วารสารจิตวิทยาแห่งประเทศไทย
https://so07.tci-thaijo.org/index.php/JPsychol
<p><strong>เกี่ยวกับวารสาร</strong></p> <p>วารสารจิตวิทยาแห่งประเทศไทย คลอบคลุมเนื้อหาที่เกี่ยวข้องกับจิตวิทยา ในสาชาวิชา จิตวิทยาทั่วไป จิตวิทยาการทดลอง จิตวิทยาการศึกษา จิตวิทยาการแนะแนว จิตวิทยาการปรึกษา จิตวิทยาพัฒนาการ จิตวิทยาอุตสาหกรรมและองค์การ จิตวิทยาชุมชน และ พุทธจิตวิทยา เป็นต้น โดยรับบทความวิจัย (Research articles) บทความวิชาการ (Academic articles) บทความปริทัศน์ (Review articles) และ บทวิจารณ์หนังสือ (Book review) ภายใต้เงื่อนไขที่ว่าจะต้องไม่เคยตีพิมพ์เผยแพร่ในวารสาร เอกสารการประชุม หรือสิ่งพิมพ์ใดมาก่อน (ยกเว้นรายงานการวิจัยและวิทยานิพนธ์/สารนิพนธ์) และไม่อยู่ในระหว่างการพิจารณารอตีพิมพ์ในวารสารอื่น</p> <p>โดยวารสารจิตวิทยาแห่งประเทศไทย ปฏิบัติตามเกณฑ์มาตรฐานวารสารวิชาการกลุ่มสังคมศาสตร์และมนุษย์ศาสตร์ที่ สกอ. และ สกว. กำหนด โดยกองบรรณาธิการประกอบด้วย ศาสตราจารย์ และผู้ทรงคุณวุฒิระดับปริญญาเอกที่มีผลงานวิจัยอย่างต่อเนื่อง มาจากสถาบันภายนอกเป็นส่วนใหญ่ และมาจากสถาบันภายในส่วนหนึ่งและมีผู้ทรงคุณวุฒิในสาขาวิชาที่เกี่ยวข้อง (Peer Review) ซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญที่มีผลงานวิจัยอย่างต่อเนื่องทำหน้าที่ในการพิจารณากลั่นกรองบทความ จำนวน 3 คน โดยผู้ทรงคุณวุฒิและผู้เขียนจะไม่ทราบข้อมูลของกันและกัน (Double-blind peer review) และเป็นวารสารที่ออกตรงตามเวลาอย่างต่อเนื่อง ปีละ 2 ฉบับ ตามปีปฏิทิน คือ ฉบับที่ 1 เดือนมกราคม – มิถุนายน ฉบับที่ 2 เดือน กรกฎาคม - ธันวาคม</p>
สมาคมจิตวิทยาแห่งประเทศไทย
th-TH
วารสารจิตวิทยาแห่งประเทศไทย
3088-1579
<p>บทความที่ได้รับการตีพิมพ์เป็นลิขสิทธิ์ของสมาคมจิตวิทยาแห่งประเทศไทย</p> <p> </p> <p>ข้อความที่ปรากฎในบทความแต่ละเรื่องในวารสารวิชาการเล่มนี้เป็นความคิดเห็นส่วนตัวของผู้เขียนแต่ละท่านไม่เกี่ยวข้องกับสมาคมจิตวิทยาแห่งประเทศไทย แต่อย่างใด ความรับผิดชอบองค์ประกอบทั้งหมดของบทความแต่ละเรื่องเป็นของผู้เขียนแต่ละท่าน หากมีความผิดพลาดใด ๆ ผู้เขียนแต่ละท่านจะรับผิดชอบบทความของตนเองแต่ผู้เดียว</p>
-
การสร้างแรงจูงใจ: พัฒนาตนเองในการทำงานเพื่อสังคม
https://so07.tci-thaijo.org/index.php/JPsychol/article/view/6604
