https://so07.tci-thaijo.org/index.php/JPsychol/issue/feed
วารสารจิตวิทยาแห่งประเทศไทย
2025-12-01T17:21:53+07:00
ศาสตราจารย์ ดร. อรัญญา ตุ้ยคำภีร์
atuicomepee@gmail.com
Open Journal Systems
<p><strong>เกี่ยวกับวารสาร</strong></p> <p>วารสารจิตวิทยาแห่งประเทศไทย คลอบคลุมเนื้อหาที่เกี่ยวข้องกับจิตวิทยา ในสาชาวิชา จิตวิทยาทั่วไป จิตวิทยาการทดลอง จิตวิทยาการศึกษา จิตวิทยาการแนะแนว จิตวิทยาการปรึกษา จิตวิทยาพัฒนาการ จิตวิทยาอุตสาหกรรมและองค์การ จิตวิทยาชุมชน และ พุทธจิตวิทยา เป็นต้น โดยรับบทความวิจัย (Research articles) บทความวิชาการ (Academic articles) บทความปริทัศน์ (Review articles) และ บทวิจารณ์หนังสือ (Book review) ภายใต้เงื่อนไขที่ว่าจะต้องไม่เคยตีพิมพ์เผยแพร่ในวารสาร เอกสารการประชุม หรือสิ่งพิมพ์ใดมาก่อน (ยกเว้นรายงานการวิจัยและวิทยานิพนธ์/สารนิพนธ์) และไม่อยู่ในระหว่างการพิจารณารอตีพิมพ์ในวารสารอื่น</p> <p>โดยวารสารจิตวิทยาแห่งประเทศไทย ปฏิบัติตามเกณฑ์มาตรฐานวารสารวิชาการกลุ่มสังคมศาสตร์และมนุษย์ศาสตร์ที่ สกอ. และ สกว. กำหนด โดยกองบรรณาธิการประกอบด้วย ศาสตราจารย์ และผู้ทรงคุณวุฒิระดับปริญญาเอกที่มีผลงานวิจัยอย่างต่อเนื่อง มาจากสถาบันภายนอกเป็นส่วนใหญ่ และมาจากสถาบันภายในส่วนหนึ่งและมีผู้ทรงคุณวุฒิในสาขาวิชาที่เกี่ยวข้อง (Peer Review) ซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญที่มีผลงานวิจัยอย่างต่อเนื่องทำหน้าที่ในการพิจารณากลั่นกรองบทความ จำนวน 3 คน โดยผู้ทรงคุณวุฒิและผู้เขียนจะไม่ทราบข้อมูลของกันและกัน (Double-blind peer review) และเป็นวารสารที่ออกตรงตามเวลาอย่างต่อเนื่อง ปีละ 2 ฉบับ ตามปีปฏิทิน คือ ฉบับที่ 1 เดือนมกราคม – มิถุนายน ฉบับที่ 2 เดือน กรกฎาคม - ธันวาคม</p>
https://so07.tci-thaijo.org/index.php/JPsychol/article/view/7353
การพัฒนากิจกรรมทดสอบความร่วมรู้สึกโดยใช้ ความสามารถในการเข้าใจความคิดของผู้อื่นสำหรับวัยรุ่น
2025-05-02T07:50:53+07:00
พีรพณธ์ เทพประสิทธิ์
pheeraphol2520@gmail.com
กนก พานทอง
KANOK1459@gmail.com
พีร วงศ์อุปราช
Peera.W@chula.ac.th
<p> การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนากิจกรรมทดสอบความร่วมรู้สึกโดยใช้ความสามารถในการเข้าใจความคิดของผู้อื่นสำหรับวัยรุ่นที่มีอายุระหว่าง 15 ถึง 19 ปี กิจกรรมทดสอบดำเนินการผ่านหน้าจอคอมพิวเตอร์<br />ที่พัฒนาด้วยโปรแกรม SuperLab 4.5 โดยประยุกต์รูปแบบกิจกรรมทดสอบที่ใช้ภาพการแสดงออกทางสีหน้า<br />จากฐานข้อมูล The Averaged Karolinska Directed Emotional Faces Database (AKDEF) เป็นภาพสิ่งเร้า รวมทั้งสิ้น 56 สิ่งเร้า ซึ่งผู้ทดสอบจะต้องพิจารณาการแสดงออกทางสีหน้าที่ปรากฏผ่านหน้าจอคอมพิวเตอร์<br />ในเวลาที่จำกัดและระบุประเภทของการแสดงอารมณ์ทางสีหน้าของสิ่งเร้า โดยมีเกณฑ์การให้คะแนนความถูกต้องในการตอบสนองและเวลาในการตอบสนอง ผลการตรวจสอบคุณภาพของกิจกรรมทดสอบผ่านรายการประเมินโดยผู้เชี่ยวชาญจำนวน 5 ราย พบว่า มีค่าดัชนีความตรงเชิงเนื้อหารายข้อ (I-CVI) เท่ากับ 1.00 และมีค่าดัชนี<br />ความตรงเนื้อหาทั้งฉบับ (S-CVI) เท่ากับ 1.00 และเมื่อนำไปศึกษานำร่องกับกลุ่มตัวอย่าง จำนวน 30 คน เพื่อหาค่าความเที่ยงด้วยวิธีสัมประสิทธิ์แอลฟาของครอนบาค พบว่า มีค่าสัมประสิทธิ์แอลฟาของครอนบาค เท่ากับ .85 (a = .85)</p>
