วารสารสังคมพัฒนศาสตร์
https://so07.tci-thaijo.org/index.php/JSSD
<p> <strong>วารสารสังคมพัฒนศาสตร์</strong> เป็นวารสารวิชาการของวัดสนธิ์ (นาสน) ตำบลมะม่วงสองต้น อำเภอเมือง จังหวัดนครศรีธรรมราช มีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมการค้นคว้าและนำเสนอองค์ความรู้ทางด้านวิชาการ โดยการเผยแพร่บทความวิจัยและบทความวิชาการแก่นักวิจัยนักวิชาการ คณาจารย์และนักศึกษา ในมิติเพื่อสนับสนุนการศึกษา การสอน การวิจัยในมหาวิทยาลัยสงฆ์รวมถึงคณะสงฆ์ไทย และสถาบันภายนอก รวมทั้งนักวิชาการและผู้สนใจ โดยเน้นสาขาวิชาเกี่ยวกับ การพัฒนาชุมชม การพัฒนาสังคม ศิลปะทั่วไปและมนุษยศาสตร์ ศาสนศึกษา ธุรกิจทั่วไป การจัดการและการบัญชี สังคมศาสตร์ทั่วไป การศึกษา รวมถึงสหวิทยาการด้านสังคมศาสตร์และและศาสตร์แห่งการพัฒนา โดยรับพิจารณาตีพิมพ์ต้นฉบับของบุคคลหรือองค์กร ทั้งภายในและภายนอกวัด เปิดรับบทความเฉพาะภาษาไทย ประเภท บทความวิจัย และ บทความวิชาการ</p> <p> บทความที่ตีพิมพ์เผยแพร่ในวารสารสังคมพัฒนศาสตร์จะต้องผ่านการพิจารณาจากผู้ทรงคุณวุฒิ อย่างน้อย 2 ท่าน ในลักษณะปกปิดรายชื่อ (Double blind peer-reviewed) ผลงานที่ส่งมาจะต้องไม่เคยตีพิมพ์หรืออยู่ระหว่างการพิจารณาจากผู้ทรงคุณวุฒิเพื่อตีพิมพ์ในวารสารอื่น ผู้เขียนบทความจะต้องปฏิบัติตามหลักเกณฑ์การเสนอบทความวิชาการหรือบทความวิจัยเพื่อตีพิมพ์ในวารสาร อย่างเคร่งครัด รวมทั้งระบบการอ้างอิงต้องเป็นไปตามหลักเกณฑ์ของวารสาร ทัศนะและข้อคิดเห็นที่ปรากฏในบทความวารสาร ถือเป็นความรับผิดชอบของผู้เขียนบทความนั้น มิใช่ความคิดของคณะผู้จัดทำ และไม่ถือเป็นทัศนะและความรับผิดชอบของกองบรรณาธิการ ทั้งนี้กองบรรณาธิการไม่สงวนลิขสิทธิ์ในการคัดลอก แต่ให้อ้างอิงแสดงที่มา</p> <p><strong>วารสารสังคมพัฒนศาสตร์</strong> มีกำหนดออกเผยแพร่ปีละ 12 ฉบับ (รายเดือน)*</p> <table width="100%"> <tbody> <tr> <td width="32%"> <p>ฉบับที่ 1 เดือนมกราคม</p> </td> <td width="35%"> <p>ฉบับที่ 2 เดือนกุมภาพันธ์</p> </td> <td width="31%"> <p>ฉบับที่ 3 เดือนมีนาคม</p> </td> </tr> <tr> <td width="32%"> <p>ฉบับที่ 4 เดือนเมษายน</p> </td> <td width="35%"> <p>ฉบับที่ 5 เดือนพฤษภาคม</p> </td> <td width="31%"> <p>ฉบับที่ 6 เดือนมิถุนายน</p> </td> </tr> <tr> <td width="32%"> <p>ฉบับที่ 7 เดือนกรกฎาคม</p> </td> <td width="35%"> <p>ฉบับที่ 8 เดือนสิงหาคม</p> </td> <td width="31%"> <p>ฉบับที่ 9 เดือนกันยายน</p> </td> </tr> <tr> <td width="32%"> <p>ฉบับที่ 10 เดือนตุลาคม</p> </td> <td width="35%"> <p>ฉบับที่ 11 เดือนพฤศจิกายน</p> </td> <td width="31%"> <p>ฉบับที่ 12 เดือนธันวาคม</p> </td> </tr> </tbody> </table> <p><em>*มีผลตั้งแต่ ปีที่ 8 ฉบับที่ 2 เดือนกุมภาพันธ์ 2568 เป็นต้นไป</em></p>
th-TH
natthaphong.jan@mcu.ac.th (นายอนุชิต ปราบพาล)
natthaphong.jan@mcu.ac.th (พระณัฐพงษ์ สิริสุวณฺโณ)
Mon, 26 May 2025 01:13:45 +0700
OJS 3.3.0.8
http://blogs.law.harvard.edu/tech/rss
60
-
ความต้องการพัฒนาคุณภาพชีวิตของผู้พิการในเขตกรุงเทพมหานคร
https://so07.tci-thaijo.org/index.php/JSSD/article/view/7945
<p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาระดับความต้องการพัฒนาคุณภาพชีวิตของผู้พิการในเขตกรุงเทพมหานคร 2) เปรียบเทียบระดับความต้องการพัฒนาคุณภาพชีวิตของผู้พิการในเขตกรุงเทพมหานคร จำแนกตามปัจจัยลักษณะส่วนบุคคล เป็นการวิจัยเชิงปริมาณ ประชากรที่ใช้ในการศึกษาครั้งนี้ คือ ผู้พิการในเขตกรุงเทพมหานคร จำนวน 108,854 คน กลุ่มตัวอย่าง จำนวน 383 คน ได้มาจากการคำนวณสูตรของ ทาโร่ ยามาเน่ ใช้การสุ่มอย่างง่าย โดยวิธีบังเอิญ เครื่องมือที่ใช้ในการศึกษา คือ แบบสอบถาม สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และทดสอบสมมติฐานด้วย ค่าเอฟ ค่าที ผลการวิจัยพบว่า 1) ความต้องการพัฒนาคุณภาพชีวิตของผู้พิการในเขตกรุงเทพมหานคร ในภาพรวมอยู่ในระดับมาก พิจารณาเป็นรายด้านเรียงจากมากไปหาน้อย ดังนี้ ด้านสิ่งอำนวยความสะดวก ด้านการมีส่วนร่วมในกิจกรรมของสังคม ด้านอาชีพและรายได้ ด้านสุขภาพร่างกายและจิตใจ ด้านการศึกษา และด้านที่อยู่อาศัยและสภาพแวดล้อม 2) การเปรียบเทียบระดับความต้องการพัฒนาคุณภาพชีวิตของผู้พิการในเขตกรุงเทพมหานคร จำแนกตามเพศ อายุ ระดับการศึกษา สถานภาพสมรส อาชีพ รายได้เฉลี่ยต่อเดือน และประเภทความพิการ ที่แตกต่างกัน พบว่าไม่แตกต่างกันทุกปัจจัย ข้อเสนอแนะในการให้บริการสาธารณะต้องให้บริการอย่างเท่าเทียม ต้องพิจารณาถึงความสามารถในการเข้าถึง และการใช้บริการของผู้พิการ ไม่ว่าจะเป็นการติดตั้งสิ่งอำนวยความสะดวก ที่เหมาะสมสำหรับผู้พิการ การปรับปรุงระบบขนส่งทางสาธารณะเพื่อให้เข้าถึงได้สะดวก หรือการสร้างสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมสำหรับผู้พิการในสังคม เพื่อให้ทุกคนได้รับประสบการณ์ที่เต็มที่ และไม่มีการแบ่งแยกหรือลดคุณภาพบริการ</p>
ณรงค์ ไปวันเสาร์, พรสวรรค์ จันทร์สมวรกุล
Copyright (c) 2025 วารสารสังคมพัฒนศาสตร์
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
https://so07.tci-thaijo.org/index.php/JSSD/article/view/7945
Tue, 27 May 2025 00:00:00 +0700
-
ปัจจัยที่ส่งผลต่อแรงจูงใจในการปฏิบัติงานของพนักงานโรงงานอุตสาหกรรมบรรจุภัณฑ์พลาสติก ในเขตพื้นที่อำเภอปลวกแดง จังหวัดระยอง
https://so07.tci-thaijo.org/index.php/JSSD/article/view/7909
<p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ปัจจัยที่ส่งผลต่อแรงจูงใจในการปฏิบัติงานของพนักงานโรงงานอุตสาหกรรมบรรจุ ภัณฑ์พลาสติก ในเขตพื้นที่อำเภอปลวกแดง จังหวัดระยอง 2) เปรียบเทียบปัจจัยบุคคลกับประสิทธิภาพในการทำงานของพนักงานโรงงานอุตสาหกรรมบรรจุภัณฑ์พลาสติก ในเขตพื้นที่อำเภอปลวกแดง จังหวัดระยอง เป็นการวิจัยเชิงปริมาณ กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ พนักงานโรงงานอุตสาหกรรมบรรจุภัณฑ์พลาสติก จำนวน 397 ราย สูตรคำนวณของทาโร่ ยามาเน่ เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แบบสอบถาม สถิติที่ใช้วิจัยและวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน วิเคราะห์ค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ และทดสอบสมมติฐานโดยการวิเคราะห์การถดถอยพหุคูณ ผลการวิจัย พบว่า ปัจจัยที่ส่งผลต่อแรงจูงใจในการปฏิบัติงานของพนักงานโรงงานอุตสาหกรรมบรรจุภัณฑ์พลาสติก ในเขตพื้นที่อำเภอปลวกแดง จังหวัดระยอง แบ่งเป็น 2 ส่วนได้แก่ 1) ข้อมูลทั่วไป เป็นเพศหญิง มีอายุ 25 - 35 ปี มีอายุงานที่ปฏิบัติงาน 5 - 10 ปี การศึกษาต่ำกว่าปริญญาตรี เป็นพนักงานระดับปฏิบัติการ 2) ปัจจัยที่ส่งผลต่อแรงจูงใจในการปฏิบัติงานของพนักงานโรงงานอุตสาหกรรมบรรจุภัณฑ์พลาสติก ในด้านต่าง ๆ ได้แก่ ด้านค่าตอบแทนและสวัสดิการ โดยภาพรวมระดับมาก ด้านกระบวนการภายใน โดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก และด้านประสิทธิภาพในการทำงานของพนักงาน โดยภาพรวมระดับมาก ผลการวิเคราะห์การเปรียบเทียบปัจจัยบุคคลกับประสิทธิภาพในการทำงานของพนักงานโรงงานอุตสาหกรรมบรรจุภัณฑ์พลาสติก ปัจจัยด้านบุคคล ได้แก่ เพศ อายุ ระดับการศึกษา รายได้ต่อเดือน และอายุการทำงาน แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญที่ 0.05 จึงยอมรับสมมติฐาน ส่วนค่าตอบแทน ความสัมพันธ์ในการทำงาน โอกาสความก้าวหน้าทางอาชีพ ส่งผลต่อประสิทธิภาพในการทำงานของพนักงานโรงงานอุตสาหกรรมบรรจุภัณฑ์พลาสติกฯ ไม่แตกตางกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ</p>
อภิชาติ หลิมรัตน์, เจษฎา ผลสวัสดิ์, เชิดศักดิ์ รุ่งเรืองสาร
Copyright (c) 2025
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
https://so07.tci-thaijo.org/index.php/JSSD/article/view/7909
Mon, 26 May 2025 00:00:00 +0700
-
อิทธิพลของคุณภาพของอาหารและคุณภาพของบริการที่ส่งผลต่อการตัดสินใจซื้ออาหารเพื่อสุขภาพของผู้บริโภคในเขตกรุงเทพมหานคร
https://so07.tci-thaijo.org/index.php/JSSD/article/view/7910
<p>การศึกษาครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อศึกษาอิทธิพลของคุณภาพของอาหารและคุณภาพของบริการที่ส่งผลต่อการตัดสินใจซื้ออาหารเพื่อสุขภาพของผู้บริโภคในเขตกรุงเทพมหานครประชากรที่ใช้ในการวิจัย คือผู้บริโภคที่เลือกซื้ออาหารอาหารเพื่อสุขภาพของผู้บริโภคในเขตกรุงเทพมหานคร ขนาดของกลุ่มตัวอย่าง จำนวน 100 ตัวอย่าง โดยใช้วิธีการจับฉลากเพื่อสุ่มเลือก 1 เขต เป็นตัวแทนจากแต่ละกลุ่มของเขตการปกครองของกรุงเทพมหานครโดยใช้แบบสอบถามปลายปิดที่ผ่านใช้แบบสอบถามที่ผ่านการทดสอบความเที่ยงตรง (Content Validity) Reliability) โดยค่าสมประสิทธิ์แอลฟาครอนบาค(Cronbach’s Alpha) เป็นเครื่องมือในการเก็บรวบรวมขอมูล สถิติที่ใช้วิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน วิเคราะห์ค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ และทดสอบสมมติฐานโดยการวิเคราะห์การถดถอยพหุคูณ ผลการศึกษาผู้ตอบแบบสอบถามส่วนใหญ่เป็นเพศหญิง ร้อยละ 54 ผู้ตอบแบบสอบถามส่วนใหญ่มีอายุระหว่าง 25 - 35 ปีมากที่สุด คิดเป็นร้อยละ 28.0 และมีระดับการศึกษาปริญญาตรีมากที่สุด คิดเป็นร้อยละ 48.0 คิดเป็นร้อยละ 25.24 อาชีพ พนักงานบริษัทมากที่สุดคิดเป็นร้อยละ 49.0 รายได้ 15,001 - 25,000 บาท มากที่สุด คิดเป็นร้อยละ 24.0 ตามลำดับ ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อการตัดสินใจซื้อซื้ออาหารเพื่อสุขภาพของผู้บริโภคในเขตกรุงเทพมหานครอย่างมี นัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 ได้แก่คุณภาพของอาหาร ในขณะที่คุณภาพของบริการไม่มีอิทธิพลต่อการตัดสินใจซื้ออาหารเพื่อสุขภาพของผู้บริโภคในเขตกรุงเทพมหานคร สิ่งที่เป็นประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับจากการวิจัยครั้งนี้ คือ ผู้ประกอบการสามารถนำข้อมูล ประกอบการพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่เหมาะสมกับความต้องการของผู้บริโภค รวมถึงการปรับปรุงพัฒนากลยุทธ์ด้านการตลาดที่เหมาะสมกับรูปแบบธุรกิจ</p>