<p>บทความวิชาการนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) สร้างแรงจูงใจในการทำงาน 2) การกระตุ้นให้เกิดการพัฒนาตนเองสู่การเรียนรู้ในการทำงานให้สมบูรณ์แบบมากขึ้น และ 3) แรงจูงใจทำให้เกิดความสำเร็จในการทำงาน<br />เพื่อสังคม ที่ได้กล่าวถึงทฤษฎีจิตวิทยาแรงจูงใจ ทฤษฎีความต้องการของมนุษย์และทฤษฎีอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งผลการวิจัยและการศึกษาจากหน่วยงานต้นแบบ พบว่า แรงจูงใจส่งเสริมเป็นพลังขับเคลื่อนผู้คน<br />ให้เจริญงอกงามในทางที่ดี อย่างไรก็ตามแต่ละบุคคลมีความแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับความต้องการ <br />ปัจจัยภายนอก สิ่งแวดล้อมและสภาพการณ์ที่แตกต่างกันไป จากการสังเคราะห์ข้อมูลผลลัพธ์ที่ได้ คือ แนวทางในการสร้างแรงจูงใจ ในการทำงานเพื่อสังคม และกรอบในการพัฒนาทรัพยากรบุคคลที่สร้างผลลัพธ์เชิงบวกทั้งในระดับบุคคล ความสัมพันธ์ระหว่างบุคคล ระดับองค์การและระดับสังคม รวมถึงได้คุณลักษณะผู้ทำงานเพื่อสังคมที่ทำให้งานเป็นไปตามเป้าหมายที่เรียกว่า “PMES” (พีมส์) ที่สร้างแรงบันดาลใจ แรงจูงใจในการทำงาน ความพยายามมุ่งมั่นและการเสียสละที่ส่งผลถึงความสำเร็จในระดับบุคคลทั้งผลงานที่เกิดขึ้นจากการพัฒนาตนเอง ให้มีเป้าหมายชีวิตที่ส่งผลถึงบรรยากาศในที่ทำงานอย่างมีความสุขร่มเย็น ได้ผลลัพธ์ของงานคืนสู่สังคมที่มาจากแรงจูงใจและความสามารถแห่งตน บุคลากรจึงปรารถนาที่จะพัฒนาตนเองในการทำงานเพื่อส่วนรวมสร้างความสำเร็จและความสุขในการทำงานร่วมกัน อันนำมาซึ่งงานบันดาลใจ (Inspiration at work) เกิดความพึงพอใจ<br />รักในงานที่ทำ (Job Satisfaction) เป็นการทำงานเพื่อสังคมที่เต็มเปี่ยมไปด้วยการสร้างคุณค่าในตนเอง<br />เพื่อส่วนรวมอย่างแท้จริง</p>
จิรชฎา เชียงกูล
สิริวัฒน์ ศรีเครือดง
ทิพภา ปุณสีห์
ตระกูล พุ่มงาม
กัลยาณี ประดับพงษา
Copyright (c) 2025 สมาคมจิตวิทยาแห่งประเทศไทย
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-06-23
2025-06-23
23 1
89
102
-
แนวทางการพัฒนาทักษะการเรียนรู้ทางอารมณ์และสังคม เพื่อป้องกัน ปัญหาพฤติกรรมใช้ความรุนแรงในวัยรุ่น
https://so07.tci-thaijo.org/index.php/JPsychol/article/view/6823
<p>วัยรุ่นเป็นช่วงรอยต่อระหว่างวัยเด็กและวัยผู้ใหญ่ จึงมีการเปลี่ยนแปลงของพัฒนาการที่สำคัญในหลายด้าน โดยสิ่งแวดล้อมรอบตัวจะมีบทบาทสำคัญอย่างมากต่อการหล่อหลอมพฤติกรรม กล่าวคือ หากวัยรุ่นอยู่ในสภาพแวดล้อมที่ไม่เหมาะสม อาจมีความเสี่ยงต่อปัญหาพฤติกรรมใช้ความรุนแรงได้ ซึ่งจากการศึกษาที่ผ่านมา พบว่า