วารสารจิตวิทยาแห่งประเทศไทย https://so07.tci-thaijo.org/index.php/JPsychol <p><strong>เกี่ยวกับวารสาร</strong></p> <p>วารสารจิตวิทยาแห่งประเทศไทย คลอบคลุมเนื้อหาที่เกี่ยวข้องกับจิตวิทยา ในสาชาวิชา จิตวิทยาทั่วไป จิตวิทยาการทดลอง จิตวิทยาการศึกษา จิตวิทยาการแนะแนว จิตวิทยาการปรึกษา จิตวิทยาพัฒนาการ จิตวิทยาอุตสาหกรรมและองค์การ จิตวิทยาชุมชน และ พุทธจิตวิทยา เป็นต้น โดยรับบทความวิจัย (Research articles) บทความวิชาการ (Academic articles) บทความปริทัศน์ (Review articles) และ บทวิจารณ์หนังสือ (Book review) ภายใต้เงื่อนไขที่ว่าจะต้องไม่เคยตีพิมพ์เผยแพร่ในวารสาร เอกสารการประชุม หรือสิ่งพิมพ์ใดมาก่อน (ยกเว้นรายงานการวิจัยและวิทยานิพนธ์/สารนิพนธ์) และไม่อยู่ในระหว่างการพิจารณารอตีพิมพ์ในวารสารอื่น</p> <p>โดยวารสารจิตวิทยาแห่งประเทศไทย ปฏิบัติตามเกณฑ์มาตรฐานวารสารวิชาการกลุ่มสังคมศาสตร์และมนุษย์ศาสตร์ที่ สกอ. และ สกว. กำหนด โดยกองบรรณาธิการประกอบด้วย ศาสตราจารย์ และผู้ทรงคุณวุฒิระดับปริญญาเอกที่มีผลงานวิจัยอย่างต่อเนื่อง มาจากสถาบันภายนอกเป็นส่วนใหญ่ และมาจากสถาบันภายในส่วนหนึ่งและมีผู้ทรงคุณวุฒิในสาขาวิชาที่เกี่ยวข้อง (Peer Review) ซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญที่มีผลงานวิจัยอย่างต่อเนื่องทำหน้าที่ในการพิจารณากลั่นกรองบทความ จำนวน 3 คน โดยผู้ทรงคุณวุฒิและผู้เขียนจะไม่ทราบข้อมูลของกันและกัน (Double-blind peer review) และเป็นวารสารที่ออกตรงตามเวลาอย่างต่อเนื่อง ปีละ 2 ฉบับ ตามปีปฏิทิน คือ ฉบับที่ 1 เดือนมกราคม – มิถุนายน ฉบับที่ 2 เดือน กรกฎาคม - ธันวาคม</p> th-TH <p>บทความที่ได้รับการตีพิมพ์เป็นลิขสิทธิ์ของสมาคมจิตวิทยาแห่งประเทศไทย</p> <p>&nbsp;</p> <p>ข้อความที่ปรากฎในบทความแต่ละเรื่องในวารสารวิชาการเล่มนี้เป็นความคิดเห็นส่วนตัวของผู้เขียนแต่ละท่านไม่เกี่ยวข้องกับสมาคมจิตวิทยาแห่งประเทศไทย แต่อย่างใด ความรับผิดชอบองค์ประกอบทั้งหมดของบทความแต่ละเรื่องเป็นของผู้เขียนแต่ละท่าน หากมีความผิดพลาดใด ๆ ผู้เขียนแต่ละท่านจะรับผิดชอบบทความของตนเองแต่ผู้เดียว</p> atuicomepee@gmail.com (ศาสตราจารย์ ดร. อรัญญา ตุ้ยคำภีร์) tpa.thailand@hotmail.com (ดร. กวีวัจน์ จักสมศักดิ์) Mon, 01 Dec 2025 17:21:53 +0700 OJS 3.3.0.8 http://blogs.law.harvard.edu/tech/rss 60 การพัฒนากิจกรรมทดสอบความร่วมรู้สึกโดยใช้ ความสามารถในการเข้าใจความคิดของผู้อื่นสำหรับวัยรุ่น https://so07.tci-thaijo.org/index.php/JPsychol/article/view/7353 <p> การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนากิจกรรมทดสอบความร่วมรู้สึกโดยใช้ความสามารถในการเข้าใจความคิดของผู้อื่นสำหรับวัยรุ่นที่มีอายุระหว่าง 15 ถึง 19 ปี กิจกรรมทดสอบดำเนินการผ่านหน้าจอคอมพิวเตอร์<br />ที่พัฒนาด้วยโปรแกรม SuperLab 4.5 โดยประยุกต์รูปแบบกิจกรรมทดสอบที่ใช้ภาพการแสดงออกทางสีหน้า<br />จากฐานข้อมูล The Averaged Karolinska Directed Emotional Faces Database (AKDEF) เป็นภาพสิ่งเร้า รวมทั้งสิ้น 56 สิ่งเร้า ซึ่งผู้ทดสอบจะต้องพิจารณาการแสดงออกทางสีหน้าที่ปรากฏผ่านหน้าจอคอมพิวเตอร์<br />ในเวลาที่จำกัดและระบุประเภทของการแสดงอารมณ์ทางสีหน้าของสิ่งเร้า โดยมีเกณฑ์การให้คะแนนความถูกต้องในการตอบสนองและเวลาในการตอบสนอง ผลการตรวจสอบคุณภาพของกิจกรรมทดสอบผ่านรายการประเมินโดยผู้เชี่ยวชาญจำนวน 5 ราย พบว่า มีค่าดัชนีความตรงเชิงเนื้อหารายข้อ (I-CVI) เท่ากับ 1.00 และมีค่าดัชนี<br />ความตรงเนื้อหาทั้งฉบับ (S-CVI) เท่ากับ 1.00 และเมื่อนำไปศึกษานำร่องกับกลุ่มตัวอย่าง จำนวน 30 คน เพื่อหาค่าความเที่ยงด้วยวิธีสัมประสิทธิ์แอลฟาของครอนบาค พบว่า มีค่าสัมประสิทธิ์แอลฟาของครอนบาค เท่ากับ .85 (a = .85)</p> พีรพณธ์ เทพประสิทธิ์, กนก พานทอง, พีร วงศ์อุปราช ลิขสิทธิ์ (c) 2025 สมาคมจิตวิทยาแห่งประเทศไทย https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so07.tci-thaijo.org/index.php/JPsychol/article/view/7353 Mon, 01 Dec 2025 00:00:00 +0700 เยาวชนตื่นรู้ : ปลุกพลังการรับรู้คุณค่าตนเองสู่การเติบโตอย่างยั่งยืน https://so07.tci-thaijo.org/index.php/JPsychol/article/view/7477 <p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาสภาพปัญหาและความต้องการในการพัฒนาการรับรู้คุณค่าตนเองของเยาวชน 2) พัฒนากิจกรรมเสริมสร้างการรับรู้คุณค่าตนเองของเยาวชน และ 3) ประเมินผลการใช้กิจกรรมการเสริมสร้างการรับรู้คุณค่าตนเองของเยาวชน งานวิจัยนี้เป็นส่วนหนึ่งของโครงการวิจัยเรื่อง รูปแบบการพัฒนาศักยภาพทางใจเพื่อสร้างพลังการตระหนักรู้ตนเองของเยาวชนอย่างยั่งยืน โดยได้รับทุนสนับสนุนจาก กองทุนส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม ปีงบประมาณ 2568 ใช้ระเบียบวิธีวิจัยเชิงปฏิบัติการแบบมีส่วนร่วม โดยเก็บข้อมูลจากกลุ่มตัวอย่างเยาวชนระดับมัธยมศึกษาจากโรงเรียนบ้านห้วยตอง จังหวัดเชียงใหม่ จำนวน 32 คน เครื่องมือในการวิจัย ได้แก่ 1) แบบสนทนากลุ่ม มีค่าดัชนีความสอดคล้อง อยู่ระหว่าง 0.80-1.00 2) แบบวัดการรับรู้คุณค่าตนเองของเยาวชน มีค่าสัมประสิทธิ์แอลฟาของครอนบาค 0.91 มีค่าความเชื่อมั่นรายด้านอยู่ระหว่าง 0.83-0.93 3) กิจกรรมการเสริมสร้างการรับรู้คุณค่าตนเองของเยาวชน และ 4) แบบบันทึกการสังเกตพฤติกรรม วิเคราะห์ข้อมูลด้วยการวิเคราะห์เนื้อหา สถิติพื้นฐาน และการทดสอบค่าที</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1) เยาวชนมีปัญหาด้านความเชื่อมั่นตนเอง การรับรู้คุณค่าในตนเอง ความสัมพันธ์กับเพื่อนและครอบครัว และการมีเป้าหมายในชีวิต