วารสารจิตวิทยา https://so07.tci-thaijo.org/index.php/JPsychol <p> </p> <p>วารสารจิตวิทยา คลอบคลุมเนื้อหาที่เกี่ยวข้องกับจิตวิทยา ในสาชาวิชา จิตวิทยาทั่วไป จิตวิทยาการทดลอง จิตวิทยาการศึกษา จิตวิทยาการแนะแนว จิตวิทยาการปรึกษา จิตวิทยาพัฒนาการ จิตวิทยาอุตสาหกรรมและองค์การ จิตวิทยาชุมชน และ พุทธจิตวิทยา เป็นต้น โดยรับบทความวิจัย (Research articles) บทความวิชาการ (Academic articles) บทความปริทัศน์ (Review articles) และ บทวิจารณ์หนังสือ (Book review) ภายใต้เงื่อนไขที่ว่าจะต้องไม่เคยตีพิมพ์เผยแพร่ในวารสาร เอกสารการประชุม หรือสิ่งพิมพ์ใดมาก่อน (ยกเว้นรายงานการวิจัยและวิทยานิพนธ์/สารนิพนธ์) และไม่อยู่ในระหว่างการพิจารณารอตีพิมพ์ในวารสารอื่น โดยวารสารจิตวิทยาปฏิบัติตามเกณฑ์มาตรฐานวารสารวิชาการกลุ่มสังคมศาสตร์และมนุษย์ศาสตร์ที่ สกอ. และ สกว. กำหนด โดยกองบรรณาธิการประกอบด้วย ศาสตราจารย์ และผู้ทรงคุณวุฒิระดับปริญญาเอกที่มีผลงานวิจัยอย่างต่อเนื่อง มาจากสถาบันภายนอกเป็นส่วนใหญ่ และมาจากสถาบันภายในส่วนหนึ่งและมีผู้ทรงคุณวุฒิในสาขาวิชาที่เกี่ยวข้อง (Peer Review) ซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญที่มีผลงานวิจัยอย่างต่อเนื่องทำหน้าที่ในการพิจารณากลั่นกรองบทความ จำนวน 3 คน โดยผู้ทรงคุณวุฒิและผู้เขียนจะไม่ทราบข้อมูลของกันและกัน (Double-blind peer review) และเป็นวารสารที่ออกตรงตามเวลาอย่างต่อเนื่อง ปีละ 2 ฉบับ ตามปีปฏิทิน คือ ฉบับที่ 1 เดือนมกราคม – มิถุนายน ฉบับที่ 2 เดือน กรกฎาคม - ธันวาคม</p> สมาคมจิตวิทยาแห่งประเทศไทย th-TH วารสารจิตวิทยา 0858-8627 <p>บทความที่ได้รับการตีพิมพ์เป็นลิขสิทธิ์ของสมาคมจิตวิทยาแห่งประเทศไทย</p> <p>&nbsp;</p> <p>ข้อความที่ปรากฎในบทความแต่ละเรื่องในวารสารวิชาการเล่มนี้เป็นความคิดเห็นส่วนตัวของผู้เขียนแต่ละท่านไม่เกี่ยวข้องกับสมาคมจิตวิทยาแห่งประเทศไทย แต่อย่างใด ความรับผิดชอบองค์ประกอบทั้งหมดของบทความแต่ละเรื่องเป็นของผู้เขียนแต่ละท่าน หากมีความผิดพลาดใด ๆ ผู้เขียนแต่ละท่านจะรับผิดชอบบทความของตนเองแต่ผู้เดียว</p> การเห็นคุณค่าในตนเองและวิธีการเผชิญความเครียดที่ส่งผลต่อความเครียดในการเรียนของนิสิต คณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตบางเขน https://so07.tci-thaijo.org/index.php/JPsychol/article/view/6218 <p><strong>บทคัดย่อ</strong></p> <p>ปัจจุบันสังคมไทยให้ความสำคัญกับการศึกษาเป็นอย่างมาก ซึ่งนำไปสู่การพัฒนาอย่างต่อเนื่องทางการศึกษา นิสิตถือเป็นวัยที่ต้องเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงในชีวิตมากมาย รวมถึงการเปลี่ยนแปลงในด้านการเรียน ก่อให้นิสิตเกิดความเครียดในการเรียน การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาการทำนายความเครียดในการเรียน ด้วยการเห็นคุณค่าในตนเองและวิธีการเผชิญความเครียด กลุ่มตัวอย่าง คือ นิสิตคณะสังคมศาสตร์มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตบางเขน จำนวน 208 คน เก็บรวบรวมข้อมูลโดยใช้แบบสอบถามการเห็นคุณค่าในตนเอง แบบสอบถามวิธีการเผชิญความเครียด และแบบสอบถามความเครียดในการเรียน มีค่าความเชื่อมั่นอยู่ระหว่าง .82 - .93 ผลวิจัยพบว่า การเห็นคุณค่าในตนเองเป็นตัวทำนายเชิงลบต่อความเครียดในการเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (ค่า β = -.464, p &lt; .001) การเผชิญความเครียดแบบมุ่งแก้ไขปัญหา และแบบมุ่งแก้ไขอารมณ์ไม่สามารถเป็นตัวทำนายต่อความเครียดในการเรียน จากผลการศึกษาในครั้งนี้ สามารถนำมาประยุกต์ใช้เป็นข้อมูล เพื่อเสนอแนะแนวทางในการแก้ปัญหาลดความเครียดในการเรียนของนิสิตระดับปริญญาตรีได้ต่อไป</p> เบญญาภา ตันเจริญ จิดาภา เสนวิรัช ฉัตรชนก สกุลชัยบงกช ณัชชา จันทาไทย นรุตม์ พรประสิทธิ์ สำเนียง เพชรจอม Copyright (c) 2025 สมาคมจิตวิทยาแห่งประเทศไทย https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-03-07 2025-03-07 22 2 32 46 อิทธิพลของความคาดหวังเชิงประจักษ์ทางสังคม ความคาดหวังเชิงบรรทัดฐานทางสังคมและ เจตคติต่อการแต่งงานที่มีต่อเจตนาที่จะแต่งงานของนักศึกษาปริญญาตรี https://so07.tci-thaijo.org/index.php/JPsychol/article/view/6223 <p><strong>บทคัดย่อ </strong></p> <p>การแต่งงานถือเป็นหนึ่งในเหตุการณ์สำคัญของชีวิตที่ได้รับความสนใจในด้านสังคมและวัฒนธรรมทั่วโลก การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาอิทธิพลของความคาดหวังเชิงประจักษ์ทางสังคม ความคาดหวังเชิงบรรทัดฐานทางสังคม และเจตคติต่อการแต่งงานที่มีต่อเจตนาที่จะแต่งงานของนักศึกษาระดับปริญญาตรี กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ศึกษาครั้งนี้เป็นนักศึกษาระดับปริญญาตรีที่กำลังศึกษาในมหาวิทยาลัยที่ตั้งอยู่ในประเทศไทย จำนวน 216 คน ด้วยวิธีการสุ่มโดยบังเอิญ เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ประกอบด้วย การเก็บรวบรวมโดยใช้แบบสอบถาม จำนวน 5 ตอน ได้แก่ แบบสอบถามปัจจัยส่วนบุคคล แบบสอบถามเจตคติต่อการแต่งงาน แบบสอบถามความคาดหวังเชิงประจักษ์ทางสังคม แบบสอบถามความคาดหวังเชิงบรรทัดฐานทางสังคม และแบบสอบถามเจตนาที่จะแต่งงาน โดยค่าสัมประสิทธิ์แอลฟาครอนบาคของแบบสอบถาม มีค่าระหว่าง<strong> </strong>0.81<strong> -</strong>0.88 วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้โปรแกรมสำเร็จรูปทางสถิติ สถิติที่ใช้คือ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ค่าสัมประสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ของเพียร์สัน