2025-12-01T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 สมาคมจิตวิทยาแห่งประเทศไทย
https://so07.tci-thaijo.org/index.php/JPsychol/article/view/7477
เยาวชนตื่นรู้ : ปลุกพลังการรับรู้คุณค่าตนเองสู่การเติบโตอย่างยั่งยืน
2025-04-26T07:52:15+07:00
พรทิพย์ เกศตระกูล
porntipg@gmail.com
พระมหานันทวิทย์ แก้วบุตรดี
Nantawit.kae@mcu.ac.th
นรินทร์ชิตา ศีลประชาวงศ์
Narinchita.s@gmail.com
<p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาสภาพปัญหาและความต้องการในการพัฒนาการรับรู้คุณค่าตนเองของเยาวชน 2) พัฒนากิจกรรมเสริมสร้างการรับรู้คุณค่าตนเองของเยาวชน และ 3) ประเมินผลการใช้กิจกรรมการเสริมสร้างการรับรู้คุณค่าตนเองของเยาวชน งานวิจัยนี้เป็นส่วนหนึ่งของโครงการวิจัยเรื่อง รูปแบบการพัฒนาศักยภาพทางใจเพื่อสร้างพลังการตระหนักรู้ตนเองของเยาวชนอย่างยั่งยืน โดยได้รับทุนสนับสนุนจาก กองทุนส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม ปีงบประมาณ 2568 ใช้ระเบียบวิธีวิจัยเชิงปฏิบัติการแบบมีส่วนร่วม โดยเก็บข้อมูลจากกลุ่มตัวอย่างเยาวชนระดับมัธยมศึกษาจากโรงเรียนบ้านห้วยตอง จังหวัดเชียงใหม่ จำนวน 32 คน เครื่องมือในการวิจัย ได้แก่ 1) แบบสนทนากลุ่ม มีค่าดัชนีความสอดคล้อง อยู่ระหว่าง 0.80-1.00 2) แบบวัดการรับรู้คุณค่าตนเองของเยาวชน มีค่าสัมประสิทธิ์แอลฟาของครอนบาค 0.91 มีค่าความเชื่อมั่นรายด้านอยู่ระหว่าง 0.83-0.93 3) กิจกรรมการเสริมสร้างการรับรู้คุณค่าตนเองของเยาวชน และ 4) แบบบันทึกการสังเกตพฤติกรรม วิเคราะห์ข้อมูลด้วยการวิเคราะห์เนื้อหา สถิติพื้นฐาน และการทดสอบค่าที</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1) เยาวชนมีปัญหาด้านความเชื่อมั่นตนเอง การรับรู้คุณค่าในตนเอง ความสัมพันธ์กับเพื่อนและครอบครัว และการมีเป้าหมายในชีวิต ซึ่งเป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาตนเองอย่างยั่งยืน <br />2) กิจกรรมที่พัฒนาขึ้นประกอบด้วย 9 กิจกรรมใช้เวลาดำเนินการ 1 วัน โดยมีกระบวนการจัดกิจกรรมเยาวชนที่เน้นการเรียนรู้ผ่านประสบการณ์ (Experiential Learning) และการลงมือปฏิบัติ (Active Learning) <br />เพื่อส่งเสริมศักยภาพ 5 ด้าน ได้แก่ การเข้าใจตนเองตามความเป็นจริง การรับรู้คุณค่าของตนเอง การสร้างความสัมพันธ์เชิงบวกกับผู้อื่น การมีสติอยู่กับปัจจุบัน การมีจริยธรรมและคุณธรรมเพื่อสังคม 3) ผลการประเมินพบว่า หลังการเข้าร่วมกิจกรรมที่พัฒนาขึ้น เยาวชนมีคะแนนการรับรู้คุณค่าตนเองสูงกว่าก่อนเข้าร่วมกิจกรรมอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 โดยเฉพาะด้านการเข้าใจตนเองตามความเป็นจริง การรับรู้คุณค่าในตนเอง และการมีจริยธรรมและคุณธรรม นอกจากนี้ยังพบการเปลี่ยนแปลงเชิงคุณภาพในด้านความสามารถในการกำหนดเป้าหมายชีวิต การเห็นคุณค่าของการมีส่วนร่วมในชุมชน