ซึ่งเป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาตนเองอย่างยั่งยืน <br />2) กิจกรรมที่พัฒนาขึ้นประกอบด้วย 9 กิจกรรมใช้เวลาดำเนินการ 1 วัน โดยมีกระบวนการจัดกิจกรรมเยาวชนที่เน้นการเรียนรู้ผ่านประสบการณ์ (Experiential Learning) และการลงมือปฏิบัติ (Active Learning) <br />เพื่อส่งเสริมศักยภาพ 5 ด้าน ได้แก่ การเข้าใจตนเองตามความเป็นจริง การรับรู้คุณค่าของตนเอง การสร้างความสัมพันธ์เชิงบวกกับผู้อื่น การมีสติอยู่กับปัจจุบัน การมีจริยธรรมและคุณธรรมเพื่อสังคม 3) ผลการประเมินพบว่า หลังการเข้าร่วมกิจกรรมที่พัฒนาขึ้น เยาวชนมีคะแนนการรับรู้คุณค่าตนเองสูงกว่าก่อนเข้าร่วมกิจกรรมอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 โดยเฉพาะด้านการเข้าใจตนเองตามความเป็นจริง การรับรู้คุณค่าในตนเอง และการมีจริยธรรมและคุณธรรม นอกจากนี้ยังพบการเปลี่ยนแปลงเชิงคุณภาพในด้านความสามารถในการกำหนดเป้าหมายชีวิต การเห็นคุณค่าของการมีส่วนร่วมในชุมชน และความตระหนักถึงศักยภาพของตนในการสร้างการเปลี่ยนแปลงเชิงบวก ผลการวิจัยนี้สามารถนำไปประยุกต์ใช้ในการพัฒนา<br />การรับรู้คุณค่าตนเองของเยาวชนในบริบทสถานศึกษา ชุมชน และสถาบันพัฒนาเยาวชน เป็นแนวทางในการออกแบบกิจกรรมเสริมสร้างทักษะชีวิตที่เหมาะสม และเป็นต้นแบบสำหรับการสร้างระบบนิเวศที่สนับสนุนการเติบโตอย่างยั่งยืนของเยาวชน ทั้งในมิติของการพัฒนาตนเอง การอยู่ร่วมกับผู้อื่น และการมีส่วนร่วมในการพัฒนาสังคมอย่างรับผิดชอบ</p> พรทิพย์ เกศตระกูล, พระมหานันทวิทย์ แก้วบุตรดี, นรินทร์ชิตา ศีลประชาวงศ์ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 สมาคมจิตวิทยาแห่งประเทศไทย https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so07.tci-thaijo.org/index.php/JPsychol/article/view/7477 Mon, 01 Dec 2025 00:00:00 +0700 การศึกษาทุนทางจิตวิทยาที่ส่งผลต่อการปฏิบัติงานที่มีความหมายของนักกายภาพบำบัดในโรงพยาบาลเอกชน https://so07.tci-thaijo.org/index.php/JPsychol/article/view/8066 <p>การวิจัยนี้เป็นการวิจัยเชิงพรรณนา มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาทุนทางจิตวิทยาที่ส่งผลต่อการปฏิบัติงาน<br />ที่มีความหมายของนักกายภาพบำบัดในโรงพยาบาลเอกชน กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้เป็นนักกายภาพบำบัดที่ปฏิบัติงานในโรงพยาบาลเอกชนจำนวน 134 คนที่ได้จากการคัดเลือกแบบเจาะจงจากประชากรในเขตกรุงเทพมหานคร เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ 1) แบบวัดทุนทางจิตวิทยามีค่าดัชนีความสอดคล้อง (IOC) <br />อยู่ระหว่าง .66 – 1.00 มีค่าอำนาจจำแนกรายข้ออยู่ระหว่าง .515 - .823 มีค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ของแอลฟาของครอนบาคเท่ากับ .928 และ 2) แบบวัดการปฏิบัติงานที่มีความหมายมีค่าดัชนีความสอดคล้อง (IOC) <br />อยู่ระหว่าง .66 - 1.00 มีค่าอำนาจจำแนกรายข้อ อยู่ระหว่าง .242 - .865 มีค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ของแอลฟาของครอนบาคเท่ากับ .961 สถิติที่ใช้ คือ ค่าเฉลี่ย ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ของ<br />เพียร์สัน การวิเคราะห์ความแปรปรวนแบบทางเดียวและการวิเคราะห์การถดถอยพหุคูณ</p> <p>ผลการวิจัยสรุปได้ว่า ทุนทางจิตวิทยามีความสัมพันธ์ทางบวกกับการปฏิบัติงานที่มีความหมายของ<br />นักกายภาพบำบัดในโรงพยาบาลเอกชนอย่างมีนัยสำคัญที่ระดับ .01 โดยมีค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ เท่ากับ .759 และ ตัวแปรพยากรณ์ทุนทางจิตวิทยา ด้านความเชื่อมั่นในความสามารถของตนเอง ด้านความหยุ่นตัว และ<br />ด้านความหวัง ส่งผลทางบวกต่อการปฏิบัติงานที่มีความหมายอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01, .01 และ .05 ตามลำดับ ส่วนทุนทางจิตวิทยาด้านการมองโลกในแง่ดีส่งผลทางลบต่อการปฏิบัติงานที่มีความหมายอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 โดยตัวแปรทุนทางจิตวิทยาดังกล่าว สามารถร่วมกันอธิบายความแปรปรวนของ<br />การปฏิบัติงานที่มีความหมายของนักกายภาพบำบัดได้ร้อยละ 80.80 (R² = .808, p &lt; .001)</p> ดาวรุ่ง แสนสุวรรณดี, ผ่องพรรณ เกิดพิทักษ์ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 สมาคมจิตวิทยาแห่งประเทศไทย https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so07.tci-thaijo.org/index.php/JPsychol/article/view/8066 Mon, 01 Dec 2025 00:00:00 +0700 การศึกษาความเป็นไปได้ในการเปิดหลักสูตรวิทยาศาสตรบัณฑิต สาขาวิชาจิตวิทยาอุตสาหกรรมและองค์การดิจิทัล คณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลรัตนโกสินทร์ https://so07.tci-thaijo.org/index.php/JPsychol/article/view/6989 <p>การวิจัยเชิงสำรวจนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาจุดมุ่งหมายและความต้องการศึกษาต่อในหลักสูตรของกลุ่มเป้าหมายในอนาคต 2) ศึกษาความคิดเห็นและความต้องการใช้บัณฑิตในหลักสูตรของกลุ่มผู้ใช้บัณฑิต และ 3) ศึกษาแนวทางการเปิดหลักสูตรจากข้อคิดเห็นของผู้เชี่ยวชาญทางด้านจิตวิทยาอุตสาหกรรมและองค์การ กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการศึกษาครั้งนี้ เป็นนักเรียนที่กำลังเรียนในระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนปลาย จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ จำนวน 100 คน โดยใช้ 1) แบบสอบถามศึกษาความต้องการศึกษาต่อของกลุ่มผู้เรียนในอนาคต มีค่าสัมประสิทธิ์แอลฟาของครอนบาค เท่ากับ .88 เก็บรวบรวมข้อมูลด้วยแบบสอบถามออนไลน์ และ 2) การสัมภาษณ์เชิงลึก