ชญานิศ ประทุมรัตน์, นิตยา มีบุญ, พิชญานันท์ ผลสวัสดิ์
Copyright (c) 2025
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
https://so07.tci-thaijo.org/index.php/JSSD/article/view/7910
Mon, 26 May 2025 00:00:00 +0700
-
ปัจจัยที่เป็นอุปสรรคต่อการใช้กฎหมายควบคุมอาคาร สำหรับการรื้อถอนอาคาร ในเขตกรุงเทพมหานคร
https://so07.tci-thaijo.org/index.php/JSSD/article/view/7912
<p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อเปรียบเทียบปัจจัยที่เป็นอุปสรรคต่อการใช้กฎหมายควบคุมอาคาร สำหรับการรื้อถอนอาคาร โดยจำแนกตามปัจจัยพื้นฐานของผู้ที่เกี่ยวข้องกับการรื้อถอนอาคาร และ 2) เพื่อศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างปัจจัยพื้นฐานของผู้ที่เกี่ยวข้องกับการรื้อถอนอาคาร กับปัจจัยที่เป็นอุปสรรคต่อการใช้กฎหมายควบคุมอาคาร สำหรับการรื้อถอน โดยการวิจัยเชิงปริมาณ จากกลุ่มตัวอย่างของผู้ที่มีความเกี่ยวข้องกับการรื้อถอนอาคาร ในเขตกรุงเทพมหานคร ได้แก่ สำนักงานเขต (ฝ่ายโยธา) บริษัทและผู้รับเหมารื้อถอน ผู้ว่าจ้างและเจ้าของอาคาร ซึ่งเลือกแบบเจาะจง จำนวน 280 คน ใช้แบบสอบถามเป็นเครื่องมือเก็บข้อมูล และวิเคราะห์ข้อมูลด้วย ค่าความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย One Way ANOVA และ Chi-square โดยกำหนดระดับนัยสำคัญทางสถิติที่ 0.05 ผลการวิจัยพบว่า ผู้ที่เกี่ยวข้องกับการรื้อถอนอาคารระดับการศึกษา และลักษณะหน่วยงานที่ต่างกัน ไม่มีปัจจัยที่เป็นอุปสรรคต่อการใช้กฎหมายควบคุมอาคาร สำหรับการรื้อถอนอาคาร แต่ประสบการณ์ที่ต่างกัน มีปัจจัยที่เป็นอุปสรรคต่อการใช้กฎหมายควบคุมอาคาร สำหรับการรื้อถอนอาคาร ในด้านประชาชน/ผู้ปฏิบัติงานที่ต่างกัน และตำแหน่งงานที่ต่างกัน มีปัจจัยที่เป็นอุปสรรคต่อการใช้กฎหมายควบคุมอาคาร สำหรับการรื้อถอนอาคาร ในด้านกฎหมายควบคุมอาคาร (เฉพาะงานรื้อถอนอาคาร) ที่ต่างกัน และพบว่า ปัจจัยพื้นฐานของผู้ที่เกี่ยวข้องกับการรื้อถอนอาคาร ในระดับการศึกษา (0.565, 0.519, 0.924) ประสบการณ์ (0.769, 0.775, 0.159) ลักษณะหน่วยงาน (0.410, 0.394, 0.197) และตำแหน่งงาน (0.137, 0.456, 0.665) ไม่มีความสัมพันธ์กับปัจจัยที่เป็นอุปสรรคต่อการใช้กฎหมายควบคุมอาคาร ด้านกฎหมายควบคุมอาคาร (สำหรับการรื้อถอนอาคาร) ด้านผู้บังคับใช้กฎหมาย และด้านประชาชน/ผู้ปฏิบัติงาน</p>
ศจชนก สมแพน, กรกช ทวีสิน, วรานนท์ คงสง, ชัยวัฒน์ ภู่วรกุลชัย
Copyright (c) 2025
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
https://so07.tci-thaijo.org/index.php/JSSD/article/view/7912
Mon, 26 May 2025 00:00:00 +0700
-
สารานุกรมวัฒนธรรม (ไทย) ภาคใต้ : ตัวแบบสถาปนาความเป็นคนใต้ในบริบทความเป็นไทย
https://so07.tci-thaijo.org/index.php/JSSD/article/view/7913
<p>บทความวิจัยชิ้นนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อวิเคราะห์และนำเสนอการสถาปนาอารมณ์ความรู้สึกและ ตัวแบบความเป็นคนใต้ของศาสตราจารย์สุธิวงศ์ พงศ์ไพบูลย์ที่ปรากฏในสารานุกรมวัฒนธรรมไทย ภาคใต้ โดยศึกษาผ่านสารานุกรมวัฒนธรรมภาคใต้ (พ.ศ. 2529) สารานุกรมวัฒนธรรมไทย ภาคใต้ (พ.ศ. 2542) และ สารานุกรมวัฒนธรรมไทย ภาคใต้ (เพิ่มเติม พ.ศ. 2554) ตามระเบียบวิธีวิจัยทางประวัติศาสตร์และนำเสนอในลักษณะของการพรรณนาเชิงวิเคราะห์ ผลการวิจัยพบว่าการสถาปนาอารมณ์ความรู้สึกและตัวแบบความเป็นคนใต้ของศาสตราจารย์สุธิวงศ์ พงศ์ไพบูลย์ที่ปรากฏในสารานุกรมวัฒนธรรมไทย ภาคใต้ แบ่งเป็น 2 ส่วน ได้แก่ 1) ชีวิต ผลงาน บทบาทและเครือข่ายทางวิชาการของศาสตราจารย์สุธิวงศ์ พงศ์ไพบูลย์ : การก่อตัวของอัตลักษณ์ท้องถิ่นภายใต้ในบริบทของความเป็นไทย 2) จาก“สารานุกรมวัฒนธรรมภาคใต้” สู่ “สารานุกรมวัฒนธรรมไทย ภาคใต้” : การสถาปนาอารมณ์ความรู้สึกและตัวแบบความเป็นคนใต้ที่สัมพันธ์กับความเป็นไทย ด้วยความมุ่งมั่นและความสำเร็จของศาสตราจารย์สุธิวงศ์ พงศ์ไพบูลย์ ที่ต้องการนำเสนอคุณค่าและมรดกทางภูมิปัญญาของท้องถิ่นไปสู่ระดับชาติและระดับสากล สารานุกรมวัฒนธรรมภาคใต้ ได้เป็นแรงผลักดันนำไปสู่ สารานุกรมวัฒนธรรมไทย ทั้ง 4 ภาค (ได้แก่ เหนือ ตะวันออกเฉียงเหนือ กลาง และภาคใต้) และสารานุกรมวัฒนธรรมไทยภาคใต้ได้สร้างมาตรฐานชุดคำอธิบายและความรู้เกี่ยวกับศิลปะ วัฒนธรรม ภาษา ประวัติศาสตร์ การปกครอง สังคม สถานที่สำคัญ อาชีพ ความเชื่อและประเพณี บุคคลสำคัญ ธรรมชาติ สิ่งแวดล้อม ระบบการชั่งตวงวัด กลุ่มชาติพันธุ์และการละเล่นของแต่ละพื้นที่ ผ่านการอธิบายตนเองกับสรรพสิ่งที่อยู่รอบกาย ชุมชนท้องถิ่นภาคใต้ และชาติ ซึ่งได้ก่อให้เกิดอารมณ์ความรู้สึกและสถาปนาตัวแบบความเป็นคนใต้ที่แสดงออกซึ่งอัตลักษณ์ท้องถิ่นหรือท้องถิ่นนิยมที่สัมพันธ์กับสำนึกถึงความเป็นชาติและความเป็นไทยในเวลาเดียวกัน</p>
พรชัย นาคสีทอง
Copyright (c) 2025
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
https://so07.tci-thaijo.org/index.php/JSSD/article/view/7913
Mon, 26 May 2025 00:00:00 +0700
-
การให้คำปรึกษาเพื่อเยียวยาจิตใจของเหยื่อจากการถูกรังแก ในนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาที่มีความหลากหลายทางเพศ
https://so07.tci-thaijo.org/index.php/JSSD/article/view/7915
<p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาประสบการณ์การถูกรังแกของนักเรียนที่มีความหลากหลายทางเพศ และเพื่อศึกษาการให้คำปรึกษาแก่นักเรียนที่มีความหลากหลายทางเพศที่เป็นเหยื่อจากการถูกรังแกระดับชั้นมัธยมศึกษาในโรงเรียนมัธยมศึกษาแห่งหนึ่ง การวิจัยครั้งนี้เป็นการศึกษาเชิงคุณภาพ ประเภทการศึกษาเฉพาะกรณี เครื่องมือที่ใช้คือแบบสัมภาษณ์เชิงลึก การสัมภาษณ์ไม่เป็นทางการ และการสังเกตแบบมีส่วนร่วม ผู้ให้ข้อมูลหลักจำนวน 2 กลุ่ม ได้แก่ กลุ่มผู้มีความหลากหลายทางเพศที่กำลังศึกษาอยู่ระดับชั้นมัธยมศึกษา จำนวน 3 คน และกลุ่มที่มีความเกี่ยวข้องกับผู้มีความหลากหลายทางเพศ ได้แก่ ครูที่ปรึกษา และเพื่อนสนิท จำนวน 7 คน วิเคราะห์ข้อมูลแบบพรรณนา ผลการวิจัยพบว่า 1) ผู้ให้ข้อมูลมีประสบการณ์การถูกรังแก 4 รูปแบบ คือ การถูกรังแกทางร่างกาย การถูกรังแกทางวาจา การถูกรังแกทางสังคม และการถูกรังแกทางออนไลน์ 2) ผู้ให้ข้อมูลใช้การเผชิญหน้า การแสดงออกทางพฤติกรรม การพูดคุย เพื่อยุติการถูกรังแกส่งผลให้เหตุการณ์การถูกรังแกไม่ยุติลง แต่การเพิกเฉยส่งผลให้เหตุการณ์การถูกรังแกยุติลง 3) บุคคลที่อยู่ร่วมในเหตการณ์มีการให้ความช่วยเหลือผู้ถูกรังแกทำให้เหตุการณ์ยุติลง และ 4) ทฤษฎีการให้คำปรึกษารายบุคคลเพื่อเยียวยาจิตใจนักเรียนกลุ่มที่มีความหลากหลายทางเพศที่เป็นเหยื่อจากการถูกรังแกสามารถช่วยเยียวยาจิตใจจากการถูกรังแกในนักเรียนกลุ่มที่มีความหลากหลายทางเพศ คือ ทฤษฎีการให้คำปรึกษาแบบพิจารณาเหตุผล อารมณ์ พฤติกรรม ทฤษฎีการให้คำปรึกษาแบบยึดบุคคลเป็นศูนย์กลาง ทฤษฎีการให้คำปรึกษาแบบเผชิญความจริง ทฤษฎีการให้คำปรึกษาเกสตัลท์ และทฤษฎีการให้คำปรึกษาแบบอัตถิภาวนิยม</p>
เบญจรัตน์ เขตตะเคียน, กาญจนวัลย์ ปรีชาสุชาติ, ดวงฤดี พ่วงแสง, ชคดี บุญเกษม
Copyright (c) 2025
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
https://so07.tci-thaijo.org/index.php/JSSD/article/view/7915
Mon, 26 May 2025 00:00:00 +0700
-
กิจกรรมการเรียนการสอนที่เสริมสร้างความสามารถในการใช้ตัวแบบเชิงคณิตศาสตร์เพื่อแก้ปัญหาทางคณิตศาสตร์ ร่วมกับเทคนิคเพื่อนคู่คิด (Think-Pair-Share) เรื่อง ภาคตัดกรวย ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒประสานมิตร (ฝ่ายมัธยม
https://so07.tci-thaijo.org/index.php/JSSD/article/view/7916