ภูมิหลังของวัยรุ่นที่มีปัญหาพฤติกรรมใช้ความรุนแรงส่วนใหญ่มาจากสภาพแวดล้อมที่ไม่เอื้อำนวยให้เกิดการพัฒนาและเรียนรู้ในทิศทางที่เหมาะสม</p> <p>ปัญหาพฤติกรรมใช้ความรุนแรงของวัยรุ่นมีหลายรูปแบบ ซึ่งปัญหาดังกล่าวมีสาเหตุมาจากทั้งปัจจัยภายในและภายนอกที่มีความเชื่อมโยงกันอย่างซับซ้อน ดังนั้น การจัดการกับปัญหานี้จึงต้องจำเป็นต้องพิจารณาทุกปัจจัยร่วมกันอย่างรอบคอบ ซึ่งจากการศึกษาที่ผ่านมา พบว่า การส่งเสริมทักษะการเรียนรู้ทางอารมณ์<br />และสังคมเป็นแนวทางในการป้องกันปัญหาพฤติกรรมใช้ความรุนแรงของวัยรุ่นได้ สามารถทำได้หลากหลายรูปแบบ และนำไปใช้ได้อย่างครอบคลุมทุกบริบทที่เกี่ยวข้อง ซึ่งนับได้ว่าเป็นแนวทางที่มีประสิทธิภาพในการนำมาใช้ป้องกันปัญหาพฤติกรรมใช้ความรุนแรงของวัยรุ่น</p> <p>ดังนั้น บทความนี้จึงต้องการนำเสนอแนวทางการพัฒนาทักษะการเรียนรู้ทางอารมณ์และสังคม <br />เพื่อป้องกันปัญหาพฤติกรรมใช้ความรุนแรงในวัยรุ่น โดยครอบคลุมเนื้อหาที่สำคัญ ได้แก่ ลักษณะสำคัญ<br />ตามพัฒนาการของวัยรุ่น ลักษณะและสาเหตุของพฤติกรรมใช้ความรุนแรงของวัยรุ่น แนวทางการจัดการปัญหาพฤติกรรมใช้ความรุนแรงของวัยรุ่น คุณลักษณะของการเรียนรู้ทางอารมณ์และสังคมของวัยรุ่นและแนวทางการพัฒนา เพื่อเป็นแนวทางในการให้ความช่วยเหลือและสนับสนุนให้วัยรุ่นมีทักษะที่จะเป็นประโยชน์ต่อการนำไปใช้จัดการกับปัญหาพฤติกรรมที่อาจจะเกิดขึ้นได้อย่างเหมาะสม</p>
รังสิรัศม์ วงศ์อุปราช
Copyright (c) 2025 สมาคมจิตวิทยาแห่งประเทศไทย
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-06-23
2025-06-23
23 1
73
88
-
ความรู้สึกเห็นอกเห็นใจผู้อื่นกับพฤติกรรมการรังแกกันของเด็กและวัยรุ่น
https://so07.tci-thaijo.org/index.php/JPsychol/article/view/6999
<p>เมื่อกล่าวถึงปัญหาพฤติกรรมที่พบบ่อยของเด็กวัยเรียน พฤติกรรมการรังแกกันถือเป็นปัญหาที่สำคัญระดับต้น ๆ ที่พบเจอได้ในทุกยุคทุกสมัย ยิ่งในปัจจุบันเทคโนโลยีและโซเชียลมีเดียได้มีบทบาทและอิทธิพลกับ<br />การใช้ชีวิตของเด็กและวัยรุ่นในยุคนี้เป็นอย่างมาก ยิ่งส่งผลทำให้พฤติกรรมการรังแกกันของเด็กและวัยรุ่นรุนแรง แผ่ขยายไปในวงกว้างมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการรังแกด้านร่างกาย การรังแกด้านวาจา การรังแก<br />ทางสังคม รวมถึง การรังแกกันทางไซเบอร์ พฤติกรรมการรังแกกันก่อให้เกิดผลกระทบทั้งต่อตัวเด็ก วัยรุ่น<br />ผู้รังแก และผู้ถูกรังแก รวมถึงเด็กและวัยรุ่นหรือกลุ่มบุคคลอื่นที่เห็นเหตุการณ์ ทั้งปัญหาสุขภาพร่างกาย <br />ปัญหาสุขภาพจิต และปัญหาพฤติกรรม ซึ่งปัญหาต่าง ๆ เหล่านี้อาจมีผลกระทบต่อเนื่องในระยะยาว</p> <p>ความรู้สึกเห็นอกเห็นใจผู้อื่น ถือเป็นปัจจัยที่สำคัญปัจจัยหนึ่งมีผลทำให้การรังแกกันลดลง ดังนั้น บทความนี้ถูกเขียนขึ้นมาเพื่อให้ผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องได้เข้าใจถึงความหมายของความรู้สึกเห็นอกเห็นใจผู้อื่น วิธีการที่สามารถนำไปใช้ เพื่อส่งเสริมความรู้สึกดังกล่าวให้เกิดขึ้นในเด็กและวัยรุ่น ซึ่งผู้เขียนเชื่อว่าเมื่อไร<br />ก็ตามที่เด็กและวัยรุ่นมีความรู้สึกเห็นอกเห็นใจผู้อื่น เขาก็จะปฏิบัติกับผู้อื่นด้วยความเคารพในความเป็นมนุษย์ที่เท่าเทียมของกันและกันมากขึ้น ซึ่งจะช่วยป้องกันไม่ให้เกิดผู้รังแก หรือผู้ถูกรังแกต่อไปในอนาคต</p>
สุภาวดี เจริญวานิช
ปรียาภรณ์ ประยงค์กุล
Copyright (c) 2025 สมาคมจิตวิทยาแห่งประเทศไทย
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-06-23
2025-06-23
23 1
103
125
-
การศึกษาความตระหนักรู้เกี่ยวกับความเข้าอกเข้าใจผู้อื่นในการทำงานของ พนักงาน บริษัท อสมท จำกัด (มหาชน)
https://so07.tci-thaijo.org/index.php/JPsychol/article/view/6936
<p>การวิจัยครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาความตระหนักรู้เกี่ยวกับความเข้าอกเข้าใจผู้อื่นในการทำงานของผู้บริหารและพนักงาน บริษัท อสมท จำกัด (มหาชน) รวมถึงข้อเสนอแนะแนวทางพัฒนาความเข้าอกเข้าใจผู้อื่นในการทำงานของผู้บริหาร บริษัท อสมท จำกัด (มหาชน) กลุ่มตัวอย่าง เป็นผู้บริหารและพนักงาน จำนวน 16 คน (ผู้บริหาร 6 คน และพนักงานระดับปฏิบัติการ 10 คน) เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ <br />การสัมภาษณ์เชิงลึกด้วยคำถามปลายเปิด เกี่ยวกับความเข้าอกเข้าใจผู้อื่นในการทำงาน เพื่อให้กลุ่มตัวอย่างสามารถคิดวิเคราะห์ เรียบเรียงคำตอบออกมาได้อย่างครบถ้วน และตรงต่อวัตถุประสงค์การศึกษา ซึ่งจากการวิจัย พบว่ากลุ่มตัวอย่างมีความตระหนักรู้เกี่ยวกับความเข้าอกเข้าใจที่มีต่อเพื่อนร่วมงานภายในองค์กร เนื่องจากมีองค์ประกอบของความเข้าอกเข้าใจผู้อื่น ครบทั้ง 5 องค์ประกอบ ตามแนวคิดของ Goleman (1998) ได้แก่ <br />การทำความเข้าใจผู้อื่น การพัฒนาส่งเสริมผู้อื่น การวางแผนบริการ การใช้ประโยชน์จากความหลากหลาย และการตระหนักรู้สถานการณ์กลุ่ม ในส่วนของแนวทางพัฒนาความเข้าอกเข้าใจผู้อื่นจากกลุ่มตัวอย่างผู้บริหาร เสนอไว้ 2 แนวทาง คือ การกำหนดเป้าหมายร่วมกันเพื่อพัฒนาการทำงานเป็นทีม และการทำกิจกรรมเพื่อพัฒนาความเข้าอกเข้าใจ ที่ช่วยให้เข้าใจและรู้สึกถึงอารมณ์ของผู้อื่นได้มากขึ้น พัฒนาความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลในการอยู่ร่วมกันในสังคมการทำงาน และเสริมประสิทธิภาพที่ดีภายในองค์กรได้</p>
