยางขี้นก จำนวน 20 คน ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2567 โดยใช้วิธีการกำหนดขนาดกลุ่มตัวอย่างโดยสุ่มแบบกลุ่ม เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยได้แก่ แผนการจัดการเรียนรู้ จำนวน 8 แผน แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนและแบบสอบถามความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการจัดการเรียนรู้แบบซิปปาร่วมกับแบบเสริมทักษะ การวิเคราะห์ข้อมูลได้แก่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การหาประสิทธิภาพของแผนการจัดการเรียนรู้โดยใช้ E1/E2 และการทดสอบค่าทีแบบ Dependent Sample ผลการวิจัยพบว่า 1) ผลประสิทธิภาพของแผนการจัดการเรียนรู้แบบซิปปาร่วมกับแบบเสริมทักษะ ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ 82.06/84.37 2) ผลการเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน โดยใช้การจัดการเรียนรู้แบบซิปปา สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญ .05 3) ผลการศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนหลังการจัดการเรียนรู้แบบซิปปาร่วมกับแบบเสริมทักษะ ภาพรวมอยู่ในระดับมากที่สุด (X = 4.58, S.D. = 0.49)</p> 2025-04-14T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2025 วารสารมณีเชษฐาราม วัดจอมมณี https://so07.tci-thaijo.org/index.php/JMCR/article/view/6837 การบริหารสู่ความเป็นเลิศของสถานศึกษาในสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาอุบลราชธานี อำนาจเจริญ 2025-03-02T13:45:08+07:00 ขัตติยาภรณ์ บาระมี dmagmag@gmail.com เมธาวี โชติชัยพงศ์ dmagmag@gmail.com เจริญวิชญ์ สมพงษ์ธรรม dmagmag@gmail.com <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์1) เพื่อศึกษาการบริหารสู่ความเป็นเลิศของสถานศึกษา และ 2) เพื่อศึกษาการพัฒนาการบริหารสู่ความเป็นเลิศของสถานศึกษาในสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาอุบลราชธานี อำนาจเจริญ เป็นการวิจัยแบบผสานวิธี การวิจัยเชิงปริมาณ กลุ่มตัวอย่างเป็นครูผู้สอนของโรงเรียนในสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาอุบลราชธานี อำนาจเจริญ จำนวน 359 คน ได้กำหนดขนาดตัวอย่างด้วยการใช้สูตรของทาโร่ยามาเน่ และวิธีการสุ่มแบบแบ่งชั้นตามขนาดโรงเรียน เครื่องมือเป็นแบบสอบถาม มีค่าความเชื่อมั่น เท่ากับ 0.98 วิเคราะห์ข้อมูลหาค่า ร้อยละ ค่าเฉลี่ย และค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ส่วนการวิจัยเชิงคุณภาพ กลุ่มเป้าหมายเป็นผู้บริหารสถานศึกษาสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาอุบลราชธานี อำนาจเจริญ จำนวน 10 คน เครื่องมือเป็นแบบสัมภาษณ์เชิงลึก วิเคราะห์ข้อมูลเชิงเนื้อหา</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า 1) การบริหารสู่ความเป็นเลิศของสถานศึกษา โดยรวมอยู่ในระดับมาก และ 2) การพัฒนาการบริหารสู่ความเป็นเลิศของสถานศึกษา มีแนวทางดังนี้ การบริหารงานวิชาการด้านการวัดผลการวิเคราะห์และการจัดการความรู้ การบริหารงบประมาณด้านการวางแผนเชิงกลยุทธ์ ด้านการมุ่งเน้นนักเรียนผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย ด้านผลลัพธ์ และด้านภาวะผู้นำ การบริหารงานบุคคลด้านการมุ่งเน้นทรัพยากรบุคคล การบริหารทั่วไปด้านการจัดการด้านผลลัพธ์ ด้านการมุ่งเน้นนักเรียนผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย ด้านการวางแผนเชิงกลยุทธ์ และด้านการวัดผลการวิเคราะห์และการจัดการความรู้</p> 2025-04-14T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2025 วารสารมณีเชษฐาราม วัดจอมมณี https://so07.tci-thaijo.org/index.php/JMCR/article/view/6844 การติดตามและประเมินผลการใช้หลักสูตรสาขาเทคโนโลยีธุรกิจดิจิทัล ตามหลักสูตรประกาศนียบัตรวิชาชีพ พุทธศักราช 2567 ของวิทยาลัยสารพัดช่างตราด โดยใช้รูปแบบการประเมินซิปป์ (CIPP Model) 2025-03-02T21:44:11+07:00 กิตติมา บุญโชติ gittima.bunc@northbkk.ac.th อุษาพร กลิ่นเกษร gittima.bunc@northbkk.ac.th <p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อติดตามและประเมินผลการใช้หลักสูตรสาขาเทคโนโลยีธุรกิจดิจิทัล ตามหลักสูตรประกาศนียบัตรวิชาชีพ พุทธศักราช 2567 ของวิทยาลัยสารพัดช่างตราด ด้านบริบท ด้านปัจจัยนำเข้า ด้านกระบวน และด้านผลผลิต โดยใช้รูปแบบการประเมิน CIPP Model ของสตัฟเฟิลบีม กลุ่มตัวอย่างประกอบด้วย ผู้บริหารสถานศึกษา จำนวน 3 คน ครูผู้สอน จำนวน 7 คน คณะกรรมการสถานศึกษา จำนวน 10 คน ผู้ปกครอง จำนวน 13 คน และนักเรียนระดับชั้นประกาศนียบัตรวิชาชีพ ปีที่ 1 – 3 จำนวน 64 คน โดยเลือกสุ่มแบบแบ่งชั้นตามสัดส่วน รวมทั้งสิ้น จำนวน 97 คน เครื่องมือที่ใช้เป็น แบบสอบถาม และแบบบันทึกข้อมูล ตรวจสอบความเที่ยงตรงจากผู้เชี่ยวชาญได้ค่าดัชนีความสอดคล้องระหว่าง 0.80 – 1.00 มีค่าความเชื่อมั่นทั้งฉบับเท่ากับ 0.93 วิเคราะห์ข้อมูล โดยใช้สถิติเชิงพรรณนา</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า ด้านบริบท มีความเหมาะสมอยู่ในระดับมาก ( = 4.40, S.D.= 0.61) โดยมีจุดมุ่งหมายของหลักสูตร โครงสร้างของหลักสูตร พันธกิจของหลักสูตร เนื้อหาของหลักสูตร และวิสัยทัศน์ของหลักสูตรสอดคล้องกับหลักสูตรคณะกรรมการการอาชีวศึกษา พุทธศักราช 2567 ด้านปัจจัยนำเข้า มีความเหมาะสมอยู่ในระดับมาก ( = 4.36, S.D.= 0.69) โดยมีความพร้อมด้าน คุณสมบัติของผู้สอน วัสดุ อุปกรณ์การสอน สิ่งอำนวยความสะดวกในโรงเรียนแหล่งเรียนรู้ อาคารสถานที่ และงบประมาณ ด้านกระบวนการ มีความเหมาะสมอยู่ในระดับมาก ( = 4.43, S.D.= 0.64) โดยมีการวัดประเมินผล การจัดกิจกรรมการเรียนรู้ การบริหารหลักสูตร การจัดกิจกรรมพัฒนาผู้เรียน และการนิเทศติดตามการใช้หลักสูตร และด้านผลผลิต มีความเหมาะสมอยู่ในระดับมาก ( = 4.45, S.D.= 0.49) โดยคุณลักษณะ อันพึงประสงค์ของนักเรียน และการคิด วิเคราะห์และการใช้เทคโนโลยีดิจิทัลของนักเรียน เป็นไปตามหลักสูตร สำหรับผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนในทุกทักษะการเรียนรู้ทั้ง 3 หมวดวิชา นักเรียนมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ผ่านเกณฑ์การประเมิน</p> 2025-04-14T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2025 วารสารมณีเชษฐาราม วัดจอมมณี https://so07.tci-thaijo.org/index.php/JMCR/article/view/6641 การบริหารงานบุคคลในยุคดิจิทัลตามหลักสังคหวัตถุ 4 ของผู้บริหารสถานศึกษา ศูนย์เครือข่ายเพื่อพัฒนาคุณภาพการศึกษาสุวรรณคูหา 3 สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาหนองบัวลำภู เขต 2 2025-02-16T13:56:43+07:00 ยิ่งยศ คำหา yingyskhaha@gmail.com พระครูปริยัติคุณรังษี - yingyskhaha@gmail.com พระครูปลัดสมชัย นิสฺสโภ - yingyskhaha@gmail.com <p>การวิจัยนี้มีวัตุประสงค์ คือ 1) เพื่อศึกษาสภาพการบริหารงานบุคคลในยุคดิจิทัลของผู้บริหารสถานศึกษาศูนย์เครือข่ายเพื่อพัฒนาคุณภาพการศึกษา 2) เพื่อศึกษาการบริหารงานบุคคลในยุคดิจิทัลตามหลักสังคหวัตถุ 4 ของผู้บริหารสถานศึกษาศูนย์เครือข่ายเพื่อพัฒนาคุณภาพการศึกษา และ 3) เพื่อเสนอแนวทางการบริหารงานบุคคลในยุคดิจิทัลตามหลักสังคหวัตถุ 4 ของผู้บริหารสถานศึกษาศูนย์เครือข่ายเพื่อพัฒนาคุณภาพการศึกษา การวิจัยนี้เป็นการวิจัยแบบผสาน กลุ่มตัวอย่าง ที่ใช้ในการวิจัย คือ ผู้บริหารสถานศึกษาและบุคลากรของสถานศึกษาศูนย์เครือข่ายเพื่อพัฒนาคุณภาพการศึกษาสุวรรณคูหา 3 สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาหนองบัวลำภู เขต 2 จำนวน 170 คน โดยสุ่มกลุ่มตัวอย่างแบบง่ายจาก ตารางสำเร็จรูปของเครจซีและมอร์แกน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย เป็น แบบสัมภาษณ์เชิงลึก และแบบสอบถาม สถิติที่ใช้วิเคราะห์ข้อมูลเชิงปริมาณ ได้แก่ ค่าความถี่ ค่าร้อยล่ะ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การวิเคราะห์ข้อมูลเชิงคุณภาพด้วยวิธีการวิเคราะห์เนื้อหา </p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1) การศึกษาการบริหารงานบุคคลในยุคดิจิทัลของผู้บริหารสถานศึกษาศูนย์เครือข่ายเพื่อพัฒนาคุณภาพการศึกษา พบว่า โดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก เมื่อพิจารณารายด้าน พบว่า ด้านที่มีค่าเฉลี่ยสูงสุด ได้แก่ ด้านคุณธรรมของนักบริหาร ส่วนด้านที่มีค่าเฉลี่ยต่ำสุด ได้แก่ ด้านการจัดการยุคใหม่ 2) การบริหารงานบุคคลในยุคดิจิทัลตามหลักสังคหวัตถุ 4 ของผู้บริหารสถานศึกษาศูนย์เครือข่ายเพื่อพัฒนาคุณภาพการศึกษา พบว่า โดยภาพรวมอยู่ในระดับมากที่สุด ด้านที่มีค่าเฉลี่ยสูงสุด ได้แก่ ด้านสมานัตตตา ส่วนด้านที่มีค่าเฉลี่ยต่ำสุด ได้แก่ ด้านทาน การเสียสละ และ 3) การสงเคราะห์การบริหารงานบุคคลในยุคดิจิทัลตามหลักสังคหวัตถุ 4 ของผู้บริหาร ทั้ง 4 ด้าน ได้แก่ 1. ด้านการเสียสละ 2. ปิยวาจา 3. ด้านอัตถจริยา และ 4. ด้านสมานัตตตา</p> 2025-04-14T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2025 วารสารมณีเชษฐาราม วัดจอมมณี https://so07.tci-thaijo.org/index.php/JMCR/article/view/6696 นวัตกรรมการพัฒนาภาวะผู้นำทางวิชาการของผู้บริหารสถานศึกษา ในยุคดิจิทัล สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา ประถมศึกษาเชียงราย เขต 3 2025-02-26T11:30:52+07:00 ศิริมงคล อูปคำ Sirimongkhon080@gmail.com ไพรภ รัตนชูวงศ์ Sirimongkhon080@gmail.com ประเวศ เวชชะ Sirimongkhon080@gmail.com <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์คือ 1) เพื่อศึกษาสภาพปัจจุบันของภาวะผู้นำทางวิชาการของผู้บริหารสถานศึกษาในยุคดิจิทัล 2) เพื่อศึกษาเหตุปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อภาวะผู้นำทางวิชาการของผู้บริหารสถานศึกษาในยุคดิจิทัล และ 3) เพื่อเสนอนวัตกรรมการพัฒนาภาวะผู้นำทางวิชาการของผู้บริหารสถานศึกษาในยุคดิจิทัล สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงรายเขต 3 กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ ครู สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงราย เขต 3 จำนวน 320 คน โดยใช้ตารางการประมาณขนาดกลุ่มตัวอย่างของ เครจซี่และมอร์แกน เครื่องที่ใช้เป็นแบบสอบถาม ทำการวิเคราะห์ข้อมูลโดย ค่าความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย และ ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1) การกำหนดเป้าหมายและวิสัยทัศน์ด้านดิจิทัลของโรงเรียน ผู้บริหารต้องวิเคราะห์สถานการณ์โรงเรียน วางเป้าหมายที่ชัดเจน สื่อสารและอบรมบุคลากร ปรับปรุงแนวทางให้เหมาะสมกับบริบทที่เปลี่ยนแปลง 2) การนิเทศและประเมินผลการสอนด้วยเทคโนโลยี สนับสนุนการใช้แพลตฟอร์มดิจิทัลในการนิเทศและติดตามผล พัฒนาทักษะดิจิทัลของครู ปรับปรุงแนวทางการนิเทศให้มีความยืดหยุ่น 3) การพัฒนาศักยภาพบุคลากร ส่งเสริมการเรียนรู้ผ่านเครือข่าย PLC อบรมการใช้เทคโนโลยี และขยายความร่วมมือเพื่อพัฒนาทักษะบุคลากรอย่างเป็นระบบ 4) การจัดการเรียนการสอนและการเรียนรู้ด้วยเทคโนโลยี ใช้เครื่องมือดิจิทัลในการสอนและวัดผล พัฒนาเครือข่ายความร่วมมือเพื่อสนับสนุนทรัพยากร และปรับปรุงกระบวนการเรียนรู้ให้ทันสมัย 5) การส่งเสริมสิ่งแวดล้อมและวัฒนธรรมการเรียนรู้ดิจิทัล พัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน และสร้างบรรยากาศที่ส่งเสริมการใช้เทคโนโลยี 6) การสร้างเครือข่ายดิจิทัลเพื่อการเรียนรู้ เชื่อมโยงโรงเรียนกับองค์กรภายนอกผ่านแพลตฟอร์มดิจิทัล ส่งเสริมการแลกเปลี่ยนความรู้ และขยายความร่วมมือเพื่อความยั่งยืน</p> 2025-04-14T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2025 วารสารมณีเชษฐาราม วัดจอมมณี https://so07.tci-thaijo.org/index.php/JMCR/article/view/6819 การพัฒนาทักษะการบวกจำนวนนับ 1-20 โดยการจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบ Hands-on ของเด็กเกรด 1 2025-02-28T22:52:37+07:00 สุนันทา วงไชยา sunantha.wong@northbkk.ac.th อุษาพร กลิ่นเกษร sunantha.wong@northbkk.ac.th <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) เปรียบเทียบทักษะการบวกจำนวนนับ ก่อนและหลังการจัดกิจกรรม Hands-on ของเด็กเกรด1 และ 2) เปรียบเทียบทักษะการบวกจำนวนนับ1-20ของเด็กเกรด1 กับเกณฑ์ร้อยละ 70 โดยกลุ่มเป้าหมายได้มาจากการคัดเลือกแบบเฉพาะเจาะจงเป็นนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 จำนวน 7 คน จากโรงเรียนนานาชาติแห่งหนึ่งในอำเภอบางพลี จังหวัดสมุทรปราการ ใช้แผนการจัดกิจกรรมเรียนรู้แบบ Hands-on เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยในครั้งนี้คือแบบทดสอบวัดทักษะการบวกการเก็บรวบรวมข้อมูลโดยการทดสอบก่อนและหลังเรียน ใช้สถิติวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ร้อยละ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน <span style="text-decoration: line-through;"> </span></p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1) ผลการเปรียบเทียบการพัฒนาทักษะการบวกจำนวนนับก่อนและหลังการจัดกิจกรรม Hand-on คะแนนมีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่นะดับ .05 และ 2) การเปรียบเทียบการพัฒนาทักษะการบวกจำนวนนับก่อนและหลังการจัดกิจกรรมHand-on กับเกณฑ์ร้อยละ 70 พบว่ามีนักเรียนผ่านเกณฑ์6 คนคิดเป็นร้อยละ 85.71% และมีนักเรียนไม่ผ่านเกณฑ์ 1 คนคิดเป็นร้อยละ14.29% </p> 2025-04-14T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2025 วารสารมณีเชษฐาราม วัดจอมมณี https://so07.tci-thaijo.org/index.php/JMCR/article/view/6903 การศึกษาความสามารถในการอ่านจับใจความวิชาภาษาไทยของนักเรียน ชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 จากการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือโดยใช้เทคนิค CIRC 2025-03-05T19:34:29+07:00 ชยิสรา เพียรหาศิลป์ chayisara.pean@northbkk.ac.th อุทัยวรรณ สายพัฒนะ chayisara.pean@northbkk.ac.th <p> การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาความสามารถในการอ่านจับใจความของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 จากการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือโดยใช้เทคนิค CIRC 2) เปรียบเทียบความสามารถในการอ่านจับใจความวิชาภาษาไทย ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ระหว่างก่อนและหลังการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือโดยใช้เทคนิค CIRC และ 3) เพื่อเปรียบเทียบความสามารถในการอ่านจับใจความระหว่างกลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุม กลุ่มตัวอย่างเป็นนักเรียนโรงเรียนสารสาสน์วิเทศสุวรรณภูมิ ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2567 เลือกโดยวิธีการสุ่มแบบกลุ่ม (Cluster random sampling) ประกอบด้วย กลุ่มทดลอง คือ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6A จำนวน 21 คน กลุ่มควบคุม คือ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6C จำนวน 22 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แผนการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือโดยใช้เทคนิค CIRC จำนวน 12 แผน และแบบทดสอบการอ่านจับใจความ แบบปรนัย ชนิดเลือกตอบ จำนวน 30 ข้อ มีค่าความเชื่อมั่นเท่ากับ .89 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การทดสอบที t-test แบบ dependent sample และการทดสอบที t-test แบบ independent sample</p> <p> ผลการวิจัย พบว่า 1) ความสามารถในการอ่านจับใจความวิชาภาษาไทย ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 จากการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือโดยใช้เทคนิค CIRC มีคะแนนอยู่ในระดับดีขึ้นไป ร้อยละ 85.72 ของนักเรียนทั้งหมด 2) ความสามารถในการอ่านจับใจความวิชาภาษาไทย ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ภายหลังจากการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือโดยใช้เทคนิค CIRC สูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 และ 3) ความสามารถในการอ่านจับใจความของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 หลังเรียน กลุ่มทดลองที่ผ่านการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือโดยใช้เทคนิค CIRC สูงกว่ากลุ่มควบคุมที่ผ่านการจัดการเรียนรู้แบบปกติ อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05</p> 2025-04-14T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2025 วารสารมณีเชษฐาราม วัดจอมมณี https://so07.tci-thaijo.org/index.php/JMCR/article/view/6851 ความสัมพันธ์ระหว่างคุณลักษณะภาวะผู้นำของผู้บริหารกับการดำเนินงานระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียนในสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาศรีสะเกษ เขต 3 2025-03-03T17:21:00+07:00 เสฎฐวุฒิ ไชยสิงห์ pongsetthawut88@gmail.com สุรางคนา มัณยานนท์ pongsetthawut88@gmail.com สมหมาย สร้อยนาคพงษ์ pongsetthawut88@gmail.com <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาระดับคุณลักษณะภาวะผู้นำของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาศรีสะเกษ เขต 3 2) เพื่อศึกษาระดับการดำเนินงานระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียนในสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาศรีสะเกษ เขต 3 3) เพื่อศึกษาความสัมพันธ์คุณลักษณะภาวะผู้นำของผู้บริหารสถานศึกษากับการดำเนินงานระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียนในสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาศรีสะเกษ เขต 3 กลุ่มตัวอย่างคือ ครูผู้สอนที่ปฏิบัติงานในโรงเรียนสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาศรีสะเกษ เขต 3 จำนวน 326 คน เลือกโดยวิธีการสุ่มแบบแบ่งชั้นตามสัดส่วน เครื่องมือเป็นแบบสอบถามมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ ได้ค่าความเชื่อมั่นของแบบสอบถามทั้งฉบับเท่ากับ 0.98 ค่าความเที่ยงตรงของแบบสอบถามเท่ากับ 1.00 และค่าอำนาจจําแนกรายข้อมีค่าตั้งแต่ 0.40 - 0.80 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน ค่าความเชื่อมั่น ค่าความเที่ยงตรง ค่าอำนาจจําแนก และค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์แบบเพียร์สัน</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1) ระดับคุณลักษณะภาวะผู้นำของผู้บริหารสถานศึกษา โดยรวมอยู่ในระดับมาก 2) ระดับการดำเนินงานระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียนใน โดยรวมอยู่ในระดับมาก และ 3) คุณลักษณะภาวะผู้นำของผู้บริหารสถานศึกษากับการดำเนินงานระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียนในสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาศรีสะเกษ เขต 3 โดยรวมมีความสัมพันธ์ทางบวกในระดับสูง อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01</p> 2025-04-14T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2025 วารสารมณีเชษฐาราม วัดจอมมณี https://so07.tci-thaijo.org/index.php/JMCR/article/view/6880 ความสัมพันธ์ระหว่างความฉลาดทางสังคมกับทักษะการแก้ปัญหาของ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาจันทบุรี ตราด 2025-03-05T19:22:46+07:00 สิรภัทร จิตนาวสาร jsirapat.040143@gmail.com อุทัยวรรณ สายพัฒนะ jsirapat.040143@gmail.com <p>การศึกษาครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาระดับความฉลาดทางสังคมของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาจันทบุรี ตราด 2) เพื่อศึกษาทักษะการแก้ปัญหาของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาจันทบุรี ตราด และ 3) เพื่อศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างความฉลาดทางสังคมกับทักษะการแก้ปัญหาของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาจันทบุรี ตราด กลุ่มตัวอย่างเป็นนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาจันทบุรี ตราด ปีการศึกษา 2567 จากการใช้การสุ่มอย่างง่ายแบบเป็นสัดส่วน จำนวน 301 คน เครื่องมือ คือ แบบวัดความฉลาดทางสังคม มีลักษณะเป็นแบบมาตรประมาณค่ามี 5 ระดับ มีค่าความเชื่อมั่นของแบบวัดเท่ากับ .93 และแบบวัดทักษะการแก้ปัญหา มีลักษณะเป็นแบบเลือกตอบ 4 ตัวเลือก มีค่าความเชื่อมั่นของแบบวัดเท่ากับ .91 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และสหสัมพันธ์เพียร์สัน</p> <p><strong> </strong>ผลการวิจัย พบว่า 1) ความฉลาดทางสังคมของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาจันทบุรี ตราด โดยรวมและทุกองค์ประกอบอยู่ในระดับมาก ยกเว้นความมีน้ำใจ อยู่ในระดับปานกลาง 2) ทักษะการแก้ปัญหาของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาจันทบุรี ตราด พบว่า โดยรวมและองค์ประกอบการพิจารณาสาเหตุของปัญหาการหาแนวทางแก้ปัญหาอยู่ในระดับดี องค์ประกอบการระบุปัญหา และการทดลองแก้ปัญหา อยู่ในระดับปานกลาง ส่วนองค์ประกอบการตรวจสอบผลอยู่ในระดับดีมาก และ3) ความสัมพันธ์ระหว่างความฉลาดทางสังคมกับทักษะการแก้ปัญหาของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาจันทบุรี ตราด มีความสัมพันธ์ทางบวกอยู่ในระดับสูงมาก อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01</p> <p><strong> </strong></p> 2025-04-14T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2025 วารสารมณีเชษฐาราม วัดจอมมณี https://so07.tci-thaijo.org/index.php/JMCR/article/view/6908 ความสัมพันธ์ระหว่างสภาพแวดล้อมการเรียนรู้กับความเชื่อมั่นในตนเอง ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนอรัญประเทศ 2025-03-05T19:42:26+07:00 ณิชาภา กฤษธนานนท์ Nichapa.krit@northbkk.ac.th อุทัยวรรณ สายพัฒนะ Nichapa.krit@northbkk.ac.th <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาระดับสภาพแวดล้อมการเรียนรู้ตามความคิดเห็นของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนอรัญประเทศ 2) เพื่อศึกษาระดับความเชื่อมั่นในตนเองของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนอรัญประเทศ และ 3) เพื่อศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างสภาพแวดล้อมการเรียนรู้กับความเชื่อมั่นในตนเองของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนอรัญประเทศ กลุ่มตัวอย่างเป็นนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนอรัญประเทศ ปีการศึกษา 2567 จำนวน 218 คน กำหนดกลุ่มตัวอย่างโดยใช้ตารางของเครจซี่และมอร์แกน และใช้การสุ่มอย่างง่าย เครื่องมือที่ใช้ ได้แก่ แบบสอบถามสภาพแวดล้อมการเรียนรู้ จำนวน 42 ข้อ มีค่าความเชื่อมั่น เท่ากับ 0.94 แบบสอบถามความเชื่อมั่นในตนเอง จำนวน 33 ข้อมีค่าความเชื่อมั่น เท่ากับ 0.93 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และ สหสัมพันธ์เพียร์สัน</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า 1) สภาพแวดล้อมการเรียนรู้ตามความคิดเห็นของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ของโรงเรียนอรัญประเทศ โดยภาพรวมและรายด้านทุกด้านอยู่ในระดับมาก 2) ความเชื่อมั่นในตนเองของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ของโรงเรียนอรัญประเทศ โดยภาพรวมและรายด้านทุกด้านอยู่ในระดับมาก และ 3) สภาพแวดล้อมการเรียนรู้กับความเชื่อมั่นในตนเองของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ของโรงเรียนอรัญประเทศ มีความสัมพันธ์ในทางบวก อยู่ในระดับปานกลาง อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01</p> 2025-04-14T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2025 วารสารมณีเชษฐาราม วัดจอมมณี https://so07.tci-thaijo.org/index.php/JMCR/article/view/6698 แนวทางการพัฒนางานวิชาการโดยใช้กระบวนการชุมชนการเรียนรู้ทางวิชาชีพ (PLC) ของโรงเรียนในกลุ่มเครือข่ายพัฒนาการศึกษาดอยหลวง 2025-03-07T20:12:02+07:00 พิมลพรรณ วรรณคำ 668914021@crru.ac.th ไพรภ รัตนชูวงศ์ 668914021@crru.ac.th พูนชัย ยาวิราช 668914021@crru.ac.th <p>การวิจัยในครั้งนี้วัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาสภาพงานวิชาการของโรงเรียนในกลุ่มเครือข่ายพัฒนาการศึกษาดอยหลวง 2) เพื่อศึกษาแนวปฏิบัติที่เป็นเลิศการบริหารงานวิชาการโดยใช้กระบวนการชุมชนการเรียนรู้ทางวิชาชีพ (PLC) และ 3) เพื่อเสนอแนวทางการพัฒนางานวิชาการโดยใช้กระบวนการชุมชนการเรียนรู้ทางวิชาชีพ(PLC) ของโรงเรียนในกลุ่มเครือข่ายพัฒนาการศึกษาดอยหลวง กลุ่มตัวอย่างคือ ผู้บริหาร และ ครูผู้สอนจำนวน 106 คนโดยใช้สูตรสำเร็จรูปของทาโร ยามาเน่ เครื่องมือที่ใช้เป็นแบบสอบถาม และ แบบสัมภาษณ์กึ่งโครงสร้าง วิเคราะห์ข้อมูลเชิงปริมาณโดยการหาค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และ วิเคราะห์ข้อมูลเชิงคุณภาพด้วยวิธีการวิเคราะห์เนื้อหา </p> <p>จากการวิจัยพบว่า 1)สภาพงานวิชาการของโรงเรียนในกลุ่มเครือข่ายพัฒนาการศึกษาดอยหลวง โดยภาพรวมทั้ง 4 ด้านอยู่ในระดับมาก ( = 4.32,SD=0.45) ด้านที่มีค่าเฉลี่ยสูงสุด คือ ด้านการพัฒนาหลักสูตรสถานศึกษาและด้านที่มีค่าเฉลี่ยต่ำที่สุด คือด้านการพัฒนากระบวนการจัดการเรียนรู้ 2) แนวปฏิบัติที่เป็นเลิศการบริหารงานวิชาการโดยใช้กระบวนการชุมชนการเรียนรู้ทางวิชาชีพ (PLC) ได้แนวปฏิบัติแบ่งตามงานวิชาการ 4 ด้านตามกระบวนการชุมชนการเรียนรู้ทางวิชาชีพ (PLC) 3) แนวทางการพัฒนางานวิชาการโดยใช้กระบวนการชุมชนการเรียนรู้ทางวิชาชีพ(PLC) ได้แนวทาง 4 ด้าน ด้านละ 6 กระบวนการ รวมทั้งหมด 24 แนวทาง สรุปพอสังเขปดังนี้ ด้านที่1 การพัฒนาหลักสูตร เน้นการสร้างวิสัยทัศน์และค่านิยมร่วม ใช้เทคโนโลยีเพื่อยกระดับการเรียนการสอน ด้านที่ 2 การพัฒนากระบวนการเรียนรู้ เน้นวิสัยทัศน์ที่สอดคล้องกับเป้าหมายของผู้เรียน ใช้เทคโนโลยีดิจิทัลในการเพิ่มประสิทธิภาพการเรียนการสอน ด้านที่ 3 การใช้สื่อเทคโนโลยี เพื่อสร้างความเข้าใจร่วมและยกระดับการสอน ด้านที่ 4 การวัดผลและประเมินผล ใช้วิธีการประเมินที่หลากหลาย ครอบคลุมความรู้ ทักษะ และคุณลักษณะที่พึงประสงค์</p> 2025-04-14T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2025 วารสารมณีเชษฐาราม วัดจอมมณี https://so07.tci-thaijo.org/index.php/JMCR/article/view/6833 แนวทางการบริหารหลักสูตรเพื่อส่งเสริมทักษะอาชีพสำหรับนักเรียนในโรงเรียนขยายโอกาสทางการศึกษากลุ่มห้วยชมภู สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงราย เขต 1 2025-03-01T16:12:24+07:00 ภานุชนารถ ทองคำเปลว panootchanat.tkp@gmail.com ไพรภ รัตนชูวงศ์ Panootchanat.tkp@gmail.com พูนชัย ยาวิราช Panootchanat.tkp@gmail.com <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาสภาพในการบริหารหลักสูตรเพื่อส่งเสริมทักษะอาชีพสำหรับนักเรียนในโรงเรียนขยายโอกาสทางการศึกษากลุ่มห้วยชมภู สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงราย เขต 1 2) เพื่อศึกษาปัจจัยที่ส่งผลต่อการบริหารหลักสูตรเพื่อส่งเสริมทักษะอาชีพ และ 3) เพื่อศึกษาแนวทางการบริหารหลักสูตรเพื่อส่งเสริมทักษะอาชีพ ประชากรได้แก่ ผู้บริหารสถานศึกษาและครูในโรงเรียนขยายโอกาสทางการศึกษากลุ่มห้วยชมภู จำนวน 83 คน กลุ่มผู้ให้ข้อมูลได้แก่ ผู้บริหารสถานศึกษาและครูผู้รับผิดชอบงานหลักสูตรสถานศึกษา จำนวน7 คน โดยเลือกแบบเจาะจง เครื่องมือวิจัยได้แก่ แบบสอบถาม แบบสัมภาษณ์ และแบบสนทนากลุ่ม วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติเชิงพรรณนาและการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงเนื้อหา</p> <p>ผลการวิจัยสรุปได้ว่า 1) สภาพปัจจุบันในการบริหารหลักสูตรเพื่อส่งเสริมทักษะอาชีพ โดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก 2) ปัจจัยที่ส่งผลต่อการบริหารหลักสูตรเพื่อส่งเสริมทักษะอาชีพ พบว่า ปัจจัยภายใน ได้แก่ โครงสร้างการบริหาร การให้บริการ บุคลากร การเงิน วัสดุอุปกรณ์ และการบริหารจัดการ ปัจจัยภายนอก ได้แก่ สังคมวัฒนธรรม เทคโนโลยี เศรษฐกิจ และการเมือง 3) แนวทางการบริหารหลักสูตรเพื่อส่งเสริมทักษะอาชีพโดยใช้กระบวนการบริหารจัดการ PDSSE แยกเป็นรายด้านตามขั้นตอนการบริหารหลักสูตร ขั้นตอนที่ 1 (P : Plan) การวางแผนการใช้หลักสูตร ขั้นตอนที่ 2 (D : Do) การนำหลักสูตรไปใช้ ขั้นตอนที่ 3 (S : Support) การสนับสนุนการใช้หลักสูตร ขั้นตอนที่ 4 (S : Supervision) การนิเทศกำกับติดตามการใช้หลักสูตร ขั้นตอนที่ 5 (E : Evaluation) การประเมินการใช้หลักสูตร</p> 2025-04-14T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2025 วารสารมณีเชษฐาราม วัดจอมมณี https://so07.tci-thaijo.org/index.php/JMCR/article/view/6940 ปัจจัยภาวะผู้นำของผู้บริหารสถานศึกษาในศตวรรษที่ 21 ที่ส่งผลต่อความเป็นองค์กรแห่งความสุขของสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาในจังหวัดหนองคาย 2025-03-06T19:31:43+07:00 ธนัญญา คงเดช thananya080@gmail.com พนายุทธ เชยบาล Thananya080@gmail.com ประพรทิพย์ คุณากรพิทักษ์ Thananya080@gmail.com <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาระดับปัจจัยภาวะผู้นำของผู้บริหารสถานศึกษาในศตวรรษ ที่ 21 2) ศึกษาระดับความเป็นองค์กรแห่งความสุขของสถานศึกษา 3) ศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างปัจจัยภาวะผู้นำของผู้บริหารสถานศึกษาในศตวรรษที่ 21 กับความเป็นองค์กรแห่งความสุขของสถานศึกษา และ 4) สร้างสมการพยากรณ์ปัจจัยภาวะผู้นำของผู้บริหารสถานศึกษาในศตวรรษที่ 21 ที่ส่งผลต่อความเป็นองค์กรแห่งความสุขของสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาในจังหวัดหนองคาย กลุ่มตัวอย่างเป็นครูผู้สอน จำนวน 338 คน โดยใช้วิธีการสุ่มกลุ่มตัวอย่างแบบแบ่งชั้น เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยเป็นแบบสอบถามแบบมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ มีความเชื่อมั่น เท่ากับ .987 และ .986 ตามลำดับ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล คือ การแจกแจงความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน สัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ของเพียร์สัน และการวิเคราะห์ถดถอยพหุคูณแบบขั้นตอน</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า 1) ภาวะผู้นำของผู้บริหารสถานศึกษาในศตวรรษที่ 21 อยู่ในระดับมาก 2) ความเป็นองค์กรแห่งความสุขของสถานศึกษา อยู่ในระดับมาก 3) ปัจจัยภาวะผู้นำของผู้บริหารสถานศึกษาในศตวรรษที่ 21 กับความเป็นองค์กรแห่งความสุขของสถานศึกษา มีความสัมพันธ์กันทางบวกอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติระดับ .01 4) สมการพยากรณ์ปัจจัยภาวะผู้นำของผู้บริหารสถานศึกษาในศตวรรษที่ 21ที่ส่งผลต่อความเป็นองค์กรแห่งความสุขของสถานศึกษา โดยใช้ภาวะผู้นำของผู้บริหารสถานศึกษาในศตวรรษที่ 21 เป็นตัวแปรพยากรณ์ได้อำนาจพยากรณ์ร้อยละ 60.90 อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติระดับ .01 โดยมีสมการดังนี้</p> <p>สมการพยากรณ์ในรูปคะแนนดิบ = 0.683 + .429(X<sub>3</sub>) + .353(X<sub>2</sub>) + .189<em>(</em>X<sub>4</sub>) - .096<em>(</em>X<sub>1</sub>) <em> </em> <em> </em></p> <p>สมการพยากรณ์ในรูปคะแนนมาตรฐาน = .436(X<sub>3</sub>) + .393(X<sub>2</sub>) + .199<em>(</em>X<sub>4</sub>) - .113<em>(</em>X<sub>1</sub>) <em> </em> <em> </em></p> 2025-04-14T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2025 วารสารมณีเชษฐาราม วัดจอมมณี https://so07.tci-thaijo.org/index.php/JMCR/article/view/6773 ผลการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ส่งเสริมทักษะศิลปะสร้างสรรค์ โดยใช้การเรียนรู้แบบปัญหาเป็นฐานร่วมกับสื่อสารสร้างสรรค์อิสระของชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 สังกัดสำนักเขตการศึกษาพระปริยัติธรรม แผนกสามัญศึกษา เขต 9 2025-02-26T17:02:49+07:00 กันตจารี พรมดี kantajaree2541@gmail.com ระพิน ชูชื่น Kantajaree2541@gmail.com ขวัญจิต เพ็งแป้น Kantajaree2541@gmail.com <p> การวิจัยในครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ 1) ศึกษาประสิทธิภาพของแผนการจัดการเรียนรู้แบบการใช้ปัญหาเป็นฐานร่วมกับสื่อการสร้างสรรค์อิสระของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 2) เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ก่อนและหลังการจัดการเรียนรู้โดยใช้การเรียนรู้แบบปัญหาเป็นฐาน ร่วมกับสื่อการสร้างสรรค์อิสระ 3) การศึกษาทักษะศิลปะสร้างสรรรค์ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โดยใช้การเรียนรู้แบบปัญหาเป็นฐานร่วมกับสื่อการสร้างสรรค์อิสระและ 4) ศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 กลุ่มตัวอย่าง คือนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1/1 โรงเรียนปริยัติธรรมวัดโพธิ์ตาก สังกัดสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ปีการศึกษา 2567 จำนวน 19 คน จากโดยการสุ่มตัวอย่างแบบกลุ่ม เครื่องมือที่ใช้ 1) แผนการจัดการเรียนรู้จำนวน 8 แผน 2) แบบทดสอบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน และ 3) แบบสอบถามความพึงพอใจของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติคำนวณหาค่าเฉลี่ย ค่าร้อยละ ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการทดสอบค่าที</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1) ประสิทธิภาพของแผนการจัดการเรียนรู้แบบปัญหาเป็นฐานร่วมกับสื่อการสร้างสรรค์อิสระต่อทักษะศิลปะสร้างสรรค์ มีประสิทธิภาพ 81.14/82.11 2) ผลการเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ก่อนและหลังการจัดการเรียนรู้โดยใช้การเรียนรู้แบบปัญหาเป็นฐาน ร่วมกับสื่อการสร้างสรรค์อิสระ พบว่า หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญที่ระดับ .05 3) ผลการศึกษาทักษะศิลปะสร้างสรรค์ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โดยใช้การเรียนรู้แบบปัญหาเป็นฐานร่วมกับสื่อการสร้างสรรค์อิสระ พบว่าหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญที่ระดับ .05 และ 4) ความพึงพอใจของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โดยใช้การเรียนรู้แบบปัญหาเป็นฐานร่วมกับสื่อการสร้างสรรค์อิสระพบว่าระดับความพึงพอใจอยู่ในระดับมากที่สุด ( = 4.63, S.D.= 0.18)</p> 2025-04-14T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2025 วารสารมณีเชษฐาราม วัดจอมมณี https://so07.tci-thaijo.org/index.php/JMCR/article/view/7020 ผลการจัดการเรียนรู้แบบผสมผสานร่วมกับการสืบเสาะหาความรู้ 5 ขั้น ที่มีต่อผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนและเจตคติทางวิทยาศาสตร์ ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 2025-03-13T08:04:19+07:00 ปริฉัตร คำแท้ parichat.bkt@gmail.com กรวุฒิ แผนพรหม parichat.bkt@gmail.com สุวัทนา สงวนรัตน์ parichat.bkt@gmail.com <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง วัสดุและสสาร และ 2) เพื่อเปรียบเทียบเจตคตทางวิทยาศษสตร์ ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ระหว่างก่อนและหลังได้รับการจัดการเรียนรู้แบบผสมผสานร่วมกับการสืบเสาะหาความรู้ 5 ขั้น กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ คือ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนอนุบาลสระบุรี จำนวน 48 คน ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2565 ซึ่งได้มาจากการสุ่มตัวอย่างแบบกลุ่ม เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ 1) แผนการจัดการเรียนรู้แบบผสมผสานร่วมกับการสืบเสาะหาความรู้ 5 ขั้น เรื่อง วัสดุและสสาร จำนวน 7 แผนการเรียนรู้ รวมเวลา 17 ชั่วโมง <br />2) แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนเรื่อง วัสดุและสสาร ซึ่งเป็นแบบทดสอบปรนัย 4 ตัวเลือก จำนวน 40 ข้อ และ 3) แบบวัดเจตคติทางวิทยาศาสตร์ซึ่งเป็นแบบมาตรประมาณค่า 5 ระดับ จำนวน 21 ข้อ วิเคราะห์ข้อมูลโดยการหาค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการทดสอบทีแบบตัวอย่างไม่เป็นอิสระต่อกัน</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า 1) ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง วัสดุและสสาร ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 หลังได้รับการจัดการเรียนรู้แบบผสมผสานร่วมกับการสืบเสาะหาความรู้ 5 ขั้น สูงกว่าก่อนเรียน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 และ 2) เจตคติทางวิทยาศาสตร์ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 หลังได้รับการจัดการเรียนรู้แบบผสมผสานร่วมกับการสืบเสาะหาความรู้ 5 ขั้น สูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05</p> 2025-04-14T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2025 วารสารมณีเชษฐาราม วัดจอมมณี https://so07.tci-thaijo.org/index.php/JMCR/article/view/6944 ความสัมพันธ์ระหว่างแรงจูงใจใฝ่สัมฤทธิ์กับการกำกับตนเองของนักเรียน ชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนในเขตบางกะปิ สังกัดกรุงเทพมหานคร 2025-03-13T17:44:18+07:00 พัชรียา เรืองรูจี padchareeyaendo@gmail.com อุทัยวรรณ สายพัฒนะ Padchareeya.ruea@northbkk.ac.th <p>การวิจัยในครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาระดับแรงจูงใจใฝ่สัมฤทธิ์ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนในเขตบางกะปิ สังกัดกรุงเทพมหานคร 2) เพื่อศึกษาระดับการกำกับตนเองของนักเรียน และ 3) เพื่อศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างแรงจูงใจใฝ่สัมฤทธิ์กับการกำกับตนเองของนักเรียน กลุ่มตัวอย่างเป็นนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนในเขตบางกะปิ สังกัดกรุงเทพมหานคร ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2567 จำนวน 360 คน เลือกโดยใช้ตารางกำหนดขนาดของกลุ่มตัวอย่างของเครจซี่และมอร์แกน เครื่องมือที่ใช้เป็นแบบสอบถามมีค่าอำนาจจำแนก ตั้งแต่ .21-.84 และมีค่าความเชื่อมั่น .97 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และสหสัมพันธ์เพียร์สัน</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า 1) แรงจูงใจใฝ่สัมฤทธิ์ของนักเรียนโดยภาพรวมและรายองค์ประกอบ อยู่ในระดับ มาก ยกเว้นด้านความกระตือรือร้น อยู่ในระดับ ปานกลาง 2) การกำกับตนเองของนักเรียน โดยภาพรวมและรายองค์ประกอบ อยู่ในระดับ มาก 3) ความสัมพันธ์ระหว่างแรงจูงใจใฝ่สัมฤทธิ์กับการกำกับตนเองของนักเรียน มีความสัมพันธ์ทางบวกอยู่ในระดับ สูง (r<sub>XY</sub>=.842) อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 เมื่อพิจารณารายองค์ประกอบ พบว่า ทุกองค์ประกอบมีความสัมพันธ์ทางบวกอยู่ในระดับ สูง อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01</p> <p> </p> 2025-04-14T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2025 วารสารมณีเชษฐาราม วัดจอมมณี https://so07.tci-thaijo.org/index.php/JMCR/article/view/7038 การศึกษาระดับความผูกพันต่อองค์กรของบุคลากรองค์การบริหารส่วน ตำบลคำเลาะ อำเภอไชยวาน จังหวัดอุดรธานี 2025-03-13T08:30:38+07:00 ศตวรรษ ฤทธิ์มหา sabujay_haha@hotmail.com สุปัน สมสาร์ sabujay_haha@hotmail.com <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาระดับความผูกพันต่อองค์กรของบุคลากรองค์การบริหารส่วนตำบลคำเลาะ อำเภอไชยวาน จังหวัดอุดรธานี 2) เพื่อเปรียบเทียบระดับความผูกพันต่อองค์กรของบุคลากรองค์การบริหารส่วนตำบลคำเลาะ อำเภอไชยวาน จังหวัดอุดรธานี ที่จำแนกตามเพศ อายุ ระดับการศึกษา รายได้เฉลี่ยต่อเดือน และประสบการณ์ทำงาน และ 3) เพื่อเสนอแนวทางการพัฒนาความผูกพันต่อองค์กรองค์การบริหารส่วนตำบลคำเลาะ อำเภอไชยวาน จังหวัดอุดรธานี ประชากรที่ใช้ในการศึกษาวิจัยครั้งนี้ คือบุคลากรขององค์การบริหารส่วนตำบลคำเลาะ ทั้งหมด จำนวน 104 คน เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมเป็นแบบสอบถาม สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล คือ จำนวน ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ทดสอบทีและการมดสอบเอฟ</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า</p> <ol> <li>ความผูกพันต่อองค์กรของบุคลากรองค์การบริหารส่วนตำบลคำเลาะ อำเภอไชยวาน จังหวัดอุดรธานี โดยภาพรวมอยู่ในระดับปานกลาง และเมื่อพิจารณารายด้าน พบว่า ด้านที่มีค่าเฉลี่ยสูงสุดคือด้านพฤติกรรม รองลงมาคือด้านการรับรู้ และด้านที่มีค่าเฉลี่ยต่ำสุดคือด้านความรู้สึก</li> <li>ผลการเปรียบเทียบระดับความผูกพันต่อองค์กรของบุคลากรองค์การบริหารส่วนตำบลคำเลาะ อำเภอไชยวาน จังหวัดอุดรธานี ที่จำแนกตามเพศ อายุ ระดับการศึกษา รายได้เฉลี่ยต่อเดือน และประสบการณ์ทำงาน โดยภาพรวมพบว่า บุคลากรขององค์การบริหารส่วนตำบลคำเลาะ อำเภอไชยวาน จังหวัดอุดรธานี ที่มีเพศ อายุ ระดับการศึกษา รายได้เฉลี่ยต่อเดือน และประสบการณ์ทำงานต่างกัน มีระดับความผูกพันต่อองค์กรไม่แตกต่างกัน</li> <li>แนวทางการพัฒนาความผูกพันต่อองค์กรองค์การบริหารส่วนตำบลคำเลาะ ได้แก่ การสร้างแรงจูงใจในเรื่องค่าตอบแทนที่เหมาะสมจัดสรรสวัสดิการให้ครอบคลุม เพื่อยกระดับความผูกพันต่อองค์กร</li> </ol> 2025-04-14T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2025 วารสารมณีเชษฐาราม วัดจอมมณี https://so07.tci-thaijo.org/index.php/JMCR/article/view/6864 แนวทางการพัฒนาภาวะผู้นำเชิงกลยุทธ์ในการเสริมสร้างความเป็นเลิศของสถานศึกษาในสหวิทยาเขตเมืองชลบุรี 3 สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาชลบุรีเขต 1 2025-03-03T17:29:31+07:00 ปัฐยา มีสุข pad.padtaya@gmail.com ประทุมทอง ไตรรัตน์ pad.padtaya@gmail.com <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) เพื่อศึกษาความต้องการจำเป็นของภาวะผู้นำเชิงกลยุทธ์ในการเสริมสร้างความเป็นเลิศของสถานศึกษาในสหวิทยาเขตเมืองชลบุรี 3 สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาชลบุรีเขต 1 และ 2) เพื่อนำเสนอแนวทางการพัฒนาภาวะผู้นำเชิงกลยุทธ์ในการเสริมสร้างความเป็นเลิศของสถานศึกษา ในสหวิทยาเขตเมืองชลบุรี 3 สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาชลบุรี เขต 1 เป็นการวิจัยเชิงปริมาณ กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ ผู้บริหารสถานศึกษา และครู จำนวน 196 คน โดยการสุ่มอย่างง่าย โดยมีผู้ตอบแบบสอบถาม จำนวน 180 คน การกำหนดขนาดกลุ่มตัวอย่างโดยใช้ตารางของเครจซี่และมอร์แกน (Krejcie &amp; Morgan) เครื่องมือที่ใช้คือแบบสอบถาม สถิติที่ใช้ได้แก่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และค่าดัชนีความต้องการจำเป็นแบบปรับปรุง </p> <p>ผลการวิจัย พบว่า 1) การศึกษาความต้องการจำเป็นได้แบ่งศึกษาออกเป็น 2 ด้านคือ ด้านที่ 1 ด้านการบริหารที่เสริมสร้างความเป็นเลิศ พบว่า ค่าดัชนีความต้องการจำเป็นอยู่ในระดับสูง (PNI<sub>modified</sub> = 0.35) และด้านที่ 2 ด้านการพัฒนาภาวะผู้นำเชิงกลยุทธ์ พบว่า ค่าดัชนีความต้องการจำเป็นอยู่ในระดับสูง (PNI<sub>modified</sub> = 0.38) และ 2) การนำเสนอแนวทางประกอบด้วย 4 แนวทาง ดังนี้ 1) พัฒนาทักษะภาวะผู้นำในการนำกลยุทธ์ไปปฏิบัติในการขับเคลื่อนสถานศึกษานำไปสู่เป้าหมายที่กำหนด 2) พัฒนาศักยภาพของผู้บริหารและบุคลากรในการควบคุมและประเมินกลยุทธ์สู่การปฏิบัติ 3) พัฒนาการสร้างองค์ความรู้ในชุมชนการเรียนรู้ทางวิชาชีพเพื่อแลกเปลี่ยนเรียนรู้ในการเสริมสร้างความเป็นเลิศ 4) พัฒนาการจัดกระบวนการบริหารการควบคุมและประเมินกลยุทธ์ในการนำกลยุทธ์ไปปฏิบัติ</p> 2025-04-14T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2025 วารสารมณีเชษฐาราม วัดจอมมณี https://so07.tci-thaijo.org/index.php/JMCR/article/view/6939 ระดับแรงจูงใจในการปฏิบัติงานของบุคลากรองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ในองค์การบริหารส่วนตำบลนาแกองค์การบริหารส่วนตำบลเทพคีรี, องค์การบริหารส่วนตำบลนาเหล่าองค์การบริหารส่วนตำบลวังทอง อำเภอนาวัง จังหวัดหนองบัวลำภู 2025-03-06T19:26:15+07:00 โกศล สอดส่อง nuspong.ggg@gmail.com <p>การศึกษาครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาระดับแรงจูงใจในการปฏิบัติงานของบุคลากรองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น 2) เพื่อเปรียบเทียบระดับแรงจูงใจในการปฏิบัติงานของบุคลากรองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ตามปัจจัยส่วนบุคคล 3) เพื่อให้ข้อเสนอแนวทางในการพัฒนาการบริหารงานให้เหมาะสมกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นใน อบต.นาแก,อบต.เทพคีรี,อบต.นาเหล่า,อบต.วังทอง อำเภอนาวัง จังหวัดหนองบัวลำภู ประชากรที่ใช้ในการการวิจัย ได้แก่ ข้าราชการหรือพนักงานส่วนตำบล 61 ลูกจ้างประจำ 6 พนักงานจ้าง 121 รวม 188 คน เป็นกลุ่มประชากรทั้งหมดเป็นกลุ่มตัวอย่าง สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ การแจกแจงความถี่ ค่าร้อยละ ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ทดสอบค่าที การวิเคราะห์ความแปรปรวนทางเดียว </p> <p> ผลการศึกษาพบว่า 1) ระดับแรงจูงใจในการปฏิบัติงานของบุคลากรองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ใน อบต.นาแก,อบต.เทพคีรี,อบต.นาเหล่า,อบต.