และการวิเคราะห์การถดถอย ผลการวิจัยพบว่าอิทธิพลของเจตคติต่อการแต่งงาน (β = 0.872 , p &lt; .001) สามารถมีอำนาจในการทำนายเจตนา ที่จะแต่งงานของนักศึกษาปริญญาตรีได้อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ .001 ในขณะที่ความคาดหวังเชิงประจักษ์ทางสังคมและความคาดหวังเชิงบรรทัดฐานทางสังคมไม่ได้แสดงนัยสำคัญทางสถิติแต่อย่างใด ผลการวิจัยนี้สามารถนำไปใช้เป็นข้อมูลพื้นฐานในการพัฒนานโยบายหรือแนวทางการส่งเสริมความเข้าใจเกี่ยวกับการแต่งงานในกลุ่มนักศึกษาระดับปริญญาตรีโดยมุ่งเน้นไปที่การสร้างเจตคติที่ดีต่อการแต่งงาน</p> จักรภัทร สาดะระ บัวชมพู ขันตรี พิมพ์วิภา เอี่ยมทศ ภัณฑิลา หาญพีรเกรียงไกร นรุตม์ พรประสิทธิ์ ศรสลัก นิ่มบุตร สำเนียง เพชรจอม Copyright (c) 2025 สมาคมจิตวิทยาแห่งประเทศไทย https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-03-07 2025-03-07 22 2 15 31 การตรวจสอบคุณภาพเบื้องต้นของมาตรวัดความละอายและความรู้สึกผิดสำหรับนักศึกษาระดับปริญญาตรี (ฉบับภาษาไทย) https://so07.tci-thaijo.org/index.php/JPsychol/article/view/6453 <p><strong>บทคัดย่อ</strong></p> <p> การวิจัยครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อตรวจสอบคุณภาพเบื้องต้นของมาตรวัดความละอายและความรู้สึกผิดสำหรับนักศึกษาระดับปริญญาตรี (ฉบับภาษาไทย) มาตรวัดนี้พัฒนามาจากมาตรวัดต้นฉบับ The State Shame and Guilt Scale (SSGS) ของ Marschall และคณะ (1994) ประกอบด้วย 2 องค์ประกอบ ได้แก่ ความละอาย และ ความรู้สึกผิด กลุ่มตัวอย่างประกอบด้วยนักศึกษาระดับปริญญาตรีของมหาวิทยาลัยบูรพา ปีการศึกษา 2566 จำนวน 540 คน อายุเฉลี่ย 19.10 ปี (SD = 1.22 ช่วงอายุระหว่าง 18 ถึง 23 ปี) เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ มาตรวัดความละอายและความรู้สึกผิด มาตรวัดความสุขเชิงอัตวิสัย ผลการวิจัยพบว่า มาตรวัดความละอายและความรู้สึกผิดสำหรับนักศึกษาระดับปริญญาตรี (ฉบับภาษาไทย) จำนวน 10 ข้อ มีค่าความเที่ยงแบบสอดคล้องภายในของมาตรวัดทั้งฉบับเท่ากับ .89 และมีค่าความเที่ยงแบบสอดคล้องภายในแยกตามรายด้านเท่ากับ .86 และ .88 ตามลำดับ ผลการตรวจสอบความตรงตามเกณฑ์สัมพันธ์กับมาตรวัดความสุขเชิงอัตวิสัย พบว่ามาตรวัดนี้ทั้งฉบับมีความสัมพันธ์เชิงเส้นตรงทางลบกับมาตรวัดความสุขเชิงอัตวิสัย (<em>r</em> เท่ากับ -.356, <em>p</em> &lt; .01) ผลการวิเคราะห์องค์ประกอบเชิงยืนยัน พบว่า แบบจำลองมาตรวัดความละอายและความรู้สึกผิดสำหรับนักศึกษาระดับปริญญาตรี มีความสอดคล้องกับข้อมูลเชิงประจักษ์ (Chi-square = 0.42, df =3, p = 0.936, GFI = 1.00, AGFI = 0.99, RMR = 