<p>การวิจัยครั้งนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อ 1) ศึกษาความสามารถในการใช้ตัวแบบเชิงคณิตศาสตร์เพื่อแก้ปัญหาทางคณิตศาสตร์ ร่วมกับเทคนิคเพื่อนคู่คิด (Think-Pair-Share) และ 2) ศึกษาพฤติกรรมในการใช้ตัวแบบเชิงคณิตศาสตร์เพื่อแก้ปัญหาทางคณิตศาสตร์ ร่วมกับเทคนิคเพื่อนคู่คิด (Think-Pair-Share) ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 โดยใช้แบบแผนการวิจัยแบบกลุ่มเดียวมีการทดสอบหลังการทดลอง (One Group Posttest-Only Design) กลุ่มตัวอย่างเป็นนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2567 จำนวนนักเรียน 30 คน ที่ได้มาจากการเลือกแบบเจาะจง ใช้เวลาในการทดลองจำนวน 10 คาบเรียน เครื่องมือที่ใช้ คือ 1) แผนการจัดการเรียนรู้ เรื่อง “ภาคตัดกรวย” โดยใช้ตัวแบบเชิงคณิตศาสตร์เพื่อแก้ปัญหาทางคณิตศาสตร์ ร่วมกับเทคนิคเพื่อนคู่คิด (Think-Pair-Share) จำนวน 8 แผน 2) แบบทดสอบปรนัยสำหรับวัดความเข้าใจในมโนทัศน์ทางคณิตศาสตร์เรื่อง “ภาคตัดกรวย” และ 3) แบบทดสอบอัตนัยสำหรับวัดความสามารถในการใช้ตัวแบบเชิงคณิตศาสตร์เพื่อแก้ปัญหาทางคณิตศาสตร์ เรื่อง “ภาคตัดกรวย” สถิติที่ใช้คือ ค่าเฉลี่ยเลขคณิต ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และทดสอบสมมติฐานโดยใช้ t-test for one sampleผลการวิจัยพบว่า 1) นักเรียนที่เรียนด้วยกิจกรรมการเรียนการสอนที่เสริมสร้างความสามารถในการใช้ตัวแบบเชิงคณิตศาสตร์เพื่อแก้ปัญหาทางคณิตศาสตร์ ร่วมกับเทคนิคเพื่อนคู่คิด (Think-Pair-Share) เรื่อง “ภาคตัดกรวย” มีความสามารถในการใช้ตัวแบบเชิงคณิตศาสตร์เพื่อแก้ปัญหาทางคณิตศาสตร์ สูงกว่าเกณฑ์ร้อยละ 70 อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 และ 2) พฤติกรรมการใช้ตัวแบบเชิงคณิตศาสตร์เพื่อแก้ปัญหาทางคณิตศาสตร์ ร่วมกับเทคนิคเพื่อนคู่คิด (Think-Pair-Share) เรื่อง “ภาคตัดกรวย” ของนักเรียนโดยภาพรวมได้คะแนนค่าเฉลี่ยเลขคณิต 4.72 ซึ่งอยู่ในระดับดีมาก</p>
ศิรัชชรินทร์ ยศสวรินทร์
Copyright (c) 2025
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
https://so07.tci-thaijo.org/index.php/JSSD/article/view/7916
Mon, 26 May 2025 00:00:00 +0700
-
ผลของกระบวนการเสริมสร้างศักยภาพนักเล่าเรื่องชุมชนผ่านสื่อสังคมและแพลตฟอร์มออนไลน์ กรณีศึกษา ชุมชนคลองใหญ่ อำเภอตะโหมด จังหวัดพัทลุง
https://so07.tci-thaijo.org/index.php/JSSD/article/view/7917
<p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาผลของกระบวนการเสริมสร้างศักยภาพนักเล่าเรื่องชุมชนผ่านสื่อสังคมและแพลตฟอร์มออนไลน์ กรณีศึกษาชุมชนคลองใหญ่ อำเภอตะโหมด จังหวัดพัทลุง โดยเป็นการวิจัยกึ่งทดลอง (Quasi-Experimental Research) กลุ่มตัวอย่าง คือ สมาชิกกลุ่มวิสาหกิจชุมชนในพื้นที่ จำนวน 10 คน ซึ่งเข้าร่วมกระบวนการด้วยความสมัครใจ เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แบบประเมินศักยภาพฯ ซึ่งผ่านการตรวจสอบความตรงตามเนื้อหา (Content Validity) และค่าดัชนีความสอดคล้องระหว่างข้อคำถามกับวัตถุประสงค์ (IOC) รวมทั้งมีค่าความเชื่อมั่นของแบบสอบถาม (Cronbach’s Alpha) เท่ากับ 0.947 การวิเคราะห์ข้อมูลพื้นฐานด้วยการหาค่าความถี่และร้อยละ เปรียบเทียบระดับศักยภาพ ด้วยการหาค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และระดับตามเกณฑ์มาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ และเปรียบเทียบศักยภาพฯ ด้วยสถิติ t ผลการวิจัยพบว่า กลุ่มตัวอย่างทั้งหมดเป็นเพศหญิง ส่วนใหญ่อายุระหว่าง 31 - 50 ปี มีบทบาทเป็นสมาชิกหรือกรรมการของกลุ่ม และมีระดับการศึกษามัธยมศึกษาตอนต้น หลังการเข้าร่วมกระบวนการ พบว่าศักยภาพมีการเปลี่ยนแปลง ดังนี้ 1) ด้านความรู้: เพิ่มจากระดับน้อย (<img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\bar{x}" alt="equation"> = 2.43, S.D. = 0.533) เป็นระดับมาก (<img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\bar{x}" alt="equation"> = 3.81, S.D. = 0.179) 2) ด้านทักษะ: เพิ่มจากระดับน้อย (<img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\bar{x}" alt="equation"> = 2.42, S.D. = 0.529) เป็นระดับปานกลาง (<img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\bar{x}" alt="equation"> = 3.44, S.D. = 0.189) และ 3) ด้านเจตคติ: เพิ่มจากระดับน้อย (<img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\bar{x}" alt="equation"> = 2.63, S.D. = 0.338) เป็นระดับปานกลาง (<img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\bar{x}" alt="equation"> = 3.65, S.D. = 0.129) และเปรียบเทียบผลศักยภาพฯ ด้วยสถิติ t แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 แสดงว่าศักยภาพก่อน-หลังเข้าร่วมกระบวนการฯ แตกต่างกัน โดยที่ค่าเฉลี่ยศักยภาพหลังเรียน (<img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\bar{x}" alt="equation"> = 3.63) สูงกว่าค่าเฉลี่ยศักยภาพก่อนเรียน (<img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\bar{x}" alt="equation"> = 2.58)</p>
บัณฑิต ทองสงฆ์, จาริยา สุทธินนท์, เสริมศักดิ์ ขุนพล
Copyright (c) 2025
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
https://so07.tci-thaijo.org/index.php/JSSD/article/view/7917
Mon, 26 May 2025 00:00:00 +0700
-
การสร้างบอร์ดเกมเพื่อพัฒนาทักษะการอ่านโน้ตดนตรีสากล ของนักเรียนระดับมัธยมศึกษาปีที่ 1 สาขาดนตรีสากล วิทยาลัยนาฏศิลปจันทบุรี
https://so07.tci-thaijo.org/index.php/JSSD/article/view/7918
<p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อสร้างบอร์ดเกมเพื่อพัฒนาทักษะการอ่านโน้ตดนตรีสากลของนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 สาขาดนตรีสากล วิทยาลัยนาฏศิลปจันทบุรี 2) เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ก่อนและหลังด้านทักษะการอ่านโน้ตดนตรีสากลจากการใช้บอร์ดเกมของนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 สาขาดนตรีสากล วิทยาลัยนาฏศิลปจันทบุรี และ 3) เพื่อศึกษาความพึงพอใจของผู้เรียนที่มีต่อการใช้บอร์ดเกมเพื่อการเรียนรู้ทักษะการอ่านโน้ตดนตรีสากลของนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 สาขาดนตรีสากล วิทยาลัยนาฏศิลปจันทบุรี การวิจัยเป็นแบบเชิงทดลอง ใช้แบบแผนการวิจัยแบบการศึกษากลุ่มเดียววัดผลก่อนและหลังการทดลอง เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยคือ บอร์ดเกม และแผนการจัดการเรียนรู้ ที่ใช้เป็นสื่อการเรียนการสอนเพื่อพัฒนาทักษะการอ่านโน้ตดนตรีสากล และเครื่องมือที่ใช้ในการเก็บข้อมูลคือ แบบประเมิน<strong>ทักษะด้วยรูบริคสกอร์ </strong><strong>และ</strong><strong>แบบประเมินความพึงพอใจของ</strong>นักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 สาขาดนตรีสากล วิทยาลัยนาฏศิลปจันทบุรี จำนวนทั้งหมด 9 คน <strong>ที่มีต่อการสอนโดยใช้</strong>บอร์ดเกม สถิติที่ใช้การวิเคราะห์ข้อมูล คือ ค่าเฉลี่ย ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการทดสอบที ผลจากการวิจัยพบว่า บอร์ดเกมอยู่ในระดับเหมาะสมมากที่สุด (<img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\bar{x}" alt="equation"> = 4.51, S.D. = 0.47) ทำให้นักเรียนที่เรียนการอ่านโน้ตดนตรีสากลโดยการใช้บอร์ดเกม มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนมีนัยสำคัญทางสถิติที่.05 และนักเรียนมีความพึงพอใจต่อการใช้บอร์ดเกมเพื่อการเรียนรู้ทักษะการอ่านโน้ตดนตรีสากล อยู่ในระดับมากที่สุด (<img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\bar{x}" alt="equation"> = 4.87, S.D. = 0.25)</p>
สุวัลลี นุชวงษ์, ณัฐศรัณย์ ทฤษฎิคุณ, วรินธร สีเสียดงาม
Copyright (c) 2025
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
https://so07.tci-thaijo.org/index.php/JSSD/article/view/7918
Mon, 26 May 2025 00:00:00 +0700
-
แนวทางพัฒนาการบริหารสถานศึกษาพอเพียงสู่การเป็นศูนย์การเรียนรู้ตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงด้านการศึกษาของสถานศึกษา สหวิทยาเขตชากังราว สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษากำแพงเพชร
https://so07.tci-thaijo.org/index.php/JSSD/article/view/7932
<p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อ 1) ศึกษาสภาพและปัญหา 2) เปรียบเทียบสภาพการดำเนินงานการบริหาร จำแนกตามประสบการณ์ในการทำงาน 3) หาแนวทางการบริหาร และ 4) การประเมินแนวทางการบริหารเพื่อพัฒนาสถานศึกษาพอเพียง เป็นงานวิจัยแบบผสานวิธี กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ ผู้บริหารสถานศึกษา และครู จำนวน 205 คน เลือกกลุ่มตัวอย่างโดยกำหนดขนาดกลุ่มตัวอย่างใช้ตารางของเครจซี่และมอร์แกน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ แบบสอบถาม แบบบันทึกการสนทนากลุ่ม และแบบประเมินคุณภาพ วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติ ค่าความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และค่า F-test: One-way ANOVA ผลการวิจัยพบว่า 1) สภาพการบริหาร โดยรวมค่าเฉลี่ยอยู่ในระดับมาก (<img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\bar{x}" alt="equation"> = 4.38, S.D. = 0.17) และปัญหามี 3 ด้าน 1.1) บุคลากร คือ ผู้บริหารสถานศึกษามีการมอบหมายงานให้ครูแกนนำยังไม่ต่อเนื่อง 1.2) การจัดสภาพแวดล้อม คือ ผู้บริหารสถานศึกษาวางแผนให้ครูและนักเรียนมีส่วนร่วมในการดูแลรักษาสิ่งแวดล้อมอาคาร สถานที่ให้เอื้อต่อการเรียนรู้ และ 1.3) ความสัมพันธ์กับหน่วยงานภายนอก คือ ผู้บริหารสถานศึกษามีการพัฒนาสถานศึกษาอื่นให้เป็นสถานศึกษาพอเพียง ยังไม่ครอบคลุม 2) การเปรียบเทียบสภาพการดำเนินงานการบริหาร ในภาพรวมพบว่าไม่แตกต่างกัน 3) แนวทางการบริหาร ด้านบุคลากร ขับเคลื่อนการศึกษาเชิงบูรณาการพัฒนาบุคลากรอย่างเป็นระบบ ด้านการจัดสภาพแวดล้อม ออกแบบและพัฒนาให้สวยงาม มีประโยชน์ ทันสมัย มีเทคโนโลยี การมีส่วนร่วม ด้านความสัมพันธ์กับหน่วยงานภายนอก สร้างเครือข่ายร่วมกันใช้เทคโนโลยีในการพัฒนาการเรียนรู้และประเมินผล และ 4) การประเมินแนวทางการบริหาร พบว่า มีความเหมาะสมอยู่ในระดับมากที่สุด (μ = 4.62, σ = 0.32) มีความเป็นประโยชน์อยู่ในระดับมากที่สุด (μ = 4.58, σ = 0.29) และมีความเป็นไปได้อยู่ในระดับมาก (μ = 4.52, σ = 0.29)</p>