และความตระหนักถึงศักยภาพของตนในการสร้างการเปลี่ยนแปลงเชิงบวก ผลการวิจัยนี้สามารถนำไปประยุกต์ใช้ในการพัฒนา<br />การรับรู้คุณค่าตนเองของเยาวชนในบริบทสถานศึกษา ชุมชน และสถาบันพัฒนาเยาวชน เป็นแนวทางในการออกแบบกิจกรรมเสริมสร้างทักษะชีวิตที่เหมาะสม และเป็นต้นแบบสำหรับการสร้างระบบนิเวศที่สนับสนุนการเติบโตอย่างยั่งยืนของเยาวชน ทั้งในมิติของการพัฒนาตนเอง การอยู่ร่วมกับผู้อื่น และการมีส่วนร่วมในการพัฒนาสังคมอย่างรับผิดชอบ</p>
2025-12-01T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 สมาคมจิตวิทยาแห่งประเทศไทย
https://so07.tci-thaijo.org/index.php/JPsychol/article/view/8066
การศึกษาทุนทางจิตวิทยาที่ส่งผลต่อการปฏิบัติงานที่มีความหมายของนักกายภาพบำบัดในโรงพยาบาลเอกชน
2025-06-09T11:33:52+07:00
ดาวรุ่ง แสนสุวรรณดี
ptdao.sa@gmail.com
ผ่องพรรณ เกิดพิทักษ์
psy.phd@kbu.ac.th
<p>การวิจัยนี้เป็นการวิจัยเชิงพรรณนา มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาทุนทางจิตวิทยาที่ส่งผลต่อการปฏิบัติงาน<br />ที่มีความหมายของนักกายภาพบำบัดในโรงพยาบาลเอกชน กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้เป็นนักกายภาพบำบัดที่ปฏิบัติงานในโรงพยาบาลเอกชนจำนวน 134 คนที่ได้จากการคัดเลือกแบบเจาะจงจากประชากรในเขตกรุงเทพมหานคร เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ 1) แบบวัดทุนทางจิตวิทยามีค่าดัชนีความสอดคล้อง (IOC) <br />อยู่ระหว่าง .66 – 1.00 มีค่าอำนาจจำแนกรายข้ออยู่ระหว่าง .515 - .823 มีค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ของแอลฟาของครอนบาคเท่ากับ .928 และ 2) แบบวัดการปฏิบัติงานที่มีความหมายมีค่าดัชนีความสอดคล้อง (IOC) <br />อยู่ระหว่าง .66 - 1.00 มีค่าอำนาจจำแนกรายข้อ อยู่ระหว่าง .242 - .865 มีค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ของแอลฟาของครอนบาคเท่ากับ .961 สถิติที่ใช้ คือ ค่าเฉลี่ย ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ของ<br />เพียร์สัน การวิเคราะห์ความแปรปรวนแบบทางเดียวและการวิเคราะห์การถดถอยพหุคูณ</p> <p>ผลการวิจัยสรุปได้ว่า ทุนทางจิตวิทยามีความสัมพันธ์ทางบวกกับการปฏิบัติงานที่มีความหมายของ<br />นักกายภาพบำบัดในโรงพยาบาลเอกชนอย่างมีนัยสำคัญที่ระดับ .01 โดยมีค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ เท่ากับ .759 และ ตัวแปรพยากรณ์ทุนทางจิตวิทยา ด้านความเชื่อมั่นในความสามารถของตนเอง ด้านความหยุ่นตัว และ<br />ด้านความหวัง ส่งผลทางบวกต่อการปฏิบัติงานที่มีความหมายอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01, .01 และ .05 ตามลำดับ ส่วนทุนทางจิตวิทยาด้านการมองโลกในแง่ดีส่งผลทางลบต่อการปฏิบัติงานที่มีความหมายอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 โดยตัวแปรทุนทางจิตวิทยาดังกล่าว สามารถร่วมกันอธิบายความแปรปรวนของ<br />การปฏิบัติงานที่มีความหมายของนักกายภาพบำบัดได้ร้อยละ 80.80 (R² = .808, p < .001)</p>
2025-12-01T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 สมาคมจิตวิทยาแห่งประเทศไทย