วิเคราะห์ข้อมูลแบบผสานวิธี</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1) ความต้องการศึกษาต่อในหลักสูตรของกลุ่มเป้าหมายในอนาคต ส่วนใหญ่<br />ให้ความสนใจหลักสูตรฯ ในระดับสูง คิดเป็นร้อยละ 72.73 และต้องการรูปแบบการเรียนแบบผสมผสาน <br />คิดเป็นร้อยละ 58.8 โดยเนื้อหาที่ต้องการศึกษามากที่สุดคือ การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ คิดเป็นร้อยละ 62.7 และการใช้เทคโนโลยีดิจิทัล คิดเป็นร้อยละ 52.9 2) ความคิดเห็นและความต้องการใช้บัณฑิตในหลักสูตร<br />ของกลุ่มผู้ใช้บัณฑิต พบว่า ร้อยละ 75 สนับสนุนการเปิดหลักสูตร และร้อยละ 90 เห็นว่าหลักสูตรนี้<br />มีความสำคัญต่อองค์กรในยุคดิจิทัล โดยเสนอให้มีเนื้อหาด้านการบริหารทรัพยากรมนุษย์ด้วยเทคโนโลยี <br />คิดเป็นร้อยละ 65 และจิตวิทยาแรงงาน คิดเป็นร้อยละ 65 และ 3) แนวทางการเปิดหลักสูตรฯ จากข้อคิดเห็นของผู้เชี่ยวชาญทางด้านจิตวิทยาอุตสาหกรรมและองค์การ พบว่าหลักสูตรนี้มีความสำคัญต่อภาคอุตสาหกรรม เนื่องจากช่วยพัฒนาบุคลากรให้มีความเข้าใจเทคโนโลยีและพฤติกรรมมนุษย์ เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน และส่งเสริมการปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลง ข้อเสนอแนะจากการวิจัยระบุว่าหลักสูตรควรมุ่งเน้น<br />การเรียนรู้ที่สามารถนำไปปฏิบัติจริง ควรมีคณาจารย์ที่มีความเชี่ยวชาญทั้งในประเทศและต่างประเทศ และต้องปรับปรุงเนื้อหาให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีและองค์การ</p> อภิษฎาข์ ศรีเครือดง, จารุวรรณ เม่งก่วง, จักรวาล ไชยพัฒน์, ณญาน นลินขวัญ, นพลักษณ์ หนักแน่น ลิขสิทธิ์ (c) 2025 สมาคมจิตวิทยาแห่งประเทศไทย https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so07.tci-thaijo.org/index.php/JPsychol/article/view/6989 Mon, 01 Dec 2025 00:00:00 +0700 การพัฒนาโปรแกรมฝึกทักษะการเป็นผู้ให้การปรึกษา เพื่อเสริมสร้างการรับรู้ความสามารถของนักศึกษาระดับปริญญาตรี ชั้นปีที่ 1 https://so07.tci-thaijo.org/index.php/JPsychol/article/view/7330 <p>การวิจัยครั้งนี้ เป็นการพัฒนาโปรแกรมฝึกทักษะการเป็นผู้ให้การปรึกษา เพื่อเสริมสร้างการรับรู้ความสามารถของนักศึกษาระดับปริญญาตรี ชั้นปีที่ 1 และเพื่อศึกษาผลของโปรแกรมฝึกทักษะการเป็นผู้ให้<br />การปรึกษา เพื่อเสริมสร้างการรับรู้ความสามารถของนักศึกษาระดับปริญญาตรี ชั้นปีที่ 1 กลุ่มเป้าหมาย คือ นักศึกษาที่กำลังศึกษาอยู่ในระดับปริญญาตรี ชั้นปีที่ 1 วิทยาลัยนาฏศิลปแห่งหนึ่ง จำนวน 35 คน ที่ลงทะเบียนเรียนในรายวิชาจิตวิทยาสำหรับครู ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2567 โดยใช้การเลือกกลุ่มตัวอย่างแบบเจาะจง เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ 1) โปรแกรมฝึกทักษะการเป็นผู้ให้การปรึกษา เพื่อเสริมสร้างการรับรู้ความสามารถของนักศึกษาระดับปริญญาตรี