ชลันดา ทองธัญญะ
ณัชชามน เปรมปลื้ม
Copyright (c) 2025 สมาคมจิตวิทยาแห่งประเทศไทย
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-06-23
2025-06-23
23 1
57
72
-
สุขภาวะทางจิตของบุคลากรทางการแพทย์ อำเภออมก๋อย จังหวัดเชียงใหม่
https://so07.tci-thaijo.org/index.php/JPsychol/article/view/6975
<p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาสุขภาวะทางจิตของบุคลากรทางการแพทย์ในอำเภออมก๋อย จังหวัดเชียงใหม่ ใช้วิธีวิจัยแบบผสานวิธีเชิงอธิบายเป็นลำดับ การวิจัยเชิงปริมาณสำรวจระดับสุขภาวะทางจิตตามกรอบแนวคิดของ Ryff ในบุคลากรทางการแพทย์ 86 คน ตามด้วยการวิจัยเชิงคุณภาพผ่านการสนทนากลุ่มบุคลากร จำนวน 8 คน เก็บข้อมูลระหว่างเดือนเมษายน 2565 - มิถุนายน 2566 วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติเชิงพรรณนาและการวิเคราะห์เชิงเนื้อหา ผลการวิจัยพบว่า สุขภาวะทางจิตโดยรวมอยู่ในระดับค่อนข้างสูง <br />(M = 4.04, SD = .44) เมื่อพิจารณารายละด้าน พบว่าด้านเป้าหมายในชีวิตมีค่าเฉลี่ยสูงสุด (M = 4.19, <br />SD = .44) รองลงมาคือด้านความงอกงามในตนเอง (M = 4.11, SD = .49) และด้านการยอมรับตนเอง<br />มีค่าเฉลี่ยต่ำสุด (M = 3.96, SD = .52) ข้อมูลเชิงคุณภาพอธิบายว่า บุคลากรส่วนใหญ่สามารถปรับตัวและจัดการความท้าทายในการทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยอาศัยกลยุทธ์การพัฒนาทักษะที่หลากหลาย <br />การจัดลำดับความสำคัญของงาน และการมีเครือข่ายสนับสนุนทางสังคมที่ดี</p>
ณัฏฐินี ศิริสวัสดิ์
ณฐวัฒน์ ล่องทอง
Copyright (c) 2025 สมาคมจิตวิทยาแห่งประเทศไทย
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-06-23
2025-06-23
23 1
35
56
-
อิทธิพลของความเครียด ความสามารถในการเผชิญปัญหาและฟันฝ่าอุปสรรค และพฤติกรรมการติดสื่อสังคมออนไลน์ที่ส่งผลต่อคุณภาพการนอนหลับของนิสิตระดับปริญญาตรี มหาวิทยาศาสตร์ บางเขน
https://so07.tci-thaijo.org/index.php/JPsychol/article/view/6224