อมรเทพ พุกนัด, ขวัญชัย ขัวนา
Copyright (c) 2025
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
https://so07.tci-thaijo.org/index.php/JSSD/article/view/7932
Mon, 26 May 2025 00:00:00 +0700
-
รูปแบบการเสริมสร้างภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลงของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเลย เขต 3
https://so07.tci-thaijo.org/index.php/JSSD/article/view/7933
<p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาสภาพปัจจุบัน สภาพที่พึงประสงค์ และความต้องการจำเป็นในการเสริมสร้างภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลงของผู้บริหารสถานศึกษา 2) พััฒนารูปแบบการเสริมสร้างภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลงของผู้บริหารสถานศึกษา และ 3) ประเมินรูปแบบการเสริมสร้างภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลงของผู้บริหารสถานศึกษา ใช้ระเบียบวิธีวิจัยแบบผสมผสานวิธี ตัวอย่าง ได้แก่ ผู้บริหารสถานศึกษา และครู จำนวน 243 คน การกำหนดขนาดตัวอย่างของทาโร ยามาเนะ และสุ่มแบบแบ่งชั้นภูมิ เครื่องมือวิจัย ได้แก่ แบบสอบถาม แบบสัมภาษณ์ และแบบประเมิน ผู้ให้ข้อมูล เป็น ผู้บริหารสถานศึกษา จำนวน 3 คน และผู้ทรงคุณวุฒิ จำนวน 6 คน วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติเชิงพรรณนา ค่าดัชนีลำดับความสำคัญ และการวิเคราะห์เนื้อหา ผลการวิจัยพบว่า สภาพปัจจุบันของภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลงของผู้บริหารสถานศึกษา โดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก (<img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\bar{x}" alt="equation"> = 4.04, S.D. = 0.74) สภาพที่พึงประสงค์ โดยภาพรวมอยู่ในระดับมากที่สุด (<img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\bar{x}" alt="equation"> = 4.62, S.D. = 0.53) และความต้องการจำเป็นสูงสุดคือการสร้างแรงบันดาลใจ (PNI <sub>Modified</sub> = 0.185) รองลงมาคือ การคำนึงถึงปัจเจกบุคคล การกระตุ้นการใช้ปัญญา การมีวิสัยทัศน์ และการมีอิทธิพลอย่างมีอุดมการณ์ ตามลำดับ รูปแบบการเสริมสร้างภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลงของผู้บริหารสถานศึกษาที่พัฒนาขึ้น ประกอบด้วย 1) ชื่อรูปแบบ 2) หลักการของรูปแบบ 3) วัตถุประสงค์ของรูปแบบ และ 4) วิธีการเสริมสร้าง ภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลง มีองค์ประกอบ 5 ด้าน ได้แก่ การสร้างแรงบันดาลใจ การกระตุ้นการใช้ปัญญา การคำนึงถึงปัจเจกบุคคล การมีอิทธิพลอย่างมีอุดมการณ์ และการมีวิสัยทัศน์ ผลการประเมินรูปแบบการเสริมสร้างภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลงของผู้บริหารสถานศึกษาโดยผู้เชี่ยวชาญ โดยภาพรวมอยู่ในระดับมากที่สุด (<img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\bar{x}" alt="equation"> = 4.86, S.D. = 0.20) ได้แก่ ความเหมาะสม ความเป็นไปได้ และความเป็นประโยชน์</p>
วิชชุดา บุญมาสัย, สุชาติ บางวิเศษ, ฉัตรวิไล สุรินทร์ชมพู
Copyright (c) 2025
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
https://so07.tci-thaijo.org/index.php/JSSD/article/view/7933
Mon, 26 May 2025 00:00:00 +0700
-
การศึกษาเปรียบเทียบเชิงปรัชญาระหว่างขันธ์ 5 กับปัญญาประดิษฐ์
https://so07.tci-thaijo.org/index.php/JSSD/article/view/7935
<p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาหลักขันธ์ 5 ในพระพุทธศาสนา แนวคิดปัญญาประดิษฐ์และเปรียบเทียบเชิงปรัชญาระหว่างแนวคิดหลักขันธ์ 5 กับปัญญาประดิษฐ์ในอภิปรัชญา ญาณวิทยาและจริยศาสตร์เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพ ได้วิจัยเกี่ยวกับเอกสารหลักขันธ์ 5 กับปัญญาประดิษฐ์ ผลการวิจัยพบว่า หลักขันธ์ 5 ในพระพุทธศาสนา ตามแนวปรัชญา ชีวิตของมนุษย์หรือสัตว์ เกิดขึ้นจากการรวมตัวกันของขันธ์ 5 ได้แก่ รูปเวทนา สัญญา สังขาร และวิญญาณ รวมเรียกว่า รูปและนาม ส่วนที่เป็นรูป คือ วัตถุธาตุ เรียกว่า กาย ส่วนนาม คือ การสำนึกรับรู้อารมณ์ เรียกว่า จิตใจ ทั้งกายและจิตใจ ทำงานร่วมกัน เมื่อจิตคิด สั่งการให้เคลื่อนไหวร่างกายก็จะเคลื่อนไหวตามมา ย่อมเกิดจากเจตนา และต้องรับผิดชอบพฤติกรรมของผู้กระทำปัญญาประดิษฐ์ ในทางกายภาพ คือ รูปขันธ์ ทำงานผ่านอัลกอริทึมและการประมวลผลข้อมูลมหาศาล แม้ปัญญาประดิษฐ์ สามารถจำลองการรับรู้ได้ แต่ไม่สามารถมีความรู้สึกสุขหรือทุกข์หรือสำนึกรู้ชั่วดีด้วยตนเองดุจมนุษย์ และผลการเปรียบเทียบเชิงปรัชญาและแนวคิดหลักขันธ์ 5 กับปัญญาประดิษฐ์ ผ่านหลักปรัชญา 3 สาขา คือ 1) ด้านอภิปรัชญา ในด้านการเป็นสิ่งมีชีวิต ปัญญาประดิษฐ์ ขาดเวทนาขันธ์ (ความรู้สึกสุขหรือทุกข์) สังขารขันธ์ (มีจิตสำนึกปรุงแต่งเป็นกุศล อกุศล) และวิญญาณขันธ์ (การรู้จักคิด) ในด้านความเป็นตัวตน ไม่อาจบอกอัตลักษณ์ อ้างสิทธิและความเป็นปัจเจกบุคคลของปัญญาประดิษฐ์ได้ 2) ด้านญาณวิทยา ปัญญาประดิษฐ์ทำงานผ่านอัลกอริทึมและการประมวลผลข้อมูลมหาศาล ซึ่งความรู้เป็นเพียงแค่การประมวลความทรงจำมาจัดระบบ เป็นแบบประสบการณ์นิยม แต่ไม่มีการคิดวิเคราะห์แบบเหตุผลนิยม และ 3) ด้านจริยศาสตร์ปัญญาประดิษฐ์ทำงานแบบกลไกนิยม ย่อมขาดเจตนา และขาดความรับผิดชอบโดยตัวเองของปัญญาประดิษฐ์ ด้านจริยธรรมเป็นเรื่องของผู้สร้างปัญญาประดิษฐ์</p>
พระปริญญา อธิปญฺโญ (ศรีทา), พิสิฏฐ์ โคตรสุโพธิ์, เยื้อง ปั้นเหน่งเพ็ชร์
Copyright (c) 2025
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
https://so07.tci-thaijo.org/index.php/JSSD/article/view/7935
Mon, 26 May 2025 00:00:00 +0700
-
การจัดกิจกรรมเสริมหลักสูตร โดยใช้รูปแบบการสอนทักษะปฏิบัติของเดวีส์ ร่วมกับสื่อสังคมออนไลน์ ที่มีต่อทักษะปฏิบัติการร้องและการรำโนรา 12 ท่า สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษา
https://so07.tci-thaijo.org/index.php/JSSD/article/view/7936
<p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ เปรียบเทียบทักษะปฏิบัติการร้องโนรา 12 ท่า หลังการจัดกิจกรรมเสริมหลักสูตร โดยใช้รูปแบบการสอนทักษะปฏิบัติของเดวีส์ ร่วมกับสื่อสังคมออนไลน์ กับเกณฑ์ร้อยละ 70 เปรียบเทียบทักษะปฏิบัติการรำโนรา 12 ท่า หลังการจัดกิจกรรมเสริมหลักสูตร โดยใช้รูปแบบการสอนทักษะปฏิบัติของเดวีส์ ร่วมกับสื่อสังคมออนไลน์ กับเกณฑ์ร้อยละ 70 และประเมินความพึงพอใจของนักเรียนชั้นประถมศึกษา ที่มีต่อกิจกรรมเสริมหลักสูตร โดยใช้รูปแบบการสอนทักษะปฏิบัติของเดวีส์ ร่วมกับสื่อสังคมออนไลน์ เป็นการวิจัยกึ่งทดลอง กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ นักเรียนชั้นประถมศึกษา โรงเรียนสาธิตองค์การบริหารส่วนจังหวัด 2 (บ้านสำนักไม้เรียบ) จำนวน 30 คน เลือกด้วยการสุ่มแบบกลุ่ม เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ 1) แผนการจัดกิจกรรมเสริมหลักสูตรฯ 2) แบบทดสอบวัดทักษะปฏิบัติ การร้องและการรำโนรา 12 ท่า และ 3) แบบสอบถามความพึงพอใจของนักเรียน ที่มีต่อกิจกรรมเสริมหลักสูตร โดยใช้รูปแบบการสอนทักษะปฏิบัติเดวีส์ ร่วมกับสื่อสังคมออนไลน์ เก็บรวบรวมข้อมูลด้วยแบบทดสอบและแบบสอบถาม สถิติที่ใช้ในการวิจัยและวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการทดสอบค่าที ผลการวิจัยพบว่า ทักษะปฏิบัติการร้องโนรา 12 ท่า หลังการจัดกิจกรรมเสริมหลักสูตรโดยใช้รูปแบบการสอนทักษะปฏิบัติของเดวีส์ ร่วมกับสื่อสังคมออนไลน์ สูงกว่าเกณฑ์ที่กำหนดอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 ทักษะปฏิบัติการรำโนรา 12 ท่า หลังการจัดกิจกรรมเสริมหลักสูตร สูงกว่าเกณฑ์ที่กำหนด อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 และผลประเมินระดับความพึงพอใจของนักเรียน โดยภาพรวมอยู่ในระดับมากที่สุด</p>
ยอดยุทธ บุญญาธิการ, จุไรศิริ ชูรักษ์, วราภรณ์ แก้วสีขาว
Copyright (c) 2025
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
https://so07.tci-thaijo.org/index.php/JSSD/article/view/7936
Mon, 26 May 2025 00:00:00 +0700
-
ผลของการให้คำปรึกษากลุ่มตามทฤษฎีให้คำปรึกษาแบบเผชิญความจริงและทฤษฎีบำบัดความคิดและพฤติกรรม (CBT) ต่อกรอบความคิดเติบโตและความเครียดของนิสิตคณะศึกษาศาสตร์ที่มีภาวะความเครียดสูง
https://so07.tci-thaijo.org/index.php/JSSD/article/view/7938