ชั้นปีที่ 1 2) แบบประเมินการรับรู้ความสามารถของนักศึกษา 3) แบบสังเกตการฝึกทักษะการเป็นผู้ให้การปรึกษาของนักศึกษาระดับปริญญาตรี ชั้นปีที่ 1 และ 4) แบบสัมภาษณ์นักศึกษาที่เข้าร่วมโปรแกรมฝึกทักษะการเป็นผู้ให้การปรึกษา เพื่อเสริมสร้างการรับรู้ความสามารถของนักศึกษาระดับปริญญาตรี <br />ชั้นปีที่ 1 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ การวิเคราะห์คะแนนเพิ่มสัมพัทธ์ เพื่อเปรียบเทียบคะแนนก่อนและหลังการฝึกทักษะการเป็นผู้ให้การปรึกษา วิเคราะห์และแปลผลแบบสังเกตการฝึกทักษะการเป็นผู้ให้การปรึกษา และการวิเคราะห์เนื้อหา</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า นักศึกษาที่เข้าร่วมการวิจัยมีคะแนนจากแบบประเมินการรับรู้ความสามารถ<br />ในระยะหลังสูงกว่าระยะก่อนเข้าร่วมโปรแกรมฯ และส่วนใหญ่มีคะแนนจากแบบสังเกตการฝึกทักษะการเป็นผู้ให้การปรึกษาอยู่ในระดับดี นอกจากนี้การวิเคราะห์เนื้อหา พบว่า โปรแกรมฝึกทักษะการเป็นผู้ให้การปรึกษา สามารถเสริมสร้างการรับรู้ความสามารถของนักศึกษาให้เกิดขึ้นได้อย่างมีประสิทธิภาพ</p> พลอยไพลิน กมลนาวิน ลิขสิทธิ์ (c) 2025 สมาคมจิตวิทยาแห่งประเทศไทย https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so07.tci-thaijo.org/index.php/JPsychol/article/view/7330 Mon, 01 Dec 2025 00:00:00 +0700 ความสัมพันธ์ระหว่างคุณภาพชีวิตในการทำงานและความตั้งใจคงอยู่ในงานของ นักฉุกเฉินการแพทย์: บทบาทการเป็นตัวแปรส่งผ่านของ การฝังตรึงในงานและความผูกพันต่อองค์การ https://so07.tci-thaijo.org/index.php/JPsychol/article/view/7781 <p>การศึกษานี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างคุณภาพชีวิตในการทำงานและความตั้งใจคงอยู่ในงาน โดยมีการฝังตรึงในงาน และความผูกพันต่อองค์การเป็นตัวแปรส่งผ่าน โดยศึกษาจากกลุ่มตัวอย่างนักฉุกเฉินการแพทย์ในประเทศไทย จำนวน 142 คน เก็บรวบรวมข้อมูลโดยการสุ่มตามความสะดวก (Convenience Sample) ผ่านแบบสอบถามออนไลน์ เครื่องมือวิจัยประกอบด้วยแบบสอบถามคุณภาพชีวิตในการทำงาน (α =.965) การฝังตรึงในงาน (α =.950) ความผูกพันต่อองค์การ (α =.870) และความตั้งใจคงอยู่ในงาน <br />(α =.789) ผลการวิเคราะห์ข้อมูลด้วย PROCESS macro บนโปรแกรม SPSS พบว่า คุณภาพชีวิตในการทำงาน<br />มีอิทธิพลทางบวกต่อความตั้งใจคงอยู่ในงานทั้งทางตรง (b =.202, p =.047) และทางอ้อม [b =.196, 95% CI (.068 ถึง .317)] คุณภาพชีวิตในการทำงานมีอิทธิพลทางบวกต่อการฝังตรึงในงาน (b =.467, p &lt; .001) และ<br />ความผูกพันต่อองค์การ (b =.463, p &lt; .001) การฝังตรึงในงานมีอิทธิพลทางบวกต่อความตั้งใจคงอยู่ในงาน <br />(b =.375, p =.003) ในขณะที่ความผูกพันต่อองค์การไม่มีอิทธิพลต่อความตั้งใจคงอยู่ในงาน (b =.043, p =.707) การวิเคราะห์อิทธิพลส่งผ่านพบว่า