https://so07.tci-thaijo.org/index.php/JPsychol/article/view/6989
การศึกษาความเป็นไปได้ในการเปิดหลักสูตรวิทยาศาสตรบัณฑิต สาขาวิชาจิตวิทยาอุตสาหกรรมและองค์การดิจิทัล คณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลรัตนโกสินทร์
2025-04-18T10:16:37+07:00
อภิษฎาข์ ศรีเครือดง
apissada2024@gmail.com
จารุวรรณ เม่งก่วง
apisada.sri@rmutr.ac.th
จักรวาล ไชยพัฒน์
apisada.sri@rmutr.ac.th
ณญาน นลินขวัญ
apisada.sri@rmutr.ac.th
นพลักษณ์ หนักแน่น
apisada.sri@rmutr.ac.th
<p>การวิจัยเชิงสำรวจนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาจุดมุ่งหมายและความต้องการศึกษาต่อในหลักสูตรของกลุ่มเป้าหมายในอนาคต 2) ศึกษาความคิดเห็นและความต้องการใช้บัณฑิตในหลักสูตรของกลุ่มผู้ใช้บัณฑิต และ 3) ศึกษาแนวทางการเปิดหลักสูตรจากข้อคิดเห็นของผู้เชี่ยวชาญทางด้านจิตวิทยาอุตสาหกรรมและองค์การ กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการศึกษาครั้งนี้ เป็นนักเรียนที่กำลังเรียนในระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนปลาย จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ จำนวน 100 คน โดยใช้ 1) แบบสอบถามศึกษาความต้องการศึกษาต่อของกลุ่มผู้เรียนในอนาคต มีค่าสัมประสิทธิ์แอลฟาของครอนบาค เท่ากับ .88 เก็บรวบรวมข้อมูลด้วยแบบสอบถามออนไลน์ และ 2) การสัมภาษณ์เชิงลึก วิเคราะห์ข้อมูลแบบผสานวิธี</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1) ความต้องการศึกษาต่อในหลักสูตรของกลุ่มเป้าหมายในอนาคต ส่วนใหญ่<br />ให้ความสนใจหลักสูตรฯ ในระดับสูง คิดเป็นร้อยละ 72.73 และต้องการรูปแบบการเรียนแบบผสมผสาน <br />คิดเป็นร้อยละ 58.8 โดยเนื้อหาที่ต้องการศึกษามากที่สุดคือ การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ คิดเป็นร้อยละ 62.7 และการใช้เทคโนโลยีดิจิทัล คิดเป็นร้อยละ 52.9 2) ความคิดเห็นและความต้องการใช้บัณฑิตในหลักสูตร<br />ของกลุ่มผู้ใช้บัณฑิต พบว่า ร้อยละ 75 สนับสนุนการเปิดหลักสูตร และร้อยละ 90 เห็นว่าหลักสูตรนี้<br />มีความสำคัญต่อองค์กรในยุคดิจิทัล โดยเสนอให้มีเนื้อหาด้านการบริหารทรัพยากรมนุษย์ด้วยเทคโนโลยี <br />คิดเป็นร้อยละ 65 และจิตวิทยาแรงงาน คิดเป็นร้อยละ 65 และ 3) แนวทางการเปิดหลักสูตรฯ จากข้อคิดเห็นของผู้เชี่ยวชาญทางด้านจิตวิทยาอุตสาหกรรมและองค์การ พบว่าหลักสูตรนี้มีความสำคัญต่อภาคอุตสาหกรรม เนื่องจากช่วยพัฒนาบุคลากรให้มีความเข้าใจเทคโนโลยีและพฤติกรรมมนุษย์ เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน และส่งเสริมการปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลง ข้อเสนอแนะจากการวิจัยระบุว่าหลักสูตรควรมุ่งเน้น<br />การเรียนรู้ที่สามารถนำไปปฏิบัติจริง ควรมีคณาจารย์ที่มีความเชี่ยวชาญทั้งในประเทศและต่างประเทศ และต้องปรับปรุงเนื้อหาให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีและองค์การ</p>
2025-12-01T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 สมาคมจิตวิทยาแห่งประเทศไทย