<p>การนอนหลับอย่างมีคุณภาพเป็นปัจจัยสำคัญต่อสุขภาพ โดยเฉพาะนิสิตปริญญาตรีที่มักเผชิญกับความเครียดจากการเรียนและกิจกรรมต่าง ๆ ที่สามารถกระทบต่อคุณภาพการนอนหลับ โดยปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่อคุณภาพการนอนหลับมีทั้งปัจจัยภายในและภายนอก เช่น ความเครียด สภาพแวดล้อมขณะ<br />นอนหลับ กิจกรรมระหว่างวัน ฯลฯ การมีคุณภาพการนอนหลับแย่ สามารถส่งผลกระทบต่อทักษะความจำ อารมณ์ไม่มั่นคง กระทบต่อทักษะการสร้างสัมพันธภาพในสังคม และปัญหาสุขภาพกาย เช่น ความเหนื่อยล้า สุขภาพหัวใจและภูมิคุ้มกันต่ำ เป็นต้น ซึ่งมีผลต่อการดำเนินกิจกรรมในชีวิตประจำวันของกลุ่มนิสิตและบุคคลทั่วไป การวิจัยนี้จึงมีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาอิทธิพลของความเครียด ความสามารถในการเผชิญปัญหาและ<br />ฟันฝ่าอุปสรรค และพฤติกรรมการติดสื่อสังคมออนไลน์ที่มีต่อคุณภาพการนอนหลับในนิสิตระดับปริญญาตรี มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตบางเขน กลุ่มตัวอย่างเป็นนิสิตระดับปริญญาตรี มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตบางเขน ที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป จำนวน 176 คน ใช้การเลือกกลุ่มตัวอย่างแบบบังเอิญ เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ 1) แบบสอบถามปัจจัยส่วนบุคคล 2) แบบประเมินความเครียด 3) แบบวัดความสามารถในการเผชิญปัญหาและฟันฝ่าอุปสรรค 4) แบบสอบถามการติดสื่อสังคมออนไลน์ และ 5) แบบประเมินคุณภาพการนอนหลับ ฉบับภาษาไทย เครื่องมือวิจัยมีค่าความเชื่อมั่นอยู่ระหว่าง .883 -.964 เก็บรวบรวมข้อมูลด้วยแบบสอบถามออฟไลน์ให้ผู้ตอบด้วยตนเอง วิเคราะห์ข้อมูลโดยการวิเคราะห์การถดถอยเชิงเส้นพหุคูณ (Multiple Linear Regression) แบบ Enter เพื่อทดสอบสมมุติฐานการวิจัย ผลพบว่า ความเครียดมีอิทธิพลทางบวกต่อคุณภาพการนอนหลับ (β = .366, p < .001) ส่วนความสามารถในการเผชิญปัญหาฯ<em> </em>(β = -.514, p < .001) และพฤติกรรมการติดสื่อสังคมออนไลน์ (β = -.204, p = .006) มีอิทธิพลทางลบต่อคุณภาพ<br />การนอนหลับ โดยมีค่าสัมประสิทธิ์การตัดสินใจ<em> (</em>R²) อยู่ที่<em> .</em>503<em>.</em> สามารถสร้างเป็นสมการทำนายในรูปคะแนนมาตรฐานได้คือ <em>Ẑ</em> = .37 (ความเครียด) – .51 (ความสามารถในการเผชิญกับความยากลำบาก) - .20 (พฤติกรรมการติดสื่อสังคมออนไลน์) ตัวแปรทำนายสามารถทำนายคุณภาพการนอนหลับได้ 50.3%</p> <p>ผลที่ได้เป็นไปตามสมมติฐานในส่วนของตัวแปรความเครียดและตัวแปรความสามารถในการเผชิญปัญหาฯ (AQ) ในขณะที่ตัวแปรพฤติกรรมการติดสื่อสังคมออนไลน์ ไม่เป็นไปตามสมมติฐานที่ตั้งไว้ จึงควรเพิ่มการศึกษาอิทธิพลและความสัมพันธ์ระหว่างพฤติกรรมการติดสื่อสังคมออนไลน์กับตัวแปรอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับคุณภาพการนอนหลับเพิ่มเติม เพื่อทำความเข้าใจความสัมพันธ์ดังกล่าวในงานวิจัยครั้งต่อไป</p>