วังทอง อำเภอนาวัง จังหวัดหนองบัวลำภู โดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก ค่าเฉลี่ย 3.48 และเมื่อพิจารณาเป็นรายด้านพบว่าด้านที่มีค่าเฉลี่ยสูงสุดคือ ด้านสภาพแวดล้อมและความมั่นคงในการทำงาน ค่าเฉลี่ย ค่าเฉลี่ย 3.70 รองลงมาคือด้านนโยบายและการบริหารค่าเฉลี่ย 3.67 และด้านที่มีค่าเฉลี่ยน้อยที่สุดคือด้านประโยชน์ตอบแทน ค่าเฉลี่ย 3.29 2) การเปรียบเทียบระดับแรงจูงใจในการปฏิบัติงานของบุคลากรองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น 4 แห่ง ที่จำแนกตามลักษณะปัจจัยส่วนบุคคล พบว่า เพศ และอายุ ไม่แตกต่างกัน ทั้งโดยรวมและรายด้าน ซึ่งไม่เป็นไปตามมติฐานที่ตั้งไว้ แต่ ระดับการศึกษา ประเภทตำแหน่ง รายได้ต่อเดือน แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ที่ระดับ 0.05 ซึ่งเป็นไปตามสมติฐานที่ตั้งไว้ และ 3) ข้อเสนอแนวเกี่ยวกับระดับแรงจูงใจในการปฏิบัติงานของบุคลากรองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ได้แก่ ควรมีการส่งเสริมและสนับสนุนทุนการศึกษาให้แก่บุคลากรอย่างเพียงพอ ควรนำผลการได้รับรางวัลต่าง ๆ ของบุคลากร ไปประกอบการประเมินผลการปฏิบัติราชการในแต่ละรอบการประเมินอย่างเป็นรูปธรรม</p> 2025-04-14T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2025 วารสารมณีเชษฐาราม วัดจอมมณี https://so07.tci-thaijo.org/index.php/JMCR/article/view/6869 กลยุทธ์การพัฒนาภาวะผู้นำเชิงวิสัยทัศน์ของผู้บริหารสถานศึกษาในการเสริมสร้างวัฒนธรรมองค์กรแบบมุ่งผลสำเร็จในสหวิทยาเขตเมืองชลบุรี 3 สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาชลบุรีเขต 1 2025-03-03T17:37:32+07:00 ณัฐกานต์ แสงงาม nuttakarn.amnath@gmail.com ประทุมทอง ไตรรัตน์ nuttakarn_amnath@gmail.com <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาระดับภาวะผู้นำเชิงวิสัยทัศน์ 2) ศึกษาจุดแข็ง จุดอ่อน โอกาส ภาวะคุกคาม และความต้องการจำเป็นของการพัฒนาภาวะผู้นำเชิงวิสัยทัศน์ และ3) นำเสนอกลยุทธ์การพัฒนาภาวะผู้นำเชิงวิสัยทัศน์ของผู้บริหารสถานศึกษาในการเสริมสร้างวัฒนธรรมองค์กรแบบมุ่งผลสำเร็จในสหวิทยาเขตเมืองชลบุรี 3 สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาชลบุรี เขต 1 กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ ผู้บริหารสถานศึกษา และครู จำนวน 196 คน โดยการสุ่มอย่างง่าย โดยมีผู้ตอบแบบสอบถาม จำนวน 162 คน กำหนดขนาดกลุ่มตัวอย่างโดยใช้ตารางของเครจซี่และมอร์แกน เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูลคือแบบสอบถาม สถิติที่ใช้ได้แก่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และค่าดัชนีความต้องการจำเป็น</p> <p> ผลการวิจัย พบว่า 1) ภาวะผู้นำเชิงวิสัยทัศน์ของผู้บริหารสถานศึกษาในการเสริมสร้างวัฒนธรรมองค์กรแบบมุ่งผลสำเร็จ ในภาพรวมอยู่ในระดับมาก ( = 3.79, S.D<strong> = </strong>0.86) 2) ความต้องการจำเป็นของผู้นำเชิงวิสัยทัศน์ของผู้บริหารสถานศึกษา พบว่า ด้านการสร้างวิสัยทัศน์ ด้านการเผยแพร่วิสัยทัศน์และด้านการปฏิบัติตามวิสัยทัศน์ อยู่ในกลุ่มต่ำเป็นจุดแข็ง และด้านการเป็นแบบอย่างที่ดี อยู่ในกลุ่มสูงเป็นจุดอ่อน และความต้องการจำเป็น (PNI<sub>modified</sub><strong> =</strong> 0.18) ในส่วนของความเป็นวัฒนธรรมองค์กรแบบมุ่งผลสำเร็จของสถานศึกษา พบว่า สภาพปัจจุบัน อยู่ในระดับมาก ( = 3.73, S.D<strong> = </strong>0.86) และความต้องการจำเป็น (PNI<sub>modified</sub><strong> = </strong>0.23) และ3) กลยุทธ์พัฒนาผู้นำประกอบด้วย 2 กลยุทธ์หลัก 4 กลยุทธ์รอง ดังนี้ 1) เสริมสร้างการพัฒนาความสามารถผ่านการเรียนรู้และประสบการณ์ที่เชื่อมโยงกับเป้าหมายองค์กร และ2) เสริมสร้างการพัฒนาระบบนิเวศขององค์กรส่งเสริมพลังบวกในการทำงาน</p> 2025-04-14T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2025 วารสารมณีเชษฐาราม วัดจอมมณี https://so07.tci-thaijo.org/index.php/JMCR/article/view/6713 แนวทางการส่งเสริมสุขภาวะภายในโรงเรียนตามแนวคิดโรงเรียนสุขภาวะ อำเภอปะเหลียน สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาตรัง เขต 1 2025-03-04T15:08:38+07:00 ณัฐกานต์ โพชสาลี natttakan1158@gmail.com ทิพย์ ขำอยู่ thipkhumyoo@gmail.com <p>การวิจัยเรื่องนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาความต้องการจำเป็นของการส่งเสริมสุขภาวะภายในโรงเรียน อำเภอปะเหลียน สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาตรัง เขต 1 และ 2) เพื่อศึกษาแนวทางการส่งเสริมสุขภาวะภายในโรงเรียน อำเภอปะเหลียน สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาตรัง เขต 1 การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงบรรยาย กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ ผู้บริหารโรงเรียน ศึกษานิเทศก์ ครูผู้รับผิดชอบงานส่งเสริมสุขภาวะภายในโรงเรียน ครูหัวหน้ากลุ่มการบริหารงานวิชาการ คณะกรรมการสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน นักวิชาการสาธารณสุข และผู้ทรงคุณวุฒิ เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูลได้แก่ แบบสัมภาษณ์ แบบสอบถาม แบบบันทึกการสนทนากลุ่ม และแบบประเมินความเหมาะสมและความเป็นไปได้ วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติพื้นฐาน และวิเคราะห์ดัชนีความต้องการจำเป็น และวิเคราะห์ข้อมูลเชิงคุณภาพด้วยการวิเคราะห์เนื้อหา</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า 1) ความต้องการจำเป็นเร่งด่วนในการส่งเสริมสุขภาวะภายในโรงเรียน อำเภอปะเหลียน สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาตรัง เขต 1 ได้แก่ ผู้เรียนเป็นสุข รองลงมา โรงเรียนเป็นสุข สภาพแวดล้อมเป็นสุข ครอบครัวเป็นสุข และชุมชนเป็นสุข ตามลำดับ และ 2) แนวทางการส่งเสริมสุขภาวะภายในโรงเรียน อำเภอปะเหลียน สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาตรัง เขต 1 ด้านผู้เรียนเป็นสุขมี 6 แนวทาง ด้านโรงเรียนเป็นสุขมี 4 แนวทาง ด้านสภาพแวดล้อมเป็นสุขมี 2 แนวทาง ด้านครอบครัวเป็นสุขมี 4 แนวทาง และด้านชุมชนเป็นสุขมี 2 แนวทาง ซึ่งผลการประเมินความเหมาะสมและความเป็นไปได้ของแนวทางการส่งเสริมสุขภาวะภายในโรงเรียน อำเภอปะเหลียน สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาตรัง เขต 1 โดยภาพรวมมีความเหมาะสมและความเป็นไปได้อยู่ในระดับมากที่สุด</p> <p> </p> 2025-04-14T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2025 วารสารมณีเชษฐาราม วัดจอมมณี https://so07.tci-thaijo.org/index.php/JMCR/article/view/7032 การพัฒนาความสามารถการเขียนโปรแกรมแบบมีเงื่อนไขด้วย Scratch โดยใช้การจัดการเรียนรู้แบบโครงงานเป็นฐานของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 2025-03-11T18:44:40+07:00 ชนธัญ ติณหโชติเดชา chanathan.nice@gmail.com อรณิชชา ทศตา chanathan.nice@gmail.com <p>งานวิจัยมีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) เปรียบเทียบความสามารถในการเขียนโปรแกรมแบบมีเงื่อนไขด้วย Scratch โดยใช้การจัดการเรียนรู้แบบโครงงานเป็นฐาน ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 เทียบกับเกณฑ์ร้อยละ 70 2) เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนในการเขียนโปรแกรมแบบมีเงื่อนไขด้วย Scratch โดยใช้การจัดการเรียนรู้แบบโครงงานเป็นฐานของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 เทียบกับเกณฑ์ร้อยละ 70 และ 3) ศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ที่มีต่อกิจกรรมการเรียนรู้เรื่องการเขียนโปรแกรมแบบมีเงื่อนไขด้วย Scratch โดยใช้การจัดการเรียนรู้แบบโครงงานเป็นฐาน กลุ่มตัวอย่าง คือ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6/6 โรงเรียนโชคชัยพรหมบุตรบริหาร ที่กำลังศึกษาอยู่ในภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2567 จำนวน 33 คน โดยวิธีการเลือกตัวอย่างแบบเจาะจง เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ 1) แผนการจัดการเรียนรู้โดยใช้การจัดการเรียนรู้แบบโครงงานเป็นฐาน 2) แบบวัดความสามารถการเขียนโปรแกรมแบบมีเงื่อนไขด้วย Scratch 3) แบบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนเรื่องการเขียนโปรแกรมแบบมีเงื่อนไขด้วย Scratch และ 4) แบบประเมินความพึงพอใจต่อการจัดการเรียนรู้ สถิติที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และทดสอบสมมติฐานด้วยสถิติการทดสอบกลุ่มตัวอย่าง 1 กลุ่ม เทียบกับเกณฑ์</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า 1) นักเรียนมีความสามารถในการเขียนโปรแกรมแบบมีเงื่อนไขด้วย Scratch หลังการจัดการเรียนรู้แบบโครงงานเป็นฐาน มีคะแนนสูงกว่าเกณฑ์ร้อยละ 70 อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.01 2) นักเรียนมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนในการเขียนโปรแกรม Scratch หลังใช้การจัดการเรียนรู้แบบโครงงานเป็นฐาน มีคะแนนสูงกว่าเกณฑ์ร้อยละ 70 อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.01 และ 3) นักเรียนมีความพึงพอใจต่อการจัดการเรียนรู้เรื่องการเขียนโปรแกรมแบบมีเงื่อนไขด้วย Scratch โดยใช้การจัดการเรียนรู้แบบโครงงานเป็นฐาน อยู่ในระดับมากที่สุด ( = 4.51, S.D. = 0.51)</p> 2025-04-14T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2025 วารสารมณีเชษฐาราม วัดจอมมณี https://so07.tci-thaijo.org/index.php/JMCR/article/view/6806 การพัฒนาความสามารถการอ่านและการเขียนสะกดคำภาษาอังกฤษ โดยการจัดการเรียนรู้แบบ Picture Word Inductive Model (PWIM) ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 สังกัดองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น จังหวัดอำนาจเจริญ 2025-02-27T17:11:32+07:00 กรรณภิรมย์ กาญจนีย์ kanpiromkanjanee@gmail.com ระพิน ชูชื่น Kanpiromkanjanee@gmail.com วาสนา นิลหล้า Kanpiromkanjanee@gmail.com <p>การวิจัยในครั้งนี้มีจุดประสงค์เพื่อ 1) เปรียบเทียบความสามารถในการอ่านและการเขียนสะกดคำของนักเรียนก่อนและหลังเรียนด้วยวิธี PWIM และ 2) ศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนต่อการจัดการเรียนรู้แบบ PWIM กลุ่มตัวอย่างเป็นนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนเทศบาลอำนาจ จำนวน 24 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แผนการจัดเรียนรู้ 8 แผน แบบทดสอบวัดความสามารถในการอ่านและการเขียนสะกดคำและแบบสอบถามความพึงพอใจ วิเคราะห์ข้อมูล โดยใช้ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานและ t-test</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1) แผนการจัดการเรียนรู้มีประสิทธิภาพ 81.51/88.89 ซึ่งเป็นไปตามเกณฑ์ 80/80 2) นักเรียนมีคะแนนเฉลี่ยด้านการอ่านและการเขียนสะกดคำสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ .05 และ 3) นักเรียนมีความพึงพอใจต่อการจัดการเรียนรู้แบบ PWIM ในระดับมาก ข้อมูลที่ได้จากการศึกษานี้สามารถนำไปใช้เป็นแนวทางในการพัฒนาการสอนภาษาอังกฤษในระดับประถมศึกษาได้อย่างมีประสิทธิภาพ</p> 2025-04-14T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2025 วารสารมณีเชษฐาราม วัดจอมมณี https://so07.tci-thaijo.org/index.php/JMCR/article/view/7097 สภาพและแนวทางการพัฒนาภาวะผู้นำตามสถานการณ์ของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาลำปาง เขต 1 2025-03-14T21:43:03+07:00 พิมพ์พร สมทราย looknounarak@gmail.com ธารารัตน์ มาลัยเถาว์ looknounarak@gmail.com <p>การวิจัยเรื่องนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาภาวะผู้นำตามสถานการณ์ของผู้บริหารสถานศึกษา และเปรียบเทียบภาวะผู้นำตามสถานการณ์ของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาลำปาง เขต 1 จำแนกตามประสบการณ์การทำงาน วุฒิการศึกษา และขนาดสถานศึกษา และ 2) เพื่อศึกษาแนวทางการพัฒนาภาวะผู้นำตามสถานการณ์ของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาลำปาง เขต 1 เป็นการวิจัยผสมผสาน เก็บข้อมูลเชิงปริมาณโดยใช้แบบสอบถามเป็นเครื่องมือกับกลุ่มตัวอย่าง ครูผู้สอน สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาลำปาง เขต 1 จำนวน 269 คน โดยใช้สูตรตารางสำเร็จรูปของเครจซี่และมอร์แกน สถิติที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ การแจกแจงความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การวิเคราะห์สถิติที และการวิเคราะห์ความแปรปรวนทางเดียว เก็บข้อมูลเชิงคุณภาพโดยการสัมภาษณ์ผู้ทรงคุณวุฒิ จำนวน 6 คน วิเคราะห์ข้อมูลโดยการวิเคราะห์เนื้อหา</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า 1) ระดับความคิดเห็นที่มีต่อภาวะผู้นำตามสถานการณ์ของผู้บริหารสถานศึกษาสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาลำปางเขต 1 อยู่ในระดับมาก 2) ภาวะผู้นำตามสถานการณ์ของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาลำปางเขต 1 จำแนกตามวุฒิการศึกษา และขนาดของสถานศึกษามีความแตกต่างกัน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 3) แนวทางการพัฒนาภาวะผู้นำตามสถานการณ์ของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาลำปาง เขต 1 ได้แก่ การพัฒนาทักษะในการบริหารสถานศึกษา การวางแผนควบคู่กับการออกข้อสั่งการ การเปิดโอกาสให้บุคลากรในสังกัดได้มีการซักถาม ขอคำปรึกษา การรับฟังความคิดเห็น และการมอบหมายงานให้ตรงตามความสามารถ</p> 2025-04-14T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2025 วารสารมณีเชษฐาราม วัดจอมมณี https://so07.tci-thaijo.org/index.php/JMCR/article/view/7104 สภาพและแนวทางการพัฒนาภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลงของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาลำปาง เขต 1 2025-03-15T15:00:47+07:00 พรรณี เชื้อคำลือ kroopannee@gmail.com ธารารัตน์ มาลัยเถาว์ kroopannee@gmail.com <p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาสภาพภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลงของผู้บริหารสถานศึกษาและเปรียบเทียบภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลงของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาลำปาง เขต 1 จำแนกตามคุณวุฒิการศึกษาประสบการณ์การทำงานและขนาดของสถานศึกษา และ 2) เพื่อศึกษาแนวทางการพัฒนาภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลงของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาลำปาง เขต 1 เป็นการวิจัยผสมผสาน เก็บข้อมูลเชิงปริมาณโดยใช้แบบสอบถามเป็นเครื่องมือกับกลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ ครูผู้สอน สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาลำปาง เขต 1 จำนวน 269 คน โดยใช้สูตรตารางสำเร็จรูปของเครจซี่และมอร์แกน สถิติที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ การแจกแจงความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การวิเคราะห์สถิติที และการวิเคราะห์ความแปรปรวนทางเดียว เก็บข้อมูลเชิงคุณภาพโดยการสัมภาษณ์ผู้ทรงคุณวุฒิ จำนวน 6 คน วิเคราะห์ข้อมูลโดยการวิเคราะห์เนื้อหา</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า 1) ระดับความคิดเห็นที่มีต่อภาวะผู้นำตามสถานการณ์ของผู้บริหารสถานศึกษาสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาลำปางเขต 1 อยู่ในระดับมาก 2) ภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลงของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาลำปางเขต 1 จำแนกตามระดับการศึกษา ประสบการณืการทำงานและขนาดของสถานศึกษาไม่แตกต่างกัน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 3) แนวทางการพัฒนาภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลงของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาลำปาง เขต 1 ได้แก่ ผู้บริหารสถานศึกษาควรมีอุดมการณ์และวิสัยทัศน์ที่ชัดเจน เป็นแบบอย่างที่ดีในด้านคุณธรรมและจริยธรรม มีความโปร่งใส และสามารถสร้างแรงบันดาลใจให้แก่ผู้อื่น โดยส่งเสริมความต้องการในการเรียนรู้และพัฒนาความรู้รวมถึงประสบการณ์ของครู พร้อมทั้งคำนึงถึงความแตกต่างระหว่างบุคคลอย่างเหมาะสม</p> 2025-04-14T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2025 วารสารมณีเชษฐาราม วัดจอมมณี https://so07.tci-thaijo.org/index.php/JMCR/article/view/6994 การบริหารงานประชาสัมพันธ์ วิทยาลัยการอาชีพอู่ทอง 2025-03-11T16:24:52+07:00 ณัฏฐ์กชพร ปุลินถิรพุทธิ์ asiriporn1993@gmail.com จงกล เดชปั้น asiriporn1993@gmail.com อโณทัย ไทยวรรณศรี asiriporn1993@gmail.com <p>การวิจัยในครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาการบริหารงานประชาสัมพันธ์ของวิทยาลัยการอาชีพ อู่ทอง จังหวัดสุพรรณบุรี 2) เปรียบเทียบความคิดเห็นของบุคลากรต่อการบริหารงานประชาสัมพันธ์ของวิทยาลัยการอาชีพอู่ทอง ประชากรที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ ได้แก่ ผู้บริหาร ครู เจ้าหน้าที่ จำนวน 58 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยเป็นแบบสอบถามมาตรประมาณค่า 5 ระดับ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลได้แก่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า 1) ผลการศึกษาสภาพการบริหารงานประชาสัมพันธ์ของวิทยาลัยการอาชีพอู่ทอง โดยภาพรวม พบว่า มีความพึงพอใจอยู่ในระดับมาก เมื่อพิจารณาเป็นรายด้าน พบว่า การดำเนินงานประชาสัมพันธ์มีความพึงพอใจมากที่สุด รองลงมาคือ การจัดสรรงบประมาณและทรัพยากรในการประชาสัมพันธ์ การจัดองค์กรการประชาสัมพันธ์ และด้านการกำหนดนโยบายประชาสัมพันธ์ ตามลำดับ และ 2) ผลการเปรียบเทียบความคิดเห็นของบุคลากรต่อการบริหารงานประชาสัมพันธ์ของวิทยาลัย