วารสารมณีเชษฐาราม วัดจอมมณี https://so07.tci-thaijo.org/index.php/JMCR <p>วารสารมณีเชษฐาราม วัดจอมมณี (Journal of Mani Chettha Ram Wat Chommani) <br />เลขมาตรฐาน P-ISSN : 2774-0455 (Print): 2774-0455 (Print) E-ISSN : 2774-0978 (Online)<br />เป็นวารสารในกลุ่มมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ </p> วัดจอมมณี ต.มีชัย อ.เมือง จ.หนองคาย th-TH วารสารมณีเชษฐาราม วัดจอมมณี 2774-0455 การบริหารและการเรียนรู้นวัตกรรมและเทคโนโลยีสารสนเทศ : กรอบแนวคิดและการพัฒนา https://so07.tci-thaijo.org/index.php/JMCR/article/view/4666 <p>สังคมโลกยุคปัจจุบันของประเทศไทยมีการส่งเสริมนโยบายประเทศให้เป็นไทยแลนด์ 4.0 เพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงจากสังคมอุตสาหกรรมการเกษตรที่ได้เปลี่ยนเป็นอุตสาหกรรมหนักจนกระทั่งเกิดการสนับสนุนการพัฒนาประเทศให้เป็นอุตสาหกรรมที่พึ่งพาการพัฒนาด้านนวัตกรรมและการพัฒนาพลเมืองให้เกิดเป็นนวัตกร ด้วยแนวโน้มการเปลี่ยนแปลงนี้ การจัดการการศึกษาของคนไทยที่เริ่มตั้งแต่ระดับการศึกษาขั้นพื้นฐานมีความจำเป็นส่วนสำคัญอย่างยิ่งที่ต้องเตรียมพร้อมเยาวชนของชาติให้พร้อมรับการเปลี่ยนแปลงของสภาพสังคมและเศรษฐกิจ</p> <p> การเรียนรู้นวัตกรรมและการรู้เทคโนโลยีสารสนเทศจึงเป็นสิ่งจำเป็นในสถานการณ์ปัจจุบันที่เกิดความผันผวนของสภาวะการณ์ของโลก การเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21 มุ่งเน้นพัฒนาคนหลายด้านรวมทั้งความสามารถในการใช้เทคโนโลยี ในประเด็นด้านของการพัฒนาการบริหารนวัตกรรมและเทคโนโลยีสารสนเทศประกอบไปด้วยการพัฒนาทักษะของผู้บริหารและครูผู้สอนในยุคดิจิทัล การจัดกิจกรรมในการพัฒนาทักษะครูไทยให้มีหลากหลายรูปแบบปรับบริบทตามความเหมาะสมและการเข้าถึงการอบรมพัฒนา และควรพัฒนาความพร้อมด้านอุปกรณ์และเทคโนโลยี</p> <p> ดังนั้นสถานศึกษา จัดเป็นสถานที่ในการบ่มเพาะและให้ความรู้กับเยาวชนของชาติ ผู้บริหาร ครู และบุคลากรทางการศึกษาจึงต้องเป็นผู้ใช้และผลิตนวัตกรรมและสารสนเทศโดยมีองค์ประกอบในการพิจารณาจากการสังเคราะห์เป็นกรอบแนวคิดในการพัฒนาการบริหารนวัตกรรมและเทคโนโลยีได้เป็น 6 ด้าน ได้แก่ 1) Safe ด้านความปลอดภัย 2) Access ด้านเข้าถึงนวัตกรรมและเทคโนโลยีได้ 3) Firewall ด้านการป้องกันผู้อื่นเข้าถึงข้อมูล 4) Ethic ด้านจริยธรรมในการใช้ข้อมูล 5) Technology ด้านการใช้เทคโนโลยีอย่างชาญฉลาด และ 6) You ด้านการมีสติในการใช้เทคโนโลยี</p> ธเนศ ฉัตรานุฉัตร เอกราช โฆษิตพิมานเวช Copyright (c) 2024 วารสารมณีเชษฐาราม วัดจอมมณี 2024-04-30 2024-04-30 7 2 393 408 การบริหารงานงบประมาณในสถานศึกษา : แนวคิดทฤษฎี https://so07.tci-thaijo.org/index.php/JMCR/article/view/4660 <p>สถานศึกษาเป็นองค์กรทางการศึกษาที่มีวัตถุประสงค์หลักเพื่อผลิตนักเรียน นักศึกษาให้มีคุณภาพตามจุดมุ่งหมายของหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2544 ที่มุ่งพัฒนาคนไทยให้เป็นมนุษย์ที่มีความสมบูรณ์ทั้งร่างกายและจิตใจ เป็นคนดี มีปัญญา มีความสุข และมีความเป็นไทย มีศักยภาพในการศึกษาต่อ และประกอบอาชีพ โดยอาศัยทรัพยากรที่สถานศึกษามีอยู่หรือจัดหาเพิ่มเติมตามศักยภาพและบริบทของสถานศึกษานั้น ๆ การศึกษาการบริหารงานงบประมาณในสถานศึกษาครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์หลักเพื่อศึกษาความหมาย หลักการ แนวคิดทฤษฎี องค์ประกอบงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง ตลอดจนการบูรณาการมาใช้กับหน่วยงานของผู้ศึกษา สรุปเป็นองค์ข้อความรู้ใหม่ที่เกิดจากการศึกษาค้นคว้าเพื่อนำไปปรับใช้ โดยผู้ศึกษาได้ให้ความสนใจศึกษาในประเด็นการบริหารงานงบประมาณของสถานศึกษามุ่งเน้นความเป็นอิสระ ในการบริหารจัดการมีความคล่องตัว โปร่งใส ตรวจสอบได้ ยึดหลักการบริหารมุ่งเน้นผลสัมฤทธิ์ และบริหารงบประมาณแบบมุ่งเน้นผลงาน มีการจัดหาผลประโยชน์จากทรัพย์สินของสถานศึกษา รวมทั้งจัดหารายได้จากงานบริการมาใช้บริหารจัดการในสถานศึกษา เพื่อเป็นประโยชน์ทางการศึกษา และส่งผลให้เกิดคุณภาพที่ดีต่อผู้เรียนเป็นสำคัญ โดยสถานศึกษามีขอบข่ายภารกิจของการบริหารงานงบประมาณดังนี้ การจัดทำและเสนอของบประมาณ การจัดสรรงบประมาณ การตรวจสอบ ติดตาม ประเมินผล และรายงานผลการใช้<strong>เ</strong>งินและผลการดำเนินงาน การระดมทรัพยากรและการลงทุนเพื่อการศึกษา การบริหารการเงิน การบริหารบัญชี การบริหารพัสดุ และสินทรัพย์</p> <p><strong> </strong></p> พนาวัลย์ คำศรีทวีวัฒน์ พระมหาพิสิฐ วิสิฏฐปญโญ พระฮอนด้า วาทสทฺโท เอกราช โฆษิตพิมานเวช ศิวกร อินภูษา Copyright (c) 2024 วารสารมณีเชษฐาราม วัดจอมมณี 2024-04-30 2024-04-30 7 2 409 426 ภาวะผู้นำเชิงคุณธรรมจริยธรรมของผู้บริหารสถานศึกษาในยุคการเปลี่ยนแปลงของโลก https://so07.tci-thaijo.org/index.php/JMCR/article/view/4665 <p>บทความนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาเกี่ยวกับภาวะผู้นำเชิงคุณธรรมจริยธรรมของผู้บริหารสถานศึกษา การบริหารสถานศึกษาตามนโยบายของกระทรวงศึกษาธิการในปัจจุบันที่มีการเตรียมความพร้อมการดำเนินชีวิตตั้งแต่ก้าวเข้าสู่ศตวรรษที่ 21 ภาวะผู้นำเชิงคุณธรรมจริยธรรมเป็นคุณลักษณะทางพฤติกรรมหรือการแสดงออกด้านความประพฤติ การกระทำ และการสื่อสาร ที่แสดงให้เห็นถึงความมีคุณธรรม จริยธรรม ในการนำและการบริหารจัดการองค์การของผู้บริหารจนได้รับความไว้วางใจ เกิดการยอมรับจากผู้ร่วมงาน โดยภาวะผู้นำเชิงคุณธรรมจริยธรรมนั้นประกอบด้วย ความซื่อสัตย์สุจริต ความไว้วางใจ ความยุติธรรม ความรับผิดชอบ ความเคารพ และการเสริมพลังอำนาจ คุณลักษณะเหล่านี้ทำให้เกิดความเชื่อมั่นแก่สถานศึกษา ทำให้คนทั่วไปเกิดศรัทธาและไว้วางใจว่าสถานศึกษาจะเป็นแหล่งพัฒนาคุณภาพของผู้เรียนได้อย่างเต็มที่ และผลประโยชน์สูงสุดของการจัดการศึกษาจะเกิดขึ้นแก่ผู้เรียน และไม่ว่ายุคสมัยจะเปลี่ยนแปลงไปมากเท่าใดแต่สิ่งที่คงอยู่ คือ คุณธรรมจริยธรรมของผู้บริหารที่เป็นความสำนึกหรือความประพฤติที่ดีงาม นอกจากนี้ภาวะผู้นำเชิงคุณธรรมจริยธรรมของผู้บริหารต้องเอาใจใส่เพื่อนำไปสู่การกระตุ้นความต้องการของแต่ละบุคคล สร้างแรงจูงใจให้เกิดกับผู้ตาม ทำให้ผู้ตามเกิดความเชื่อถือ มีความมั่นใจ ไว้วางใจ และต้องการที่จะพัฒนาองค์การให้บรรลุจุดมุ่งหมาย กระตุ้นให้เกิดปัญญาและค้นหาวิธีการทำงานแบบใหม่ ๆ เพื่อการปรับปรุงการทำงาน และความสามารถในการตัดสินใจ</p> วิไลลักษณ์ รู้กิจ เอกราช โฆษิตพิมานเวช สัมฤทธิ์ กางเพ็ง Copyright (c) 2024 วารสารมณีเชษฐาราม วัดจอมมณี 2024-05-01 2024-05-01 7 2 กฎหมายการศึกษากับหน้าที่ผู้บริหารสถานศึกษา https://so07.tci-thaijo.org/index.php/JMCR/article/view/4656 <p>กฎหมายการศึกษาในประเทศไทยมีความสำคัญในการกำหนดบทบาท ภารกิจ และความรับผิดชอบของบุคคลและองค์กรที่เกี่ยวข้องกับการศึกษา ภายใต้เป้าหมายในการจัดการศึกษาที่มีประสิทธิภาพและเพื่อให้เกิดความเป็นธรรมในการจัดการศึกษาแก่ประชาชนทุกคน หลักการและเป้าหมายของพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 และแก้ไขเพิ่มเติม ฉบับที่ 2 พ.ศ. 2545 มุ่งเน้นไปที่ การพัฒนาคนไทยให้เป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ทั้งด้านร่างกาย จิตใจ สติปัญญา ความรู้ และคุณธรรม การส่งเสริมให้คนไทยมีจริยธรรม วัฒนธรรม และทักษะที่จำเป็นสำหรับการประกอบอาชีพ การเตรียมคนไทยให้พร้อมสำหรับการเปลี่ยนแปลงในโลก มีบทบาทสำคัญในการกำหนดทิศทางและแนวทางการจัดการศึกษาของชาติ เพื่อพัฒนาคนไทยให้มีคุณภาพและสามารถแข่งขันในเวทีโลกได้ การบริหารสถานศึกษาถือเป็นภาระหน้าที่ที่สำคัญของผู้บริหารสถานศึกษาที่ต้องการให้คนไทยเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ทั้งร่างกาย จิตใจ สติปัญญา ความรู้และคุณธรรม มีจริยธรรมและวัฒนธรรมในการดำรงชีวิตสามารถอยู่ร่วมกับผู้อื่นได้อย่างมีความสุข ตลอดจนตอบสนองความต้องการของสังคมโลกได้ ผู้บริหารจะต้องมีความรู้ ความเข้าใจเรื่องของการบริหารสถานศึกษาที่มีความสัมพันธ์สอดคล้องกับปรัชญาการศึกษา นโยบายการศึกษา และแผนการศึกษา ที่เป็นระบบบริหารจัดการของรัฐ เพื่อให้งานบรรลุวัตถุประสงค์และผลลัพธ์ของระบบการศึกษา การทำงานของผู้บริหารให้ประสบความสำเร็จนั้นต้องประกอบด้วยหน้าที่ 4 ประการคือ การวางแผน การจัดองค์กร ภาวะผู้นำ และการควบคุม</p> <p><strong> </strong></p> พัฒนา ยอดสะอึ เอกราช โฆษิตพิมานเวช ศิวกร อินภูษา Copyright (c) 2024 วารสารมณีเชษฐาราม วัดจอมมณี 2024-04-30 2024-04-30 7 2 447 466 การบูรณาการหลักธรรมในการบริหารงานบุคคลของผู้บริหารสถานศึกษา https://so07.tci-thaijo.org/index.php/JMCR/article/view/4661 <p>บทความวิชาการนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาการบูรณาการหลักธรรมในการบริหารงานบุคคลของผู้บริหารสถานศึกษา จากการศึกษาในครั้งนี้พบว่า การบูรณาการหลักธรรมในการบริหารงานบุคคลของผู้บริหารสถานศึกษา เพราะการบูรณาการหลักธรรมกับหลักสมรรถนะของผู้บริหารสถานศึกษา 3 สมรรถนะหลัก ได้แก่ 1) สมรรถนะด้านความรู้ 2) สมรรถนะด้านทักษะ 3) สมรรถนะด้านคุณลักษณะ ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อครูและผู้บริหารสถานศึกษาในการนำไปใช้ปฏิบัติได้จริงในสถานการณ์ที่แตกต่างในสถานศึกษาระดับการศึกษาขั้นพื้นฐาน เพื่อหาแนวทางพัฒนาการสอนของครูให้มีคุณภาพ การส่งเสริมสภาพแวดล้อมการทำงานของครูและสภาพแวดล้อมการเรียนรู้ในโรงเรียน การพัฒนาวิชาชีพครู ความเชื่อ คุณลักษณะและจิตวิญญาณความเป็นครูที่ส่งผลต่อการจัดการเรียนรู้ที่มีคุณภาพ ตลอดจนตัวชี้วัดที่ส่งเสริมให้ผู้บริหารสถานศึกษามีภาวะผู้นำทางวิชาการ มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการบริหารงานบุคคลของผู้บริหารให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น</p> วรกร ตรีเดช เอกราช โฆษิตพิมานเวช สัมฤทธิ์ กางเพ็ง Copyright (c) 2024 วารสารมณีเชษฐาราม วัดจอมมณี 2024-04-30 2024-04-30 7 2 467 483 การบริหารงานทั่วไปของสถานศึกษา https://so07.tci-thaijo.org/index.php/JMCR/article/view/4662 <p>การบริหารงานทั่วไปเป็นการบริหารงานหรือการดำเนินงานที่เน้นไปในทิศทางด้านการส่งเสริมและสนับสนุนการดำเนินงานและการให้บริการแก่หน่วยงานภายในของสถานศึกษา โดยให้บริการด้านการศึกษาทุกรูปแบบ รวมทั้งการมีส่วนร่วมของบุคคล ชุมชน และองค์กรที่เกี่ยวข้องเป็นตัวประสานที่ทำให้การจัดการเรียนการสอนและงานต่าง ๆ ดำเนินไปอย่างสะดวก ราบรื่น บรรลุเป้าหมายที่ตั้งไว้อย่างมีประสิทธิภาพ และประสิทธิผล มีความสำคัญคือเป็นงานที่ส่งเสริมสนับสนุนด้านการบริหารงานต่าง ๆ ในองค์กร เพื่อให้สามารถบรรลุผลตามมาตรฐาน คุณภาพ และเป้าหมายที่ได้กำหนดไว้ โดยมีขอบข่ายของการบริหารงานทั่วไปประกอบด้วย การพัฒนาระบบและเครือข่ายข้อมูลสารสนเทศ การประสานงานและพัฒนาเครือข่ายการศึกษา การวางแผนการบริหารการศึกษา การวิจัยเพื่อพัฒนานโยบายและแผน การจัดระบบบริหารและพัฒนาองค์กร การพัฒนามาตรฐานการปฏิบัติงาน งานเทคโนโลยีเพื่อการศึกษา การดำเนินงานธุรการ การดูแลอาคารสถานที่และสภาพแวดล้อม การจัดทำสำมะโนผู้เรียน การรับนักเรียน การเสนอความเห็นเกี่ยวกับเรื่องการ จัดตั้ง ยุบรวมหรือเลิก