สวัสดิชัย หงษ์สา
สาริณีย์ อัครกุล
ธนภัทร ขำท้วม
ประพิณพร ชัยมงคลมณี
นรุตม์ พรประสิทธิ์
ธนพล เลี้ยงสุขสันต์
ศิรินภา จามรมาน
Copyright (c) 2025 สมาคมจิตวิทยาแห่งประเทศไทย
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-06-23
2025-06-23
23 1
1
22
-
อิทธิพลของการเห็นคุณค่าในตนเอง การรู้ซึ้งถึงความรู้สึกและการรับรู้ความนิรนาม ส่งผลต่อพฤติกรรมการกลั่นแกล้งบนสื่อสังคมออนไลน์
https://so07.tci-thaijo.org/index.php/JPsychol/article/view/6228
<p>สื่อสังคมออนไลน์เป็นอีกหนึ่งสังคมที่นิยมใช้ของผู้คนในปัจจุบัน เป็นพื้นที่ที่ใช้ในการแลกเปลี่ยนความคิด ข้อมูลข่าวสาร และสร้างความคิดสร้างสรรค์ แต่อีกด้านปัญหาที่เกิดจากการใช้สื่อสังคมออนไลน์ที่มีผลกระทบเชิงลบต่อบุคคลที่ใช้สื่อสังคมออนไลน์มีอย่างแพร่หลายเช่นกัน ซึ่งปัญหาที่เกิดขึ้น คือ พฤติกรรม<br />การกลั่นแกล้งบนสื่อสังคมออนไลน์ ในการศึกษาครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อศึกษาอิทธิพลของการเห็นคุณค่าตนเอง การรู้ซึ้งถึงความรู้สึกและการรับรู้ความนิรนามต่อพฤติกรรมการกลั่นแกล้งทางออนไลน์ กลุ่มตัวอย่าง คือ นิสิตระดับปริญญาตรีมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ บางเขน จำนวน 181 คน โดยเก็บข้อมูลด้วยแบบสอบถามทางออนไลน์ มีค่าความเชื่อมั่นอยู่ระหว่าง .91 - .93 ผลวิจัยพบว่า การเห็นคุณค่าในตนเอง<br />ไม่มีอิทธิพลต่อพฤติกรรมการกลั่นแกล้งบนสื่อสังคมออนไลน์ (ค่า β = -.01, p = .870) การรู้ซึ้งถึงความรู้สึก<br />มีอิทธิพลทางลบต่อพฤติกรรมการกลั่นแกล้งบนสื่อสังคมออนไลน์ (ค่า β = -.59, p < .001) การรับรู้<br />ความนิรนามมีอิทธิพลทางบวกพฤติกรรมการกลั่นแกล้งบนสื่อสังคมออนไลน์ (ค่า β = .22, p < .001) <br />จากผลการศึกษาในครั้งนี้ สามารถนำมาปรับใช้เป็นข้อมูลเพื่อลดพฤติกรรมการกลั่นแกล้งบนสื่อสังคมออนไลน์ในนิสิตระดับปริญญาตรีต่อไป</p>
อพัชชา ชัยรุ่งเรือง
มนฑิตา อิ่มขำ
สิริกร นามณีชม
นรุตม์ พรประสิทธิ์
ศรสลัก นิ่มบุตร
สำเนียง เพชรจอม
Copyright (c) 2025 สมาคมจิตวิทยาแห่งประเทศไทย
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-06-23
2025-06-23
23 1
23
34