<p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาผลของการให้คำปรึกษากลุ่มตามทฤษฎีเผชิญความจริงและทฤษฎีบำบัดความคิดและพฤติกรรมต่อกรอบความคิดเติบโตและความครียดของนิสิตคณะศึกษาศาสตร์ ที่มีภาวะความเครียดสูง กลุ่มตัวอย่าง คือนิสิต ชั้นปีที่ 3 คณะศึกษาศาสตร์ สาขาการศึกษา วิชาเอกจิตวิทยาการศึกษาและการแนะแนว ที่มีภาวะความเครียดสูง จำนวน 7 ราย เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แบบวัดกรอบความคิดเติบโต แบบประเมินความเครียด และโปรแกรมการให้คำปรึกษากลุ่มตามทฤษฎีเผชิญความจริงและทฤษฎีบำบัดความคิดและพฤติกรรมเพื่อพัฒนากรอบความคิดเติบโต โดยผู้วิจัยได้ทำการเก็บข้อมูล ก่อน (Pretest) และหลัง (Pretest) การให้คำปรึกษากลุ่ม และวิเคราะห์ข้อมูลคะแนนกรอบความคิดเติบโตและคะแนนความเครียด โดยใช้ค่าสถิติ Wilcoxon Signed Ranks Test ผลการวิจัยพบว่า นิสิตกลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่มีคะแนนกรอบความคิดเติบโตเพิ่มขึ้นหลังเข้าร่วมโปรแกรมการให้คำปรึกษากลุ่ม คิดเป็นร้อยละ 71.43 เมื่อเทียบกับก่อนเข้าร่วมโปรแกรมการให้คำปรึกษากลุ่ม แต่โปรแกรมการให้คำปรึกษากลุ่มสามารถเพิ่มกรอบความคิดเติบโตของนิสิตกลุ่มนี้ได้อย่างไม่มีนัยสำคัญทางสถิติ (p = 0.176) ในขณะที่ นิสิตกลุ่มตัวอย่างร้อยละ 85.71 มีคะแนนความเครียดลดลง หลังเข้าร่วมโปรแกรมการให้คำปรึกษากลุ่ม และโปรแกรมการให้คำปรึกษากลุ่มสามารถลดความเครียดของนิสิตกลุ่มนี้ได้อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.042 (p < 0.05) เมื่อเปรียบเทียบกับก่อนเข้าร่วมโปรแกรมการให้คำปรึกษากลุ่ม ผลการวิจัยนี้แสดงให้เห็นว่า การให้คำปรึกษากลุ่มตามทฤษฎีเผชิญความจริง และทฤษฎีบำบัดความคิดและพฤติกรรมต่อการพัฒนากรอบความคิดเติบโตมีประสิทธิภาพในการลดความเครียด แต่สามารถพัฒนากรอบความคิดเติบโตได้อย่างไม่มีนัยสำคัญทางสถิติ</p>
ณัฐนิช ทิตย์สีแสง, กาญจนวัลย์ ปรีชาสุชาติ, ดวงฤดี พ่วงแสง, ชคดี บุญเกษม
Copyright (c) 2025
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
https://so07.tci-thaijo.org/index.php/JSSD/article/view/7938
Mon, 26 May 2025 00:00:00 +0700
-
การจัดการการสื่อสารเพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยว ของอำเภอเคียนซา จังหวัดสุราษฎร์ธานี
https://so07.tci-thaijo.org/index.php/JSSD/article/view/7939
<p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์หลักเพื่อศึกษา 1) กระบวนการจัดการการสื่อสารเพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวในอำเภอเคียนซา และ 2) รูปแบบการจัดการการสื่อสารเพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวในอำเภอเคียนซา โดยใช้วิธีวิจัยเชิงคุณภาพด้วยการสัมภาษณ์เชิงลึกจากผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง 16 คน เลือกแบบเจาะจง เครื่องมือวิจัยที่ใช้คือแบบสัมภาษณ์เชิงลึกแบบมีโครงสร้าง และการวิเคราะห์ข้อมูลโดยการสร้างข้อสรุป ผลการวิจัยพบว่า 1) กระบวนการจัดการการสื่อสารเพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยว มี 3 ขั้นตอน ได้แก่ 1.1) การจัดทำนโยบายและแผนการสื่อสาร โดยการมีส่วนร่วมของภาคีเครือข่ายที่หลากหลาย ทั้งจากภาครัฐ เอกชน และประชาชน เพื่อกำหนดแนวทางการสื่อสารร่วมกัน 1.2) การดำเนินการสื่อสาร แต่ละภาคีดำเนินการสื่อสารตามแผนที่ตกลงร่วมกัน โดยใช้ช่องทางสื่อหลากหลาย เช่น สื่อสิ่งพิมพ์ วิทยุ เว็บไซต์ ป้ายประชาสัมพันธ์ และสื่อสังคมออนไลน์ ซึ่งเนื้อหามุ่งเน้นการนำเสนอจุดเด่นของแหล่งท่องเที่ยว เส้นทาง อาหาร ที่พัก และเรื่องเล่าจากประสบการณ์ของนักท่องเที่ยว เพื่อสร้างแรงจูงใจในการเดินทางท่องเที่ยว และ 1.3) การประเมินผลการสื่อสารโดยเก็บข้อมูลความคิดเห็นของนักท่องเที่ยว นำผลมาวิเคราะห์และประชุมร่วมกันเพื่อปรับปรุงกระบวนการและจัดทำเป็นแนวทางปฏิบัติที่ดี 2) รูปแบบการจัดการการสื่อสารเพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยว มี 2 รูปแบบ ได้แก่ 2.1) การดำเนินงานร่วมกันของภาคีเครือข่ายโดยแบ่งงานตามบทบาทหน้าที่ ดำเนินการภายใต้นโยบายและแผนงานที่วางไว้ ร่วมกันออกแบบเนื้อหาและสื่อ บริหารงบประมาณตามศักยภาพของแต่ละองค์กร 2.2) การประชุมร่วมของภาคีเครือข่าย เพื่อกำกับติดตามการทำงาน แลกเปลี่ยนเรียนรู้ ร่วมกันแก้ปัญหา และร่วมกำหนดแนวทางการพัฒนา โดยเน้นการสร้างเอกภาพในการดำเนินงาน ลดความซ้ำซ้อน และเพิ่มประสิทธิภาพในการสื่อสารกับกลุ่มเป้าหมายที่เฉพาะเจาะจงมากขึ้น</p>
วัชระ วรดิถี, ธิติพัฒน์ เอี่ยมนิรันดร์, วิทยาธร ท่อแก้ว
Copyright (c) 2025
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
https://so07.tci-thaijo.org/index.php/JSSD/article/view/7939
Mon, 26 May 2025 00:00:00 +0700
-
การจัดการการสื่อสารเพื่อสร้างการมีส่วนร่วมในการอนุรักษ์พันธุ์ไม้จันทน์กะพ้อ อำเภอเคียนซา จังหวัดสุราษฎร์ธานี
https://so07.tci-thaijo.org/index.php/JSSD/article/view/7940
<p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา 1) กระบวนการจัดการการสื่อสารเพื่อสร้างการมีส่วนร่วมในการอนุรักษ์พันธุ์ไม้จันทน์กะพ้อ และ 2) รูปแบบการจัดการการสื่อสารเพื่อสร้างการมีส่วนร่วมในการอนุรักษ์พันธุ์ไม้จันทน์กะพ้อ ใช้วิธีวิจัยเชิงคุณภาพโดยสัมภาษณ์เชิงลึกผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง จำนวน 20 คน เลือกแบบเจาะจง ได้แก่ เจ้าหน้าที่รัฐ ผู้นำท้องถิ่น ครู ผู้นำศาสนา และประชาชน เครื่องมือการวิจัย คือ แบบสัมภาษณ์เชิงลึก วิเคราะห์ข้อมูลโดยการสร้างข้อสรุป ผลการวิจัยพบว่า 1) กระบวนการจัดการการสื่อสาร พบว่ามีองค์ประกอบหลัก 4 ขั้นตอน ได้แก่ 1) การกำหนดนโยบายการสื่อสาร เกิดจากภาวะวิกฤติการสูญพันธุ์ของไม้จันทน์กะพ้อ โดยเน้นบทบาทของประชาชนที่มีความรู้ความเข้าใจในบริบทท้องถิ่นให้มีส่วนร่วมในการจัดการ 2) การวางแผนการสื่อสารเชิงกลยุทธ์ที่ชัดเจนด้านผู้ส่งสาร กลุ่มเป้าหมาย เนื้อหา ช่องทางการสื่อสาร และผลลัพธ์ที่คาดหวัง เพื่อให้การดำเนินงานเป็นไปอย่างมีทิศทาง 3) การดำเนินการสื่อสาร ใช้ทั้งสื่อบุคคล สื่อออนไลน์ กิจกรรมอบรม และการเรียนรู้ภาคสนามในสถานการณ์จริง เพื่อให้เกิดความเข้าใจลึกซึ้งและใกล้ชิด และ 4) การติดตามและประเมินผลการสื่อสาร ครอบคลุมด้านการรับรู้ ความรู้ ความเข้าใจ ทัศนคติ และพฤติกรรมของกลุ่มเป้าหมาย เพื่อนำผลประเมินมาปรับปรุงให้การสื่อสารเกิดประสิทธิผล 2) รูปแบบการจัดการการสื่อสาร แบ่งเป็นสองลักษณะ ได้แก่ 1) การสื่อสารทางเดียว เพื่อถ่ายทอดความรู้และแนวทางแก้ไขปัญหาจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องสู่ประชาชน และ 2) การสื่อสารสองทางที่เปิดพื้นที่ให้เกิดการมีส่วนร่วมอย่างแท้จริงผ่านกระบวนการร่วมคิด ร่วมวางแผน ร่วมลงมือทำ และร่วมติดตามผล ซึ่งส่งผลให้ชุมชนเกิดความเข้าใจและความร่วมมือในการอนุรักษ์พันธุ์ไม้จันทน์กะพ้ออย่างมีประสิทธิภาพ</p>
วิทยา ชัยสวัสดิ์, ธิติพัฒน์ เอี่ยมนิรันดร์, วิทยาธร ท่อแก้ว
Copyright (c) 2025
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
https://so07.tci-thaijo.org/index.php/JSSD/article/view/7940
Mon, 26 May 2025 00:00:00 +0700
-
การพัฒนารูปแบบเสริมพลังการเรียนรู้ โดยใช้สื่อประสม ชุดการเรียนรู้ เรื่องไฟฟ้า กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6
https://so07.tci-thaijo.org/index.php/JSSD/article/view/7941
<p>วัตถุประสงค์ของการวิจัย เพื่อสร้างรูปแบบเสริมพลังการเรียนรู้ เพื่อพัฒนาและหาประสิทธิภาพรูปแบบเสริมพลังการเรียนรู้ เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ก่อนเรียนและหลังเรียนด้วยรูปแบบเสริมพลังการเรียนรู้ เพื่อศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ที่มีต่อรูปแบบเสริมพลังการเรียนรู้ โดยใช้สื่อประสม ชุดการเรียนรู้ เรื่องไฟฟ้า กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี การวิจัยนี้เป็นการวิจัยแบบกึ่งทดลอง กลุ่มเป้าหมาย คือ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนอ่างทองพัฒนา (สำนักงานสลากกินแบ่งสงเคราะห์ 4) จำนวน 19 คน ได้มาจากการเลือกแบบเจาะจง เครื่องมือที่ใช้ ได้แก่ สื่อประสมชุดการเรียนรู้ เรื่องไฟฟ้า แผนการจัดการเรียนรู้รูปแบบเสริมพลังการเรียนรู้ แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ 40 ข้อ และแบบสอบถามความพึงพอใจ 20 ข้อ สถิติที่ใช้ ได้แก่ การคำนวณหาประสิทธิภาพ (E1/E2) ค่าร้อยละ (P) ค่าเฉลี่ย ( ) ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) และการทดสอบค่าที ผลการวิจัยพบว่า 1) รูปแบบการเรียนรูปแบบเสริมพลังการเรียนรู้ โดยใช้สื่อประสม ชุดการเรียนรู้ เรื่องไฟฟ้า กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 โดยกระบวนการสอนที่พัฒนา มี 5 ขั้นตอน ได้แก่ 1.1) เสริมพลังการเรียนรู้ 1.2) สืบค้นข้อมูล 1.3) อธิบาย 1.4) เชื่อมโยงความรู้ และ 1.5) ประเมินผลลัพธ์ 2) ผลการหาประสิทธิภาพของรูปแบบการเรียนรูปแบบเสริมพลังการเรียนรู้ มีค่าเท่ากับ 85.58/84.47 3) ผลการเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนและหลังทดลอง พบว่า ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน และ 4) ผลการประเมินความพึงพอใจของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ที่มีต่อรูปแบบการเรียนรูปแบบเสริมพลังการเรียนรู้ โดยรวมอยู่ในระดับความพึงพอใจมากที่สุด (<img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\bar{x}" alt="equation"> = 4.86, S.D. = 0.20)</p>