การอาชีพอู่ทอง ไม่แตกต่างกัน</p> 2025-04-14T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2025 วารสารมณีเชษฐาราม วัดจอมมณี https://so07.tci-thaijo.org/index.php/JMCR/article/view/6995 การศึกษาสภาพการอ่านออกเขียนได้ของนักเรียนในโรงเรียนพื้นที่อำเภอด่านช้าง สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสุพรรณบุรี เขต 3 2025-03-11T16:31:09+07:00 ณัฏฐ์กชพร ปุลินถิรพุทธิ์ asiriporn1993@gmail.com บุศรา เชื้อดี asiriporn1993@gmail.com พัชรี เมืองสอง asiriporn1993@gmail.com <p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อศึกษาสภาพการอ่านออกเขียนได้ของนักเรียนระดับประถมศึกษาในโรงเรียนพื้นที่อำเภอด่านช้าง สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสุพรรณบุรี เขต 3 และเปรียบเทียบสภาพการอ่านออกเขียนได้ของนักเรียนระดับประถมศึกษาในโรงเรียนพื้นที่อำเภอด่านช้าง สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสุพรรณบุรี เขต 3 กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ บุคลากรทางการศึกษาของโรงเรียนระดับประถมศึกษาในอำเภอด่านช้าง สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสุพรรณบุรี เขต 3 จำนวน 186 คน ได้มาจากการสุ่มตัวอย่างอย่างง่าย แบบตารางเลขสุ่ม เก็บข้อมูลโดยใช้แบบสอบถาม และวิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติเชิงพรรณนา ได้แก่ ค่าความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน รวมถึงการทดสอบสมมติฐานด้วย t-test และ F-test (One Way ANOVA)</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า 1) สภาพสภาพการอ่านออกเขียนได้ของนักเรียนระดับประถมศึกษาในโรงเรียนพื้นที่อำเภอด่านช้าง สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสุพรรณบุรี เขต 3 โดยรวมและรายด้านอยู่ในระดับมาก 2) ผลการเปรียบเทียบสภาพการอ่านออกเขียนได้ของนักเรียนระดับประถมศึกษา พบว่า บุคลากรที่มีขนาดโรงเรียนวิทยฐานะครูผู้สอน และประสบการณ์การสอนที่ต่างกันมีสภาพการดำเนินการส่งเสริมการอ่านออกเขียนได้แก่นักเรียนระดับประถมศึกษาของโรงเรียนในอำเภอด่านช้าง สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสุพรรณบุรี เขต 3 แตกต่างกัน</p> 2025-04-14T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2025 วารสารมณีเชษฐาราม วัดจอมมณี https://so07.tci-thaijo.org/index.php/JMCR/article/view/6996 การศึกษาแนวทางการพัฒนาการดำเนินงานระบบการดูแลช่วยเหลือนักเรียนของสถานศึกษาในสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาราชบุรี เขต 2 2025-03-11T16:38:23+07:00 ณัฏฐ์กชพร ปุลินถิรพุทธิ์ asiriporn1993@gmail.com พิศาระวี วีระพงศ์พร asiriporn1993@gmail.com บุศรา เชื้อดี asiriporn1993@gmail.com <p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ ดังนี้ 1) เพื่อศึกษาสภาพปัจจุบันและปัญหาการดำเนินงานระบบการดูแลช่วยเหลือนักเรียนในสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาราชบุรี เขต 2 และ 2) เพื่อศึกษาแนวทางการพัฒนาการดำเนินงานระบบการดูแลช่วยเหลือนักเรียนในสถานศึกษา กลุ่มตัวอย่างประกอบด้วย ผู้บริหารสถานศึกษา ข้าราชการครู ครูอัตราจ้าง และบุคลากรทางการศึกษา โดยใช้วิธีการสุ่มตัวอย่างแบบหลายขั้นตอน สำหรับขั้นตอนที่ 1 จำนวน 291 คน และเลือกแบบเจาะจงสำหรับขั้นตอนที่ 2 จำนวน 12 คน เก็บรวบรวมข้อมูลเชิงปริมาณ โดยใช้แบบสอบถามชนิดมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ มีค่าอำนาจจำแนกอยู่ระหว่าง 0.42 - 0.77 และมีค่าความเชื่อมั่นเท่ากับ 0<strong>.</strong>91 วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้ค่าเฉลี่ยและส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ส่วนข้อมูลเชิงคุณภาพเก็บข้อมูลโดยใช้แบบสัมภาษณ์ แล้วนำมาวิเคราะห์เนื้อหา และนำเสนอข้อมูลเชิงพรรณนา</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า 1) สภาพการดำเนินงานระบบการดูแลช่วยเหลือนักเรียนของโรงเรียน สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาราชบุรี เขต 2 โดยรวมและรายด้านอยู่ในระดับมาก 2) แนวทาง การพัฒนาระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียนของโรงเรียน สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาราชบุรี เขต 2 ประกอบด้วย 5 ด้าน มีการปฏิบัติระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียนตามแนวทาง คือ ด้านการรู้จักนักเรียนเป็นรายบุคคล เช่น สถานศึกษามีการรวบรวมข้อมูลด้านความสามารถพิเศษของนักเรียนอย่างเป็นระบบ<strong> </strong>ด้านการคัดกรองนักเรียน เช่น สถานศึกษาวิเคราะห์ข้อมูลของนักเรียนที่ได้จากการเก็บรวบรวมข้อมูลนักเรียนเป็นรายบุคคล ด้านการส่งเสริมและพัฒนานักเรียน เช่น สถานศึกษาจัดกิจกรรมส่งเสริมและพัฒนานักเรียน ด้านการป้องกันและแก้ไขปัญหา เช่น สถานศึกษามีการช่วยเหลือดูแลนักเรียนกลุ่มเสี่ยงและกลุ่มมีปัญหา อย่างใกล้ชิด และด้านการส่งต่อนักเรียน เช่น สถานศึกษาส่งต่อนักเรียนให้ได้รับการช่วยเหลือที่ถูกต้องและรวดเร็ว</p> 2025-04-14T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2025 วารสารมณีเชษฐาราม วัดจอมมณี https://so07.tci-thaijo.org/index.php/JMCR/article/view/6933 การพัฒนาชุมชนแห่งการเรียนรู้ทางวิชาชีพในสถานศึกษาสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาหนองบัวลำภู เขต 2 2025-03-05T19:50:15+07:00 วรรณภา นันทะแสง wannapa145789@gmail.com กนกอร ทองศรี wannapa145789@gmail.com สุขุม พรมเมืองคุณ wannapa145789@gmail.com แสงดาว คงนาวัง wannapa145789@gmail.com <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาระดับการพัฒนาชุมชนแห่งการเรียนรู้ทางวิชาชีพในสถานศึกษาสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาหนองบัวลำภู เขต 2 2)เพื่อศึกษาเปรียบเทียบการพัฒนาชุมชนแห่งการเรียนรู้ทางวิชาชีพในสถานศึกษาสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาหนองบัวลำภู เขต 2 ที่จำแนกตามเพศ ระดับการศึกษา ตำแหน่ง และประสบการณ์ในการปฏิบัติงาน 3) เพื่อศึกษาแนวทางการพัฒนาชุมชนแห่งการเรียนรู้ทางวิชาชีพในสถานศึกษาสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาหนองบัวลำภู เขต 2 กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้คือ ผู้บริหารสถานศึกษาและครูผู้สอนในโรงเรียน ด้วยตารางสำเร็จรูปของ เครจซี่และมอร์แกน ได้จํานวน 285 คน เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล เป็นแบบสอบถามประกอบไปด้วยเนื้อหา 3 ส่วน สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล คือสถิติพรรณนาได้แก่ จำนวน ร้อยละ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานสำหรับข้อมูลทั่วไปของกลุ่มตัวอย่าง สถิติเชิงอนุมานได้แก่ T-test และ F-test ค่าความเชื่อมั่นของแบบสอบถามเท่ากับ 0.796</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า 1) การพัฒนาชุมชนแห่งการเรียนรู้ทางวิชาชีพในสถานศึกษา โดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก และเมื่อพิจารณารายด้าน พบว่า ด้านที่มีค่าเฉลี่ยสูงสุด คือ ด้านการเรียนรู้และพัฒนาวิชาชีพ รองลงมา คือด้านชุมชนกัลยาณมิตร และด้านที่มีค่าเฉลี่ยน้อยที่สุด คือ ด้านโครงสร้างสนับสนุนชุมชน 2) ผลการเปรียบเทียบการพัฒนาชุมชนแห่งการเรียนรู้ทางวิชาชีพในสถานศึกษา ที่จำแนกตามเพศ ระดับการศึกษา ตำแหน่ง และประสบการณ์ในการปฏิบัติงาน โดยภาพรวม พบว่า ผู้บริหารสถานศึกษาและครูผู้สอนที่มีเพศ ระดับการศึกษา ตำแหน่ง และประสบการณ์ในการปฏิบัติงานต่างกัน มีความคิดเห็นต่อการพัฒนาชุมชนแห่งการเรียนรู้ทางวิชาชีพในสถานศึกษา ไม่แตกต่างกัน 3) ข้อเสนอแนะแนวทางการพัฒนาชุมชนแห่งการเรียนรู้ทางวิชาชีพในสถานศึกษา ได้แก่ จัดการประชุมเพื่อให้ครูและบุคลากรในโรงเรียนมีการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นและกำหนดวิสัยทัศน์ที่ชัดเจนในการพัฒนาชุมชนแห่งการเรียนรู้ทางวิชาชีพ</p> 2025-04-14T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2025 วารสารมณีเชษฐาราม วัดจอมมณี https://so07.tci-thaijo.org/index.php/JMCR/article/view/6840 การพัฒนากิจกรรมการเรียนรู้ โดยใช้รูปแบบสืบเสาะหาความรู้ 5 ขั้นตอนร่วมกับการสอนอ่านแบบ PWIM เพื่อพัฒนาทักษะด้านการอ่านและการเขียนสะกดคำในมาตราตัวสะกด สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 2025-03-02T13:49:23+07:00 ณัฏฐณิชา หทัยพัฒน์โภคิน Lumyai.se@up.ac.th ลำไย สีหามาตย์ Lumyai.se@up.ac.th <p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อพัฒนากิจกรรมการจัดการเรียนรู้โดยใช้รูปแบบสืบเสาะหาความรู้ 5 ขั้นตอน ร่วมกับการสอนอ่านแบบ PWIM มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์มาตรฐาน 80/80 2) เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนด้านการอ่านและเขียนสะกดคำในมาตราตัวสะกด ก่อนเรียนและหลังเรียน และ 3) เพื่อศึกษาระดับทักษะด้านการอ่านและการเขียนสะกดคำในมาตราตัวสะกด หลังจากที่ได้รับการจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ 5 ขั้นตอนร่วมกับการสอนอ่านแบบ PWIM กลุ่มตัวอย่าง คือ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนสกาดพัฒนา อำเภอปัว จังหวัดน่าน ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2567 จำนวน 17 คน โดยเลือกกลุ่มตัวอย่างแบบเจาะจง (Purposive sampling) เครื่องมือ ได้แก่ 1) แผนการจัดการเรียนรู้ จำนวน 10 แผน 2) แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนด้านทักษะการอ่านและเขียนสะกดคำ เรื่อง มาตราตัวสะกด ชนิดปรนัย จำนวน 30 ข้อ และ 3) แบบประเมินแบบฝึก การวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ค่าประสิทธิภาพ และการทดสอบค่าที (t-test dependent)</p> <p> ผลการวิจัย พบว่า 1) กิจกรรมการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ 5 ขั้นตอน ร่วมกับการสอนอ่านแบบ PWIM มีประสิทธิภาพ (E1/E2) เท่ากับ 90.24/83.53 สูงกว่าเกณฑ์มาตรฐาน 80/80 ที่ตั้งไว้ 2) ผลการเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนด้านการอ่านและเขียนสะกดคำในมาตราตัวสะกด โดยใช้กิจกรรมการจัดการเรียนรู้รูปแบบสืบเสาะหาความรู้ 5 ขั้นตอนร่วมกับการสอนอ่านแบบ PWIM พบว่า หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 และ 3) ผลการประเมินระดับทักษะด้านการอ่านและการเขียนสะกดคำในมาตราตัวสะกดของนักเรียนหลังเรียนในภาพรวมอยู่ในระดับดี</p> 2025-04-14T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2025 วารสารมณีเชษฐาราม วัดจอมมณี https://so07.tci-thaijo.org/index.php/JMCR/article/view/7122 ผลการส่งเสริมความสามารถในการสื่อสารภาษาอังกฤษของเด็กปฐมวัยด้วยการจัดกิจกรรมการเล่านิทานอีสปโรงเรียนบ้านท่าศิลา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษายโสธรเขต 2 2025-03-18T16:31:41+07:00 รุจิรา บุญสิงห์ rujira.b1993@gmail.com นนทชนนปภพ ปาลินทร Rujira.b1993@gmail.com <p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงคเพื่อ 1) ส่งเสริมความสามารถในการสื่อสารภาษาอังกฤษของเด็กปฐมวัยก่อนและหลังได้รับการจัดกิจกรรมเล่านิทานอีสปและ 2) เปรียบเทียบความสามารถในการสื่อสารภาษาอังกฤษของเด็กปฐมวัยก่อนและหลังได้รับการจัดกิจกรรมเล่านิทานอีสป กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยได้แก่เด็กปฐมวัย ชายหญิง อายุ 5-6 ปี ที่กำลังศึกษาชั้นอนุบาลปีที่ 3 ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2567 โรงเรียนบ้านท่าศิลา ตำบลห้องแซง อำเภอเลิงนกทา จังหวัดยโสธร สังกัดการศึกษาประถมศึกษายโสธรเขต 2 จำนวน 11 คน กลุ่มตัวอย่างได้มาจากการสุ่มแบบกลุ่ม เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยประกอบด้วย 1) นิทานอีสป จำนวน 8 เรื่อง และ 2) แบบทดสอบความสามารถในการพัฒนาการสื่อสารภาษาอังกฤษของเด็กปฐมวัย ดังนี้ การรู้คำศัพท์ของเด็กปฐมวัย จำนวน 6 ข้อ และการถ่ายทอดคำศัพท์ของเด็กปฐมวัยจำนวน 6 ข้อ ค่าความยากง่ายของแบบทดสอบความสามารถทั้ง 2 แบบ อยู่ระหว่าง 0.40-0.80 และค่าความเหมาะสมของค่าอำนาจจำแนกอยู่ระหว่าง 0.30-0.60 และมีค่าความเชื่อมั่นเท่ากับ 0.88 สถิติที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และสถิติที่ใช้ทดสอบสมมุติฐานคำนวณค่าที</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1) ความสามารถในการสื่อสารภาษาอังกฤษของเด็กปฐมวัยที่ได้รับการจัดกิจกรรมการเล่านิทานอีสป โดยเฉลี่ยเท่ากับ 28.73 และค่า S.D. เท่ากับ 2.38 ซึ่งมีความสามารถในการสื่อสารภาษาอังกฤษอยู่ในระดับสูง 2) ผลการเปรียบเทียบความสามารถในการสื่อสารภาษาอังกฤษของเด็กปฐมวัยหลังการจัดกิจกรรมการเล่านิทานอีสปสูงกว่าก่อนการจัดกิจกรรมการเล่านิทานอีสปอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.5</p> 2025-04-14T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2025 วารสารมณีเชษฐาราม วัดจอมมณี https://so07.tci-thaijo.org/index.php/JMCR/article/view/7141 ผลการจัดกิจกรรมการเคลื่อนไหวประกอบคำบรรยายที่มีต่อพฤติกรรม การกล้าแสดงออกของเด็กปฐมวัย 2025-03-25T19:33:37+07:00 สุคนธ์ทิพย์ ชูจิตร beam9794@gmail.com นนทชนนปภพ ปาลินทร beam9794@gmail.com <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาพฤติกรรมกล้าแสดงออกของเด็กปฐมวัยก่อนและหลังการสอนโดยใช้กิจกรรมการเคลื่อนไหวประกอบคําบรรยาย 2) เพื่อเปรียบเทียบพฤติกรรมกล้าแสดงออกของเด็กปฐมวัยก่อนและหลังการสอนโดยใช้กิจกรรมการเคลื่อนไหวประกอบคําบรรยาย กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ เด็กปฐมวัย ชาย-หญิง อายุระหว่าง 4-5 ปี ที่กำลังศึกษาอยู่ในชั้นอนุบาลปีที่ 2 ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2567 ศูนย์พัฒนาเด็กเล็กบ้านยาง ตำบลแก้ง อำเภอเดชอุดม จังหวัดอุบลราชธานี จำนวน 20 คน (องค์การบริหารส่วนตำบลแก้ง, 2567) ได้มาโดยการสุ่มแบบกลุ่ม เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ 1) แผนการจัดกิจกรรมการเคลื่อนไหวประกอบคำบรรยาย จำนวน 12 แผน และ 2) แบบสังเกตพฤติกรรมการกล้าแสดงออก ของเด็กปฐมวัย จำนวน 6 ข้อ สถิติที่ใช้ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการทดสอบค่าที</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า</p> <ol> <li>พฤติกรรมการกล้าแสดงออกของเด็กปฐมวัยก่อนได้รับการจัดกิจกรรมการเคลื่อนไหวประกอบคำบรรยาย โดยรวมอยู่ในระดับต่ำ เมื่อภายหลังที่เด็กปฐมวัยได้รับการจัดกิจกรรมการเคลื่อนไหวประกอบคำบรรยาย โดยรวมอยู่ในระดับสูง 2. พฤติกรรมการกล้าแสดงออกของเด็กปฐมวัยหลังได้รับการจัดกิจกรรมการเคลื่อนไหวประกอบคำบรรยายโดยรวม สูงกว่า ก่อนได้รับการจัดกิจกรรมการเคลื่อนไหวประกอบคำบรรยาย อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05<u> </u></li> </ol> 2025-04-14T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2025 วารสารมณีเชษฐาราม วัดจอมมณี https://so07.tci-thaijo.org/index.php/JMCR/article/view/6970 การพัฒนาการเรียนรู้หลักการนับเบื้องต้นโดยใช้ปัญหาเป็นฐานร่วมกับ GeoGebra เพื่อส่งเสริมผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ปรับเจตคติ และลดความวิตกกังวลต่อวิชาคณิตศาสตร์ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 2025-03-08T16:11:41+07:00 พัฒน์ปพงษ์ บุญประภาศรี phatpaphongrmu@gmail.com รามนรี นนทภา ramnaree_cute.pig@hotmail.com <p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) พัฒนาการจัดกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้ปัญหาเป็นฐานร่วมกับโปรแกรม GeoGebra เรื่อง หลักการนับเบื้องต้น ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 ให้มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ 70/70 2) ศึกษาผลสัมฤทธิ์ เจตคติ และความวิตกกังวลต่อวิชาคณิตศาสตร์ 3) เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน และเจตคติต่อวิชาคณิตศาสตร์ ก่อนและหลังเรียน 4) เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน และเจตคติต่อวิชาคณิตศาสตร์ กับเกณฑ์ร้อยละ 70 และ 5) เปรียบเทียบการเปลี่ยนแปลงเจตคติและความวิตกกังวลต่อวิชาคณิตศาสตร์ ในระยะเวลาต่าง ๆ กลุ่มตัวอย่าง คือ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 จำนวน 39 คน โดยวิธีการสุ่มแบบกลุ่ม เครื่องมือที่ใช้ 1) แผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ เรื่อง หลักการนับเบื้องต้น โดยใช้ปัญหาเป็นฐานร่วมกับโปรแกรม GeoGebra 2) แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ 3) แบบประเมินเจตคติและความวิตกกังวล สถิติที่ใช้ได้แก่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการทดสอบค่าสถิติที</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า 1) การจัดกิจกรรมการเรียนรู้มีประสิทธิภาพ 83.31/78.63 สูงกว่าเกณฑ์ 70/70 ที่กำหนด 2) หลังจากเข้าร่วมกิจกรรมการเรียนรู้ นักเรียนมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนเพิ่มขึ้น เจตคติต่อวิชาคณิตศาสตร์สูงขึ้น และความวิตกกังวลต่อวิชาคณิตศาสตร์ลดลง 3) ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนและเจตคติต่อวิชาคณิตศาสตร์หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 4) ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนคณิตศาสตร์ มีค่าเฉลี่ย 23.59 และผลคะแนนเจตคติต่อวิชาคณิตศาสตร์ มีค่าเฉลี่ย 4.51 สูงกว่าเกณฑ์ร้อยละ 70 อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 5) การเปลี่ยนแปลงเจตคติและความวิตกกังวลต่อวิชาคณิตศาสตร์ ในช่วงระยะเวลาต่าง ๆ พบว่า เจตคติมีการพัฒนาเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ในขณะที่ความวิตกกังวลลดลงอย่างชัดเจน</p> 2025-04-14T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2025 วารสารมณีเชษฐาราม วัดจอมมณี https://so07.tci-thaijo.org/index.php/JMCR/article/view/7137 ภาวะผู้นำเชิงวิสัยทัศน์ของผู้บริหารสถานศึกษาที่ส่งผลต่อการทำงานเป็นทีมของครูในโรงเรียน สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาเลย หนองบัวลำภู 2025-03-18T16:48:29+07:00 วัชระ แปงทอง watcharanjch@gmail.com ชิษณพงศ์ ศรจันทร์ Watcharanjch@gmail.com <p>การวิจัยครั้งนี้จึงมีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา 1)ระดับภาวะผู้นำเชิงวิสัยทัศน์ของผู้บริหารสถานศึกษาและระดับการทำงานเป็นทีมของครูในโรงเรียน 2) ความสัมพันธ์ระหว่างภาวะผู้นำเชิงวิสัยทัศน์ของผู้บริหารสถานศึกษากับการทำงานเป็นทีมของครูในโรงเรียน 3) ภาวะผู้นำเชิงวิสัยทัศน์ของผู้บริหารสถานศึกษาที่ส่งผลต่อการทำงานเป็นทีมของครูในโรงเรียน สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาเลย หนองบัวลำภู กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ ผู้บริหารสถานศึกษาและครู จำนวน 322 คน กำหนดขนาดกลุ่มตัวอย่าง จากตารางของเครจซี่และมอร์แกน เครื่องมือการวิจัยเป็นแบบสอบถามมีลักษณะเป็นมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ ได้ค่าความเชื่อมั่นของแบบสอบถามภาวะผู้นำเชิงวิสัยทัศน์ของผู้บริหารสถานศึกษา เท่ากับ 0.966 มีค่าอำนาจจำแนก 0.959 และการทำงานเป็นทีมของครูในโรงเรียน เท่ากับ 0.970 มีค่าอำนาจจำแนก 0.954 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ค่าความเบี่ยงเบนมาตรฐาน ค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์แบบเพียร์สันและวิเคราะห์ถดถอยพหุคูณ</p> <p><strong> </strong>ผลการวิจัยพบว่า 1) ภาวะผู้นำเชิงวิสัยทัศน์ของผู้บริหารสถานศึกษา มีค่าเฉลี่ยโดยรวมอยู่ในระดับมาก และการทำงานเป็นทีมของครูในโรงเรียน มีค่าเฉลี่ยโดยรวมอยู่ในระดับมาก 2) ภาวะผู้นำเชิงวิสัยทัศน์ของผู้บริหารสถานศึกษากับการทำงานเป็นทีมของครูในโรงเรียน มีความสัมพันธ์ทางบวกในระดับสูง อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 3) ภาวะผู้นำเชิงวิสัยทัศน์ของผู้บริหารสถานศึกษาที่ส่งผลต่อการทำงานเป็นทีมของครูในโรงเรียน ได้แก่ การเป็นแบบอย่างที่ดี (x<sub>4</sub>) การสร้างวิสัยทัศน์ (x<sub>1</sub>) และการปฏิบัติตามวิสัยทัศน์ (x<sub>3</sub>) ร่วมกันทำนายการทำงานเป็นทีมของครูในโรงเรียน ได้ร้อยละ 80.10</p> 2025-04-14T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2025 วารสารมณีเชษฐาราม วัดจอมมณี https://so07.tci-thaijo.org/index.php/JMCR/article/view/7136 คุณลักษณะผู้บริหารมืออาชีพที่ส่งผลต่อสมรรถนะหลักของครูในโรงเรียน สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาเลย หนองบัวลำภู 2025-03-20T18:06:54+07:00 วรภัทร สุขสมบัติ worapat.soo@gmail.com ชิษณพงศ์ ศรจันทร์ Worapat.soo@gmail.com <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา 1) ระดับคุณลักษณะผู้บริหารมืออาชีพ 2)ระดับสมรรถนะหลักของครูในโรงเรียน 3) ความสัมพันธ์ระหว่างคุณลักษณะผู้บริหารมืออาชีพกับสมรรถนะหลักของครูในโรงเรียน และ 4) คุณลักษณะผู้บริหารมืออาชีพที่ส่งผลต่อสมรรถนะหลักของครูในโรงเรียน สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาเลย หนองบัวลำภู กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ ข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา ในสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาเลย หนองบัวลำภู ปีการศึกษา 2567 จำนวน 322 คน กำหนดขนาดกลุ่มตัวอย่าง จากตารางของเครจซี่และมอร์แกน เครื่องมือการวิจัยเป็นแบบสอบถามมีลักษณะเป็นมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ ได้ค่าความเชื่อมั่นของแบบสอบถามคุณลักษณะผู้บริหารมืออาชีพ เท่ากับ 0.887 และสมรรถนะหลักของครูในโรงเรียน เท่ากับ 0.963 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ค่าความเบี่ยงเบนมาตรฐาน ค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์แบบเพียร์สัน และวิเคราะห์ถดถอยพหุคูณ</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า 1) คุณลักษณะผู้บริหารมืออาชีพ โดยรวมอยู่ในระดับมาก 2) สมรรถนะหลักของครูในโรงเรียน โดยรวมอยู่ในระดับมาก 3) คุณลักษณะผู้บริหารมืออาชีพกับสมรรถนะหลักของครูในโรงเรียน โดยรวมมีความสัมพันธ์ทางบวกในระดับสูง อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 4) คุณลักษณะผู้บริหารมืออาชีพ สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาเลย หนองบัวลำภู ได้แก่ คุณธรรม จริยธรรม (x<sub>3</sub>) ภาวะผู้นํา (x<sub>1</sub>) และทักษะการบริหารจัดการ (x<sub>4</sub>) ส่งผลต่อสมรรถนะหลักของครูในโรงเรียน ได้อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 และมนุษยสัมพันธ์ (x<sub>2</sub>) ส่งผลต่อสมรรถนะหลักของครูในโรงเรียน ได้อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 มีค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์พหุคูณเท่ากับ 0.910 ร่วมกันอธิบายความแปรปรวนได้ร้อยละ 82.80</p> 2025-04-14T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2025 วารสารมณีเชษฐาราม วัดจอมมณี https://so07.tci-thaijo.org/index.php/JMCR/article/view/7138 ภาวะผู้นำเชิงนวัตกรรมของผู้บริหารสถานศึกษาที่ส่งผลต่อความเป็นเลิศในการบริหารงานวิชาการในสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาเลย หนองบัวลำภู 2025-03-18T16:52:22+07:00 ดลนภา วิจิตรปัญญา donnapa288@gmail.com พิมพ์อร สดเอี่ยม Donnapa288@gmail.com <p>การวิจัยครั้งนี้จึงมีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา 1) ระดับภาวะผู้นำเชิงนวัตกรรมของผู้บริหารสถานศึกษา 2) ระดับความเป็นเลิศในการบริหารงานวิชาการในสถานศึกษา 3) ความสัมพันธ์ระหว่างภาวะผู้นำเชิงนวัตกรรมของผู้บริหารสถานศึกษากับความเป็นเลิศในการบริหารงานวิชาการในสถานศึกษา 4) ภาวะผู้นำเชิงนวัตกรรมของผู้บริหารสถานศึกษาที่ส่งผลต่อความเป็นเลิศในการบริหารงานวิชาการในสถานศึกษา และ5) สร้างสมการพยากรณ์ภาวะผู้นำเชิงนวัตกรรมของผู้บริหารสถานศึกษาที่ส่งผลต่อความเป็นเลิศในการบริหารงานวิชาการในสถานศึกษา กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ ข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา ปีการศึกษา 2567 จำนวน 322 คน เครื่องมือการวิจัยเป็นแบบสอบถาม ได้ค่าความเชื่อมั่นของแบบสอบถาม เท่ากับ 0.961 และเท่ากับ 0.969 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ค่าความเบี่ยงเบนมาตรฐาน ค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์แบบเพียร์สันและวิเคราะห์ถดถอยพหุคูณ</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า 1) ภาวะผู้นำเชิงนวัตกรรมของผู้บริหารสถานศึกษา โดยรวมอยู่ในระดับมากที่สุด และความเป็นเลิศในการบริหารงานวิชาการในสถานศึกษา โดยรวมอยู่ในระดับมากที่สุด 2) ภาวะผู้นำเชิงนวัตกรรมของผู้บริหารสถานศึกษากับความเป็นเลิศในการบริหารงานวิชาการในสถานศึกษา มีความสัมพันธ์ทางบวกในระดับสูง อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 3) ภาวะผู้นำเชิงนวัตกรรมของผู้บริหารสถานศึกษาที่ส่งผลต่อความเป็นเลิศในการบริหารงานวิชาการในสถานศึกษา ได้แก่ การสร้างบรรยากาศเชิงนวัตกรรม (x<sub>3</sub>) การทำงานเป็นทีมเชิงนวัตกรรม (x<sub>4</sub>) และการบริหารความเสี่ยง (x<sub>5</sub>)<strong> </strong>ร่วมกันทำนายความเป็นเลิศในการบริหารงานวิชาการในสถานศึกษา ร้อยละ 70.50 และ5) สมการพยากรณ์ในรูปคะแนนดิบ <strong> </strong> = 0.877 + 0.536(x<sub>3</sub>) + 0.155(x<sub>4</sub>) + 0.125(x<sub>5</sub>) สมการพยากรณ์ในรูปคะแนนมาตรฐาน Z = 0.575(x<sub>3</sub>) + 0.151(x<sub>4</sub>) + 0.167(x<sub>5</sub>)</p> <p><strong> </strong></p> 2025-04-14T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2025 วารสารมณีเชษฐาราม วัดจอมมณี https://so07.tci-thaijo.org/index.php/JMCR/article/view/7203 ภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลงของผู้บริหารสถานศึกษาที่ส่งผลต่อความพึงพอใจในการปฏิบัติงานของครูในสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเลย เขต 2 2025-03-25T08:55:14+07:00 วนิดา บัวลา minipitty_3112@hotmail.com จักรกฤษณ์ โพดาพล minipitty_3112@hotmail.com <p>การวิจัยครั้งนี้จึงมีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา 1) ระดับภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลงของผู้บริหารสถานศึกษา 2) ระดับความพึงพอใจในการปฏิบัติงานของครูในสถานศึกษา 3) ความสัมพันธ์ระหว่างภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลงของผู้บริหารสถานศึกษากับความพึงพอใจในการปฏิบัติงานของครูในสถานศึกษา และ4) ภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลงของผู้บริหารสถานศึกษาที่ส่งผลต่อความพึงพอใจในการปฏิบัติงานของครูในสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเลย เขต 2 กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ ครูในสถานศึกษาสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเลย เขต 2 จำนวน 291 คน จากตารางของเครจซี่และมอร์แกน เครื่องมือการวิจัยเป็นแบบสอบถามมีลักษณะเป็นมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ ได้ค่าความเชื่อมั่นของแบบสอบถามภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลงของผู้บริหารสถานศึกษา เท่ากับ 0.960 และความพึงพอใจในการปฏิบัติงานของครู เท่ากับ 0.971 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ค่าความเบี่ยงเบนมาตรฐาน ค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์แบบเพียร์สันและวิเคราะห์ถดถอยพหุคูณ</p> <p><strong> </strong>ผลการวิจัยพบว่า 1) ภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลงของผู้บริหารสถานศึกษา โดยรวมอยู่ในระดับมาก และความพึงพอใจในการปฏิบัติงานของครู โดยรวมอยู่ในระดับมาก 2) ภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลงของผู้บริหารสถานศึกษากับความพึงพอใจในการปฏิบัติงานของครู มีความสัมพันธ์ทางบวกในระดับสูง อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ<strong> .</strong>01 3) ภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลงของผู้บริหารสถานศึกษากับความพึงพอใจในการปฏิบัติงานของครู ได้แก่ การคำนึงถึงความเป็นปัจเจกบุคคล (x<sub>4</sub>) การมีอิทธิพลเชิงอุดมการณ์ (x<sub>1</sub>) และการกระตุ้นทางปัญญา (x<sub>3</sub>) ร่วมกันทำนายความพึงพอใจในการปฎิบัติงานของครู ได้ร้อยละ 89.50 </p> 2025-04-14T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2025 วารสารมณีเชษฐาราม วัดจอมมณี https://so07.tci-thaijo.org/index.php/JMCR/article/view/6899 การเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทักษะการอ่านออกเสียงคำศัพท์ภาษาอังกฤษโดยใช้การจัดการเรียนรู้แบบ SQ5R ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนเมธีวุฒิกร “วัดพระธาตุหริภุญชัย” 2025-03-05T19:31:20+07:00 พระบรีรักณ์ สุจิณฺณธมฺโม สมบูรณ์ชัย borreeluck2546@gmail.com พิทักษ์ แฝงโกฎิ borreeluck2546@gmail.com ณรงศักดิ์ ลุนสำโรง borreeluck2546@gmail.com อรรถพงษ์ ผิวเหลือง borreeluck2546@gmail.com <p>บทความวิจัยนี้ มีวัตถุประสงค์ดังนี้เพื่อ 1) ทดสอบประสิทธิภาพแบบฝึกทักษะการอ่านออกเสียงคำศัพท์ภาษาอังกฤษ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ตามเกณฑ์มาตรฐาน 70/70 2) เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการอ่านออกเสียงคำศัพท์ภาษาอังกฤษ โดยใช้การจัดการเรียนรู้แบบ SQ5R สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ก่อนเรียนและหลังเรียน 3) ศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ที่มีต่อการจัดการเรียนรู้แบบ SQ5R กลุ่มตัวอย่างได้แก่ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนเมธีวุฒิกร “วัดพระธาตุหริภุญชัย” จำนวน 36 คน โดยการสุ่มอย่างง่าย รูปแบบการวิจัยกึ่งทดลอง ด้วยวิธีการใช้กลุ่มทดลองกลุ่มเดียว เพื่อวัดผลก่อนและหลังการทดลอง เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แผนการจัดการเรียนรู้ แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการอ่านออกเสียงคำศัพท์ภาษาอังกฤษ โดยใช้การจัดการเรียนรู้แบบ SQ5R และแบบสอบถามความพึงพอใจของนักเรียน วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติพื้นฐาน ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ค่าร้อยละ และสถิติทดสอบค่า t-test แบบ Dependent Sample</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1) ผลการทดสอบประสิทธิภาพแบบฝึกทักษะการอ่านออกเสียงคำศัพท์ภาษาอังกฤษ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 มีประสิทธิภาพ78.60/70.40 ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์มาตรฐานที่กำหนดไว้ 2) ผลสัมฤทธิ์ทางการอ่านออกเสียงคำศัพท์ภาษาอังกฤษ โดยใช้การจัดการเรียนรู้แบบ SQ5R ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสําคัญทางสถิติที่ระดับ .05 3) ผลการศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ที่มีต่อการจัดการเรียนรู้แบบ SQ5R โดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก</p> 2025-04-14T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2025 วารสารมณีเชษฐาราม วัดจอมมณี https://so07.tci-thaijo.org/index.php/JMCR/article/view/7191 ทักษะการโค้ชของผู้บริหารสถานศึกษาที่ส่งผลต่อการปฏิบัติตามมาตรฐานการปฏิบัติงานของครูผู้สอนในโรงเรียนสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเลย เขต 1 2025-03-23T09:16:49+07:00 สุดารัตน์ โพธิ์ศรี aoysudarut@gmail.com ชิษณพงศ์ ศรจันทร์ sudarut.pos@student.mbu.ac.th <p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาระดับทักษะการโค้ชของผู้บริหารสถานศึกษา<strong> </strong>2) เพื่อศึกษาระดับการปฏิบัติตามมาตรฐานการปฏิบัติงานของครูผู้สอนในโรงเรียน 3) ศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างทักษะการโค้ชของผู้บริหารสถานศึกษาและการปฏิบัติตามมาตรฐาน การปฏิบัติงานของครูผู้สอนในโรงเรียน 4) เพื่อศึกษาทักษะการโค้ชของผู้บริหารสถานศึกษาที่ส่งผลต่อการปฏิบัติตามมาตรฐานการปฏิบัติงานของครูผู้สอนในโรงเรียน สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเลย เขต 1 จำนวน 302 คน เครื่องมือการวิจัยเป็นแบบสอบถาม <strong> </strong>มีลักษณะเป็นมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ ได้ค่าความเชื่อมั่นของแบบสอบถามทักษะ การโค้ชของผู้บริหารสถานศึกษาในเขตพื้นที่ศึกษา เท่ากับ 0.975 และการปฏิบัติตามมาตรฐานการปฏิบัติงานของครูผู้สอนผู้สอนในเขตพื้นที่ศึกษา เท่ากับ 0.939 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์แบบเพียร์สัน <strong> </strong> และวิเคราะห์ถดถอยพหุคูณ โดยใช้วิธี (Enter Multiple Regression Analysis) เพื่อดูตัวแปรที่มีนัยสำคัญ และนำค่าสถิติที่ได้ไปสร้างสมการพยากรณ์</p> <p> <strong>ผลการวิจัยพบว่า</strong></p> <ol> <li>ทักษะการโค้ชของผู้บริหารสถานศึกษาในเขตพื้นที่ศึกษา อยู่ในระดับมาก</li> <li>การปฏิบัติตามมาตรฐานการปฏิบัติงานของครูผู้สอนในโรงเรียนในเขตพื้นที่ศึกษาอยู่ในระดับมาก</li> <li>ทักษะการโค้ชของผู้บริหารสถานศึกษาและการปฏิบัติตามมาตรฐานการปฏิบัติงานของครูผู้สอนในโรงเรียนในเขตพื้นที่ศึกษามีความสัมพันธ์ทางบวกในระดับปานกลาง อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01</li> <li>ทักษะการโค้ชของผู้บริหารสถานศึกษาส่งผลต่อการปฏิบัติตามมาตรฐานการปฏิบัติงานของครูผู้สอนในโรงเรียนในเขตพื้นที่ศึกษา ได้แก่ ทักษะด้านการสร้างความไว้วางใจ (X<sub>1</sub>) ทักษะด้านการฟัง (X<sub>3</sub>) ทักษะด้านการให้ข้อมูลย้อนกลับ (X<sub>5</sub>) ส่งผลต่อการปฏิบัติตามมาตรฐานการปฏิบัติงานของครูผู้สอนในโรงเรียน สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเลย เขต 1 ได้อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 มีค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์พหุคูณ 0.616 ร่วมกันอธิบายความแปรปรวนได้ร้อยละ 37.90</li> </ol> 2025-04-14T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2025 วารสารมณีเชษฐาราม วัดจอมมณี https://so07.tci-thaijo.org/index.php/JMCR/article/view/7179 ภาวะผู้นำเชิงดิจิทัลของผู้บริหารสถานศึกษาที่ส่งผลต่อประสิทธิผลการบริหารงานวิชาการในสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา ประถมศึกษาเลย เขต 1 2025-03-23T09:05:31+07:00 กัณทิมา พรมมาวันนา superkantima@gmail.com พิมพ์อร สดเอี่ยม superkantima@gmail.com <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์1) เพื่อศึกษาระดับภาวะผู้นำเชิงดิจิทัลของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเลย เขต 1 2) เพื่อศึกษาระดับประสิทธิผลการบริหารงานวิชาการในสถานศึกษา 3) เพื่อศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างภาวะผู้นำเชิงดิจิทัลของผู้บริหารสถานศึกษากับประสิทธิผลการบริหารงานวิชาการในสถานศึกษา และ<br />4) เพื่อศึกษาภาวะผู้นำเชิงดิจิทัลของผู้บริหารสถานศึกษาที่ส่งผลต่อประสิทธิผลการบริหารงานวิชาการในสถานศึกษา สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเลย เขต 1 กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ ผู้บริหารสถานศึกษาและครูจำนวน 301 คน เครื่องมือวิจัยเป็น สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ประสิทธิ์สหสัมพันธ์แบบเพียร์สัน และวิเคราะห์ถดถอยพหุคูณ โดยใช้วิธี Stepwise</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า 1) ภาวะผู้นำเชิงดิจิทัลของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเลย เขต 1 โดยรวมอยู่ในระดับมาก 2) ประสิทธิผลการบริหารงานวิชาการในสถานศึกษา โดยรวมอยู่ในระดับมาก 3) ภาวะผู้นำเชิงดิจิทัลของผู้บริหารสถานศึกษากับประสิทธิผลการบริหารงานวิชาการในสถานศึกษา โดยรวมมีความสัมพันธ์เชิงบวก ในระดับสูง อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 โดยมีค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ 0.712 และ<br />4) ภาวะผู้นำเชิงดิจิทัลของผู้บริหารสถานศึกษาที่ส่งผลต่อประสิทธิผลการบริหารงานวิชาการในสถานศึกษา ได้แก่ การมีวิสัยทัศน์ดิจิทัล(x<sub>1</sub>) ความเป็นมืออาชีพดิจิทัล(x<sub>3</sub>) การมีทักษะและความรู้ดิจิทัล(x<sub>4</sub>) และการสร้างวัฒนธรรมการเรียนรู้ดิจิทัล(x<strong><sub>2</sub></strong>) ส่งผลต่อประสิทธิผลการบริหารงานวิชาการในสถานศึกษา มีค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์พหุคูณเท่ากับ 0.853 ร่วมกันอธิบายความแปรปรวนได้ร้อยละ 72.70 อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 มีความคลาดเคลื่อนมาตรฐานของการพยากรณ์ ±0.18945</p> 2025-04-14T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2025 วารสารมณีเชษฐาราม วัดจอมมณี https://so07.tci-thaijo.org/index.php/JMCR/article/view/7210 แนวทางการพัฒนาภาวะผู้นำใฝ่บริการของผู้บริหารสถานศึกษาสังกัด สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาอุดรธานี เขต 1 2025-03-25T09:00:45+07:00 ออมทรัพย์ ชาติมนตรี omsupchatmontree@gmail.com กฤตฏ์ ชมภูวิเศษ omsupchatmontree@gmail.com <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาสภาพปัจจุบัน สภาพที่พึงประสงค์ และความต้องการจำเป็นในการพัฒนาภาวะผู้นำใฝ่บริการของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาอุดรธานี เขต 1 2) เพื่อออกแบบแนวทางการพัฒนาภาวะผู้นำใฝ่บริการของผู้บริหารสถานศึกษา 3) เพื่อประเมินแนวทางการพัฒนาภาวะผู้นำใฝ่บริการของผู้บริหารสถานศึกษา โดยใช้การวิจัยแบบผสานวิธี การวิจัยแบ่งออกเป็น 3 ระยะ ระยะที่ 1 การศึกษาสภาพปัจจุบันสภาพที่พึงประสงค์และความต้องการจำเป็นในการพัฒนาภาวะผู้นำใฝ่บริการของผู้บริหารสถานศึกษา กลุ่มตัวอย่าง คือ ผู้บริหารสถานศึกษาและครูผู้สอน สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาอุดรธานี เขต 1 จำนวน 331 คน เลือกโดยการสุ่มแบบแบ่งชั้นภูมิ เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยเป็นแบบสอบถามแบบมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ วิเคราะห์ข้อมูลด้วยโปรแกรมสถิติสำเร็จรูป ระยะที่ 2 การออกแบบแนวทางการพัฒนาภาวะผู้นำใฝ่บริการของผู้บริหารสถานศึกษา ใช้วิธีการสัมภาษณ์แบบมีโครงสร้าง กลุ่มผู้ให้ข้อมูลคือ ผู้ทรงคุณวุฒิ จำนวน 5 คน โดยการเลือกแบบเจาะจง วิเคราะห์เนื้อหาที่ได้ด้วยวิธีการสามเส้า ระยะที่ 3 การประเมินแนวทาง ใช้เครื่องมือเป็นแบบประเมินแนวทาง ตามแนวคิดของกัสกีย์ 3 ด้าน ได้แก่ ด้านความเป็นประโยชน์ ด้านความเหมาะสม และด้านความเป็นไปได้</p> <p> ผลการวิจัย พบว่า 1) สภาพปัจจุบันของภาวะผู้นำใฝ่บริการของผู้บริหารสถานศึกษาโดยรวมอยู่ในระดับมาก สภาพที่พึงประสงค์ของภาวะผู้นำใฝ่บริการของผู้บริหารสถานศึกษาโดยรวมอยู่ในระดับมากที่สุด ความต้องการจำเป็นของภาวะผู้นำใฝ่บริการของผู้บริหารสถานศึกษา โดยเรียงลำดับจากมากไปน้อยคือ ด้านการมองการณ์ไกล ด้านการสร้างชุมชน ด้านการพัฒนาบุคคล ด้านการสร้างมโนทัศน์ ด้านการเข้าใจผู้อื่น ด้านการโน้มน้าวใจ ด้านการรับฟัง และ ด้านการตระหนักรู้ 2) แนวทางการพัฒนาภาวะผู้นำใฝ่บริการ รวมทั้งสิ้น 31 แนวทาง 3) ผลการประเมินแนวทางการ พบว่า ด้านความเป็นประโยชน์ ด้านความเหมาะสม และด้านความเป็นไปได้อยู่ในระดับมากที่สุด</p> <p> </p> 2025-04-14T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2025 วารสารมณีเชษฐาราม วัดจอมมณี https://so07.tci-thaijo.org/index.php/JMCR/article/view/6855 การพัฒนาทักษะการพูดบทสนทนาภาษาอังกฤษ โดยใช้การจัดการเรียนรู้แบบเน้นภาระงาน (Task-Based Learning) ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 โรงเรียนเทศบาลวัดท่าสะต๋อย 2025-03-03T17:41:09+07:00 อารียา เมืองมูล hong.areeya18@gmail.com พิทักษ์ แฝงโกฎิ hong.areeya18@gmail.com จตุพร สิมมะลี hong.areeya18@gmail.com สุรเกียรติ บุญมาตุ่น hong.areeya18@gmail.com <p>การวิจัยครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์ดังนี้ 1) เพื่อพัฒนาแบบฝึกทักษะการพูดบทสนทนาภาษาอังกฤษของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 โรงเรียนเทศบาลวัดท่าสะต๋อย ให้มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์มาตรฐาน 70/70 2) เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการพูดบทสนทนาภาษาอังกฤษ โดยใช้การจัดการเรียนรู้แบบเน้นภาระงานของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 โรงเรียนเทศบาลวัดท่าสะต๋อย ก่อนเรียนและหลังเรียน และ 3) เพื่อศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 ที่มีต่อการจัดการเรียนรู้แบบเน้นภาระงาน กลุ่มตัวอย่างได้แก่ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 โรงเรียนเทศบาลวัดท่าสะต๋อย จำนวน 36 คน โดยการสุ่มอย่างง่าย รูปแบบการวิจัยกึ่งทดลอง ด้วยวิธีการใช้กลุ่มทดลองกลุ่มเดียว เพื่อวัดผลก่อนและหลังการทดลอง เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แผนการจัดการเรียนรู้ แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการพูดบทสนทนาภาษาอังกฤษ โดยใช้การจัดการเรียนรู้แบบเน้นภาระงาน (Task-Based Learning) และแบบสอบถามความพึงพอใจของนักเรียน วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติพื้นฐาน ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และสถิติทดสอบค่าที</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า 1) ผลการทดสอบประสิทธิภาพแบบฝึกทักษะการพูดบทสนทนาภาษาอังกฤษของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 โรงเรียนเทศบาลวัดท่าสะต๋อย มีประสิทธิภาพ 74.26/71.01 ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์มาตรฐานที่กำหนดไว้ 2) ผลสัมฤทธิ์ทางการพูดบทสนทนาภาษาอังกฤษ โดยใช้การจัดการเรียนรู้แบบเน้นภาระงาน (Task-Based Learning) ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 โรงเรียนเทศบาลวัดท่าสะต๋อยหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 3) ผลความพึงพอใจของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 ที่มีต่อ การจัดการเรียนรู้แบบเน้นภาระงาน อยู่ในระดับมากที่สุด</p> 2025-04-14T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2025 วารสารมณีเชษฐาราม วัดจอมมณี https://so07.tci-thaijo.org/index.php/JMCR/article/view/7187 การพัฒนารูปแบบการจัดการเรียนรู้เพื่อพัฒนาผู้เรียนให้มีทักษะรู้ดิจิทัลในศตวรรษที่ 21 ของสถานศึกษาในสังกัดองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นจังหวัดพัทลุง 2025-03-23T09:12:53+07:00 หัตถยา เพชรย้อย doraaann1@gmail.com ทิพมาศ เศวตวรโชติ doraaann1@gmail.com บุญส่ง ทองเอียง doraaann1@gmail.com <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) เพื่อศึกษาองค์ประกอบของการจัดการเรียนรู้เพื่อพัฒนาผู้เรียนให้มีทักษะรู้ดิจิทัลในศตวรรษที่ 21 ของสถานศึกษา 2) เพื่อยืนยันองค์ประกอบของการจัดการเรียนรู้เพื่อพัฒนาผู้เรียนให้มีทักษะรู้ดิจิทัลในศตวรรษที่ 21 ของสถานศึกษา 3) เพื่อร่างรูปแบบการจัดการเรียนรู้เพื่อพัฒนาผู้เรียนให้มีทักษะรู้ดิจิทัลในศตวรรษที่ 21 ของสถานศึกษาและ 4) เพื่อประเมินรับรอง และนำเสนอรูปแบบการจัดการเรียนรู้เพื่อพัฒนาผู้เรียนให้มีทักษะรู้ดิจิทัลในศตวรรษที่ 21 ของสถานศึกษา โดยใช้วิธีการวิจัยแบบผสมผสานกลุ่มตัวอย่าง ประกอบด้วย ผู้อำนวยการสถานศึกษา ครู 940 คน เครื่องมือที่ใช้ 1) แบบสอบถาม มีความเชื่อมั่น .99 2) แบบบันทึกการสนทนากลุ่ม 3) แบบประเมินและรับรองรูปแบบ สถิติที่ใช้ ได้แก่ ความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการวิเคราะห์ประกอบเชิงยืนยันใช้การสังเคราะห์ข้อมูลเชิงเนื้อหา สำหรับข้อมูลเชิง ผลการวิจัย พบว่า 1) องค์ประกอบของการจัดการเรียนรู้เพื่อพัฒนาผู้เรียนให้มีทักษะรู้ดิจิทัลในศตวรรษที่ 21 ประกอบด้วย 6 องค์ประกอบหลัก 17 องค์ประกอบย่อย โดยมี 6 องค์ประกอบหลัก คือ (1) การเข้าถึง (2) การเข้าใจ (3) การใช้สื่อดิจิทัล(4) การตระหนักรู้ดิจิทัล (5) การสื่อสาร และ (6) การสร้างสรรค์ 2) รูปแบบองค์ประกอบมีความสอดคล้องกลมกลืนกับข้อมูลเชิงประจักษ์ดีมาก 3)รูปแบบการจัดการเรียนรู้เพื่อพัฒนาผู้เรียนให้มีทักษะรู้ดิจิทัลในศตวรรษที่ 21 ของสถานศึกษา เป็นรูปแบบที่มีชื่อว่า “รูปแบบการจัดการเรียนรู้เพื่อพัฒนาผู้เรียนให้มีทักษะรู้ดิจิทัล” และ 4) ผลการประเมินและรับรองรูปแบบการจัดการเรียนรู้เพื่อพัฒนาผู้เรียนให้มีทักษะรู้ดิจิทัลในศตวรรษที่ 21 ของสถานศึกษา ในด้านความถูกต้อง ความเหมาะสม ความเป็นไปได้ และความเป็นประโยชน์ ในภาพรวมมีค่าเฉลี่ยผ่านเกณฑ์การประเมินตามที่กำหนดไว้</p> 2025-04-14T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2025 วารสารมณีเชษฐาราม วัดจอมมณี https://so07.tci-thaijo.org/index.php/JMCR/article/view/7213 แนวทางการบริหารโดยใช้โรงเรียนเป็นฐานสำหรับโรงเรียนขนาดเล็ก สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาอุดรธานี เขต 1 2025-03-25T09:07:29+07:00 ศรัณย์ โพธิ์บาย 66120605111@udru.ac.th กฤตฏ์ ชมภูวิเศษ sarunphobai91236@gmail.com <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาสภาพปัจจุบัน สภาพที่พึงประสงค์ และความต้องการจําเป็นในบริหารโดยใช้โรงเรียนเป็นฐานสำหรับโรงเรียนขนาดเล็ก 2) ออกแบบแนวทางการบริหารโดยใช้โรงเรียนเป็นฐาน และ 3) ประเมินแนวทางทางการบริหารโดยใช้โรงเรียนเป็นฐาน กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการศึกษาเป็น ผู้บริหารสถานศึกษาและครูผู้สอน ในโรงเรียนขนาดเล็กสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษา อุดรธานี เขต 1 จํานวน 242 คน ได้มาโดยกำหนดขนาดแบบการสุ่มอย่างง่าย เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยเป็น เป็นแบบสอบถามแบบมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ ทำการวิเคราะห์ข้อมูลโดยสถิติพื้นฐาน ด้านสภาพปัจจุบันมีค่าอำนาจจำแนก อยู่ระหว่าง 0.24 ถึง 0.86 มีค่าความเชื่อมั่นทั้งฉบับ เท่ากับ 0.98 ด้านสภาพที่พึ่งประสงค์มีค่าอำนาจจำแนก อยู่ระหว่าง 0. 