การประสานการจัดการศึกษาในระบบ นอกระบบและตาม การระดมทรัพยากรเพื่อการศึกษา การทัศนศึกษา งานกิจการนักเรียน งานประชาสัมพันธ์งานการศึกษา การส่งเสริม สนับสนุนและ ประสานการจัดการศึกษาของบุคคลชุมชน องค์กร หน่วยงานและสถาบันสังคมอื่นที่จัดการศึกษา งานประสานงานกับส่วน ภูมิภาคและส่วนท้องถิ่น การรายงานผลการปฏิบัติงาน การจัดระบบการควบคุมภายในหน่วยงาน และแนวทางการจัดกิจกรรมเพื่อปรับเปลี่ยนกิจกรรมในการลงโทษนักเรียน การบริหารงานทั่วไปของสถานศึกษาในอนาคตมีแนวโน้มความสำคัญ ดังนี้ การใช้เทคโนโลยีดิจิทัล การกระจายอำนาจการตัดสินใจ การมีส่วนร่วมของชุมชน การมุ่งเน้นผลลัพธ์ และ การพัฒนาอย่างยั่งยืน สถานศึกษาในอนาคตจะต้องปรับตัวให้เข้ากับการเปลี่ยนแปลง ปรับปรุงและพัฒนาอย่างต่อเนื่องเพื่อตอบสนองต่อความเปลี่ยนแปลงทางสังคม เศรษฐกิจ เทคโนโลยี และการศึกษาที่มีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา</p> ดารานาถ มาตย์เทพ เอกราช โฆษิตพิมานเวช สัมฤทธิ์ กางเพ็ง ศิวกร อินภูษา Copyright (c) 2024 วารสารมณีเชษฐาราม วัดจอมมณี 2024-04-30 2024-04-30 7 2 484 499 การบริหารสถานศึกษาเพื่อส่งเสริมคุณธรรมและจรรยาบรรณวิชาชีพครู ในสถานศึกษา https://so07.tci-thaijo.org/index.php/JMCR/article/view/4663 <p>การบริหารสถานศึกษาถือเป็นภาระหน้าที่สำคัญของผู้บริหารสถานศึกษา ดังนั้นผู้บริหารสถานศึกษาทุกคนจึงควรนำหลักธรรม พรหมวิหารธรรม อธิปไตย 3 และทุติยปาปณิกสูตร มาเป็นหลักในการบริหารการศึกษา อันเป็นเครื่องบ่งชี้ว่าเป็นผู้บริหารที่สมบูรณ์ สร้างแรงจูงใจในความร่วมมือ เกิดการยอมรับ เป็นแบบอย่างที่ดีแก่ผู้ใต้บังคับบัญชา สามารถนำพาองค์กรให้พัฒนาก้าวหน้าด้วยความมั่นคง อย่างมีประสิทธิผล และมีประสิทธิภาพ การทำงานของผู้บริหารให้ประสบความสำเร็จนั้นต้องประกอบด้วย การวางแผน การจัดองค์การ การจัดคนเข้าทำงาน การอำนวยการ การประสานงาน การรายงาน การควบคุมงบประมาณ นอกจากนี้ยังต้องส่งเสริมคุณธรรมและจรรยาบรรณวิชาชีพ ให้ได้นำไปปฏิบัติตนแต่ละด้าน ดังนี้ คุณธรรมต่อตนเอง คือ มรรคมีองค์ 8 คุณธรรมต่อผู้อื่นและสังคม คือ พรหมวิหาร 4 เบญจศีล สังคหวัตถุ 4 คุณธรรมต่อหน้าที่การงาน คือ สัปปุริสธรรม 7 อิทธิบาท 4 พละธรรม 5 ผู้บริหารควรส่งเสริมจรรยาบรรณวิชาชีพครูด้วย 5 แนวทาง ดังนี้ 1) ด้านจรรยาบรรณต่อตนเอง 2) ด้านจรรยาบรรณต่อวิชาชีพ 3) ด้านจรรยาบรรณต่อผู้รับบริการ 4) ด้านจรรยาบรรณต่อผู้ร่วมประกอบวิชาชีพ 5) ด้านจรรยาบรรณต่อสังคม เมื่อครูมีคุณธรรมและจรรณยาบรรณวิชาชีพที่ดีและถูกต้อง จะส่งผลที่เป็นประโยชน์กับครู ดังนี้ 1) ช่วยหล่อหลอมให้เป็นคนที่มีความพอดี 2) ช่วยให้เป็นคนที่รู้จักใช้เหตุผล 3) ช่วยให้เป็นคนกล้าหาญ 4) ช่วยให้ครูมีความยุติธรรม 5) ครูประพฤติปฏิบัติเป็นตัวอย่างที่ดีแก่ศิษย์ 6) ทำให้เกิดศรัทธาเลื่อมใสจากใจของผู้เกี่ยวข้อง 7) ลดการหาแต่ประโยชน์ส่วนตัว ซึ่งจะส่งเสริมผู้เรียนให้มีความสุข คุณภาพชีวิตดี ก่อให้สถานศึกษาประสบผลสำเร็จ สามารถพัฒนาการศึกษาได้อย่างยั่งยืน</p> กิตติภาส นั่งสูงเนิน พระมหาพิสิฐ วิสิฎฺฐปญฺโญ พระฮอนด้า วาทสทฺโท เอกราช โฆษิตพิมานเวช Copyright (c) 2024 วารสารมณีเชษฐาราม วัดจอมมณี 2024-04-30 2024-04-30 7 2 500 516 สิ่งแวดล้อมและการเรียนรู้ : กรอบแนวคิดและการพัฒนา https://so07.tci-thaijo.org/index.php/JMCR/article/view/4658 <p>บทความวิชาการนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อการศึกษากรอบแนวคิดและการพัฒนาที่เกี่ยวข้องกับสิ่งแวดล้อมและการเรียนรู้ โดยการสำรวจแนวคิดทฤษฎีและการปฏิบัติที่เกี่ยวข้องกับการสิ่งแวดล้อมการเรียนรู้ที่เต็มไปด้วยความหมายและประสบการณ์ที่มีประโยชน์สำหรับผู้เรียน นอกจากนี้ยังมุ่งหวังในการวิเคราะห์แนวโน้มและการพัฒนาที่เกี่ยวข้องกับการปรับปรุงสภาพแวดล้อมการเรียนรู้เพื่อส่งเสริมการเรียนรู้ที่เป็นเอกลักษณ์และสร้างผลการเรียนที่มีคุณค่าต่อชีวิตประจำวันและชุมชน ในบทความวิชาการนี้อาจพิจารณาประเด็นเชิงนโยบายเพื่อเสนอแนวทางการดำเนินงานที่สามารถสนับสนุน ส่งเสริมในการพัฒนาการเรียนรู้ที่มีความยั่งยืนและทันสมัยในสถานศึกษาและองค์กรต่าง ๆ โดยที่ให้ความสำคัญกับความสอดคล้องกับความต้องการของผู้เรียนและระบบสังคมที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม นอกจากนี้ยังมีการศึกษาเชิงลึกเกี่ยวกับกรอบแนวคิดและการพัฒนาสิ่งแวดล้อมและการเรียนรู้ที่ส่งเสริมการคิดวิเคราะห์ เชิงร่วมมือ และสร้างนวัตกรรมในการเรียนรู้ เพื่อสร้างผู้เรียนที่มีความพร้อมในการเผชิญกับอุปสรรคที่จะเกิดขึ้นในอนาคตและโอกาสที่จะเกิดในสังคมและสิ่งแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วในศตวรรษที่ 21 ทั้งนี้เพื่อให้การศึกษาที่ได้รับเป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาทางด้านทรัพยากรมนุษย์และความยั่งยืนของสังคมและสิ่งแวดล้อมในระยะยาว โดยเน้นที่ผลกระทบที่สร้างขึ้นจากการเปลี่ยนแปลงของสภาพแวดล้อมต่อการเรียนรู้ต่อผู้เรียนและสังคมอย่างกว้างขวางและมีความยั่งยืนในอนาคต</p> นิสารัตน์ แสงศรีเรือง เอกราช โฆษิตพิมานเวช สัมฤทธิ์ กางเพ็ง Copyright (c) 2024 วารสารมณีเชษฐาราม วัดจอมมณี 2024-04-30 2024-04-30 7 2 517 528 การบริหารจัดการสถานศึกษายุคใหม่อย่างมีประสิทธิภาพ https://so07.tci-thaijo.org/index.php/JMCR/article/view/4522 <p>ในโลกยุคใหม่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว เนื่องจากการใช้เทคโนโลยีในการเชื่อมโยงข้อมูลข่าวสารต่างๆ จากทุกภูมิภาคในโลกเข้าด้วยกัน เทคโนโลยีสารสนเทศได้ส่งผลให้การเมือง การปกครอง เศรษฐกิจ สังคม และการศึกษาเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว การบริหารจัดการสถานศึกษาในยุคปัจจุบันให้มีประสิทธิภาพ ผู้บริหารควรมี เทคนิคการจัดการ ทักษะในยุคใหม่ แนวคิด ความสัมพันธ์ระหว่างบุคคล วิชาการ ความเป็นผู้นำ การวางแผน และการสื่อสารที่มีประสิทธิภาพ การใช้เทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อการสื่อสาร การสร้างทีม ผู้บริหารต้องสำรวจและสนับสนุนการใช้ ICT และ e-learning เพื่อพัฒนาโรงเรียนให้เป็นชุมชนแห่งการเรียนรู้ สร้างเครือข่ายเพื่อส่งเสริมการเรียนรู้และความสำเร็จ น้อมนำหลักธรรมทางพระพุทธศาสนามาใช้ในการบริหารงาน หลักพรหมวิหารธรรมมาใช้ในการบริหารคน หลักอิทธิบาท เป็นแนวทางในการทำงานให้ประสบความสำเร็จในสถานศึกษา และหลักธรรม ทศพิธราชธรรม เป็นหลักในการขับเคลื่อนงานของสถานศึกษาให้ขับเคลื่อนไปได้อย่างมีประสิทธิภาพ</p> อุกฤษฎ์ ดอนบรรเทา เอกราช โฆษิตพิมานเวช Copyright (c) 2024 วารสารมณีเชษฐาราม วัดจอมมณี 2024-04-30 2024-04-30 7 2 529 545 คติความเชื่อการสร้างรูปสลักศิลาตอนปฐมเทศนา พุทธประติมากรรมยุคทวารวดี https://so07.tci-thaijo.org/index.php/JMCR/article/view/4418 <p>บทความวิชาการฉบับนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาคติความเชื่อการสร้างรูปสลักศิลาตอนปฐมเทศนา พุทธประติมากรรมยุคทวารวดี โดยการศึกษาประวัติความเป็นมาที่แสดงร่องรอยพัฒนาการของงานพุทธศิลปกรรมในอินเดียยุคสมัยต่าง ๆ จากการวิเคราะห์คติความเชื่อการสร้างงานพุทธศิลป์แสดงเรื่องราวพุทธประวัติ นับแต่ในอินเดียยุคแรก เชื่อว่าสร้างขึ้นด้วยแรงบันดาลใจจากพุทธดำรัสที่ตรัสกับพระอานนท์ว่าสถานที่สังเวชนียสถาน 4 แห่ง เป็นสถานที่ที่พุทธบริษัทผู้มีศรัทธาควรไปดู ประติมากรที่สร้างงานประเภทนี้ในยุคแรก ๆ จึงได้สร้างศิลปวัตถุ ประเภทต่าง ๆ ที่สะท้อนเหตุการณ์ตอนประสูติ ตรัสรู้ แสดงปฐมเทศนา และปรินิพพาน กลายเป็นค่านิยมที่สืบทอดและแพร่ขยายไปยังดินแดนที่นับถือพระพุทธศาสนาประเทศต่าง ๆ สืบมา รูปสลักศิลาตอนแสดงปฐมเทศนา พบที่วัดไทร อำเภอนครชัยศรี จังหวัดนครปฐม ได้รับอิทธิพลจากศิลปะปาละ สร้างขึ้นราวพุทธศตวรรษที่ 14 นักวิชาการส่วนใหญ่มีความเห็นตรงกันว่า สร้างขึ้นตามคติความเชื่อพระพุทธศาสนา นิกายเถรวาท สะท้อนภาพจากวรรณกรรมที่บันทึกเรื่องราวตอนที่พระพุทธองค์ประทับอยู่ที่ป่าอิสิปตนมฤคทายวัน เขตกรุงพาราณสี ทรงแสดงปฐมเทศนา ธัมมจักกัปปวัตตนสูตร โปรดปัญจวัคคีย์ ในแง่ของประโยชน์และคุณค่าของศาสนวัตถุ มองว่าการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมเพื่อชมศิลปวัตถุ ก็เป็นเสมือนหนึ่งว่านักท่องเที่ยวได้ไปยังสังเวชนียสถาน</p> พระครูพิศาลบุญญากร (เฟื่อง สมบูญบัติ) พระเจริญพงษ์ วิชัย Copyright (c) 2024 วารสารมณีเชษฐาราม วัดจอมมณี 2024-04-30 2024-04-30 7 2 546 561 ความเครียดของผู้ดูแลคนพิการ: แนวทางการจัดการความเครียดด้วยทักษะทางสังคม https://so07.tci-thaijo.org/index.php/JMCR/article/view/4440 <p>ปัจจุบันมีผู้พิการเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องทั้งจากทั่วโลกและในประเทศไทย โดยพบผู้พิการอันเนื่องจากความลำบากหรือปัญหาสุขภาพและมีลักษณะความบกพร่องเป็นจำนวนมากที่สุดในประเทศไทย ซึ่งผู้พิการส่วนใหญ่มีปัญหาด้านการเคลื่อนไหวส่งผลให้ไม่สามารถช่วยเหลือตนเองได้ และต้องการการดูแลอย่างต่อเนื่องและใกล้ชิด การดูแลผู้พิการจึงต้องพึ่งพาผู้ดูแลตลอดเวลา ซึ่งการดูแลผู้พิการดังกล่าวจึงเป็นภาระและเป็นงานที่เหน็ดเหนื่อย ใช้เวลามาก ก่อให้เกิดผลกระทบทั้งด้านร่างกาย จิตใจ อารมณ์ บทบาทหน้าที่และปัญหาด้านการเงิน</p> <p>เมื่อผู้ดูแลเกิดความเครียด ผู้ดูแลจะมีการดูแลตนเองเพื่อจัดการความเครียด การจัดการความเครียดมี 2 แบบคือ การจัดการความเครียดที่มุ่งเน้นการแก้ไขปัญหา และการจัดการความเครียดที่มุ่งเน้นอารมณ์ ต่างประเทศมีการจัดการความเครียดในผู้ดูแลที่ได้ประสิทธิภาพและมีรูปแบบที่ชัดเจนนั้นคือ การฝึกทักษะสังคมในผู้ดูแลผู้ใหญ่ ผู้ป่วยอัลไซเมอร์และผู้สูงอายุ โดยการทำกิจกรรมกลุ่ม การพูดคุย การสะท้อนกลับ รวมทั้งการจัดสถานที่ที่เอื้อต่อการทำกิจกรรมร่วมกัน มีผลทำให้ผู้ดูแลมีทักษะทางสังคม และคุณภาพชีวิตดีขึ้น รวมทั้งลดความรู้สึกเป็นภาระได้</p> <p>ดังนั้นการส่งเสริมทักษะสังคมจำเป็นต้องพัฒนาองค์ประกอบของทักษะสังคมและจะต้องอาศัยปัจจัยแวดล้อมในทุก ๆ ด้านทั้งด้านครอบครัว สังคม และเพื่อน แต่การนำส่งเสริมทักษะทางสังคมมาประยุกต์ใช้ในผู้ดูแลของประเทศไทยอาจพบข้อจำกัดในเรื่องวัฒนธรรม ความเชื่อ และสภาพสังคมเศรษฐกิจที่แตกต่างกับชาติตะวันตก แต่จากการศึกษาการส่งเสริมทักษะทางสังคมในต่างประเทศได้มีการนำมาประยุกต์ใช้ในผู้ดูแลอย่างแพร่หลายและมีประสิทธิภาพ ดังนั้นควรมีการส่งเสริมทักษะทางสังคมในผู้ดูแลผู้พิการของประเทศไทยเพิ่มขึ้น</p> พระครูธรรมธร ปุญญาพัฒน์ แสงวงค์ดี ปริญญา ตรีธัญญา Copyright (c) 2024 วารสารมณีเชษฐาราม วัดจอมมณี 2024-04-30 2024-04-30 7 2 580 598 การบูรณาการพุทธธรรมกับแนวคิดทฤษฎีกระบวนการและหน้าที่ ในการบริหารสถานศึกษา https://so07.tci-thaijo.org/index.php/JMCR/article/view/4460 <p>การบริหารสถานศึกษาถือเป็นภาระหน้าที่ที่สำคัญของผู้บริหารสถานศึกษาที่ต้องการให้คนไทยเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ทั้งร่างกาย จิตใจ สติปัญญา ความรู้และคุณธรรม มีจริยธรรมและวัฒนธรรมในการดำรงชีวิตสามารถอยู่ร่วมกับผู้อื่นได้อย่างมีความสุข ตลอดจนตอบสนองความต้องการของสังคมโลกได้ ผู้บริหารจะต้องมีความรู้ ความเข้าใจเรื่องของการบริหารสถานศึกษาที่มีความสัมพันธ์สอดคล้องกับปรัชญาการศึกษา นโยบายการศึกษา และแผนการศึกษา ที่เป็นระบบบริหารจัดการของรัฐ เพื่อให้งานบรรลุวัตถุประสงค์และผลลัพธ์ของระบบการศึกษา การทำงานของผู้บริหารให้ประสบความสำเร็จนั้นต้องประกอบด้วยหน้าที่ 4 ประการ คือ การวางแผน การจัดองค์กร ภาวะผู้นำ และการควบคุม นอกจากนี้ยังมีหลักพุทธธรรมที่สำคัญตามหลักพระพุทธศาสนาเป็นหลักธรรมที่มีความสัมพันธ์กับทักษะของผู้บริหารสถานศึกษาในทุติยปาปณิกสูตร ได้แก่ 1) จักขุมา มีปัญญามองการณ์ไกล หรือมีทักษะด้านความคิด 2) วิธูโร ทักษะด้านการปฏิบัติงาน ความชำนาญการด้านเทคนิค และ 3) นิสสยสัมปันโน ทักษะด้านมนุษยสัมพันธ์ ความชำนาญด้านมนุษยสัมพันธ์ เป็นผู้นำที่มีมนุษยสัมพันธ์ดี รวมถึงหลักธรรมที่ผู้บริหารสถานศึกษานำมาบูรณาการใช้ในการบริหารตน คือ สัปปุริสธรรม 7 การบริหารคน คือ เหฎฐิมทิศ พรหมวิหาร 4 สังคหวัตถุ 4 การบริหารงาน คือ อิทธิบาท 4 เพื่อให้สถานศึกษาประสบผลสำเร็จและสามารถพัฒนาการศึกษาได้อย่างยั่งยืน<strong> </strong></p> ศิวกร อินภูษา พระมหาพิสิฐ วิสิฎฺฐปญฺโญ พระฮอนด้า วาทสทฺโท เอกราช โฆษิตพิมานเวช Copyright (c) 2024 วารสารมณีเชษฐาราม วัดจอมมณี 2024-04-30 2024-04-30 7 2 562 579 การพัฒนาหลักสูตรฝึกอบรมครูภาษาไทยระดับประถมศึกษา เพื่อเสริมสร้างคติธรรมสำหรับนักเรียน ด้วยการจัดการเรียนรู้โดยใช้วรรณกรรมท้องถิ่นอีสานร่วมกับกระบวนการโค้ช โรงเรียนในสังกัดศึกษาธิการจังหวัดขอนแก่น https://so07.tci-thaijo.org/index.php/JMCR/article/view/4420 <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) เพื่อศึกษาสภาพและความต้องการจำเป็นในการพัฒนาหลักสูตรฝึกอบรมครูภาษาไทยระดับประถมศึกษา 2) เพื่อพัฒนาหลักสูตรฝึกอบรมครูภาษาไทยระดับประถมศึกษา 3) เพื่อทดลองใช้หลักสูตรฝึกอบรมครูภาษาไทยระดับประถมศึกษา 4) เพื่อประเมินผลการพัฒนาหลักสูตรฝึกอบรมครูภาษาไทยระดับประถมศึกษา กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการทดลอง ได้แก่ ครูภาษาไทยระดับประถมศึกษา จำนวน 10 คน และนักเรียนระดับประถมศึกษา จำนวน 150 คน โดยการเลือกแบบอาสาสมัคร เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ หลักสูตรฝึกอบรม แบบทดสอบ แบบประเมินความสามารถ และแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ สถิติที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการทดสอบค่าที (t- Independent)</p> <p>ผลการวิจัยสรุปได้ว่า 1) ผลการศึกษาข้อมูลพื้นฐานและหาความต้องการจําเป็น พบว่า อาจารย์และครูภาษาไทยต้องการให้มีหลักสูตรอบรมในเรื่องการจัดการเรียนรู้โดยใช้วรรณกรรมท้องถิ่นอีสาน เพื่อเสริมสร้างคติธรรมสำหรับนักเรียน เพื่อที่ครูจะได้มีความรู้เกี่ยวกับการสอนอ่านและเขียนภาษาไทย 2) ผลการออกแบบและพัฒนาหลักสูตรฝึกอบรม พบว่า หลักสูตรฝึกอบรมฉบับร่างมีความสอดคล้องในภาพรวม ได้ค่าเฉลี่ยเท่ากับ ( = 4.63, S.D.= 0.05) และมีความเหมาะสมในภาพรวม ได้ค่าเฉลี่ยเท่ากับ ( = 4.53, S.D.=0.06) 3) ผลการนําหลักสูตรไปทดลองใช้ พบว่า ก่อนอบรมได้ค่าเฉลี่ยเท่ากับ ( = 19.02, S.D.= 1.66) หลังอบรมได้ค่าเฉลี่ยเท่ากับ ( = 27.12, S.D.= 1.17) หลังอบรมสูงกว่าก่อนอบรมอย่างมีนัยสําคัญ .05 และความสามารถการจัดการเรียนรู้ในภาพรวมมีค่าเฉลี่ยเท่ากับ ( = 4.52, S.D. = 0.18) 4) ผลการประเมินและปรับปรุงหลักสูตร พบว่า หลักสูตรฝึกอบรมครูเป็นหลักสูตรที่สอดคล้องกับความต้องการของครู และนําไปใช้เสริมสร้างคติธรรมสำหรับนักเรียนได้</p> อรรถพงษ์ ผิวเหลือง บัญชา ธรรมบุตร ณัฐกิตติ์ สิริวัฒนาทากุล Copyright (c) 2024 วารสารมณีเชษฐาราม วัดจอมมณี 2024-04-30 2024-04-30 7 2 1 20 การสังเคราะห์วรรณกรรมท้องถิ่นอีสาน เพื่อเสริมสร้างคติธรรม สำหรับนักเรียนในศตวรรษ ที่ 21 https://so07.tci-thaijo.org/index.php/JMCR/article/view/4421 <p>บทความวิจัยเรื่องนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) เพื่อสังเคราะห์วรรณกรรมท้องถิ่นอีสาน เพื่อเสริมสร้างคติธรรมสำหรับนักเรียนในศตวรรษที่ 21 2) เพื่อพัฒนาคติธรรมสำหรับนักเรียนในศตวรรษที่ 21 ที่จัดการเรียนรู้โดยใช้วรรณกรรมท้องถิ่นอีสาน 3) เพื่อพัฒนาทักษะในศตวรรษที่ 21 ของนักเรียนที่จัดการเรียนรู้โดยใช้วรรณกรรมท้องถิ่นอีสาน 4) เพื่อศึกษาความคิดเห็นของนักเรียนที่มีต่อการจัดการเรียนรู้วิชาภาษาไทยโดยใช้วรรณกรรมท้องถิ่นอีสาน เพื่อเสริมสร้างคติธรรมสำหรับนักเรียนในศตวรรษที่ 21 กลุ่มเป้าหมายที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ ครูผู้สอนภาษาไทยระดับประถมศึกษา และนักเรียนระดับประถมศึกษา ได้มาโดยการเลือกแบบเจาะจง เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แผนการจัดการเรียนรู้ แบบวัดคติธรรม แบบสอบถามความคิดเห็นของนักเรียนที่มีต่อการจัดการเรียนรู้วรรณกรรมท้องถิ่นอีสาน สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การทดสอบค่าที แบบไม่เป็นอิสระต่อกัน และการวิเคราะห์เนื้อหา</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1) การเขียนแผนการจัดการเรียนรู้วิชาภาษาไทยโดยใช้วรรณกรรมท้องถิ่นอีสาน เพื่อเสริมสร้างคติธรรมสำหรับนักเรียนในศตวรรษที่ 21 ของครูภาษาไทยระดับประถมศึกษาภาพรวม อยู่ในระดับมาก 2) การจัดการเรียนรู้วิชาภาษาไทยโดยใช้วรรณกรรมท้องถิ่นอีสาน เพื่อเสริมสร้างคติธรรมสำหรับนักเรียนในศตวรรษที่ 21 ของครูภาษาไทยระดับประถมศึกษาภาพรวม อยู่ในระดับมากที่สุด 3) ความรู้เกี่ยวกับคติธรรม หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญที่ระดับ .05 4) ความคิดเห็นของนักเรียน การจัดการเรียนรู้วิชาภาษาไทยโดยใช้วรรณกรรมท้องถิ่นอีสาน เพื่อเสริมสร้างคติธรรมสำหรับนักเรียนในศตวรรษที่ 21 ภาพรวมอยู่ในระดับมาก</p> บัญชา ธรรมบุตร รัชนีบูรณ์ เนตรภักดี ณัฐกิตติ์ สิริวัฒนาทากุล Copyright (c) 2024 วารสารมณีเชษฐาราม วัดจอมมณี 2024-04-30 2024-04-30 7 2 21 37 รูปแบบชุมชนแห่งการเรียนรู้ทางวิชาชีพในโรงเรียนประถมศึกษาขนาดเล็กสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาหนองบัวลำภู https://so07.tci-thaijo.org/index.php/JMCR/article/view/4444 <p>การวิจัยมีวัตถุประสงค์การวิจัยเพื่อ 1. เพื่อศึกษาปัจจัยเป็นชุมชนสนับสนุนการแห่งการเรียนรู้ทางวิชาชีพครูในโรงเรียนประถมศึกษาขนาดเล็ก 2. เพื่อศึกษาองค์ประกอบการเป็นชุมชนแห่งการเรียนรู้ทางวิชาชีพครูในโรงเรียนประถมศึกษาขนาดเล็ก 3. เพื่อศึกษาข้อเสนอแนะการเป็นชุมชนแห่งการเรียนรู้ทางวิชาชีพครูในโรงเรียนประถมศึกษาขนาดเล็ก และ 4. เพื่อศึกษารูปแบบชุมชนการเรียนรู้ทางวิชาชีพครูในโรงเรียนประถมศึกษาขนาดเล็ก ประชากรคือ ผู้บริหารและครู จำนวน 650 คน กำหนดขนาดของกลุ่มตัวอย่างของยามาเน่ ได้ตัวอย่างจำนวน 286 คน เครื่องมือวิจัยเป็นแบบสอบถามที่ผู้วิจัยสร้างและพัฒนาขึ้น นำแบบสอบถามไปให้ผู้เชี่ยวชาญจำนวน 5 คน ผู้พิจารณาความตรง และทดลองใช้เพื่อนำมาวิเคราะห์ค่า ความเชื่อมั่นแบบครอนบาค 0.895 เคราะห์ข้อมูลโดยใช้โปรแกรมสำเร็จรูปวิเคราะห์ค่าสถิติ ร้อยละค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์แบบเพียร์สัน และ การวิเคราะห์สมการถดถอยแบบขั้นตอน</p> <p> </p> <p> </p> <p><strong> </strong>ผลการวิจัยพบว่า</p> <ol> <li>ข้อมูลทั่วไปของผู้บริหารโรงเรียนและครูผู้สอน พบว่า ส่วนมากเป็นครูคิดเป็นร้อยละ 84.20 เพศหญิง คิดเป็นร้อยละ 69.70 อายุระหว่าง 31-40 ปี คิดเป็นร้อยละ 35.50 อายุราชการระหว่าง 1-10 ปี คิดเป็นร้อยละ 59.40 การศึกษาระดับปริญญาตรี คิดเป็นร้อยละ 71.40 ในโรงเรียนมีการดำเนินกิจกรรมชุมชนแห่งการเรียนรู้ทางวิชาชีพของครู คิดเป็นร้อยละ 85.00 และเข้าร่วมกิจกรรม คิดเป็นร้อยละ 82.50</li> <li>องค์ประกอบของชุมชนแห่งการเรียนรู้ทางวิชาชีพของครู พบว่า มีระดับปฏิบัติโดยรวมอยู่ในระดับ มาก ( =4.50) และเมื่อพิจารณาในแต่ละองค์ประกอบพบว่า มีระดับการปฏิบัติอยู่ในระดับมากที่สุด 2 องค์ประกอบ คือ 1) การสร้างค่านิยมและวิสัยทัศน์ร่วม <br />( =4.59) และ 2) การจัดสภาพแวดล้อมที่เอื้ออำนวย ( =4.51) และมีระดับการปฏิบัติอยู่ในระดับมาก 3 องค์ประกอบ คือ 1) การสนับสนุนและเป็นผู้นำร่วม ( =4.49) 2) การเรียนรู้และประยุกต์ใช้ความรู้ ( =4.48) และ 3) การแลกเปลี่ยนประสบการณ์ ( =4.43) ตามลำดับ</li> <li>ปัจจัยที่ส่งผลต่อการเป็นชุมชนแห่งการเรียนรู้ทางวิชาชีพของครูมีระดับปฏิบัติโดยรวมอยู่ในระดับ มากที่สุด ( =4.51) และเมื่อพิจารณาในแต่ละด้านพบว่า มีระดับการปฏิบัติอยู่ในระดับมากที่สุด 3 ด้าน คือ 1) ด้านวัฒนธรรมองค์กร ( =4.60) 2) ด้านครูผู้สอน ( =4.58) และ 3) ด้านภาวะผู้นำ ( =4.52) และมีระดับการปฏิบัติอยู่ในระดับมาก คือ ด้านบรรยากาศองค์กร ( =4.50) ตามลำดับ</li> <li>ความคิดเห็นและข้อเสนอแนะของผู้บริหารโรงเรียนและครูผู้สอนในการเป็นชุมชนแห่งการเรียนรู้ทางวิชาชีพของครูในโรงเรียนประถมศึกษาขนาดเล็ก สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาหนองบัวลำภูมีระดับความคิดเห็นและข้อเสนอแนะโดยรวมอยู่ในระดับมากที่สุด ( =4.54)</li> <li>องค์ประกอบของชุมชนแห่งการเรียนรู้ทางวิชาชีพของครูมีความสัมพันธ์เชิงบวกกับ ปัจจัยที่ส่งผลต่อการเป็นชุมชนแห่งการเรียนรู้ทางวิชาชีพของครู (r=.695**) อยู่ในระดับสูงอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ.01 ปัจจัยที่ส่งผลต่อการเป็นชุมชนแห่งการเรียนรู้ทางวิชาชีพของครูมีความสัมพันธ์เชิงบวกกับข้อเสนอแนะการเป็นชุมชนแห่งการเรียนรู้ทางวิชาชีพของครู (r=.776**) อยู่ในระดับสูงอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01</li> </ol> <p> การศึกษาตัวแปรพยากรณ์หรือตัวแปรทำนายโดยกำหนดให้</p> <p> การเป็นชุมชนแห่งการเรียนรู้ทางวิชาชีพของครู (Tc) ผันแปรไปตามองค์ประกอบของชุมชนแห่งการเรียนรู้ทางวิชาชีพของครู (Ta) พบว่า การเรียนรู้และประยุกต์ใช้ความรู้ (Ta3) การจัดสภาพแวดล้อมที่เอื้ออำนวย (Ta5) และ การสนับสนุนและเป็นผู้นำร่วม (Ta2) สามารถร่วมกันทำนายได้อย่างถูกต้อง หรือมีอำนาจการทำนาย (R2 ) = .488 หรือ 48.80% ดังสมการทำนายดังนี้</p> <p> Tc= 1.481+287(Ta3)+.219(Ta5)+.175(Ta2)</p> <p> การเป็นชุมชนแห่งการเรียนรู้ทางวิชาชีพของครู (Tc) ผันแปรไปตามปัจจัยที่ส่งผลต่อการเป็นชุมชนแห่งการเรียนรู้ทางวิชาชีพของครู(Tb) พบว่า ด้านวัฒนธรรมองค์กร (Tb3) ด้านบรรยากาศองค์กร (Tb4) และ ด้านครูผู้สอน (Tb1) สามารถร่วมกันทำนายได้อย่างถูกต้อง หรือมีอำนาจการทำนาย (R2 ) = .607 หรือ 60.70ดังสมการทำนายดังนี้</p> <p>Tc= .781+.158 (Tb3)+.283(Tb4)+.249(Tb1)+.137(Tb2)</p> เชวงศักดิ์ พฤกษเทเวศ นัสพงษ์ กลิ่นจำปา จริยา อนันต์สุวรรณชัย วรรณถา นันทะแสง Copyright (c) 2024 วารสารมณีเชษฐาราม วัดจอมมณี 2024-04-30 2024-04-30 7 2 38 56 หลักธรรมาภิบาลที่มีอิทธิพลต่อประสิทธิผลการบริหารงานขององค์การบริหารส่วนตำบลในจังหวัดปทุมธานี https://so07.tci-thaijo.org/index.php/JMCR/article/view/4442 <p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาระดับประสิทธิผลการบริหารงาน<br />2) วิเคราะห์หลักธรรมาภิบาล ส่งผลต่อประสิทธิผลการบริหารงาน 3) เสนอแนวทางการพัฒนาประสิทธิผลการบริหารงานขององค์การบริหารส่วนตำบล