จันทนา มั่นคง
Copyright (c) 2025
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
https://so07.tci-thaijo.org/index.php/JSSD/article/view/7941
Mon, 26 May 2025 00:00:00 +0700
-
ปัจจัยที่ส่งผลต่อความสำเร็จของผู้ประกอบการธุรกิจโซล่าเซลล์ ในนิคมอุตสาหกรรมจังหวัดระยอง
https://so07.tci-thaijo.org/index.php/JSSD/article/view/7942
<p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) เพื่อศึกษาระดับปัจจัยที่ส่งผลต่อความสำเร็จของผู้ประกอบการธุรกิจโซล่าเซลล์ ในนิคมอุตสาหกรรมจังหวัดระยอง และ 2) เพื่อเปรียบเทียบความสำเร็จของผู้ประกอบการธุรกิจโซล่าเซลล์ ในนิคมอุตสาหกรรม จังหวัดระยอง เป็นการวิจัยเชิงปริมาณ กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ ผู้ประกอบการธุรกิจโซล่าเซลล์ในนิคมอุตสาหกรรม จังหวัดระยอง เลือกกลุ่มตัวอย่างแบบง่าย โดยใช้สูตรของทาโร ยามาเน่ รวมจำนวนทั้งสิ้น 385 คน เครื่องมือในการเก็บรวบรวมข้อมูล คือ แบบสอบถามเป็นแบบมาตรฐานส่วนประมาณค่า 5 ระดับ ซึ่งมีค่าความเชื่อมั่นทั้งฉบับเท่ากับ 0.97 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และสถิติที่ใช้ในการทดสอบ ได้แก่ สถิติเชิงอนุมาน ได้แก่ สถิติ t-test สถิติ F-test และการวิเคราะห์การถดถอยแบบพหูคูณ กำหนดนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 ผลการวิจัยพบว่า 1) ระดับปัจจัยที่ส่งผลต่อความสำเร็จของผู้ประกอบการธุรกิจโซล่าเซลล์มีผลต่อความสำเร็จของผู้ประกอบการธุรกิจในนิคมอุตสาหกรรม จังหวัดระยอง อยู่ในระดับมากและพิจารณารายด้าน พบว่า ผู้ให้บริการมีความเชี่ยวชาญในสินค้า ผู้ให้บริการให้บริการได้ตรงตามเวลาที่กำหนดและมีผู้ให้บริการสามารถแก้ปัญหาเฉพาะหน้าได้ดี และ 2) เพื่อเปรียบเทียบความสำเร็จของผู้ประกอบการธุรกิจโซล่าเซลล์ ในนิคมอุตสาหกรรม จังหวัดระยอง พบว่า การจัดตั้งบริษัทในรูปแบบนิติบุคคล ขนาดของกิจการขนาดใหญ่ (มากกว่า 100 ราย) ระยะเวลาในการให้บริการขาย ช่างเทคนิคและช่างผู้ติดตั้งมากกว่า 5 คน ขึ้นไป และประสบการณ์ด้านโซล่าเซลล์แตกต่างกัน ปัจจัยความสำเร็จในการประกอบการธุรกิจโซล่าเซลล์ในนิคมอุตสาหกรรม จังหวัดระยองไม่แตกต่างกันและปัจจัยความได้เปรียบในการแข่งขันมีอิทธิพลต่อความสำเร็จของผู้ประกอบการธุรกิจประกอบการธุรกิจโซล่าเซลล์ ในนิคมอุตสาหกรรมจังหวัดระยอง</p>
กนกวรรณ นราแหวว, สุมลรัตน์ โฆษิตคณิณ
Copyright (c) 2025
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
https://so07.tci-thaijo.org/index.php/JSSD/article/view/7942
Mon, 26 May 2025 00:00:00 +0700
-
การศึกษาสภาพปัจจุบันแพลตฟอร์มประเมินผลการศึกษายุคดิจิทัล ของมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย
https://so07.tci-thaijo.org/index.php/JSSD/article/view/7943
<p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ ศึกษาสภาพปัจจุบันของแพลตฟอร์มประเมินผลการศึกษายุคดิจิทัลของมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เป็นการวิจัยแบบผสมผสาน ผู้ให้ข้อมูลสำคัญ ได้แก่ ผู้บริหารระดับสูง ผู้มีประสบการณ์ในการจัดการเรียนการสอนออนไลน์ ผู้เชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีการศึกษา และบุคลากรที่เกี่ยวข้องกับหลักสูตร จำนวน 15 ราย เลือกแบบเจาะจง เครื่องมือวิจัย ได้แก่ แบบสัมภาษณ์เชิงลึก เก็บรวบรวมข้อมูลด้วยการสัมภาษณ์เชิงลึก วิเคราะห์ข้อมูลโดยการวิเคราะห์เนื้อหา ผลการวิจัยพบว่า มหาวิทยาลัยยังขาดระบบเทคโนโลยีมาตรฐานสำหรับการประเมินผลออนไลน์ สภาพปัจจุบันประสบปัญหาหลายประการ ได้แก่ <br>การขาดระบบคลังข้อสอบกลางแบบดิจิทัล การขาดระบบทดสอบออนไลน์ที่มีมาตรฐาน การประมวลผลยังใช้วิธีการแบบดั้งเดิมที่มีความล่าช้าและเสี่ยงต่อความผิดพลาด ระบบการจัดเก็บข้อมูลยังไม่เอื้อต่อการวิเคราะห์และตัดสินใจ และการเข้าถึงระบบยังมีข้อจำกัด นอกจากนี้ยังพบปัญหาและอุปสรรคสำคัญในการพัฒนาแพลตฟอร์ม ได้แก่ ข้อจำกัดด้านระบบเทคโนโลยี บุคลากร ด้านงบประมาณ และการขาดการบูรณาการหลักพุทธธรรมในระบบประเมินผล ความต้องการในการพัฒนาแพลตฟอร์มประกอบด้วย ระบบคลังข้อสอบดิจิทัลที่เป็นมาตรฐาน ระบบทดสอบออนไลน์ที่หลากหลายและยืดหยุ่น ระบบการประมวลผลอัตโนมัติและการวิเคราะห์ข้อมูล ระบบรายงานผลที่สามารถเข้าถึงได้ทุกที่ทุกเวลา และการบูรณาการหลักพุทธธรรมในระบบประเมินผล ผลการวิจัยนี้นำไปสู่ข้อเสนอแนะเชิงนโยบายและการปฏิบัติสำหรับมหาวิทยาลัยในการพัฒนาแพลตฟอร์มประเมินผลการศึกษายุคดิจิทัลที่สอดคล้องกับอัตลักษณ์ของมหาวิทยาลัยสงฆ์ เพื่อยกระดับคุณภาพการศึกษาและการเผยแผ่พระพุทธศาสนาในยุคดิจิทัล การพัฒนาดังกล่าวจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการจัดการเรียนการสอนและสนับสนุนการก้าวสู่มหาวิทยาลัยดิจิทัลอย่างเต็มรูปแบบตามแผนยุทธศาสตร์การพัฒนาการศึกษาของมหาวิทยาลัย</p>
อภิชาติ รอดนิยม, เกษม แสงนนท์, พระสุรชัย สุรชโย
Copyright (c) 2025
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
https://so07.tci-thaijo.org/index.php/JSSD/article/view/7943
Mon, 26 May 2025 00:00:00 +0700
-
การประเมินประสิทธิภาพในการบริหารจัดการน้ำชลประทานของกลุ่มผู้ใช้น้ำ: กรณีศึกษาโครงการฝายน้ำปาย 1 บ้านห้วยเงิน เมืองคอบ แขวงไชยบูรี สปป.ลาว
https://so07.tci-thaijo.org/index.php/JSSD/article/view/7946
<p>น้ำเป็นทรัพยากรธรรมชาติที่จำเป็นและสำคัญที่สุดต่อการดำรงชีวิตของมนุษย์และสิ่งมีชีวิต ทว่าปัญหาการขาดแคลนน้ำเพื่อการเกษตรเป็นประเด็นสำคัญที่หลายภูมิภาคในประเทศลาวกำลังเผชิญอยู่ โครงการฝายน้ำปาย 1 ซึ่งตั้งอยู่ที่บ้านห้วยเงิน เมืองคอบ แขวงไชยบูรี มีบทบาทสำคัญในระบบชลประทานเพื่อสนับสนุนการปลูกข้าวของเกษตรกร อย่างไรก็ตาม โครงการประสบปัญหาน้ำไม่เพียงพอ อันเนื่องมาจากการบริหารจัดการน้ำที่ไม่มีประสิทธิภาพ งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาประเมินประสิทธิภาพการบริหารจัดการน้ำ และนำเสนอแนวทางในการเพิ่มประสิทธิภาพของการจัดการน้ำของระบบชลประทานและสร้างความยั่งยืนให้แก่ชุมชนในพื้นที่ การศึกษาครั้งนี้ดำเนินการโดยการประยุกต์ใช้ระเบียบวิธีวิจัยทั้งเชิงคุณภาพและเชิงปริมาณ ข้อมูลเชิงคุณภาพได้มาจากการจัดกลุ่มผู้ใช้น้ำในพื้นที่ออกเป็น 4 กลุ่ม และดำเนินการสัมมนาแบบกลุ่ม (focus group discussion) โดยใช้ประเด็นคำถามที่มีการกำหนดอย่างชัดเจน ในส่วนของข้อมูลเชิงปริมาณ ได้มาจากการออกแบบแบบสอบถามชนิดปลายปิด กลุ่มผู้ใช้น้ำหรือกลุ่มผู้ได้รับประโยชน์มี 52 ครัวเรือน ครอบคลุมใน 3 หมู่บ้าน ซึ่งจัดทำเพื่อเก็บรวบรวมข้อมูลจากสมาชิกกลุ่มผู้ใช้น้ำแต่ละราย โดยการวิเคราะห์ข้อมูลใช้การอธิบายแบบเชิงพรรณนา. ผลการศึกษาชี้ให้เห็นว่าปัญหามี 1) กลุ่มผู้ใช้น้ำขาดการประสานงานวางแผนในการใช้น้ำอย่างเป็นรูปธรรม ที่สำคัญคือไม่มีรอบเวรในการเปิดปิดน้ำ 2) ลักษณะภูมิประเทศที่ทำให้ไม่สามารถเอาน้ำที่ใช้แล้วของกลุ่มกลางคลองส่งต่อให้กลุ่มท้ายคลองได้ และ 3) ข้อจำกัดด้านโครงสร้างพื้นฐาน เช่นคลองระบายน้ำใช้ไม่ได้ทำให้เกิดปัญหาน้ำท่วมถ้ามีฝนตกหนัก </p>
สุมัว มัว, กิติชัย รัตนะ, วิพักตร์ จินตนา
Copyright (c) 2025
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
https://so07.tci-thaijo.org/index.php/JSSD/article/view/7946
Tue, 27 May 2025 00:00:00 +0700
-
การส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ตลาดริมคลอง เทศบาลตำบลหัวไทร อำเภอหัวไทร จังหวัดนครศรีธรรมราช
https://so07.tci-thaijo.org/index.php/JSSD/article/view/7947
<p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) เพื่อศึกษาการส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ตลาดริมคลองเทศบาลตำบลหัวไทร อำเภอหัวไทร จังหวัดนครศรีธรรมราช และ 2) เพื่อศึกษาข้อเสนอแนะเกี่ยวกับแนวทางการส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ตลาดริมคลองเทศบาลตำบลหัวไทร อำเภอ หัวไทร จังหวัดนครศรีธรรมราช เป็นการวิจัยแบบผสานวิธี การวิจัยเชิงปริมาณ เก็บข้อมูลโดยใช้ แบบสอบถาม วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้โปรแกรมสำเร็จรูป หาค่าเฉลี่ย (<img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\bar{x}" alt="equation">) ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) จากกลุ่มตัวอย่างที่มีภูมิลำเนาอยู่ในเขตพื้นที่เทศบาลตำบลหัวไทร จำนวน 351 คน และ การวิจัยเชิงคุณภาพ เก็บข้อมูลโดยการสัมภาษณ์ผู้ให้ข้อมูลสำคัญ จำนวน 23 คน ผลการวิจัยพบว่า การส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ตลาดริมคลองเทศบาลตำบลหัวไทร อำเภอหัวไทร จังหวัดนครศรีธรรมราช โดยรวม มีค่าเฉลี่ยแปลผล อยู่ในระดับมาก (<img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\bar{x}" alt="equation"> = 3.51) เมื่อพิจารณาเป็นรายด้านโดยเรียงลำดับตามค่าเฉลี่ยจากสูงไปหาต่ำ พบว่า ด้านการสร้างความรับผิดชอบทางสังคม มีค่าเฉลี่ยสูงที่สุด (<img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\bar{x}" alt="equation"> = 3.62) รองลงมา ได้แก่ ด้านการสนับสนุนภูมิปัญญาและวัฒนธรรมท้องถิ่น (<img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\bar{x}" alt="equation"> = 3.59) และด้านการสนับสนุนธุรกิจที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม (<img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\bar{x}" alt="equation"> = 3.48) ส่วนด้านการสร้างความตระหนักรู้การอนุรักษ์ มีค่าเฉลี่ยต่ำสุด (<img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\bar{x}" alt="equation"> = 3.43) 2) ข้อเสนอแนะการส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ตลาดริมคลองเทศบาลตำบลหัวไทร อำเภอหัวไทร จังหวัดนครศรีธรรมราช พบว่า ควรการสร้างความตระหนักรู้เรื่องการอนุรักษ์ ที่ต้องอาศัยความเข้าใจ ความร่วมมือจากทุกฝ่าย ส่งเสริมสนับสนุนให้ใช้วัสดุธรรมชาติ เน้นใช้พลังงานทดแทน ปรับตัวสู่แนวทางที่ยั่งยืนอย่างมีจิตสำนึก ผ่านอัตลักษณ์ของชุมชน เป็นประโยชน์ต่อชุมชนต่อการสืบสานวัฒนธรรมและภูมิปัญญาท้องถิ่นให้คงอยู่ต่อไป</p>