คุณภาพชีวิตในการทำงานมีค่าอิทธิพลทางอ้อมต่อความตั้งใจคงอยู่ในงาน<br />ผ่านการฝังตรึงในงาน (b =.176 มีค่า 95% CI .035 ถึง .321) แต่คุณภาพชีวิตในการทำงานไม่มีค่าอิทธิพลทางอ้อมต่อความตั้งใจคงอยู่ในงานผ่านความผูกพันต่อองค์การ (b =.020 มีค่า 95% CI -.098 ถึง .134) ผลการวิจัยนี้สะท้อนให้เห็นว่า องค์การควรให้ความสำคัญกับการพัฒนาคุณภาพชีวิตในการทำงานและการส่งเสริมการฝังตรึง<br />ในงาน เพื่อเพิ่มความตั้งใจคงอยู่ในงานของนักฉุกเฉินการแพทย์ ซึ่งจะช่วยลดปัญหาการขาดแคลนบุคลากรและ<br />เพิ่มประสิทธิภาพในการให้บริการทางการแพทย์ฉุกเฉิน</p> วิรุจิ โพธิ์วิจิตร, นรุตม์ พรประสิทธิ์ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 สมาคมจิตวิทยาแห่งประเทศไทย https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so07.tci-thaijo.org/index.php/JPsychol/article/view/7781 Mon, 01 Dec 2025 00:00:00 +0700 การพัฒนาและประเมินประสิทธิภาพโปรแกรมบ่มเพาะจิตลักษณะและทักษะแบบบูรณาการ เพื่อเสริมสร้างพลังครอบครัววิถีใหม่ในเยาวชนไทย https://so07.tci-thaijo.org/index.php/JPsychol/article/view/7668 <p>ปัญหาความรุนแรงในครอบครัวเป็นประเด็นเร่งด่วนที่ส่งผลกระทบต่อสังคมไทย โดยมีสถิติเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง การพัฒนาโปรแกรมบ่มเพาะจิตลักษณะและทักษะแบบบูรณาการเพื่อเสริมสร้างพลังครอบครัววิถีใหม่จึงเป็นแนวทางสำคัญหนึ่งในการสร้างภูมิคุ้มกันให้กับเยาวชน การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างและตรวจสอบประสิทธิภาพโปรแกรมบ่มเพาะจิตลักษณะและทักษะแบบบูรณาการเพื่อพัฒนาพฤติกรรมการเสริมสร้างพลังครอบครัววิถีใหม่ และทดสอบประสิทธิผลในกลุ่มเยาวชนไทย ใช้การวิจัยเชิงทดลองแบบแฟกทอเรียล 2×2 กับกลุ่มตัวอย่างเยาวชน 320 คน แบ่งเป็น 4 กลุ่ม ๆ ละ 80 คน ได้แก่ กลุ่มที่ได้รับการบ่มเพาะทั้งจิตลักษณะและทักษะ กลุ่มที่ได้รับการบ่มเพาะจิตลักษณะ กลุ่มที่ได้รับการบ่มเพาะทักษะ และกลุ่มควบคุม เก็บข้อมูล 3 ระยะ คือ ก่อนการทดลอง หลังการทดลอง และติดตามผล 3 เดือน วิเคราะห์ข้อมูลด้วยการวิเคราะห์ความแปรปรวนร่วมหลายตัวแปร โดยใช้คะแนนเจตคติก่อนการทดลองเป็นตัวแปรร่วม เนื่องจากพบความแตกต่างในระยะก่อนการทดลอง (Wilk's lambda = .925, F = 2.756, p = .004) ผลการวิจัยพบว่า โปรแกรมบ่มเพาะจิตลักษณะและทักษะแบบบูรณาการ ที่พัฒนาขึ้นมีค่าดัชนีความสอดคล้อง (IOC) ระหว่าง 0.66-1.00 ซึ่งอยู่ในเกณฑ์ที่ยอมรับได้ กลุ่มที่ได้รับการบ่มเพาะทั้งจิตลักษณะและทักษะมีพฤติกรรมการเสริมสร้างพลังครอบครัววิถีใหม่ แรงจูงใจใฝ่สัมฤทธิ์ และเจตคติทางบวกสูงกว่ากลุ่มอื่นอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p&lt;.05) ทั้งในระยะหลังการทดลอง (Wilk's Lambda = .580, F = 