เป็นวิจัยแบบผสมวิธี กรอบแนวคิดใช้ของ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ และกูลิคและเออร์วิค กลุ่มตัวอย่าง จำนวน 332 คน สัมภาษณ์ผู้ให้ข้อมูลสำคัญ จำนวน 16 คน เครื่องมือได้แก่ และแบบสัมภาษณ์แบบสอบถาม นำข้อมูลคุณภาพมาวิเคราะห์เนื้อหาประกอบบริบท สถิติได้แก่ แจกแจงความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการวิเคราะห์การถดถอยพหุคูณ </p> <p> ผลการวิจัย พบว่า 1) ระดับประสิทธิผลการบริหารงาน โดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก เมื่อพิจารณารายด้านโดยเรียงลำดับค่าเฉลี่ยมากไปน้อย พบว่า อยู่ในระดับมากทั้ง 7 ด้าน ได้แก่ ด้านการจัดองค์การมีค่าเฉลี่ยมากสุด รองลงมาคือ ด้านการจัดบุคคลเข้าทำงาน ด้านการรายงานผลการปฏิบัติงาน ด้านการประสานงาน งบประมาณ ด้านการวางแผน และ ด้านการสั่งการหรืออำนวยการ มีค่าเฉลี่ยต่ำสุด 2) ผลการวิเคราะห์หลักธรรมาภิบาล พบว่า ตัวแปรจำนวน 7 ตัว ได้แก่ หลักความพร้อมที่จะรับผิด หลักการกระจายอำนาจ หลักมุ่งเน้นฉันทามติ หลักนิติธรรม หลักความเสมอภาค หลักการมีส่วนร่วม หลักความโปร่งใส หลักประสิทธิภาพ หลักการตอบสนอง และหลักประสิทธิผล ร่วมกันพยากรณ์ประสิทธิผลการบริหารงานขององค์การบริหารส่วนตำบลได้ ร้อยละ 60.7 อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 และ 3) แนวทางการพัฒนาประสิทธิผลการบริหารงาน อบต. องค์การมีวิธีประหยัดทรัพยากรที่ส่งผลให้ประหยัดต้นทุน การจัดทำโครงการต่าง ๆ ประชาชนได้ประโยชน์คุ้มค่าและประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมกิจกรรม เน้นถึงความสำคัญและความจำเป็นของการรายงานและการประเมินผลภายในและภายนอกขององค์การ</p> ธนกฤต โพธิ์เงิน กัญจน์ณัฏฐ์ สังข์นาค พรพรรษ์ กสิบุตร Copyright (c) 2024 วารสารมณีเชษฐาราม วัดจอมมณี 2024-04-30 2024-04-30 7 2 57 78 ปัจจัยเงื่อนไขที่ทำให้เกิดการปฏิบัติงานของครู กรณีศึกษา: ครูผู้เข้าร่วมโครงการผลิตครูเพื่อพัฒนาท้องถิ่น https://so07.tci-thaijo.org/index.php/JMCR/article/view/4404 <p>การวิจัยในครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อทำความเข้าใจการปฏิบัติงานของครูผู้เข้าร่วมโครงการผลิตครูเพื่อพัฒนาท้องถิ่น(ครูคืนถิ่น) และเพื่อศึกษาปัจจัยเงื่อนไขที่ทำให้คุณครูเกิดการปฏิบัติงาน ไม่ตัดสินใจลาออกจากโครงการผลิตครูเพื่อพัฒนาท้องถิ่น (ครูคืนถิ่น) และไม่ทำการโยกย้ายหรือลาออกจากโรงเรียนที่ตนบรรจุราชการครู แม้ว่าคุณครูได้บรรจุข้าราชการครบกำหนดเงื่อนไขของโครงการฯ ระยะเวลาไม่ต่ำกว่าห้าปี กลุ่มผู้ให้ข้อมูลหลักคือคุณครูผู้เข้าร่วมโครงการครูคืนถิ่น บรรจุราชการครูในโรงเรียนขนาดเล็กและขนาดกลาง ได้มาจากการเลือกในรูปแบบเฉพาะเจาะจงที่ผ่านเกณฑ์ตามกำหนดไว้จำนวน 12 คน การศึกษาใช้ระเบียบวิธีการวิจัยเชิงคุณภาพด้วยวิธีการวิเคราะห์เชิงเนื้อหาจากการสัมภาษณ์เชิงลึกและสังเกตการณ์ เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูลประกอบด้วย ตัวผู้วิจัยเอง เอกสารที่เกี่ยวข้อง และแนวคำถามสัมภาษณ์รูปแบบกึ่งโครงสร้าง</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า การปฏิบัติงานแบ่งออกได้เป็น 3 ลักษณะ คือ 1) การปฏิบัติงานตามบทบาทหน้าที่ ได้แก่ การสอนหนังสือ ระบบดูแล สนับสนุนและพัฒนานักเรียน การบริหารองค์กร: รักษาการแทนผู้อำนวยการโรงเรียน 2) การปฏิบัติงานนอกเหนือบทบาทหน้าที่ ได้แก่ การมีความกระตือรือร้นและเป็นอาสาสมัคร การปฏิบัติตามกฎระเบียบและแนวทางปฏิบัติขององค์กร การให้ความร่วมมือสนับสนุนตามวัตถุประสงค์ขององค์กร และ 3) การปฏิบัติงานที่เชื่อมโยงกับชุมชนเป็นกิจกรรมการทำงานที่ผ่านความเชื่อ ศาสนาและวัฒนธรรมโดยคำนึงนักเรียนเป็นหลัก และปัจจัยเงื่อนไขที่ทำให้ครูเกิดการปฏิบัติงานโดยไม่ตัดสินใจลาออกจากโครงการฯ และหน่วยงานที่ตนอยู่ ประกอบด้วย 1) ปัจจัยด้านแรงจูงใจ ได้แก่ ลักษณะของงานที่ทำ การได้รับการยอมรับ และความก้าวหน้าในหน้าที่การงาน และ 2) ปัจจัยด้านสุขอนามัย/ปัจจัยค้ำจุน ได้แก่ นโยบายองค์กร ความสัมพันธ์กับคนในองค์กร สภาพการทำงาน และค่าตอบแทนและเงินเดือน</p> <p><strong> </strong></p> ภาวัช ตีรลานนท์ พีรเดช ประคองพันธ์ อมราพร สุรการ Copyright (c) 2024 วารสารมณีเชษฐาราม วัดจอมมณี 2024-04-30 2024-04-30 7 2 79 98 การศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลงของผู้บริหาร สถานศึกษากับการดำเนินงานการประกันคุณภาพการศึกษา ภายในสถานศึกษาสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา ประถมศึกษาพิจิตร เขต 1 https://so07.tci-thaijo.org/index.php/JMCR/article/view/4543 <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาระดับภาวะผู้นําการเปลี่ยนแปลงของผู้บริหาร 2) ศึกษาระดับการประกันคุณภาพภายใน 3) ศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลงกับการดำเนินงานการประกันคุณภาพการศึกษาภายใน กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย คือ ครูผู้บริหาร จำนวน 274 คน ได้มาจากการเปิดตารางเครจซี่มอร์แกน ทำการสุ่มแบบหลายขั้นตอน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แบบสอบถามภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลง มีค่าความเที่ยงเท่ากับ 0.98 และแบบสอบถามการประกันคุณภาพภายใน ที่มีค่าความเที่ยงเท่ากับ 0.99 สถิติใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์แบบเพียร์สัน ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ค่าเฉลี่ย</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1) ระดับภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลงพบว่า โดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก ( = 4.40, S.D. = 0.61) 2) ระดับการประกันคุณภาพภายใน โดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก ( = 4.40, S.D. = 0.58) 3) ความสัมพันธ์ระหว่างภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลงกับการประกันคุณภาพภายใน มีความสัมพันธ์กันในทางบวก โดยภาพรวมอยู่ในระดับสูง อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05</p> ภาพิมล นามบัวน้อย เยาวเรศ ภักดีจิตร ทินกร ชอัมพงษ์ Copyright (c) 2024 วารสารมณีเชษฐาราม วัดจอมมณี 2024-04-30 2024-04-30 7 2 99 115 การประเมินหลักสูตรประกาศนียบัตรบัณฑิต สาขาวิชาชีพครู (หลักสูตรปรับปรุง พ.ศ. 2562) คณะศึกษาศาสตร์ วิทยาลัยสันตพล https://so07.tci-thaijo.org/index.php/JMCR/article/view/4454 <p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อประเมินหลักสูตรประกาศนียบัตรบัณฑิต สาขาวิชาชีพครู (หลักสูตรปรับปรุง พ.ศ. 2562) คณะศึกษาศาสตร์ วิทยาลัยสันตพล ด้านบริบท ด้านปัจจัยนำเข้า ด้านกระบวนการ และด้านผลผลิต โดยใช้การประเมินแบบ CIPP Model ของ Danial L.Stuffle Beam กลุ่มตัวอย่าง ประกอบด้วย อาจารย์ผู้สอน เลือกแบบเจาะจง จำนวน 21 คน นักศึกษา จำนวน 123 คน บัณฑิต จำนวน 123 คน และผู้ใช้บัณฑิต จำนวน 123 คน โดยเลือกสุ่มอย่างง่าย รวมทั้งสิ้น จำนวน 390 คน เครื่องมือที่ใช้เป็นแบบสอบถามมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ ตรวจสอบความเที่ยงตรงจากผู้เชี่ยวชาญได้ค่าดัชนีความสอดคล้องระหว่าง 0.60 -1.00 มีค่าความเชื่อมั่นทั้งฉบับเท่ากับ 0.96 วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้โปรแกรมคอมพิวเตอร์หาค่าความถี่ ค่าเฉลี่ย และค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า ผลการประเมินหลักสูตรประกาศนียบัตรบัณฑิต สาขาวิชาชีพครู (หลักสูตรปรับปรุง พ.ศ. 2562) คณะศึกษาศาสตร์ วิทยาลัยสันตพล พบว่าด้านบริบท อาจารย์ผู้สอนมีความเห็นเหมาะสมอยู่ในระดับมาก ( =4.32) นักศึกษามีความเห็นเหมาะสมอยู่ในระดับมาก ( =3.98) และบัณฑิตมีความเห็นเหมาะสมอยู่ในระดับระดับมาก ( =3.87) ด้านปัจจัยนำเข้าหลักสูตร อาจารย์ผู้สอน มีความเห็นเหมาะสมอยู่ในระดับมาก ( =4.23) นักศึกษามีความเห็นเหมาะสมอยู่ในระดับมาก ( =4.12) และบัณฑิตมีความเห็นเหมาะสมในระดับมาก ( =4.22) ด้านกระบวนการหลักสูตร อาจารย์ผู้สอนมีความเห็นเหมาะสมในระดับมาก ( =4.18) นักศึกษามีความเห็นในระดับมาก ( =4.22) และบัณฑิตมีความเห็นในระดับมาก ( =4.20) การประเมิน ผลผลิตด้านคุณลักษณะโดยนักศึกษามีความเห็นเหมาะสมระดับมาก ( =4.45) บัณฑิต มีความเห็นเหมาะสมในระดับมาก ( =4.50) และการประเมินผลผลิตด้านผลกระทบหลักสูตรโดยผู้ใช้บัณฑิตเกี่ยวกับการปฏิบัติงานตามสภาพจริงของบัณฑิต โดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก ( =4.39)</p> สถิตย์ กุลสอน โสภา ชัยพัฒน์ Copyright (c) 2024 วารสารมณีเชษฐาราม วัดจอมมณี 2024-04-30 2024-04-30 7 2 116 128 แนวทางพัฒนาประสิทธิภาพการสอนของครูในโรงเรียน สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาแพร่ เขต 2 https://so07.tci-thaijo.org/index.php/JMCR/article/view/4602 <p><strong> </strong>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาประสิทธิภาพการสอนของครูในโรงเรียนสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาแพร่ เขต 2 และ 2) ศึกษาแนวทางการพัฒนาประสิทธิภาพการสอนของครูในโรงเรียนสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาแพร่ เขต 2 วิธีดำเนินการวิจัยแบ่งออกเป็น 2 ขั้นตอน ขั้นที่ 1 การศึกษาประสิทธิภาพการสอนของครูในโรงเรียนสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาแพร่ เขต 2 ประชากรที่ใช้ในงานวิจัย ได้แก่ ครูผู้สอนในสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาแพร่ เขต 2 จำนวน 726 คน กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการศึกษาครั้งนี้ คือ ครูในโรงเรียนสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาแพร่ เขต 2 จำนวน 254 คน เครื่องมือที่ใช้การวิจัยเป็นแบบสอบถาม วิการเคราะห์ข้อมูลโดยใช้ค่าเฉลี่ย และค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ขั้นที่ 2 การศึกษาแนวทางการพัฒนาประสิทธิภาพการสอนของครูในโรงเรียนสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาแพร่ เขต 2 จากการสัมภาษณ์ผู้ทรงคุณวุฒิ จำนวน 5 คน โดยเลือกแบบเจาะจง วิเคราะห์ข้อมูลโดยการวิเคราะห์เนื้อหาประกอบบริบท ผลการวิจัยพบว่า</p> <ol> <li>ประสิทธิภาพการสอนของครูในโรงเรียนสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาแพร่ เขต 2 ภาพรวมอยู่ในระดับมาก ด้านที่มีค่าเฉลี่ยสูงสุดคือ ด้านการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ และด้านที่มีค่าเฉลี่ยต่ำสุดคือ ด้านการใช้สื่อการเรียนการสอน</li> <li>แนวทางการพัฒนาประสิทธิภาพการสอนของครูในโรงเรียนสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาแพร่ เขต 2 พบว่าสำนักงานเขตพื้นที่ควรจัดอบรมเชิงปฏิบัติการ สร้างเครือข่ายครูในการพัฒนาประสิทธิภาพการสอน ผู้บริหารส่งเสริมสนับสนุนและให้คำแนะนำช่วยเหลือทุกด้าน ศึกษานิเทศก์ให้การนิเทศแบบช่วยเหลือ และครูต้องพัฒนาตนเองให้มีความรู้ ความเข้าใจ เพื่อเกิดประสิทธิภาพในการสอน ครูพัฒนาตนเองอย่างสม่ำเสมอมีการเข้าร่วมชุมชนแห่งการเรียนรู้ทางวิชาชีพ (PLC) </li> </ol> <p><strong> </strong></p> ศุภางค์ เสาะใส ธีรศักดิ์ อุปไมยอธิชัย Copyright (c) 2024 วารสารมณีเชษฐาราม วัดจอมมณี 2024-04-30 2024-04-30 7 2 129 142 ความสัมพันธ์ระหว่างภาวะผู้นำดิจิทัลกับการส่งเสริมการใช้เทคโนโลยีในการจัดการเรียนรู้ของผู้บริหารสถานศึกษาในโรงเรียน สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาตาก เขต 1 https://so07.tci-thaijo.org/index.php/JMCR/article/view/4578 <p> การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาภาวะผู้นำดิจิทัลของผู้บริหารสถานศึกษา <strong><em><br /></em></strong>2) ศึกษาการส่งเสริมการใช้เทคโนโลยีในการจัดการเรียนรู้ของผู้บริหารสถานศึกษา และ <strong><em><br /></em></strong>3) ศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างภาวะผู้นำดิจิทัลกับการส่งเสริมการใช้เทคโนโลยีในการจัดการเรียนรู้ของผู้บริหารสถานศึกษา ในโรงเรียนสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาตาก เขต 1 กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ ผู้บริหารสถานศึกษาและครูที่ปฏิบัติการสอนในโรงเรียน สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาตาก เขต 1 ปีการศึกษา 2566 จำนวน 274 คน เลือกกลุ่มตัวอย่างโดยการสุ่มแบบแบ่งชั้น เก็บรวบรวมข้อมูลด้วยแบบสอบถามชนิดมาตราประมาณค่า 5 ระดับ จำนวน 48 ข้อ วิเคราะห์ข้อมูลด้วยค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์แบบเพียร์สัน</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า 1) ภาวะผู้นำดิจิทัลของผู้บริหารสถานศึกษา โดยรวมอยู่ในระดับมาก เมื่อพิจารณารายด้าน พบว่า ด้านที่มีค่าเฉลี่ยสูงสุด ได้แก่ ด้านการสื่อสารด้วยเทคโนโลยีดิจิทัล อยู่ในระดับมาก รองลงมาได้แก่ ด้านการสร้างสภาพแวดล้อมเชิงดิจิทัล อยู่ในระดับมาก และด้านที่มีค่าเฉลี่ยต่ำสุด ได้แก่ ด้านวิสัยทัศน์ อยู่ในระดับมาก 2) การส่งเสริมการใช้เทคโนโลยีในการจัดการเรียนรู้ของผู้บริหารสถานศึกษา โดยรวมอยู่ในระดับมาก เมื่อพิจารณารายด้าน พบว่า ด้านที่มีค่าเฉลี่ยสูงสุด ได้แก่ ด้านการวัดและประเมินผลการเรียนรู้ อยู่ในระดับมาก รองลงมา ได้แก่ ด้านการจัดการเรียนรู้ในชั้นเรียน อยู่ในระดับมาก และด้านที่มีค่าเฉลี่ยต่ำสุด ได้แก่ ด้านการสร้างสื่อเทคโนโลยีในการจัดการเรียนรู้ และด้านบริการสืบค้นข้อมูลสำหรับครูและนักเรียน อยู่ในระดับมาก 3) ความสัมพันธ์ระหว่างภาวะผู้นำดิจิทัลกับการส่งเสริมการใช้เทคโนโลยีในการจัดการเรียนรู้ของผู้บริหารสถานศึกษา ในโรงเรียนสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาตาก เขต 1 พบว่า มีความสัมพันธ์ทางบวกในระดับสูง อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01</p> สริษา คำหนัก สถิรพร เชาวน์ชัย กฤธยากาญจน์ โตพิทักษ์ Copyright (c) 2024 วารสารมณีเชษฐาราม วัดจอมมณี 2024-04-30 2024-04-30 7 2 143 157 สภาพและแนวทางพัฒนาความสามารถในการจัดการเรียนรู้ ของครูผู้สอนภาษาอังกฤษในโรงเรียน สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาสุโขทัย https://so07.tci-thaijo.org/index.php/JMCR/article/view/4606 <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาสภาพและแนวทางพัฒนาความสามารถในการจัดการเรียนรู้ของครูผู้สอนภาษาอังกฤษ ในโรงเรียนสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาสุโขทัย มีวิธีการดำเนินการวิจัย 2 ขั้นตอน ได้แก่ 1. การศึกษาสภาพความสามารถในการจัดการเรียนรู้ของครูผู้สอนภาษาอังกฤษ ในโรงเรียนสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาสุโขทัย โดยใช้แบบสอบถามสภาพความสามารถในการจัดการเรียนรู้ของครูผู้สอนภาษาอังกฤษ 130 คน ได้มาจากการเลือกแบบเจาะจง จากโรงเรียนมัธยมศึกษาในสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาสุโขทัย 27 โรงเรียน วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน 2. การศึกษาแนวทางพัฒนาความสามารถในการจัดการเรียนรู้ของครูผู้สอนภาษาอังกฤษ ในโรงเรียนสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาสุโขทัย ข้อมูลได้จากการสัมภาษณ์ผู้ทรงคุณวุฒิ 3 คน โดยใช้แบบสัมภาษณ์แนวทางพัฒนาความสามารถในการจัดการเรียนรู้ของครูผู้สอนภาษาอังกฤษในโรงเรียนสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาสุโขทัย วิเคราะห์ข้อมูลโดยการวิเคราะห์เนื้อหา</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า</p> <ol> <li>สภาพความสามารถในการจัดการเรียนรู้ครูผู้สอนภาษาอังกฤษ ในโรงเรียนสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาสุโขทัย ด้านที่มีค่าเฉลี่ยสูงสุด คือ ด้านการสร้างและพัฒนาหลักสูตรสถานศึกษา และด้านที่มีค่าเฉลี่ยต่ำสุด คือ ด้านการพัฒนาความรู้ความสามารถของครูผู้สอนภาษาอังกฤษ</li> <li>แนวทางพัฒนาความสามารถในการจัดการเรียนรู้ของครูผู้สอนภาษาอังกฤษในโรงเรียนสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาสุโขทัย ได้แก่ 1) สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา ควรกำหนดให้มีการนิเทศ ติดตามและประเมินผลด้วย สื่อ เครื่องมือ หรือนวัตกรรมการนิเทศที่มีคุณภาพเพื่อการพัฒนาและใช้หลักสูตรสถานศึกษาของครูผู้สอนภาษาอังกฤษ 2) โรงเรียนควรมีการจัดตั้งเครือข่ายชุมชนการเรียนรู้ทางวิชาชีพ (PLC) ทั้งจากภายในโรงเรียนเดียวกัน ต่างโรงเรียน และต่างเขตพื้นที่การศึกษา 3) สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาควรสนับสนุนและส่งเสริมให้มีการอบรมเชิงปฏิบัติการจากครูต้นแบบหรือผู้เชี่ยวชาญ เพื่อแลกเปลี่ยนเรียนรู้ สร้างและเลือกใช้สื่อ นวัตกรรมที่ทันสมัยและมีประสิทธิภาพ 4) สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาและโรงเรียนควรส่งเสริมการพัฒนาความรู้ด้านการทำวิจัยเชิงปฏิบัติการของครูผู้สอน และจัดประกวดผลงานวิจัย 5) สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาควรจัดให้มีศูนย์ส่งเสริมและกำกับดูแลความรู้ด้านกฎหมายการศึกษาและระบบการรักษามาตรฐานวิชาชีพครูอย่างต่อเนื่อง</li> </ol> ปณณภา วรชนานันท์ ทัศนะ ศรีปัตตา Copyright (c) 2024 วารสารมณีเชษฐาราม วัดจอมมณี 2024-04-30 2024-04-30 7 2 158 175 ความต้องการจำเป็นในการพัฒนาสมรรถนะด้านเทคโนโลยี สารสนเทศและการสื่อสารของครูภาษาอังกฤษ สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาพิษณุโลก อุตรดิตถ์ จังหวัดพิษณุโลก https://so07.tci-thaijo.org/index.php/JMCR/article/view/4636 <p>สถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ทำให้ครูประสบปัญหาในการจัดการเรียนการสอน ทำให้นักเรียนและครูต้องปรับตัวสู่การเรียนการสอนแบบออนไลน์ ครูต้องมีทักษะในการนำสื่อ นวัตกรรมทางเทคโนโลยีมาใช้ในการจัดการเรียนการสอน และการปฏิบัติงาน</p> <p>การวิจัยมีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาความต้องการจำเป็นในการพัฒนาสมรรถนะด้านเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารของครูภาษาอังกฤษสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาพิษณุโลก อุตรดิตถ์ จังหวัดพิษณุโลก วิธีดำเนินการวิจัย คือ ศึกษาความต้องการจำเป็นในการพัฒนาสมรรถนะด้านเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารของครูภาษาอังกฤษ สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาพิษณุโลก อุตรดิตถ์ จังหวัดพิษณุโลก กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ ครูผู้สอนภาษาอังกฤษ สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาพิษณุโลก อุตรดิตถ์ จังหวัดพิษณุโลก ปีการศึกษา 2566 จำนวน 39 โรงเรียน จำนวน 123 คน เก็บรวบรวมข้อมูลด้วย แบบสอบถาม วิเคราะห์ข้อมูลด้วย ค่าความถี่ ค่าร้อยละ ค่าสัมประสิทธิ์แอลฟา ค่าเฉลี่ย และค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า การศึกษาความต้องการจำเป็นในการพัฒนาสมรรถนะด้านเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารของครูภาษาอังกฤษ สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาพิษณุโลก อุตรดิตถ์ จังหวัดพิษณุโลก ภาพรวมอยู่ในระดับมาก เมื่อพิจารณารายด้าน พบว่า สมรรถนะที่มีความต้องการในการพัฒนาสูงสุด คือ ด้านทักษะการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารในการจัดการเรียนรู้ อยู่ในระดับมาก รองลงมา ได้แก่ ด้านการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารในการพัฒนาวิชาชีพ และการปฏิบัติงาน อยู่ในระดับมาก ด้านความรู้ทางเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร อยู่ในระดับมาก และด้านที่มีความต้องการในการพัฒนาต่ำสุด คือ ด้านเจตคติในการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารตามกฎหมาย จริยธรรมและความปลอดภัย อยู่ในระดับน้อยที่สุด</p> ณัฐธยาน์ เพ็งสุวรรณ ทัศนะ ศรีปัตตา Copyright (c) 2024 วารสารมณีเชษฐาราม วัดจอมมณี 2024-04-30 2024-04-30 7 2 176 189 การจัดการห่วงโซ่คุณค่าของผลิตภัณฑ์แป้งกล้วย อำเภอเก้าเลี้ยว จังหวัดนครสวรรค์ https://so07.tci-thaijo.org/index.php/JMCR/article/view/4561 <p>กลุ่มวิสาหกิจชุมชนมีผลิตภัณฑ์กล้วยที่หลากหลายและสามารถสร้างรายได้ให้กับสมาขิกในกลุ่ม ในการพัฒนาศักยภาพสินค้าให้ตอบสนองความต้องการของลูกค้านั้นพบว่าศักยภาพการแข่งขันต่ำที่กว่าคู่แข่งปัญหามาจากขาดแคลนเครื่องจักรและเทคโนโลยีสมัยใหม่และรูปแบบการจัดการห่วงโซ่คุณค่า งานวิจัยมีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาและวิเคราะห์ความเชื่อมโยงของกิจกรรมการผลิตที่สร้างมูลค่าเพิ่มและกิจกรรมที่สูญเปล่าทั้งหมดภายในห่วงโซ่คุณค่าของผลิตภัณฑ์จากกล้วย 2) เพื่อคัดเลือกผลิตภัณฑ์จากกล้วยเพื่อการพัฒนาห่วงโซ่คุณค่า 3) เพื่อพัฒนาห่วงโซ่คุณค่าผลิตภัณฑ์จากกล้วย และ 4) เพื่อศึกษาผลกระทบของเทคโนโลยีที่มีต่อวิสาหกิจชุมชน ซึ่งใช้ระเบียบวิธีวิจัยเชิงคุณภาพเพื่อเก็บรวบรวมข้อมูลประกอบด้วย การวิจัยเอกสาร และการสัมภาษณ์เชิงลึกจากสมาชิกวิสาหกิจชุมชนจำนวน 25 คน วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้การวิเคราะห์แก่นสาระจากการเก็บรวบรวมข้อมูลเพื่อวิเคราะห์ปัญหา ความเชื่อมโยง และรูปแบบการปรับปรุงตามหลักแนวคิดห่วงโซ่คุณค่า</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1) ผลิตภัณฑ์กล้วยมีความเชื่อมโยงห่วงโซ่คุณค่าของผลิตภัณฑ์ ตั้งแต่เกษตรกร พ่อค้ารายย่อย ผู้รวบรวม วิสาหกิจชุมชน ตลาดท้องถิ่น ตลาดออนไลน์ และร้านค้าส่ง 2) ผลิตภัณฑ์แป้งกล้วยได้ถูกคัดเลือกเพื่อปรับปรุงกิจกรรมการผลิต เนื่องจากมีศักยภาพในการแข่งขันและสร้างกำไรต่อหน่วยได้สูงสุด มีกิจกรรมการแปรรูปผลิตภัณฑ์แป้งกล้วยทั้งหมด 18 กิจกรรม และกิจกรรมที่สร้างมูลค่าเพิ่ม คือ ตรวจสอบกล้วยดิบและตัดแยกผล เตรียมน้ำเกลือ ปอกเปลือก สไลด์กล้วยดิบเป็นแผ่นบาง อบ บดละเอียด ร่อนในตะแกรง และบรรจุในบรรจุภัณฑ์ 3) มีการพัฒนาเครื่องอบกล้วยด้วยลมร้อนเพื่อลดระยะเวลาการอบแห้งได้ร้อยละ 81.25 และ 4) ผลกระทบของการพัฒนากิจกรรมแปรรูปผลิตภัณฑ์ คือ ได้รับการรับรองมาตรฐานคุณภาพอาหาร ลดระยะเวลาการผลิตได้ 6 เท่าของการผลิตแบบเดิม และเพิ่มผลิตภาพแรงงานขึ้นร้อยละ 70.65</p> <p> </p> สว่าง แป้นจันทร์ กรรณิการ์ มิ่งเมือง ปิยะกิจ กิจติตุลากานนท์ ภริตา พิมพันธุ์ วัชระ ชัยสงคราม มาสศกุล ภักดีอาษา ณัฐวุฒิ เนียมสอน Copyright (c) 2024 วารสารมณีเชษฐาราม วัดจอมมณี 2024-04-30 2024-04-30 7 2 190 207 PRE-ANALYSIS OF THE 4th EDUCATIONAL QUALITY ASSESSMENT ON CHILD CENTER LEARNING MANAGEMENT https://so07.tci-thaijo.org/index.php/JMCR/article/view/4546 <p>This research is a qualitative study originating from the educational quality assurance according to the National Education Act, B.E. 2542 (1999) Article 47, which mandates "a system of educational quality assurance to enhance the quality and standards of basic education and higher education, comprising internal quality assurance systems and external quality assurance systems." School A has conducted internal quality assurance annually. This research gathered data from on-site fieldwork following the review of School A's internal quality assurance. The aim was to examine the actual educational management using observation, interviews, and document analysis, following assessment criteria and indicators in various aspects to verify correctness, appropriateness, feasibility, and usefulness. This research has chosen to discuss and disseminate the findings regarding ability in organizing student-centered learning. This research is a qualitative research conducted by conducting field survey for 3 days. The objective of this research is to conduct the 4<sup>th</sup> Educational Quality Assessment on Child Center Learning Management: Case Study of a School. The populations consisted of 19 teachers of A School in basic education level. The target group consisted of 5 teachers obtained from voluntariness to receive instructional supervision. Methods for analyzing data are percentages and content analysis. The results of assessment revealed that the strength was application of local songs and Lamtad to support project-based learning in learning area of science and learning community under the Philosophy of Sufficiency Economy. The issue requiring development was that some teachers still establish instructional plans that are not child center learning and they were not based on the same standard without consecutive and systematical project result assessment as defined by PDCA (P=Plan, D=Do, C=Check, A=Action) Cycle. Suggestions were that all teachers should establish instructional plans emphasizing on child center learning plan under the same standard format with consecutive and systematical </p> Chaiwat Waree Suwattana Sanguanrat Copyright (c) 2024 วารสารมณีเชษฐาราม วัดจอมมณี 2024-04-30 2024-04-30 7 2 208 220 ความต้องการจำเป็นและแนวทางการส่งเสริมความสามารถในการจัดการเรียนรู้ยุคดิจิทัลของครูโรงเรียนประถมศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเพชรบูรณ์เขต 1 https://so07.tci-thaijo.org/index.php/JMCR/article/view/4474 <p>การวิจัยครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์ดังนี้ 1) เพื่อศึกษาความต้องการจำเป็นของความสามารถในการจัดการเรียนรู้ยุคดิจิทัลของครูโรงเรียนประถมศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเพชรบูรณ์เขต 1 2) เพื่อศึกษาแนวทางการส่งเสริมความสามรถในการจัดการเรียนรู้ยุคดิจิทัลของครูโรงเรียนประถมศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเพชรบูรณ์เขต 1 กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยได้แก่ ครูในโรงเรียนสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเพชรบูรณ์ เขต 1 จำนวน 285 คน โดยกำหนดกลุ่มตัวอย่างตามตารางของเครจซี่ และมอร์แกน และผู้ทรงคุณวุฒิจำนวน 3 คน ได้มาโดยการคัดเลือกแบบเจาะจง เครื่องมือที่ใช้ในวิจัย ได้แก่ แบบสอบถามสภาพปัจจุบันและสภาพที่พึงประสงค์ของความสามารถในการจัดการเรียนรู้ยุคดิจิทัลของครู วิเคราะห์ข้อมูลด้วย ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ค่าดัชนีความต้องการจำเป็นการปรับปรุง และแบบสัมภาษณ์แนวทางการส่งเสริมความสามารถในการจัดการเรียนรู้ยุคดิจิทัลของครู วิเคราะห์ข้อมูลด้วยการวิเคราะห์เนื้อหา</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1) ผลการศึกษาความต้องการจำเป็นของความสามารถในการจัดการเรียนรู้ยุคดิจิทัลของครูโรงเรียนประถมศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเพชรบูรณ์เขต 1 ในภาพรวมเท่ากับ 0.105 เมื่อพิจารณาเป็นรายด้าน พบว่า ด้านที่มีดัชนีความต้องการจำเป็นสูงสุด คือ ด้านการออกแบบการจัดการเรียนรู้แนวดิจิทัล 2) แนวทางการส่งเสริมความสามารถในการจัดการเรียนรู้ยุคดิจิทัลของครูโรงเรียนประถมศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเพชรบูรณ์เขต 1 ว่า สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาควรจัดอบรมเชิงปฏิบัติการพัฒนาครูให้มีความรู้ความเข้าใจในการใช้แอพลิเคชั่น ทั้งแบบออนไลน์และออฟไลน์ ผู้บริหารสถานศึกษากำหนดนโยบาย วิสัยทัศน์สถานศึกษา สร้างเครือข่ายสังคมการเรียนรู้ สนับสนุนงบประมาณ และจัดสภาพแวดล้อมภายในโรงเรียนให้มีแหล่งเรียนรู้ที่ทันสมัย กำกับ นิเทศ ติดตามการจัดการเรียนรู้เพื่อส่งเสริมการใช้เทคโนโลยี</p> เก๋ ทองสอาด สถิรพร เชาวน์ชัย กฤธยากาญจน์ โตพิทักษ์ Copyright (c) 2024 วารสารมณีเชษฐาราม วัดจอมมณี 2024-04-30 2024-04-30 7 2 221 234 แนวทางการพัฒนาสมรรถนะครูปฐมวัยในโรงเรียนสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาพิษณุโลก เขต 2 https://so07.tci-thaijo.org/index.php/JMCR/article/view/4589 <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาสมรรถนะครูปฐมวัยในโรงเรียนสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาพิษณุโลก เขต 2 และ 2) ศึกษาแนวทางการพัฒนาสมรรถนะครูปฐมวัยในโรงเรียนสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาพิษณุโลก เขต 2 โดยใช้แบบสอบถามสมรรถนะครูปฐมวัยในโรงเรียนสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาพิษณุโลก เขต 2 วิธีดำเนินการวิจัยแบ่งออกเป็น 2 ขั้นตอน ขั้นที่ 1 การศึกษาสมรรถนะครูปฐมวัยในโรงเรียนสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาพิษณุโลก เขต 2 ประชากรที่ใช้ในงานวิจัย ได้แก่ ครูปฐมวัยในโรงเรียนสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาพิษณุโลก เขต 2 จำนวน 135 คน กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการศึกษาครั้งนี้ คือ ครูปฐมวัยในโรงเรียนสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาพิษณุโลก เขต 2 จำนวน 103 คน เครื่องมือที่ใช้การวิจัยเป็นแบบสอบถาม วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้ค่าเฉลี่ย และค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ขั้นที่ 2 การศึกษาแนวทางการพัฒนาสมรรถนะครูปฐมวัยในโรงเรียนสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาพิษณุโลก เขต 2 จากการสัมภาษณ์ผู้ทรงคุณวุฒิ จำนวน 5 คน โดยเลือกแบบเจาะจง วิเคราะห์ข้อมูลโดยการวิเคราะห์เนื้อหาประกอบบริบท</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า</p> <ol> <li>สมรรถนะครูปฐมวัยในโรงเรียนสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาพิษณุโลก เขต 2 พบว่า ด้านที่มีค่าเฉลี่ยสูงสุด คือ ด้านการสื่อสารและการมีปฏิสัมพันธ์เชิงบวกกับชุมชน และด้านที่มีค่าเฉลี่ยต่ำที่สุด คือ ด้านการประยุกต์ใช้สื่อเทคโนโลยีและนวัตกรรมการเรียนรู้เด็กปฐมวัย</li> <li>แนวทางการพัฒนาสมรรถนะครูปฐมวัยในโรงเรียนสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาพิษณุโลก เขต 2 พบว่า สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาควรจัดอบรม สัมมนา ประชุมเชิงปฏิบัติการ ในการพัฒนาสมรรถนะครูปฐมวัย ซึ่งได้รับการส่งเสริม สนับสนุนจากผู้บริหารสถานศึกษาในการเข้าร่วมการอบรม และครูปฐมวัยควรเข้าร่วมชุมขนแห่งการเรียนรู้ทางวิชาชีพ (PLC) ในการแลกเปลี่ยนเรียนรู้เพื่อพัฒนาสมรรถนะ</li> </ol> ปุณณภา ธะนะรักษ์ ธีรศักดิ์ อุปไมยอธิชัย Copyright (c) 2024 วารสารมณีเชษฐาราม วัดจอมมณี 2024-04-30 2024-04-30 7 2 235 248 การพัฒนาชุดกิจกรรมการเรียนรู้ภาษาไทยตามแนวคิดสตีมศึกษา (STEAM Education) เพื่อส่งเสริมความสามารถด้านการเขียนเรื่อง ตามจินตนาการของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 https://so07.tci-thaijo.org/index.php/JMCR/article/view/4674 <p>การจัดการเรียนการสอนที่มุ่งเน้นความคิดสร้างสรรค์ยังมีไม่มากพอ ส่งผลให้ความสามารถเขียนเรื่องตามจินตนาการของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 ไม่ได้เป็นไปตามเกณฑ์ที่เขตพื้นที่การศึกษากำหนดไว้ การวิจัยครั้งนี้จึงมีจุดมุ่งหมาย 1) เพื่อพัฒนาชุดกิจกรรมการเรียนรู้ภาษาไทยตามแนวคิดสตีมศึกษา (STEAM Education) เพื่อส่งเสริมความสามารถด้านการเขียนเรื่องตามจินตนาการของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 ให้มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ 80/80 2) เพื่อเปรียบเทียบความสามารถการเขียนเรื่องตามจินตนาการระหว่างก่อนและหลังเรียน 3) เพื่อศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 ที่มีต่อการจัดการเรียนรู้ด้วยชุดกิจกรรมการเรียนรู้ ประชากร คือ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 จากกลุ่มโรงเรียนคณฑี 82 คน กลุ่มตัวอย่าง คือนักเรียน ชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 โรงเรียนบ้านท่าเสลี่ยง 13 คน ได้มาโดยวิธีการสุ่มแบบอย่างง่ายด้วยวิธีการจับสลาก เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย 1) ชุดกิจกรรมการเรียนรู้ 2) แผนการจัดการเรียนรู้ 3) แบบทดสอบการเขียนเรื่องตามจินตนาการ 4) แบบประเมินความพึงพอใจ วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้ค่าเฉลี่ย ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ค่าความเชื่อมั่น ค่าความยากง่าย ค่าอำนาจจำแนกของข้อสอบอัตนัย ประสิทธิภาพ E<sub>1</sub>/E<sub>2 </sub>และค่าสถิติที แบบไม่เป็นอิสระ</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า 1) ชุดกิจกรรมการเรียนรู้ภาษาไทยตามแนวคิดสตีมศึกษา (STEAM Education) เพื่อส่งเสริมความสามารถด้านการเขียนเรื่องตามจินตนาการของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 มีประสิทธิภาพเท่ากับ 81.54<strong>/</strong>81.15 ซึ่งเป็นไปตามเกณฑ์ ที่กำหนดไว้คือ 80<strong>/</strong>80 2) คะแนนการทดสอบหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 3) ความพึงพอใจในภาพรวมอยู่ในระดับมาก</p> อัครวินท์ คำตัน ทรงภพ ขุนมธุรส Copyright (c) 2024 วารสารมณีเชษฐาราม วัดจอมมณี 2024-04-30 2024-04-30 7 2 249 265 การพัฒนาความสามารถด้านการอ่านจับใจความของนักเรียน ชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 