พระธนากร ภทฺทโก (นวลลออ), ดิเรก นุ่นกล่ำ, กันตภณ หนูทองแก้ว
Copyright (c) 2025
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
https://so07.tci-thaijo.org/index.php/JSSD/article/view/7947
Tue, 27 May 2025 00:00:00 +0700
-
พฤติกรรมในการมาทำบุญของพุทธศาสนิกชนที่วัดสีชมพู เขตหนองจอก กรุงเทพมหานคร
https://so07.tci-thaijo.org/index.php/JSSD/article/view/7948
<p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา ปัจจัยส่วนประสมทางการตลาดในมุมของพุทธศาสนิกชน พฤติกรรมการมาทำบุญที่วัดสีชมพูของพุทธศาสนิกชน เปรียบเทียบพฤติกรรมการมาทำบุญที่วัดสีชมพูของพุทธศาสนิกชน จำแนกตามข้อมูลส่วนบุคคล และปัจจัยส่วนประสมทางการตลาดในมุมของพุทธศาสนิกชนที่มีผลต่อพฤติกรรมการมาทำบุญที่วัดสีชมพู เป็นการวิจัยเชิงปริมาณ กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่พุทธศาสนิกชนที่มาทำบุญวัดสีชมพู จำนวน 400 คน เลือกแบบเจาะจง เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แบบสอบถาม เก็บรวบรวมข้อมูลด้วยแบบสอบถาม สถิติที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การทดสอบสมมุติฐานใช้ Chi-square และ Multiple Regression Analysis ผลการวิจัย พบว่า ปัจจัยส่วนประสมทางการตลาดในมุมของพุทธศาสนิกชน ส่วนใหญ่เป็นเพศหญิง มีอายุ 21-30 ปี สถานภาพสมรส การศึกษาระดับมัธยม อาชีพเป็นพนักงานบริษัทเอกชน รายได้เฉลี่ยต่อเดือน 10,001 - 20,000 บาท ปัจจัยส่วนประสมทางการตลาดฯ โดยภาพรวมอยู่ในระดับสำคัญมาก พฤติกรรมการมาทำบุญที่วัดสีชมพูของพุทธศาสนิกชน ส่วนมากถวายสังฆทาน ทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้ญาติมิตรที่เสียชีวิต อยากมาทำบุญด้วยตัวเอง เพื่อสะเดาะเคราะห์ ผู้ที่ร่วมเดินทางคือเพื่อน คนรู้จัก และครอบครัวหรือญาติ ในช่วงวันหยุดเสาร์ – อาทิตย์ เฉลี่ยเดือนละ 1 ครั้ง ค่าใช้จ่าย 192 บาท ผลการเปรียบเทียบพฤติกรรมการมาทำบุญของพุทธศาสนิกชนที่วัดสีชมพู จำแนกตามข้อมูลส่วนบุคคล ด้านเพศ อายุ ระดับการศึกษา สถานภาพ อาชีพ และ 6) รายได้ แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญที่ระดับ 0.05 ผลการศึกษาปัจจัยส่วนประสมทางการตลาดในมุมของพุทธศาสนิกชนที่มีผลต่อพฤติกรรมการมาทำบุญที่วัดสีชมพู มีอิทธิพลต่อพฤติกรรมการมาทำบุญของพุทธศาสนิกชนที่วัดสีชมพู อย่างมีนัยสำคัญที่ระดับ 0.05</p>
พระปลัดพิบูรณ์ชัย รุ่งเรือง, ชิณโสณ์ วิสิฐนิธิกิจา
Copyright (c) 2025
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
https://so07.tci-thaijo.org/index.php/JSSD/article/view/7948
Tue, 27 May 2025 00:00:00 +0700
-
ปัจจัยที่ส่งผลต่อความสำเร็จของผู้ประกอบการในการวางแผนปฏิบัติงานของพนักงานในโรงงานบรรจุภัณฑ์พลาสติก จังหวัดชลบุรี
https://so07.tci-thaijo.org/index.php/JSSD/article/view/7949
<p>การศึกษาครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อศึกษาปัจจัยที่ส่งผลต่อความสำเร็จในการวางแผนการปฏิบัติงานของพนักงานในโรงงานการบรรจุภัณฑ์พลาสติก จังหวัดชลบุรี โดยใช้แบบสอบถามเป็นเครื่องมือในการเก็บรวบรวมข้อมูล พนักงานในโรงงานบรรจุภัณฑ์พลาสติก จังหวัดชลบุรี ซึ่งขนาดของกลุ่มตัวอย่างได้มาจากการคํานวณหาขนาดกลุ่มตัวอย่างโดยใช้สูตรของทาโร่ ยามาเน่ จำนวน 390 ตัวอย่าง สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน วิเคราะห์ค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ และทดสอบสมมติฐานโดยการวิเคราะห์การถดถอยพหุคูณ ผลการศึกษาพบว่าผู้ตอบแบบสอบถาม ส่วนใหญ่เป็นเพศชาย ส่วนใหญ่มีอายุ 41 - 50 ปี การศึกษาปริญญาตรี ประสบการณ์ในการทำงาน 6 - 10 ปี ผลการวิเคราะห์ปัจจัยที่ส่งผลต่อความสำเร็จของของผู้ประกอบการบรรจุภัณฑ์พลาสติกในการวางแผนการปฏิบัติงานของพนักงานในโรงงานโดยรวมอยู่ในระดับมาก การวิเคราะห์สัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ด้านการวางแผนการปฏิบัติงานของพนักงาน จังหวัดชลบุรีพบว่า มีความสัมพันธ์ในทิศทางเดียวกัน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ผลการวิเคราะห์ความสัมพันธ์ปัจจัยที่ส่งผลต่อความสำเร็จของของผู้ประกอบการบรรจุภัณฑ์พลาสติกด้านการวางแผนการปฏิบัติงานของพนักงานในโรงงานวิธีการถดถอย พหุคูณ พบว่า ค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธพ์หุคูณ มีค่าเท่ากับ 0.434 อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ 0.05 ด้านคุณภาพงาน พัฒนากระบวนการวางแผนที่เน้นคุณภาพของสินค้าให้ตรงตามความต้องการของลูกค้ากำหนดมาตรฐานการตรวจสอบคุณภาพสินค้า ด้านวิธีการ วางแผนกระบวนการผลิตและการจัดการที่เหมาะสม โดยใช้เทคโนโลยีและวิธีการที่ทันสมัยพัฒนาแนวทางการบริหารงานที่ลดขั้นตอนที่ซับซ้อน ด้านความก้าวหน้าของงานสร้างระบบติดตามความก้าวหน้าของงาน</p>
ชญานิศ ประทุมรัตน์, จิรพันธ์ สกุณา, อรฑดา ประเสริฐ, กฤษฎาภรณ์ รุจิธำรงกุล, สุรเชษฐ์ โล่ห์ทองคำ
Copyright (c) 2025
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
https://so07.tci-thaijo.org/index.php/JSSD/article/view/7949
Tue, 27 May 2025 00:00:00 +0700
-
แนวทางพัฒนาการบริหารสถานศึกษาในยุคดิจิทัลของศูนย์บริหารการจัดการศึกษาป่าแป๋ สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาแม่ฮ่องสอน เขต 2
https://so07.tci-thaijo.org/index.php/JSSD/article/view/7950
<p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาสภาพและปัญหาการบริหารสถานศึกษาในยุคดิจิทัลของศูนย์บริหารการจัดการศึกษาป่าแป๋ สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาแม่ฮ่องสอน เขต 2 และ 2) หาแนวทางพัฒนาการบริหารสถานศึกษาในยุคดิจิทัลของศูนย์บริหารการจัดการศึกษาป่าแป๋ สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาแม่ฮ่องสอน เขต 2 การศึกษาวิจัยใช้เครื่องมือเป็นแบบสอบถามและแบบสัมภาษณ์ โดยประชากรเป็นผู้บริหารสถานศึกษาและครูผู้สอน จำนวน 93 คน ในศูนย์บริหารการจัดการศึกษาป่าแป๋ สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาแม่ฮ่องสอน เขต 2 และผู้ทรงคุณวุฒิ จำนวน 9 คน เครื่องมือเป็นแบบสอบถามและแบบสัมภาษณ์แบ่งเป็น 3 ตอนคือ ตอนที่ 1 สภาพทั่วไปของผู้ตอบแบบสอบถาม ตอนที่ 2 สอบถามความคิดเห็นเกี่ยวกับสภาพการบริหารสถานศึกษาในยุคดิจิทัล ตอนที่ 3 สอบถามปัญหาการบริหารสถานศึกษาในยุคดิจิทัลของศูนย์บริหารการจัดการศึกษาป่าแป๋ สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาแม่ฮ่องสอน เขต 2 มีโครงสร้าง วิเคราะห์ข้อมูลโดยหาค่าความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการวิเคราะห์เนื้อหา ผลการวิจัยพบว่า สภาพการบริหารสถานศึกษาในยุคดิจิทัล โดยรวมอยู่ในระดับมาก โดยมีค่าเฉลี่ยที่ 4.18 และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานที่ 0.65 <br>(m = 4.18, s = 0.65) เรียงจากสูงไปต่ำคือ การบริหารงานวิชาการ สูงที่สุด รองลงมา คือ การบริหารงานบุคคล การบริหารงานทั่วไป และการบริหารงานงบประมาณ ต่ำที่สุด ปัญหาการบริหารสถานศึกษาในยุคดิจิทัลคือ การสร้างเครือข่ายการเรียนรู้ผ่านเทคโนโลยีกับหน่วยงานหรือองค์กรอื่น ๆ การใช้เทคโนโลยีสารสนเทศในการระดมทรัพยากร การสร้างเครือข่ายของครูผู้สอนภายในและภายนอกให้มีการเชื่อมโยงข้อมูล และการใช้ระบบเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์ที่ทันสมัยในการรับและการจัดทำสำมะโนนักเรียน</p>
ณัฐพงศ์ อินทราย, ธนกฤต สิทธิราช
Copyright (c) 2025
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
https://so07.tci-thaijo.org/index.php/JSSD/article/view/7950
Tue, 27 May 2025 00:00:00 +0700
-
การท่องเที่ยวเชิงพระพุทธศาสนา : การพัฒนารูปแบบการจัดการท่องเที่ยวของวัดในภาคใต้ที่ได้รับอิทธิพลงานพุทธศิลป์พระบรมธาตุเจดีย์นครศรีธรรมราช
https://so07.tci-thaijo.org/index.php/JSSD/article/view/7951