22 ถึง 0.78 มีค่าความเชื่อมั่นทั้งฉบับ เท่ากับ 0.97 ระยะที่ 2 การศึกษาแนวทางการบริหารโดยใช้โรงเรียนเป็นฐาน ใช้วิธีการสัมภาษณ์แบบมีโครงสร้างผู้ทรงคุณวุฒิ จำนวน 5 คน โดยการเลือกแบบเจาะจง วิเคราะห์ข้อมูลโดย หาความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ยและส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และความต้องการจําเป็น (<strong>PNI<sub>modified</sub></strong>) ระยะที่ 3 การประเมินแนวทางการบริหารโดยใช้โรงเรียนเป็น เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยเป็นแบบประเมินแนวทาง 3 ด้าน ได้แก่ ด้านความเป็นประโยชน์ ด้านความเหมาะสม และด้านความเป็นไปได้</p> <p>ผลการวิจัย พบว่า 1) สภาพปัจจุบันของการบริหารโดยใช้โรงเรียนเป็นฐาน โดยรวมอยู่ในระดับมาก และสภาพที่พึงประสงค์ โดยรวมอยู่ในระดับมากที่สุด 2) แนวทางการบริหารโดยใช้โรงเรียนเป็นฐาน ที่มีความต้องการจำเป็นมากที่สุดคือ การบริหารแบบมีส่วนร่วม แนวทางที่สำคัญที่สุดมีดังนี้ โรงเรียนจัดตั้งคณะกรรมการพัฒนาหลักสูตรที่มีตัวแทนจากทุกฝ่าย สำรวจความต้องการของผู้เรียนและชุมชน บูรณาการภูมิปัญญาท้องถิ่น และมีระบบติดตามประเมินผลการใช้หลักสูตรอย่างเป็นระบบ 3) ผลการประเมินแนวการบริหารโดยใช้โรงเรียนเป็นฐาน โดยรวมอยู่ในระดับมากที่สุด</p> 2025-04-14T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2025 วารสารมณีเชษฐาราม วัดจอมมณี https://so07.tci-thaijo.org/index.php/JMCR/article/view/7057 แนวทางการพัฒนาภาวะผู้นำเชิงเทคโนโลยีของผู้บริหารสถานศึกษาในกลุ่มเครือข่ายพัฒนาการศึกษาดอยหลวง 2025-03-13T08:39:27+07:00 สุพิชา บุญเสรี 668914017@crru.ac.th ไพรภ รัตนชูวงศ์ 668914017@crru.ac.th สมเกียรติ ตุ่นแก้ว 668914017@crru.ac.th <p>การศึกษาอิสระครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาสภาพภาวะผู้นำเชิงเทคโนโลยีของผู้บริหารสถานศึกษาในกลุ่มเครือข่ายพัฒนาการศึกษาดอยหลวง กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ คือ บุคลากรโรงเรียนในกลุ่มเครือข่ายพัฒนาการศึกษาดอยหลวง จำนวน 106 คน เครื่องมือที่ใช้ในการศึกษา คือ แบบสอบถาม 2) ศึกษาแนวปฏิบัติที่เป็นเลิศต่อการพัฒนาภาวะผู้นำเชิงเทคโนโลยีของผู้บริหารสถานศึกษา ผู้ให้ข้อมูลสำคัญ คือ ผู้บริหารสถานศึกษา และหัวหน้าฝ่ายงาน ของโรงเรียนที่มีแนวปฏิบัติที่เป็นเลิศในการพัฒนาภาวะผู้นำเชิงเทคโนโลยี จำนวน 4 คน เครื่องมือที่ใช้ในการศึกษา คือ แบบสัมภาษณ์ 3) เสนอแนวทางการพัฒนาภาวะผู้นำเชิงเทคโนโลยีของผู้บริหารสถานศึกษาในกลุ่มเครือข่ายพัฒนาการศึกษาดอยหลวง ผู้ให้ข้อมูลสำคัญ จำนวน 8 คน เครื่องมือที่ใช้ในการศึกษา คือ บันทึกการสนทนากลุ่ม</p> <p>จากผลการวิจัยพบว่า 1) ขั้นตอนที่ 1 สภาพภาวะผู้นำเชิงเทคโนโลยีของผู้บริหารสถานศึกษา ภาพรวมอยู่ในระดับมากส่วนด้านที่มีค่าเฉลี่ยต่ำที่สุด คือด้านการใช้เทคโนโลยีในการบริหารจัดการ อยู่ในระดับมาก 2) ขั้นตอนที่ 2 ศึกษาแนวปฏิบัติที่เป็นเลิศต่อการพัฒนาภาวะผู้นำเชิงเทคโนโลยี 4 ด้าน 1.การมีวิสัยทัศน์ในการใช้เทคโนโลยี 2. การใช้เทคโนโลยีในการบริหารจัดการ 3.การใช้เทคโนโลยีในการวัดผลและประเมินผล 4. การมีจริยธรรมในการใช้เทคโนโลยี และ 3) ขั้นตอนที่ 3 แนวทางการพัฒนาภาวะผู้นำเชิงเทคโนโลยีของผู้บริหาร จากการศึกษาสภาพภาวะผู้นำเชิงเทคโนโลยีของผู้บริหารสถานศึกษา และ ศึกษาแนวปฏิบัติที่เป็นเลิศต่อการพัฒนาภาวะผู้นำเชิงเทคโนโลยี ดังนี้ 1) ด้านการมีวิสัยทัศน์ในการใช้เทคโนโลยี การมีวิสัยทัศน์ด้านเทคโนโลยีที่กำหนดเป้าหมายชัดเจน สื่อสารสร้างความร่วมมือ เลือกเทคโนโลยีที่เหมาะสม 2) ด้านการใช้เทคโนโลยีในการบริหารจัดการ ด้วยเทคโนโลยีผ่านระบบดิจิทัลที่เพิ่มประสิทธิภาพงาน 3) ด้านการใช้เทคโนโลยีในการวัดผลและประเมินผล การส่งเสริมบุคลากรให้มีพัฒนาระบบวัดผลและประเมินผลที่ครอบคลุม สะดวก และสะท้อนพัฒนาการของผู้เรียน 4)ด้านการมีจริยธรรมในการใช้เทคโนโลยี การส่งเสริมจริยธรรมในการใช้เทคโนโลยี โดยปลูกฝังจิตสำนึก สนับสนุนความโปร่งใส เคารพสิทธิส่วนบุคคล และกำหนดนโยบายที่ชัดเจน</p> 2025-04-14T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2025 วารสารมณีเชษฐาราม วัดจอมมณี https://so07.tci-thaijo.org/index.php/JMCR/article/view/7076 การพัฒนาห้องเรียนเสมือนจริง ด้วยเทคโนโลยี Metaverse Spatial เรื่อง กฎหมายคอมพิวเตอร์ สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3/1 โรงเรียนชุมชนศรีสะอาด (เทศบาล 1) อำเภอเมืองเลย จังหวัดเลย 2025-03-14T20:53:31+07:00 จตุพงษ์ กะวิวังสกุล kawiwangsakul@gmail.com อมิตา ศรีเชียงสา kawiwangsakul@gmail.com <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) พัฒนาห้องเรียนเสมือนจริงด้วยเทคโนโลยี Metaverse Spatial เรื่องกฎหมายคอมพิวเตอร์ สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3/1 โรงเรียนชุมชนศรีสะอาด (เทศบาล 1) เพื่อให้มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ 80/80 2) เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนและหลังเรียนของนักเรียนที่เรียนด้วยห้องเรียนเสมือนจริง และ 3) ศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการเรียนด้วยห้องเรียนเสมือนจริง กลุ่มตัวอย่างคือนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3/1 จำนวน 18 คน ได้มาโดยวิธีการเลือกแบบเจาะจง เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยประกอบด้วย 1) สื่อห้องเรียนเสมือนจริงด้วยเทคโนโลยี Metaverse Spatial เรื่องกฎหมายคอมพิวเตอร์ 2) แบบทดสอบก่อนเรียนและหลังเรียน และ 3) แบบสอบถามความพึงพอใจ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการทดสอบค่าที (t-test)</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1) ห้องเรียนเสมือนจริงที่พัฒนาขึ้นมีประสิทธิภาพ 83.66/85.55 ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์ 80/80 ที่กำหนดไว้ 2) ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนหลังเรียนด้วยห้องเรียนเสมือนจริง ( =8.55) สูงกว่าก่อนเรียน ( =5.94) อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 และ 3) ความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการเรียนด้วยห้องเรียนเสมือนจริงโดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก ( =4.43, S.D. = 0.35) โดยด้านการออกแบบได้รับความพึงพอใจสูงสุด ( =4.46) รองลงมาคือด้านการตกแต่ง ( =4.45) ด้านการใช้งาน ( =4.43) และด้านเนื้อหา ( = 4.39) ตามลำดับ</p> 2025-04-14T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2025 วารสารมณีเชษฐาราม วัดจอมมณี https://so07.tci-thaijo.org/index.php/JMCR/article/view/6564 ภาวะผู้นำของผู้บริหารในยุคดิจิทัล 2025-02-10T18:39:29+07:00 พระครูปลัดจักรพล สิริธโร pongsiri mahajakkapol.pon@mbu.ac.th <p>เทคโนโลยีดิจิทัลเข้ามามีบทบาทในการดำเนินงานของ ผู้บริหารจำเป็นต้องปรับตัวให้ทันต่อความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี เพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินงานข การที่องค์กรมีผู้บริหารที่มีภาวะผู้นำของผู้บริหารในยุคดิจิทัลนั้นเป็นสิ่งที่มีความสำคัญที่ช่วยสร้างความได้เปรียบทางการแข่งขัน และส่งผลต่อความสำเร็จขององค์กร ในการศึกษาครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาภาวะผู้นำของผู้บริหารในยุคดิจิทัล เพื่อเป็นแนวทางในการเตรียมความพร้อมและพัฒนาภาวะผู้นำของผู้บริหารให้สอดคล้องกับความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีในปัจจุบันการศึกษาพบว่าภาวะผู้นำของผู้บริหารในยุคดิจิทัลนั้นเป็นการแสดงออกของผู้บริหารถึงการมีความรู้ความเข้าใจในการใช้เทคโนโลยีดิจิทัลมีการใช้เทคโนโลยีดิจิทัลในการพัฒนาการทำงานของตนเองเพื่อเพิ่มขีดความสามารถทางการแข่งขันขององค์กร โดยองค์ประกอบภาวะผู้นำดิจิทัลของผู้บริหาร ประกอบด้วย 5 ด้าน 1) ด้านการรู้ดิจิทัล 2) ด้านการสื่อสารด้วยดิจิทัล 3) ด้านการมีวิสัยทัศน์ดิจิทัล 4) ด้านการสร้างวัฒนธรรมดิจิทัล 5) ด้านการพัฒนาองค์กรด้วยดิจิทัล ภาวะผู้นำของผู้บริหารในยุคดิจิทัลนั้นจำเป็นต้องมีทักษะต่าง ๆ การพัฒนาภาวะผู้นำของผู้บริหารในยุคดิจิทัลควรมีการพัฒนาใน 4 ด้านหลัก ประกอบด้วย 1) ด้านวิสัยทัศน์ดิจิทัล ด้วยการ นำเทคโนโลยีดิจิทัลมามีส่วนร่วมในการดำเนินงานขององค์กรเพื่อบรรลุผลสำเร็จตามวิสัยทัศน์ 2) ด้านการสื่อสารดิจิทัล ควรมีการใช้สื่อดิจิทัลในการดำเนินงานและการสื่อสารทั้งภายในและภายนอกองค์กร 3) ด้านการรู้ดิจิทัล ควรให้ผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องในการดำเนินงานมีส่วนร่วมในการขับเคลื่อนเทคโนโลยีดิจิทัลและการสร้างนวัตกรรมให้กับองค์กร 4) ด้านการพัฒนาทักษะดิจิทัล ควรมีการวางแผนการพัฒนาบุคลากรด้านดิจิทัลอย่างมีประสิทธิภาพและยั่งยืน</p> 2025-04-14T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2025 วารสารมณีเชษฐาราม วัดจอมมณี https://so07.tci-thaijo.org/index.php/JMCR/article/view/6682 สมรรถนะการสื่อสารเพื่อการพัฒนาของผู้บริหารท้องถิ่น 2025-02-26T11:20:19+07:00 นฤมล รัตนาภิบาล narrumol.rattanabhibal@gmail.com วิทยาธร ท่อแก้ว narumolrattanabhibal@gmail.com สุภาภรณ์ ศรีดี narumolrattanabhibal@gmail.com <p>การสื่อสารเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตและสังคม ทำหน้าที่สำคัญในการถ่ายทอด แลกเปลี่ยนความคิด ความรู้สึก ความต้องการ ตลอดจนแสวงหาข้อมูลข่าวสารประกอบการตัดสินใจ หรือ เพื่อแก้ไขปัญหา ซึ่งส่งผลให้ชีวิตและสังคมดำรงอยู่และดำเนินต่อไปได้ รวมถึงการสื่อสารยังเป็นเครื่องมือเพื่อการเปลี่ยนแปลงทางสังคม ก่อให้เกิดความเจริญก้าวหน้าในด้านต่าง ๆ ทั้งทางด้านเศรษฐกิจ สังคม การเมือง วัฒนธรรม ฯลฯ ทำให้ประชาชนได้รับข้อมูลข่าวสารที่จำเป็นต่อการพัฒนา โดยเฉพาะผู้บริหารองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ถือว่าเป็นองค์กรรัฐที่มีความใกล้ชิดกับประชาชนมากที่สุด จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องมีทักษะการสื่อสารทั้งภายในองค์กรและภายนอกองค์กร และจะต้องมีการพัฒนาสมรรถนะการสื่อสารอย่างสอดคล้องกับสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไป เช่น การเป็นผู้ฟังที่ดีและตั้งใจ การสื่อสารด้วยการพูด ความกระชับในการสื่อสาร การให้ข้อมูล การทำงานเป็นทีม การมีคุณธรรมจริยธรรม การเท่าทันเทคโนโลยี การใช้ฐานข้อมูลในการตัดสินใจ และการเปิดโอกาสให้ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมในทุกมิติ ทั้งนี้เพื่อแก้ปัญหาและสนองตอบต่อความต้องการของประชาชนได้อย่างแท้จริง ซึ่งจะนำไปสู่การพัฒนาท้องถิ่นได้อย่างมีประสิทธิภาพ</p> <p><strong> </strong></p> 2025-04-14T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2025 วารสารมณีเชษฐาราม วัดจอมมณี https://so07.tci-thaijo.org/index.php/JMCR/article/view/6792 ภัยยุคใหม่ของพระสงฆ์กับความท้าทายและแนวทางการปฏิบัติในยุคดิจิทัล 2025-02-27T09:47:11+07:00 มะลิ ทิพพ์ประจง thipprajongmali@gmail.com พระใบฎีกาสมคิด นาถสีโล สุขนิล thipprajongmali@gmail.com <p>ยุคข้อมูลข่าวสารที่ผ่านระบบดิจิทัลที่เรียกว่าเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารมีบทบาทสำคัญในชีวิตประจำวัน พระสงฆ์ในฐานะผู้นำทางจิตวิญญาณและผู้เผยแผ่พระธรรมคำสอน จำเป็นต้องเผชิญกับความท้าทายใหม่ๆ ที่เกิดขึ้นจากความเปลี่ยนแปลงของสังคมและเทคโนโลยี ภัยยุคใหม่ที่พระสงฆ์ต้องเผชิญในยุคดิจิทัล ในส่วนที่ได้รับผลกระทบจากตัวพระสงฆ์ผู้กระทำการเองหรือว่าให้ผู้อื่นกระทำการให้ก็ตามตลอดถึงนำเสนอแนวทางการปฏิบัติที่เหมาะสมเพื่อรับมือกับความท้าทายเหล่านี้ภัยยุคใหม่ที่พระสงฆ์ต้องเผชิญ ได้แก่ การใช้สื่อสังคมออนไลน์อย่างไม่เหมาะสม การถูกล่อลวงด้วยผลประโยชน์ทางโลก การเสื่อมถอยของศรัทธาในพระพุทธศาสนา การขาดความรู้ความเข้าใจในพระธรรมวินัย และการถูกคุกคามจากกลุ่มบุคคลที่ไม่หวังดี ภัยเหล่านี้ส่งผลกระทบต่อบทบาทและภาพลักษณ์ของพระสงฆ์ในสังคมไทย</p> 2025-04-14T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2025 วารสารมณีเชษฐาราม วัดจอมมณี https://so07.tci-thaijo.org/index.php/JMCR/article/view/7167 การปรับตัวของการศึกษาด้านบัญชีในประเทศไทยในยุคปัญญาประดิษฐ์ (AI) : โอกาสและความท้าทาย 2025-03-23T08:48:01+07:00 ชลลดา ชะโลมกลาง chollada_c@hotmail.com อัชญา ไพคำนาม chollada_c@hotmail.com พัชรินทร์ สารมาท chollada_c@hotmail.com พัทธ์ยศ เดชศิริ chollada_c@hotmail.com <p>การพัฒนาเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) ได้ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในหลายสาขา รวมถึงการศึกษาด้านบัญชีในประเทศไทย โดย AI ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการเรียนการสอน การประเมินผล และการพัฒนาหลักสูตร โดย AI สามารถสร้างสื่อการเรียนการสอนที่เหมาะสมกับนักศึกษาแต่ละคน และช่วยให้กระบวนการประเมินผลมีความแม่นยำและสอดคล้องกับศักยภาพของผู้เรียน AI ยังสามารถช่วยลดความเหลื่อมล้ำในการเข้าถึงการศึกษาของนักเรียนจากทุกกลุ่ม โดยเฉพาะในพื้นที่ห่างไกลที่ขาดแคลนแหล่งทรัพยากรหรือเทคโนโลยีที่จำเป็นในการปรับตัวของการศึกษาด้านบัญชีในประเทศไทยในยุค AI จำเป็นต้องพัฒนากรอบจริยธรรมที่ชัดเจนเพื่อกำหนดวิธีการใช้งาน AI อย่างเหมาะสม ทั้งในด้านการวิเคราะห์ข้อมูล การสร้างเนื้อหาการเรียนการสอน และการตรวจสอบความถูกต้องของงาน ในส่วนของหลักสูตรการศึกษาด้านบัญชีควรเพิ่มวิชาเกี่ยวกับ AI และการวิเคราะห์ข้อมูล เช่น การใช้ Data Analytics และ Machine Learning เพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงในอุตสาหกรรมบัญชี นอกจากนี้ การฝึกอบรมอาจารย์เพื่อให้มีทักษะในการใช้ AI ในการสอนและประเมินผลอย่างมีประสิทธิภาพยังเป็นสิ่งสำคัญผลการศึกษาแสดงให้เห็นว่า AI มีศักยภาพในการพัฒนาหลักสูตรการศึกษาด้านบัญชีให้ตรงกับความต้องการของตลาดแรงงานในยุคดิจิทัล และช่วยเพิ่มการเข้าถึงการศึกษาสำหรับนักศึกษาทุกกลุ่ม สิ่งสำคัญคือการสร้างความร่วมมือระหว่างภาครัฐ ภาคเอกชน และสถาบันการศึกษาในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานทางเทคโนโลยี การฝึกอบรมบุคลากร และการปรับปรุงหลักสูตรการศึกษาให้ทันสมัยและรองรับการใช้ AI</p> 2025-04-14T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2025 วารสารมณีเชษฐาราม วัดจอมมณี https://so07.tci-thaijo.org/index.php/JMCR/article/view/6783 คติธรรมแห่งชีวิต 2025-02-26T17:20:28+07:00 พระครูวินิตกมลธรรม พรหมสนธิ์ kamonmasl@gmail.com <p>หนังสือคติธรรมแห่งชีวิต เป็นการรวบรวมเนื้อหา “คติธรรมแห่งชีวิต” ที่เกี่ยวกับ<br />การเกิด การแก่ การเจ็บ การดำรงอยู่ และการตาย โดยคัดเลือกบรรยายธรรมในโอกาสต่าง ๆ ของท่านเจ้าประคุณ ศาสตราจารย์พิเศษสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (ป.อ.ปยุตฺโต) ซึ่งเป็นภิกษุที่มีความพิเศษโดดเด่นและสำคัญต่อวงการพุทธศาสนามาก ท่านเจ้าประคุณ ที่ได้รับสมัญญาว่า “พระผู้ทำสงฆ์ให้งาม” และ “ตู้พระไตรปิฎกเคลื่อนที่” ท่านเป็นชาวไทยคนแรกที่ได้รับรางวัลการศึกษาเพื่อสันติภาพจากยูเนสโก (UNESCO Prize for Peace Education) และได้รับถวายวุฒิฐานะจากประเทศอินเดีย ให้เป็น “ตรีปิฎกกาจารย์” คือ ผู้รู้แตกฉานในพระไตรปิฎก เป็นรูปที่ 2 ของโลก ท่านเป็นปราชญ์ทางพระพุทธศาสนาแห่งยุคปัจจุบัน ที่ได้รับการยอมรับจากทั่วโลก ด้วยความรู้แตกฉานและลึกซึ้ง สามารถแต่งตำรา เขียนหนังสือ บรรยายธรรม ปาฐกถา ทั้งหลักพระพุทธศาสนาโดยตรง และประยุกต์กับวิชาการต่าง ๆ ทางโลกได้แทบทุกสาขา มากกว่า 312 เรื่อง และการบรรยายที่นับพันครั้ง ดังนั้นการให้ความรู้ของท่านไม่ว่าในรูปแบบใด จึงสามารถเข้าถึงและทำความเข้าใจได้ไม่ยาก สำหรับทุกกลุ่มชน ท่านมีทักษะการเขียน<br />ที่ยอดเยี่ยมมาก ลื่นไหล ต่อเนื่อง ในเหตุในผล ชวนติดตาม สำหรับหนังสือคติธรรมแห่งชีวิต<br />เล่มนี้ โดยเนื้อหาหลักเป็นการทำความเข้าใจสัจธรรมแห่งชีวิตที่ทุกชีวิตต้องประสบ กล่าวคือ การเกิด การแก่ การเจ็บ การดำรงอยู่ และการตาย โดยในแต่ละส่วนเนื้อหา ท่านจะเริ่มจากให้ความรู้ สร้างเข้าใจตั้งแต่ความหมายตามหลักธรรม และนำไปสู่การปฏิบัติได้อย่างไร รวมถึงวิธีการประเมิน ตัวชี้วัดในผลการปฏิบัติ ซึ่งสุดท้ายทั้งหมดเป็นเรื่องของการฝึกจิต ซึ่งเป็นเรื่องยากในการจับต้องได้ แต่จากกระบวนการถ่ายทอดสื่อสารที่ดี ช่วยให้ผู้อ่านมองเห็นภาพความจริง เข้าใจความหมาย และสามารถนำสู่การปฏิบัติได้ง่ายขึ้น</p> 2025-04-14T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2025 วารสารมณีเชษฐาราม วัดจอมมณี