โดยใช้วิธีสอนอ่านแบบ MIA ร่วมกับเทคนิคเพื่อนคู่คิด (Think-Pair-Share) https://so07.tci-thaijo.org/index.php/JMCR/article/view/4671 <p>การวิจัยในครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) เปรียบเทียบความสามารถด้านการอ่านจับใจความของนักเรียนก่อนเรียนและหลังเรียนโดยใช้วิธีสอนอ่านแบบ MIA ร่วมกับเทคนิคเพื่อนคู่คิด (Think-Pair-Share) 2) เปรียบเทียบความสามารถด้านการอ่านจับใจความของนักเรียน หลังเรียนโดยใช้วิธีสอนอ่านแบบ MIA ร่วมกับเทคนิคเพื่อนคู่คิด (Think-Pair-Share) กับเกณฑ์ร้อยละ 70 และ 3) ศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการจัดการเรียนรู้โดยใช้วิธีสอนอ่านแบบ MIA ร่วมกับเทคนิคเพื่อนคู่คิด (Think-Pair-Share) กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนวัดเขาหินเทิน ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2566 จำนวน 19 คน ได้มาโดยวิธีการสุ่มอย่างง่าย เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ 1) แผนการจัดการเรียนรู้ <br />2) แบบทดสอบวัดความสามารถด้านการอ่านจับใจความ และ 3) แบบประเมินความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการจัดการเรียนรู้โดยใช้วิธีสอนอ่านแบบ MIA ร่วมกับเทคนิคเพื่อนคู่คิด (Think-Pair-Share) สถิติที่ใช้ในการวิจัยได้แก่ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การทดสอบค่าที</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1) นักเรียนมีคะแนนหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 2) คะแนนการทดสอบหลังเรียนของนักเรียน สูงกว่าเกณฑ์ร้อยละ 70 อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 และ 3) นักเรียนมีความพึงพอใจต่อการจัดการเรียนรู้โดยใช้วิธีสอนอ่านแบบ MIA ร่วมกับเทคนิคเพื่อนคู่คิด (Think-Pair-Share) อยู่ในระดับมากที่สุด</p> เอกศิษฏิ์ สมัครเขตการณ์ ทรงภพ ขุนมธุรส Copyright (c) 2024 วารสารมณีเชษฐาราม วัดจอมมณี 2024-04-30 2024-04-30 7 2 266 284 การใช้เทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อการเผยแผ่พระพุทธศาสนาของพระสงฆ์ในอำเภอห้วยแถลง จังหวัดนครราชสีมา https://so07.tci-thaijo.org/index.php/JMCR/article/view/4677 <p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1. เพื่อศึกษาระดับบทบาท 2. เพื่อศึกษาความสัมพันธ์ 3. เพื่อนำเสนอแนวทางการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อการเผยแผ่พระพุทธศาสนาของพระสงฆ์ในอำเภอห้วยแถลง ระเบียบวิธีวิจัยเป็นแบบผสานวิธี ระหว่างการวิจัยเชิงปริมาณ ใช้แบบสอบถาม ค่าความเชื่อมั่นเท่ากับ 0.929 จากกลุ่มตัวอย่างได้แก่ พระสงฆ์ จำนวน 360 รูป วิเคราะห์ข้อมูลโดยสถิติ ค่าความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานและค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ และการวิจัยเชิงคุณภาพ สัมภาษณ์ผู้ให้ข้อมูลสำคัญจำนวน 10 รูปหรือคน วิเคราะห์เนื้อหาเชิงพรรณนา</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1. พระสงฆ์มีความคิดเห็นต่อการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อการเผยแผ่พระพุทธศาสนาของพระสงฆ์ในอำเภอห้วยแถลง จังหวัดนครราชสีมา โดยภาพรวมอยู่ในระดับปานกลาง ( =3.10, S.D.=0.63) เมื่อพิจารณาเป็นรายด้าน พบว่า อยู่ในระดับปานกลางทุกด้าน 2. ผลการหาค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ระหว่างการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศกับการเผยแผ่พระพุทธศาสนาของพระสงฆ์ในอำเภอห้วยแถลง จังหวัดนครราชสีมา โดยภาพรวม พบว่ามีความสัมพันธ์กันระดับสูงมาก (r=0.844**) เมื่อพิจารณาเป็นรายด้าน พบว่า มีความสัมพันธ์กันระดับมากทุกด้าน 3. แนวทางการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อการเผยแผ่พระพุทธศาสนาของพระสงฆ์ในอำเภอห้วยแถลง จังหวัดนครราชสีมา ด้านอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ ใช้เทคโนโลยีและสื่อสารช่วยแชร์ความรู้เพื่อประโยชน์สังคม ด้านบุคลากร ส่งเสริมการใช้เทคโนโลยีและพัฒนาสื่อการสอนที่ทันสมัย ด้านข้อมูล การใช้ไลน์กลุ่มเพื่อสื่อสารและเผยแพร่พระพุทธศาสนาผ่าน เฟสบุ๊ค และไลน์ ช่วยให้ผู้รับได้มากยิ่งขึ้น ด้านกระบวนการ การเลือกใช้เนื้อหาที่เหมาะสมกับกลุ่มเป้าหมาย การนำเสนอข้อมูลในรูปแบบที่น่าสนใจช่วยให้ประชาชนเข้าถึงข้อมูลได้อย่างง่ายดาย</p> พระครูกิตติประชาทร (ละออง กิตฺติธโร) พระสมุห์ธงชัย สุนฺทราจาโร สุริยะ มาธรรม Copyright (c) 2024 วารสารมณีเชษฐาราม วัดจอมมณี 2024-04-30 2024-04-30 7 2 285 301 บทบาทการพัฒนาชุมชนของพระสังฆาธิการในอำเภอพุทไธสง จังหวัดบุรีรัมย์ https://so07.tci-thaijo.org/index.php/JMCR/article/view/4678 <p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1. เพื่อศึกษาระดับบทบาท 2. เพื่อศึกษาผลการเปรียบเทียบ 3. เพื่อนำเสนอแนวทางการส่งเสริมบทบาทการพัฒนาชุมชนของพระสังฆาธิการในอำเภอพุทไธสง จังหวัดบุรีรัมย์ ระเบียบวิธีวิจัยเป็นแบบผสานวิธี การวิจัยเชิงปริมาณ ใช้แบบสอบถาม ค่าความเชื่อมั่นเท่ากับ 0.978 จากกลุ่มตัวอย่างได้แก่ พระสงฆ์ จำนวน 134 รูป วิเคราะห์ข้อมูลโดยสถิติ ค่าความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และ การวิจัยเชิงคุณภาพ ใช้แบบสัมภาษณ์เก็บข้อมูลจากผู้ให้ข้อมูลสำคัญจำนวน 10 รูปหรือคน วิเคราะห์เนื้อหาเชิงพรรณนา สรุปเป็นความเรียง</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1. บทบาทการพัฒนาชุมชนของพระสังฆาธิการในอำเภอพุทไธสง จังหวัดบุรีรัมย์ โดยภาพรวมและรายข้อ อยู่ในระดับปานกลาง (x̅=2.96, S.D.=0.19) 2. ผลการเปรียบเทียบความคิดเห็นของพระสงฆ์ที่มีต่อบทบาทการพัฒนาชุมชนของพระสังฆาธิการในอำเภอพุทไธสง จังหวัดบุรีรัมย์ โดยภาพรวม พบว่า พระสงฆ์ที่มีอายุ พรรษา วุฒิการศึกษาสามัญ และวุฒิการศึกษานักธรรม ต่างกัน มีความคิดเห็นไม่แตกต่างกัน จึงปฏิเสธสมมติฐานที่ตั้งไว้ 3. แนวทางการส่งเสริมบทบาทการพัฒนาชุมชนของพระสังฆาธิการในอำเภอพุทไธสง จังหวัดบุรีรัมย์ พบว่า ด้านการพัฒนาจิตใจ ด้านการส่งเสริมการศึกษา ด้านการเป็นที่ปรึกษา ด้านการเป็นครู ด้านผู้นำชุมชน ด้านการสงเคราะห์ชุมชน เป็นตัวส่งเสริมให้เกิดบทบาทการพัฒนาชุมชน ทั้ง 5 ด้าน ดังนี้ 1) ด้านการศึกษา สนับสนุนคุณธรรมจริยธรรมสู่ ปลูกฝังกล่อมเกลาด้วยหลักธรรม 2) ด้านสาธารณสุข การฝึกอบรมรู้จักสุขอนามัย 3) ด้านเศรษฐกิจและอาชีพ การประกอบสัมมาอาชีวะ 4) ด้านสังคมและวัฒนธรรม การรักษาและอนุรักษ์ การให้ความรู้และคำแนะนำ 5) ด้านการเมืองการปกครอง สนับสนุนส่งเสริมการมีส่วนร่วม</p> พระอภิชาติ ยตินฺธโร (บุญรักษ์) พระสมุห์ธงชัย สุนฺทราจาโร สุริยะ มาธรรม Copyright (c) 2024 วารสารมณีเชษฐาราม วัดจอมมณี 2024-04-30 2024-04-30 7 2 302 316 ประสิทธิภาพการบริหารจัดการวัดของเจ้าอาวาส ในอำเภอสีดา จังหวัดนครราชสีมา https://so07.tci-thaijo.org/index.php/JMCR/article/view/4679 <p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ 1. ศึกษาระดับประสิทธิภาพการบริหารจัดการวัดของเจ้าอาวาส 2. ศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างหลักการบริหารจัดการวัดของเจ้าอาวาสกับประสิทธิภาพการบริหารจัดการวัดของเจ้าอาวาส 3. นำเสนอแนวทางการส่งเสริมประสิทธิภาพการบริหารจัดการวัดของเจ้าอาวาส ระเบียบวิธีวิจัยเป็นแบบผสานวิธี ระหว่างการวิจัยเชิงปริมาณ ใช้แบบสอบถาม ค่าความเชื่อมั่นเท่ากับ 0.978 จากกลุ่มตัวอย่างได้แก่ พระสงฆ์ จำนวน 167 รูป วิเคราะห์ข้อมูลโดยสถิติ ค่าความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานและค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ และการวิจัยเชิงคุณภาพ สัมภาษณ์ผู้ให้ข้อมูลสำคัญจำนวน 10 รูปหรือคน วิเคราะห์เนื้อหาเชิงพรรณนา</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1. ระดับประสิทธิภาพการบริหารจัดการวัดของเจ้าอาวาสในอำเภอ<br />สีดา จังหวัดนครราชสีมา โดยภาพรวม อยู่ในระดับปานกลาง ( =3.28,S.D.=0.63) 2. ผลการวิเคราะห์ความสัมพันธ์ระหว่างหลักการบริหารจัดการวัดของเจ้าอาวาสกับประสิทธิภาพการบริหารจัดการวัดของเจ้าอาวาส ในอำเภอสีดา จังหวัดนครราชสีมา โดยภาพรวม พบว่า หลักการบริหารจัดการวัดของเจ้าอาวาส โดยภาพรวม มีความสัมพันธ์เชิงบวกอยู่ในระดับสูงมาก (R=0.773**) จึงยอมรับสมมติฐานการวิจัย 3. แนวทางการส่งเสริมประสิทธิภาพการบริหารจัดการวัดของเจ้าอาวาสในอำเภอสีดา จังหวัดนครราชสีมา พบว่า หลักการบริหารจัดการวัดได้ส่งเสริมเกิดประสิทธิภาพการบริหารจัดการวัดของเจ้าอาวาส มากยิ่งขึ้นมีลักษณะดังนี้ 1) ด้านคุณภาพของงาน คือ จัดหาบุคลากรทำงานได้ตรงเป้าหมาย ให้ความใส่ใจกับคุณภาพ ติดตามผลงานจนกว่าจะบรรลุเป้าหมาย 2) ด้านปริมาณงาน คือ ปฏิบัติกิจกรรมภายในวัดตามแผนงาน แบ่งหน้าที่การทำงานให้ชัดเจน กำหนดบุคคลเข้าทำงานที่เหมาะสมกับปริมาณ 3) ด้านเวลา คือ กำหนดเวลา จัดสรรเวลาได้ตรงตามเป้าหมาย กำหนดระยะเวลาให้แน่นอน เสร็จตามวันเวลาที่กำหนด 4) ด้านค่าใช้จ่าย คือ กำหนดค่าใช้จ่ายให้เหมาะสมกับกิจกรรมที่จัด คิดหาแหล่งเงินทุนการจัดงานที่หลากหลาย จัดทำบัญชีอย่างถูกต้องโปร่งใส</p> พระสมุห์อุเทน สุทฺธิจาโค (ไพรเขียว) พระครูบรรพตภาวนาวิธาน พระอธิการอินทร์นุช สุวณฺโณ Copyright (c) 2024 วารสารมณีเชษฐาราม วัดจอมมณี 2024-04-30 2024-04-30 7 2 317 331 บทบาทพระสงฆ์กับการสร้างความสมานฉันท์ตามโครงการหมู่บ้าน รักษาศีล 5 อำเภอโนนไทย จังหวัดนครราชสีมา https://so07.tci-thaijo.org/index.php/JMCR/article/view/4676 <p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1. เพื่อศึกษาระดับบทบาท 2. เพื่อศึกษาเปรียบเทียบ <br />3. เพื่อนำเสนอแนวทางการส่งเสริมบทบาทพระสงฆ์กับการสร้างความสมานฉันท์ตามโครงการหมู่บ้านรักษาศีล 5 อำเภอโนนไทย จังหวัดนครราชสีมา ระเบียบวิธีวิจัยเป็นแบบผสานวิธี ระหว่างการวิจัยเชิงปริมาณ ใช้แบบสอบถาม ค่าความเชื่อมั่นเท่ากับ 0.994 จากกลุ่มตัวอย่างได้แก่ พระสงฆ์อำเภอโนนไทย จำนวน 196 รูป วิเคราะห์ข้อมูลโดยสถิติ ค่าความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานและค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ และการวิจัยเชิงคุณภาพ สัมภาษณ์ผู้ให้ข้อมูลสำคัญจำนวน 10 รูปหรือคน วิเคราะห์เนื้อหาเชิงพรรณนา</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1. บทบาทพระสงฆ์กับการสร้างความสมานฉันท์ตามโครงการหมู่บ้านรักษาศีล 5 อำเภอโนนไทย จังหวัดนครราชสีมา โดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก ( =3.58, S.D.