21.226, p&lt;.001) และติดตามผล 3 เดือน (Wilk's Lambda = .650, F = 16.378, p&lt;.001) สรุปได้ว่าโปรแกรมบ่มเพาะจิตลักษณะและทักษะแบบบูรณาการมีประสิทธิผลในการพัฒนาพฤติกรรมการเสริมสร้างพลังครอบครัววิถีใหม่ในเยาวชนไทย</p> ณฐวัฒน์ ล่องทอง, สุวลักษณ์ อ้วนสอาด, กฤษณะ โชติรัตนกมล, อนันต์ แย้มเยื้อน ลิขสิทธิ์ (c) 2025 สมาคมจิตวิทยาแห่งประเทศไทย https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so07.tci-thaijo.org/index.php/JPsychol/article/view/7668 Mon, 01 Dec 2025 00:00:00 +0700 Validation of the Social and Emotional Health Survey-Secondary Among Thai Secondary School Students https://so07.tci-thaijo.org/index.php/JPsychol/article/view/7776 <p>In response to growing concerns about youth depression in Thailand, positive psychology has emerged as a promising field for nurturing inner strengths and well-being. Guided by the concept of Covitality, efforts have been made to enhance positive psychological resources; however, comprehensive assessments in this area remain limited. This study aimed to develop and validate the Thai version of the Social and Emotional Health Survey-Secondary (SEHS-S) by examining its psychometric properties. Participants included 502 high school students in Bangkok, with 337 males and 165 females between the ages of 15 and 18. A Structural Equation Modeling (SEM) was employed to test Confirmatory Factor Analysis (CFA) of the second-order factor model, structural path analysis to Subjective Well-Being, and the correlational analysis and point-biserial analysis between SEHS-S outcomes and Quality-of-Life Indicators. Results adequately supported the Covitality construct Furthermore, the correlational results revealed the SEHS-S significantly associated with self-reported academic achievement (r = 0.28, p &lt; .001), and self-reported perceptions of school safety (r = 0.03, p = .001), but no associations to self-reported experienced depressive symptoms (r = -0.08, p = .116). These findings suggested that Thai version of SEHS-S is an appropriate tool in assessing adolescent positive mental health, particularly adolescents within high school contexts.</p> Nithikorn Laoritthikrai, Rewadee Watakakosol, Juthatip Wiwattanapantuwong ลิขสิทธิ์ (c) 2025 สมาคมจิตวิทยาแห่งประเทศไทย https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so07.tci-thaijo.org/index.php/JPsychol/article/view/7776 Mon, 01 Dec 2025 00:00:00 +0700