https://so07.tci-thaijo.org/index.php/JPsychol/article/view/7330
การพัฒนาโปรแกรมฝึกทักษะการเป็นผู้ให้การปรึกษา เพื่อเสริมสร้างการรับรู้ความสามารถของนักศึกษาระดับปริญญาตรี ชั้นปีที่ 1
2025-05-12T09:47:15+07:00
พลอยไพลิน กมลนาวิน
ploypailin.kamon@gmail.com
<p>การวิจัยครั้งนี้ เป็นการพัฒนาโปรแกรมฝึกทักษะการเป็นผู้ให้การปรึกษา เพื่อเสริมสร้างการรับรู้ความสามารถของนักศึกษาระดับปริญญาตรี ชั้นปีที่ 1 และเพื่อศึกษาผลของโปรแกรมฝึกทักษะการเป็นผู้ให้<br />การปรึกษา เพื่อเสริมสร้างการรับรู้ความสามารถของนักศึกษาระดับปริญญาตรี ชั้นปีที่ 1 กลุ่มเป้าหมาย คือ นักศึกษาที่กำลังศึกษาอยู่ในระดับปริญญาตรี ชั้นปีที่ 1 วิทยาลัยนาฏศิลปแห่งหนึ่ง จำนวน 35 คน ที่ลงทะเบียนเรียนในรายวิชาจิตวิทยาสำหรับครู ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2567 โดยใช้การเลือกกลุ่มตัวอย่างแบบเจาะจง เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ 1) โปรแกรมฝึกทักษะการเป็นผู้ให้การปรึกษา เพื่อเสริมสร้างการรับรู้ความสามารถของนักศึกษาระดับปริญญาตรี ชั้นปีที่ 1 2) แบบประเมินการรับรู้ความสามารถของนักศึกษา 3) แบบสังเกตการฝึกทักษะการเป็นผู้ให้การปรึกษาของนักศึกษาระดับปริญญาตรี ชั้นปีที่ 1 และ 4) แบบสัมภาษณ์นักศึกษาที่เข้าร่วมโปรแกรมฝึกทักษะการเป็นผู้ให้การปรึกษา เพื่อเสริมสร้างการรับรู้ความสามารถของนักศึกษาระดับปริญญาตรี <br />ชั้นปีที่ 1 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ การวิเคราะห์คะแนนเพิ่มสัมพัทธ์ เพื่อเปรียบเทียบคะแนนก่อนและหลังการฝึกทักษะการเป็นผู้ให้การปรึกษา วิเคราะห์และแปลผลแบบสังเกตการฝึกทักษะการเป็นผู้ให้การปรึกษา และการวิเคราะห์เนื้อหา</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า นักศึกษาที่เข้าร่วมการวิจัยมีคะแนนจากแบบประเมินการรับรู้ความสามารถ<br />ในระยะหลังสูงกว่าระยะก่อนเข้าร่วมโปรแกรมฯ และส่วนใหญ่มีคะแนนจากแบบสังเกตการฝึกทักษะการเป็นผู้ให้การปรึกษาอยู่ในระดับดี นอกจากนี้การวิเคราะห์เนื้อหา พบว่า โปรแกรมฝึกทักษะการเป็นผู้ให้การปรึกษา สามารถเสริมสร้างการรับรู้ความสามารถของนักศึกษาให้เกิดขึ้นได้อย่างมีประสิทธิภาพ</p>
2025-12-01T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 สมาคมจิตวิทยาแห่งประเทศไทย
https://so07.tci-thaijo.org/index.php/JPsychol/article/view/7781
ความสัมพันธ์ระหว่างคุณภาพชีวิตในการทำงานและความตั้งใจคงอยู่ในงานของ นักฉุกเฉินการแพทย์: บทบาทการเป็นตัวแปรส่งผ่านของ การฝังตรึงในงานและความผูกพันต่อองค์การ
2025-05-26T09:40:11+07:00
วิรุจิ โพธิ์วิจิตร
viruji.p@ku.th
นรุตม์ พรประสิทธิ์
narut.po@ku.th