=1.21) เมื่อพิจารณารายด้านพบว่า อยู่ในระดับมาก 1 ด้าน และอยู่ในระดับปานกลาง <br />3 ด้าน 2. ผลการทดสอบสมมติฐานการวิจัย พบว่า พระสงฆ์ที่มี อายุ พรรษา วุฒิการศึกษานักธรรม และวุฒิการศึกษาสามัญ แตกต่างกัน มีความคิดเห็นไม่แตกต่างกัน จึงปฏิเสธสมมติฐานที่ตั้งไว้ 3. แนวทางการส่งเสริมบทบาทพระสงฆ์กับการสร้างความสมานฉันท์ตามโครงการหมู่บ้านรักษาศีล 5 มีการพูดคุยปัญหาและความขัดแย้งโดยเว้นจากอคติ 4 ยอมรับฟังปัญหาและข้อเสนอแนะเกี่ยวกับปัญหาความขัดแย้งที่เกิดขึ้น จัดกิจกรรมเพื่อสร้างความปรองดองในชุมชน การฝึกอาชีพเพิ่มรายได้ ลดรายจ่าย และมีการทำบัญชีครัวเรือน การอบรมยาเสพติดให้โทษแก่เด็กเยาวชนคนในชุมชน ให้ห่างไกลยาเสพติดและอบายมุข จัดตั้งศูนย์ช่วยเหลือผู้ประสบภัยในวัด การจัดกิจกรรมส่งเสริมวัฒนธรรมและประเพณีไทยภายในชุมชน</p> พระมหามานะ กิตฺติภทฺโท (เรืองบุญ) พระสมุห์ธงชัย สุนฺทราจาโร สุริยะ มาธรรม Copyright (c) 2024 วารสารมณีเชษฐาราม วัดจอมมณี 2024-04-30 2024-04-30 7 2 332 349 การจัดการแหล่งท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมตามหลักสัปปายะ ของวัดในอำเภอปากช่อง จังหวัดนคราชสีมา https://so07.tci-thaijo.org/index.php/JMCR/article/view/4680 <p>งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ (1) ศึกษาระดับการจัดการแหล่งท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม <br />(2) ศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างหลักสัปปายะกับการจัดการแหล่งท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม <br />(3) นำเสนอแนวทางการจัดการแหล่งท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมตามหลักสัปปายะ ระเบียบวิธีวิจัยเป็นแบบผสานวิธี การวิจัยเชิงปริมาณ ใช้แบบสอบถาม ค่าความเชื่อมั่นเท่ากับ 0.989 จากกลุ่มตัวอย่างได้แก่ ประชาชน จำนวน 399 คน วิเคราะห์ข้อมูลโดยสถิติ ค่าความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานและการวิเคราะห์โดยใช้ค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ด้วยวิธีของเพียร์สัน และการวิจัยเชิงคุณภาพ สัมภาษณ์ผู้ให้ข้อมูลสำคัญจำนวน 10 รูปหรือคน วิเคราะห์เนื้อหาเชิงพรรณนา</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1.การจัดการแหล่งท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมของวัด โดยภาพรวม อยู่ในระดับมาก อยู่ในระดับมาก ( =3.67, S.D.=0.43) 2. หลักสัปปายะ โดยภาพรวม มีความสัมพันธ์เชิงบวกกับการจัดการแหล่งท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมของวัด อยู่ในระดับสูงมาก (R=0.774**) จึงยอมรับสมมติฐานการวิจัย 3. แนวทางการจัดการแหล่งท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมของวัด พบว่า หลักสัปปายะเป็นตัวส่งเสริมเกิดแนวทางการจัดการแหล่งท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมของวัด มากยิ่งขึ้น ทั้ง 5 ด้าน ดังนี้ 1) ด้านสถานที่ คือ รณรงค์ให้ช่วยรักษาความสะอาดและความเป็นระเบียบของวัด จัดระเบียบสถานที่ท่องเที่ยวของวัดให้เหมาะสมน่าชม จัดการสถานที่ท่องเที่ยวให้อยู่ในสภาพที่ดี สะอาด และปราศจากมลพิษ 2) ด้านบุคลากร คือ สร้างทีมงานที่มีความรู้ ทักษะ ใส่ใจในการบริการ การจัดบุคลากรอย่างเหมาะสมมีความสามารถเพิ่มประสบการณ์และทักษะ 3) ด้านการจัดกิจกรรมภายใน คือ พัฒนากิจกรรมการท่องเที่ยวเพื่อช่วยสร้างโอกาสใหม่ให้กับชุมชน มีการปรับปรุงกิจกรรมการท่องเที่ยวของวัดที่หลากหลายทันสมัยมากขึ้น 4) ด้านการจัดทำโปรแกรมการท่องเที่ยว คือ จัดโปรแกรมการท่องเที่ยวของวัด มีการเรียนรู้เรื่องประเพณีและศิลปวัฒนธรรมท้องถิ่น 5) ด้านการประชาสัมพันธ์ คือ สร้างความตระหนักรู้ความเข้าใจในวัฒนธรรมและประเพณีของวัด สร้างสรรค์สิ่งสร้างสรรค์เนื้อหาที่น่าสนใจแก่นักท่องเที่ยว </p> พระสำราญ ฐิตวิริโย (เชื้อจันทร์) สุริยะ มาธรรม พระสมุห์ธงชัย สนฺทราจาโร Copyright (c) 2024 วารสารมณีเชษฐาราม วัดจอมมณี 2024-04-30 2024-04-30 7 2 350 365 การส่งเสริมการเข้าร่วมกิจกรรมทางพระพุทธศาสนาของเยาวชน ในอำเภอโชคชัย จังหวัดนครราชสีมา https://so07.tci-thaijo.org/index.php/JMCR/article/view/4681 <p>งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ 1) ศึกษาระดับการส่งเสริมการเข้าร่วมกิจกรรมทางพระพุทธศาสนา 2) ศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างหลักการมีส่วนร่วมในการสร้างจริยธรรมในโรงเรียนมีความสัมพันธ์กับการส่งเสริมการเข้าร่วมกิจกรรมทางพระพุทธศาสนา <br />3) นำเสนอแนวทางการส่งเสริมการเข้าร่วมกิจกรรมทางพระพุทธศาสนา ระเบียบวิธีวิจัยเป็นแบบผสานวิธี การวิจัยเชิงปริมาณ ใช้แบบสอบถาม ค่าความเชื่อมั่นเท่ากับ 0.985 จากกลุ่มตัวอย่างได้แก่ เยาวชน จำนวน 311 คน วิเคราะห์ข้อมูลโดยสถิติ ค่าความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานและการวิเคราะห์โดยใช้ค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ด้วยวิธีของเพียร์สัน และการวิจัยเชิงคุณภาพ สัมภาษณ์ผู้ให้ข้อมูลสำคัญจำนวน 10 รูปหรือคน วิเคราะห์เนื้อหาเชิงพรรณนา</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1. การส่งเสริมการเข้าร่วมกิจกรรมทางพระพุทธศาสนาของเยาวชนในอำเภอโชคชัย จังหวัดนครราชสีมา อยู่ในระดับมาก ( =3.60, S.D.=0.74)<br />2. หลักการมีส่วนร่วมในการสร้างจริยธรรมในโรงเรียน โดยภาพรวม มีความสัมพันธ์เชิงบวกกับการส่งเสริมการเข้าร่วมกิจกรรมทางพระพุทธศาสนาของเยาวชน โดยภาพรวม อยู่ในระดับปานกลาง (R=0.554**) จึงยอมรับสมมติฐานการวิจัย 3. แนวทางการส่งเสริมการเข้าร่วมกิจกรรมทางพระพุทธศาสนาของเยาวชนในอำเภอโชคชัย จังหวัดนครราชสีมา พบว่า หลักการมีส่วนร่วมในการส่งเสริมจริยธรรมในโรงเรียนเป็นตัวส่งเสริมเกิดประสิทธิผลการส่งเสริมการเข้าร่วมกิจกรรมทางพระพุทธศาสนาของเยาวชนในอำเภอโชคชัย มากยิ่งขึ้น ทั้ง 3 ด้าน มีลักษณะดังนี้ 1) ด้านการปฏิบัติตามหน้าที่ชาวพุทธ ได้แก่ ส่งเสริมให้มีการทำความดีตามแบบอย่างคนประพฤติดีที่ได้รับยกย่อง ส่งเสริมให้นักเรียนได้เรียนรู้การปฏิบัติตนตามหน้าที่ชาวพุทธ 2) ด้านการบริหารจิตและเจริญปัญญา ได้แก่ การส่งเสริมโรงเรียนจัดกิจกรรมการตักบาตรประจำเดือน ส่งเสริมให้มีการบริหารจิตและเจริญปัญญาโดยให้มีการนั่งสภาสมาธิ 3) ด้านการปฏิบัติในวันสำคัญทางพระพุทธศาสนา ได้แก่ สนับสนุนให้นักเรียนเข้าร่วมกิจกรรมในวันสำคัญทางพระพุทธศาสนา จัดให้มีโครงการเข้าวัดฟังธรรมวันธรรมสวนะทุกวันพระ</p> พระอุทัย อติชาคโร (โพนกระโทก) สุริยะ มาธรรม พระสมุห์ธงชัย สนฺทราจาโร Copyright (c) 2024 วารสารมณีเชษฐาราม วัดจอมมณี 2024-04-30 2024-04-30 7 2 366 378 ปัจจัยที่ส่งผลต่อการตัดสินใจเลือกบรรพชาอุปสมบทของพุทธศาสนิกชน ในอำเภอปากช่อง จังหวัดนครราชสีมา https://so07.tci-thaijo.org/index.php/JMCR/article/view/4701 <p>งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ คือ 1) ศึกษาระดับการตัดสินใจเลือกบรรพชาอุปสมบท (2) ศึกษาปัจจัยที่ส่งผลต่อการตัดสินใจเลือกบรรพชาอุปสมบท (3) นำเสนอแนวทางส่งเสริมการตัดสินใจเลือกบรรพชาอุปสมบท ระเบียบวิธีวิจัยเป็นแบบผสานวิธี การวิจัยเชิงปริมาณ ใช้แบบสอบถาม ค่าความเชื่อมั่นเท่ากับ 0.865 จากกลุ่มตัวอย่างได้แก่ พระสงฆ์ จำนวน 309 รูป วิเคราะห์ข้อมูลโดยสถิติ ค่าความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานและวิเคราะห์โดยใช้การถดถอยแบบขั้นตอน และการวิจัยเชิงคุณภาพ สัมภาษณ์ผู้ให้ข้อมูลสำคัญจำนวน 10 รูปหรือคน วิเคราะห์เนื้อหาเชิงพรรณนา</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1.ระดับการตัดสินใจเลือกบรรพชาอุปสมบทของพุทธศาสนิกชนในอำเภอปากช่อง จังหวัดนครราชสีมา อยู่ในระดับมาก ( =4.17) 2. ความพึงพอใจของบุคคล ส่งผลต่อการตัดสินใจเลือกบรรพชาอุปสมบทของพุทธศาสนิกชน มี 2 ด้าน มีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.01 แสดงว่า ความพึงพอใจของบุคคล สามารถร่วมกันทำนายการตัดสินใจเลือกบรรพชาอุปสมบทของพุทธศาสนิกชนร้อยละ 52.3 จึงยอมรับสมมติฐานการวิจัย 3. แนวทางส่งเสริมการตัดสินใจเลือกบรรพชาอุปสมบทของพุทธศาสนิกชน พบว่า ความพึงพอใจของบุคคล เป็นปัจจัยที่มีผลต่อการตัดสินใจเลือกบรรพชาอุปสมบทของพุทธศาสนิกชน ได้ทั้ง 4 ด้าน มีลักษณะ ดังนี้ 1) ด้านการทำหน้าที่ของพุทธศาสนิกชน ได้แก่ ได้ประกอบพิธีทางศาสนา ฟังธรรม น้อมนำไปปฏิบัติ 2) ด้านการทำหน้าที่ของคนไทย ได้แก่ ได้แสดงความกตัญญูกตเวที ได้ตอบแทนคุณบิดามารดา ได้เปิดโอกาสให้ได้สืบทอดพระศาสนา 3) ด้านการสนองพระคุณบิดามารดา ได้แก่ ได้เชิญชูคุณบิดามารดา อุทิศส่วนกุศลแก่เหล่าญาติ สร้างศรัทธาแก่วงศ์ตระกูล 4) ด้านการฝึกฝนอบรมพัฒนาตนเอง ได้แก่ พัฒนาตนเองเพื่อให้ทันต่อโลก ได้มีการสร้างบารมีให้กับตนเองและครอบครัว</p> พระมหาศักรินทร์ สุรเมธี (ศรีแจ่ม) พระครูขันติธรรมธารี พระมหาศักรินทร์ สุรเมธี (ศรีแจ่ม) Copyright (c) 2024 วารสารมณีเชษฐาราม วัดจอมมณี 2024-04-30 2024-04-30 7 2 379 392 สิ่งที่พระพุทธเจ้าสอน https://so07.tci-thaijo.org/index.php/JMCR/article/view/4732 <p>ภาพรวมโดยย่อของหนังสือ<br />"สิ่งที่พระพุทธเจ้าสอน" โดย วัลโปลา ราหุล เป็นผลงานที่นำเสนอความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับคำสอนพื้นฐานของพระพุทธศาสนาอย่างครอบคลุม พระราหุลกลั่นกรองแก่นแท้ของพระพุทธศาสนา นำเสนอแนวคิดหลักด้วยความชัดเจนและลึกซึ้ง หนังสือเล่มนี้ทำหน้าที่เป็นแหล่งข้อมูลที่มีคุณค่าสำหรับทั้งผู้มาใหม่ในพระพุทธศาสนาและผู้ปฏิบัติธรรมที่ช่ำชองที่แสวงหาความเข้าใจที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้นเกี่ยวกับประเพณี ราหุลทรงชี้แนะหนทางสู่ความหลุดพ้นจากความทุกข์อย่างเป็นระบบด้วยการสำรวจประเด็นสำคัญๆ อย่างเป็นระบบ เช่น อริยสัจสี่ และมรรคแปดอันประเสริฐ ตามที่พระพุทธเจ้าทรงสอนไว้</p> สิรินาถ รักษาภักดี สมเดช นามเกตุ Copyright (c) 2024 วารสารมณีเชษฐาราม วัดจอมมณี 2024-04-30 2024-04-30 7 2 599 608 การศึกษา ฉบับง่าย https://so07.tci-thaijo.org/index.php/JMCR/article/view/4550 <p>หนังสือเรื่อง “การศึกษา ฉบับง่าย Education Made Easy” ที่ผู้เขียนสนใจและนำมาวิจารณ์ต่อไปนี้เป็นผลงานที่สร้างสรรค์ของพระพรหมคุณาภรณ์ (ป. อ. ปยุตฺโต) ซึ่งเป็นผู้นำทางวิชาการและภาษาของประเทศไทย หนังสือเล่มนี้ตีพิมพ์ในปีพุทธศักราช 2545 พิมพ์เป็นธรรมทาน โดยโรงเรียนอนุบาลหนูน้อย และโรงเรียนทอสี จาก ธรรมกถา ปาฐกถา แสดงแก่คณะครูและผู้บริหาร ของโรงเรียนอนุบาลหนูน้อย และโรงเรียนทอสี ที่มาถวายรายงานการจัดการศึกษาแนวพุทธ และรับฟังโอวาท เนื่องในวันครู 16 มกราคม 2545 ณ อุโบสถ วัดญาณเวศกวัน ผลงานนี้เป็นการรวบรวมความรู้และปรัชญาเกี่ยวกับการศึกษาในรูปแบบที่เข้าใจง่าย ทำให้เป็นที่นิยมและได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวาง ผลงานนี้เน้นไปที่การทำให้การศึกษาเป็นเรื่องที่เข้าใจง่ายและสามารถนำไปประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวันได้ ไม่ว่าจะเป็นการเรียนรู้จากประสบการณ์ การสังเกตการณ์ หรือการคิดเชิงวิเคราะห์ ทำให้การศึกษาไม่ได้จำกัดอยู่เฉพาะในห้องเรียน พระพรหมคุณาภรณ์ (ป. อ. ปยุตฺโต) ได้ใช้ประสบการณ์และความรู้ของตนเองในการสร้างสรรค์ผลงานนี้ ทำให้เป็นแหล่งความรู้ที่มีคุณค่าและสามารถนำไปสู่การพัฒนาทั้งในด้านบุคคลและสังคม ในส่วนสุดท้าย ของผลงานนี้ไม่ได้เน้นเพียงการส่งเสริมความรู้และทักษะทางวิชาการเท่านั้น แต่ยังช่วยส่งเสริมการเรียนรู้และการพัฒนาทักษะชีวิตที่จำเป็นสำหรับการใช้ชีวิตในสังคมได้อย่างมีประสิทธิภาพ</p> ศิวกร อินภูษา พระมหาพิสิฐ วิสิฎฺฐปญฺโญ ประจิตร มหาหิง Copyright (c) 2024 วารสารมณีเชษฐาราม วัดจอมมณี 2024-04-30 2024-04-30 7 2 609 620