0.0144, RMSEA = 0.018) ผลการศึกษาแสดงให้เห็นว่ามาตรวัดนี้เหมาะสมสำหรับการประเมินความละอายและความรู้สึกผิดสำหรับนักศึกษาระดับปริญญาตรีได้ และสามารถนำไปใช้ในการดูแลเชิงจิตวิทยาเพื่อการลดความละอายและความรู้สึกผิดรวมถึงสร้างเสริมความสุขเชิงอัตวิสัยในนักศึกษาระดับปริญญาตรีอย่างเหมาะสม</p> ภุมเรศ ภูผา ดลดาว วงศ์ธีระธรณ์ Copyright (c) 2025 สมาคมจิตวิทยาแห่งประเทศไทย https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-03-07 2025-03-07 22 2 47 63 กระบวนการให้คำปรึกษาด้านจิตสังคมในผู้ต้องหา : คลินิกจิตสังคมในระบบศาลยุติธรรม https://so07.tci-thaijo.org/index.php/JPsychol/article/view/6253 <p><strong>บทคัดย่อ</strong></p> <p>คลินิกจิตสังคม ในระบบศาลยุติธรรม เป็นหน่วยงานที่จัดตั้งขึ้น เพื่อจัดกระบวนการให้คำปรึกษาด้านจิตสังคม ซึ่งเป็นกระบวนการช่วยเหลือ ให้บุคคลได้สำรวจตนเอง จนเกิดความเข้าใจตนเอง และการลงมือปฏิบัติสู่การพัฒนาตนเองได้อย่างเหมาะสมโดยผ่าน แนวคิดรูปแบบการปรับเปลี่ยนความคิดและพฤติกรรม (และ การสัมภาษณ์เพื่อสร้างแรงจูงใจ ให้แก่ผู้ต้องหาหรือจำเลย ในคดีที่เกี่ยวข้องกับยาเสพติด คดีความรุนแรงในครอบครัว และ คดีอาญาที่มีโทษไม่ร้ายแรงทำให้ผู้ต้องหาหรือจำเลยได้รับการปล่อยตัวชั่วคราว ได้มีแนวทางการดำเนินชีวิตที่ถูกต้องเหมาะสม การให้ความช่วยเหลือผู้ต้องหาหรือจำเลย ครอบคลุมช่วงวิกฤติของชีวิต ในหลาย ๆ ด้าน เช่น ปัญหาครอบครัว ปัญหาทางการทำงาน ปัญหาที่เกิดจากความคิดความรู้สึกที่ลดคุณค่าในตนเอง การกล่าวโทษตนเอง เป็นต้น เนื่องจากประสบการณ์ และ ความคิดของผู้ต้องหาหรือจำเลยต่อสถานการณ์ที่เกิดขึ้นอาจจะยังไม่สามารถจัดการหรือแก้ปัญหาให้กับตนเองได้อย่างเหมาะสมดังนั้นผู้ต้องหาหรือจำเลยจึงต้องได้รับกระบวนการให้คำปรึกษาด้านจิตสังคม การให้คำแนะนำจาก นักจิตวิทยา หรือ นักสังคมสงเคราะห์ และ ผู้ให้คำปรึกษา ที่สามารถสร้างความไว้วางใจ และ ให้คำแนะนำให้ผู้ต้องหาหรือจำเลยเชื่อมั่นว่าจะสามารถช่วยเหลือตนในการแก้ปัญหาได้ แต่การให้คำปรึกษาที่ดีและมีประสิทธิภาพนั้นจำเป็นจะต้องอาศัยหลักการทางจิตวิทยาในการให้การปรึกษารวมถึงทักษะในการให้คำปรึกษาอื่นร่วมด้วยจะช่วยให้ผู้ให้คำปรึกษา สามารถพูดคุย ติดตาม เรื่องราวจากผู้ต้องหาหรือจำเลย ส่งผลให้ ผู้ต้องหาหรือจำเลยเกิดความรู้สึกผ่อนคลาย มีทัศนคติที่ดี และสามารถมองเห็นแนวทางในการรับมือกับปัญหาที่จะเกิดขึ้น และตัดสินใจแก้ปัญหาของตนเองได้ ซึ่งนับว่ากระบวนการให้คำปรึกษาด้านจิตสังคมในครั้งนั้นบรรลุเป้าหมาย </p> ทิพากร วงศ์คำปัน Copyright (c) 2025 สมาคมจิตวิทยาแห่งประเทศไทย https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-03-07 2025-03-07 22 2 1 14