<p>การศึกษานี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างคุณภาพชีวิตในการทำงานและความตั้งใจคงอยู่ในงาน โดยมีการฝังตรึงในงาน และความผูกพันต่อองค์การเป็นตัวแปรส่งผ่าน โดยศึกษาจากกลุ่มตัวอย่างนักฉุกเฉินการแพทย์ในประเทศไทย จำนวน 142 คน เก็บรวบรวมข้อมูลโดยการสุ่มตามความสะดวก (Convenience Sample) ผ่านแบบสอบถามออนไลน์ เครื่องมือวิจัยประกอบด้วยแบบสอบถามคุณภาพชีวิตในการทำงาน (α =.965) การฝังตรึงในงาน (α =.950) ความผูกพันต่อองค์การ (α =.870) และความตั้งใจคงอยู่ในงาน <br />(α =.789) ผลการวิเคราะห์ข้อมูลด้วย PROCESS macro บนโปรแกรม SPSS พบว่า คุณภาพชีวิตในการทำงาน<br />มีอิทธิพลทางบวกต่อความตั้งใจคงอยู่ในงานทั้งทางตรง (b =.202, p =.047) และทางอ้อม [b =.196, 95% CI (.068 ถึง .317)] คุณภาพชีวิตในการทำงานมีอิทธิพลทางบวกต่อการฝังตรึงในงาน (b =.467, p < .001) และ<br />ความผูกพันต่อองค์การ (b =.463, p < .001) การฝังตรึงในงานมีอิทธิพลทางบวกต่อความตั้งใจคงอยู่ในงาน <br />(b =.375, p =.003) ในขณะที่ความผูกพันต่อองค์การไม่มีอิทธิพลต่อความตั้งใจคงอยู่ในงาน (b =.043, p =.707) การวิเคราะห์อิทธิพลส่งผ่านพบว่า คุณภาพชีวิตในการทำงานมีค่าอิทธิพลทางอ้อมต่อความตั้งใจคงอยู่ในงาน<br />ผ่านการฝังตรึงในงาน (b =.176 มีค่า 95% CI .035 ถึง .321) แต่คุณภาพชีวิตในการทำงานไม่มีค่าอิทธิพลทางอ้อมต่อความตั้งใจคงอยู่ในงานผ่านความผูกพันต่อองค์การ (b =.020 มีค่า 95% CI -.098 ถึง .134) ผลการวิจัยนี้สะท้อนให้เห็นว่า องค์การควรให้ความสำคัญกับการพัฒนาคุณภาพชีวิตในการทำงานและการส่งเสริมการฝังตรึง<br />ในงาน เพื่อเพิ่มความตั้งใจคงอยู่ในงานของนักฉุกเฉินการแพทย์ ซึ่งจะช่วยลดปัญหาการขาดแคลนบุคลากรและ<br />เพิ่มประสิทธิภาพในการให้บริการทางการแพทย์ฉุกเฉิน</p>
2025-12-01T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 สมาคมจิตวิทยาแห่งประเทศไทย
https://so07.tci-thaijo.org/index.php/JPsychol/article/view/7668
การพัฒนาและประเมินประสิทธิภาพโปรแกรมบ่มเพาะจิตลักษณะและทักษะแบบบูรณาการ เพื่อเสริมสร้างพลังครอบครัววิถีใหม่ในเยาวชนไทย
2025-05-26T10:01:22+07:00
ณฐวัฒน์ ล่องทอง
nathawat.l@cmu.ac.th
สุวลักษณ์ อ้วนสอาด
suwaluck_uan@g.cmru.ac.th
กฤษณะ โชติรัตนกมล
Krisana@tu.ac.th
อนันต์ แย้มเยื้อน
yaemyueananan@gmail.com
<p>ปัญหาความรุนแรงในครอบครัวเป็นประเด็นเร่งด่วนที่ส่งผลกระทบต่อสังคมไทย โดยมีสถิติเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง การพัฒนาโปรแกรมบ่มเพาะจิตลักษณะและทักษะแบบบูรณาการเพื่อเสริมสร้างพลังครอบครัววิถีใหม่จึงเป็นแนวทางสำคัญหนึ่งในการสร้างภูมิคุ้มกันให้กับเยาวชน การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างและตรวจสอบประสิทธิภาพโปรแกรมบ่มเพาะจิตลักษณะและทักษะแบบบูรณาการเพื่อพัฒนาพฤติกรรมการเสริมสร้างพลังครอบครัววิถีใหม่ และทดสอบประสิทธิผลในกลุ่มเยาวชนไทย ใช้การวิจัยเชิงทดลองแบบแฟกทอเรียล 2×2 กับกลุ่มตัวอย่างเยาวชน 320 คน แบ่งเป็น 4 กลุ่ม ๆ ละ 80 คน ได้แก่ กลุ่มที่ได้รับการบ่มเพาะทั้งจิตลักษณะและทักษะ กลุ่มที่ได้รับการบ่มเพาะจิตลักษณะ กลุ่มที่ได้รับการบ่มเพาะทักษะ และกลุ่มควบคุม เก็บข้อมูล 3 ระยะ คือ ก่อนการทดลอง หลังการทดลอง และติดตามผล 3 เดือน วิเคราะห์ข้อมูลด้วยการวิเคราะห์ความแปรปรวนร่วมหลายตัวแปร โดยใช้คะแนนเจตคติก่อนการทดลองเป็นตัวแปรร่วม เนื่องจากพบความแตกต่างในระยะก่อนการทดลอง (Wilk's lambda = .925, F = 2.756, p = .004) ผลการวิจัยพบว่า โปรแกรมบ่มเพาะจิตลักษณะและทักษะแบบบูรณาการ ที่พัฒนาขึ้นมีค่าดัชนีความสอดคล้อง (IOC) ระหว่าง 0.66-1.00 ซึ่งอยู่ในเกณฑ์ที่ยอมรับได้ กลุ่มที่ได้รับการบ่มเพาะทั้งจิตลักษณะและทักษะมีพฤติกรรมการเสริมสร้างพลังครอบครัววิถีใหม่ แรงจูงใจใฝ่สัมฤทธิ์ และเจตคติทางบวกสูงกว่ากลุ่มอื่นอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p<.05) ทั้งในระยะหลังการทดลอง (Wilk's Lambda = .580, F = 21.226, p<.001) และติดตามผล 3 เดือน (Wilk's Lambda = .650, F = 16.378, p<.001) สรุปได้ว่าโปรแกรมบ่มเพาะจิตลักษณะและทักษะแบบบูรณาการมีประสิทธิผลในการพัฒนาพฤติกรรมการเสริมสร้างพลังครอบครัววิถีใหม่ในเยาวชนไทย</p>
2025-12-01T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 สมาคมจิตวิทยาแห่งประเทศไทย
https://so07.tci-thaijo.org/index.php/JPsychol/article/view/7776
Validation of the Social and Emotional Health Survey-Secondary Among Thai Secondary School Students
2025-05-14T15:21:49+07:00
Nithikorn Laoritthikrai
6670031238@student.chula.ac.th
Rewadee Watakakosol
Rewadee.W@chula.ac.th
Juthatip Wiwattanapantuwong
Juthatip.W@chula.ac.th
<p>In response to growing concerns about youth depression in Thailand, positive psychology has emerged as a promising field for nurturing inner strengths and well-being. Guided by the concept of Covitality, efforts have been made to enhance positive psychological resources; however, comprehensive assessments in this area remain limited. This study aimed to develop and validate the Thai version of the Social and Emotional Health Survey-Secondary (SEHS-S) by examining its psychometric properties. Participants included 502 high school students in Bangkok, with 337 males and 165 females between the ages of 15 and 18. A Structural Equation Modeling (SEM) was employed to test Confirmatory Factor Analysis (CFA) of the second-order factor model, structural path analysis to Subjective Well-Being, and the correlational analysis and point-biserial analysis between SEHS-S outcomes and Quality-of-Life Indicators. Results adequately supported the Covitality construct Furthermore, the correlational results revealed the SEHS-S significantly associated with self-reported academic achievement (r = 0.28, p < .001), and self-reported perceptions of school safety (r = 0.03, p = .001), but no associations to self-reported experienced depressive symptoms (r = -0.08, p = .116). These findings suggested that Thai version of SEHS-S is an appropriate tool in assessing adolescent positive mental health, particularly adolescents within high school contexts.</p>
2025-12-01T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 สมาคมจิตวิทยาแห่งประเทศไทย