<p>บทความนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อ ศึกษาสภาพปัจจุบันของรูปแบบการจัดการท่องเที่ยวเชิงพระพุทธศาสนาในภาคใต้ พัฒนารูปแบบและกิจกรรมการจัดการท่องเที่ยวเชิงพระพุทธศาสนาของวัดในภาคใต้ที่ได้รับอิทธิพลงานพุทธศิลป์พระบรมธาตุเจดีย์นครศรีธรรมราช และเสริมสร้างเครือข่ายการจัดการท่องเที่ยวเชิงพระพุทธศาสนาของวัดในภาคใต้ที่ได้รับอิทธิพลงานพุทธศิลป์พระบรมธาตุเจดีย์นครศรีธรรมราช เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพ ศึกษาเอกสารและการสัมภาษณ์เชิงลึก นำเสนอผลการวิจัยเชิงพรรณนา ผลการวิจัยพบว่า สภาพปัจจุบันของรูปแบบการจัดการท่องเที่ยวเชิงพระพุทธศาสนาในภาคใต้ ได้แก่ การท่องเที่ยวเชิงธรรมชาติและทะเล การท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมและศาสนา การท่องเที่ยวเชิงสุขภาพและวิถีชุมชน การท่องเที่ยวเชิงอาหาร การท่องเที่ยวเชิงประวัติศาสตร์ กีฬาและผจญภัย และการท่องเที่ยวเชิงศรัทธาและแสวงบุญ การพัฒนารูปแบบและกิจกรรมการจัดการท่องเที่ยวเชิงพระพุทธศาสนาของวัดในภาคใต้ที่ได้รับอิทธิพลงานพุทธศิลป์พระบรมธาตุเจดีย์นครศรีธรรมราช ได้แก่ ทิศทางการพัฒนารูปแบบการจัดการท่องเที่ยว ความสำคัญของการจัดกิจกรรมการจัดการท่องเที่ยวเชิงพระพุทธศาสนาของวัดในภาคใต้ ความสำคัญของงานพุทธศิลป์ของวัดที่เป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงพระพุทธศาสนาในภาคใต้ และงานพุทธศิลป์ของวัดที่ได้รับอิทธิพลจากพระบรมธาตุเจดีย์นครศรีธรรมราชที่ส่งผลต่อสังคม การเสริมสร้างเครือข่ายการจัดการท่องเที่ยวเชิงพระพุทธศาสนาของวัดในภาคใต้ที่ได้รับอิทธิพลงานพุทธศิลป์พระบรมธาตุเจดีย์นครศรีธรรมราช ได้แก่ การทำความเข้าใจเกี่ยวกับเครือข่ายของการจัดการท่องเที่ยวเชิงพระพุทธศาสนาของวัดในภาคใต้ ความจำเป็นของการเสริมสร้างเครือข่ายการจัดการท่องเที่ยวเชิงพระพุทธศาสนาของวัดในภาคใต้ และการเสริมสร้างเครือข่ายการจัดการท่องเที่ยวเชิงพระพุทธศาสนาของวัดในภาคใต้ที่ได้รับอิทธิพลงานพุทธศิลป์พระบรมธาตุเจดีย์นครศรีธรรมราชที่มีผลต่อการท่องเที่ยว</p>
พระครูโฆสิตวัฒนานุกูล, พระครูจิตตสุนทร, สิทธิโชค ปาณะศรี, ทวีโชค เหรียญไกร
Copyright (c) 2025
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
https://so07.tci-thaijo.org/index.php/JSSD/article/view/7951
Tue, 27 May 2025 00:00:00 +0700
-
การสื่อสารประเด็นความรักและการเล่าเรื่องความขัดแย้งผ่านละครไทย “เกมรักทรยศ”
https://so07.tci-thaijo.org/index.php/JSSD/article/view/7952
<p>บทความนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา การสื่อสารประเด็นความรักของละครไทยเรื่อง “เกมรักทรยศ” และการเล่าเรื่องความขัดแย้งผ่านละครไทยเรื่อง “เกมรักทรยศ” เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพ ได้ศึกษาทฤษฎีสามเหลี่ยมแห่งความรัก องค์ประกอบของความรัก การเล่าเรื่อง และความขัดแย้ง เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แบบบันทึก แบบสังเกตการณ์ เก็บรวบรวมด้วยการบันทึก จากการสังเกตการณ์ละครไทย เรื่อง “เกมรักทรยศ” รวมทั้งหมด 16 ตอน วิเคราะห์ข้อมูลในประเด็นการสื่อสารความรักและการเล่าเรื่องความขัดแย้ง เสนอเนื้อหาเชิงพรรณนา ผลการวิจัยพบว่า การสื่อสารประเด็นความรักจากละครไทย “เกมรักทรยศ” สรุปได้ 7 ประเด็นดังนี้ 1) การสื่อสารความรักคือความชอบ (Liking) 2) การสื่อสารความรักแบบหลงใหล (Infatuated Love) 3) การสื่อสารความสัมพันธ์แบบปราศจากรัก (Empty Love) 4) การสื่อสารความรักแบบโรแมนติก (Romantic Love) 5) การสื่อสารความรักแบบมิตรภาพ (Companionate Love) 6) การสื่อสารความรักแบบไร้สติปัญญา (Fatuous) และ 7) ความรักที่สมบูรณ์แบบ (Consummate Love) และการเล่าเรื่องความขัดแย้งผ่านละครไทยเรื่อง “เกมรักทรยศ” สรุปได้ 4 ประเด็น ได้แก่ 1) ความขัดแย้งภายในตัวบุคคล (Intrapersonal Conflict) แบ่งออกเป็น 3 ชนิด ดังนี้ 1.1) Approach – Approach Conflict คือความขัดแย้งจากบุคคลที่ต้องเลือกทำระหว่างตัวเลือกที่มากกว่า 1 ตัว 1.2) Avoidance – Avoidance Conflict คือ ความขัดแย้งที่เกิดจากต้องเลือกทางเลือกใดทางเลือกหนึ่งจากทางเลือกสองทางหรือมากกว่า และ 1.3) Approach – Avoidance Conflict คือ ความขัดแย้งที่เกิดขึ้นเนื่องจากต้องเลือกทำในสิ่งที่เป็นทั้งผลทางบวกและผลทางลบ 2) ความขัดแย้งระหว่างบุคคล (Interpersonal Conflict) 3) ความขัดแย้งภายในกลุ่ม (Intragroup Conflict) 4) ความขัดแย้งระหว่างกลุ่ม (Intergroup Conflict)</p>
สุคณธา รักสถิตธำรง, สรพงษ์ วงศ์ธีระธรณ์
Copyright (c) 2025
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
https://so07.tci-thaijo.org/index.php/JSSD/article/view/7952
Tue, 27 May 2025 00:00:00 +0700
-
อิทธิพลของการสื่อสารดิจิทัลภายในองค์กรที่มีต่อการเสริมสร้างพลังขับเคลื่อนในการทำงานของพนักงานเจเนอเรชัน Y และ Z
https://so07.tci-thaijo.org/index.php/JSSD/article/view/7953
<p>การวิจัยเรื่องอิทธิพลของการสื่อสารดิจิทัลภายในองค์กรที่มีต่อการเสริมสร้างพลังขับเคลื่อนในการทำงานของพนักงานเจเนอเรชัน Y และ Z มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาการสื่อสารดิจิทัลภายในองค์กรว่ามีผลต่อความพึงพอใจต่อการปฏิบัติงาน ความผูกพันต่อการทำงาน และความหลงใหลในการทำงานของเจเนอเรชัน Y และ Z ในด้านความแตกต่างตามเจเนอเรชันและปัจจัยส่วนบุคคล การวิจัยใช้ระเบียบวิจัยเชิงปริมาณ กลุ่มตัวอย่าง คือ พนักงานเจเนอเรชัน Y (เกิดระหว่างปี พ.ศ.2523 ถึง 2540) และ Z (เกิดระหว่างปี พ.ศ.2541 ถึง 2552) จำนวน 400 คน เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บข้อมูลเป็นแบบสอบถามออนไลน์ ใช้การสุ่มตัวอย่างแบบชั้นภูมิ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ ได้แก่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การทดสอบ T-Test การวิเคราะห์ One-way ANOVA และการวิเคราะห์ถดถอยพหุคูณ (Multiple Regression Analysis) ผลการวิจัยพบว่า เพศและเจเนอเรชันไม่ส่งผลต่อการสื่อสารดิจิทัลภายในองค์กร แต่การศึกษา สายงาน และประสบการณ์การทำงานส่งผลต่อการสื่อสารดิจิทัลภายในองค์กร ทั้งนี้การสื่อสารดิจิทัลภายในองค์กรมีอิทธิพลร่วมต่อความพึงพอใจต่อการปฏิบัติงาน ความผูกพันต่อการทำงาน และ ความหลงใหลในการทำงาน มีอีเมลเป็นช่องทางการสื่อสารที่ได้รับความนิยมสูงสุด และแอปพลิเคชันไลน์รองลงมา ซึ่งการสื่อสารแนวดิ่งมีอิทธิพลเชิงลบต่อความพึงพอใจต่อการทำงาน ความผูกพันต่อการทำงาน และ ความหลงใหลในการทำงาน ส่วนการสื่อสารแนวนอนมีอิทธิพลเชิงลบต่อความหลงใหลในการทำงานเพียงตัวเดียว โดยข้อค้นพบนี้ชี้ให้เห็นถึงความสำคัญของการเลือกช่องทางและรูปแบบการสื่อสารภายในองค์กรให้เหมาะสมกับลักษณะของพนักงาน</p>
ชลธาน เจริญชัยยา, ณัฏฐ์ชุดา วิจิตรจามรี
Copyright (c) 2025
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
https://so07.tci-thaijo.org/index.php/JSSD/article/view/7953
Tue, 27 May 2025 00:00:00 +0700
-
การออกแบบการจัดการเรียนรู้โดยใช้ชุมชนเป็นฐาน เพื่อพัฒนาการเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21
https://so07.tci-thaijo.org/index.php/JSSD/article/view/7911
<p>บทความวิชาการ นี้มีวัตถุประสงค์เพื่อนำเสนอแนวทางการพัฒนาและส่งเสริมการจัดการเรียนรู้โดยชุมชนเป็นฐานที่เชื่อมโยงเนื้อหาบทเรียนกับชุมชน เพื่อส่งเสริมการเรียนรู้ที่มีความหมายและนำไปใช้ในชีวิตประจำวัน โดยนำปัญหาสิ่งแวดล้อมในชุมชนเป็นประเด็นหลักในการศึกษา ผู้เรียนเรียนรู้จากการลงมือปฏิบัติในชุมชน ซึ่งช่วยเชื่อมโยงทฤษฎีกับประสบการณ์จริง พัฒนาทักษะการคิดวิเคราะห์ การแก้ปัญหา และการทำงานร่วมกันในบริบทที่เป็นจริง การเรียนรู้นี้ช่วยให้ผู้เรียนมีความเข้าใจลึกซึ้งในปัญหาชุมชน และสามารถประยุกต์ใช้ความรู้ในการแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน เช่น การจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม หรือโครงการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม ซึ่งไม่เพียงแต่สร้างความรู้ทางวิชาการ แต่ยังเสริมสร้างความรับผิดชอบต่อสังคมและการพัฒนาชุมชนอย่างยั่งยืน แนวทางนี้ส่งผลกระทบต่อการเปลี่ยนแปลงบทบาทของผู้สอนจากการเป็นผู้ถ่ายทอดความรู้มาเป็นผู้ช่วยหรือโค้ชในการกระตุ้นการคิดวิเคราะห์และการแก้ปัญหา ผู้สอนจึงมีบทบาทสำคัญในการเชื่อมโยงทฤษฎีและการปฏิบัติให้มีความหมายและสามารถนำไปใช้ในชีวิตประจำวัน โดยเน้นการกระตุ้นให้ผู้เรียนคิดอย่างมีวิจารณญาณและประยุกต์ใช้ความรู้ในการแก้ไขปัญหาจากประสบการณ์จริงในชุมชน การเชื่อมโยงการเรียนรู้กับชุมชนช่วยพัฒนาทักษะการทำงานร่วมกันและการรับผิดชอบต่อสังคม ซึ่งเป็นทักษะสำคัญในศตวรรษที่ 21 ที่เน้นการเรียนรู้จากประสบการณ์จริง การทำงานร่วมกัน และการแก้ปัญหาสิ่งแวดล้อม ชุมชนที่เข้าร่วมยังได้รับประโยชน์จากการนำความรู้ไปใช้ในการพัฒนาและแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อม ส่งผลให้ชุมชนมีการพัฒนาในระยะยาว สะท้อนถึงการเปลี่ยนแปลงที่ส่งผลต่อการพัฒนาของทั้งผู้เรียน ผู้สอน และชุมชนในการรับมือกับความท้าทายในโลกที่เปลี่ยนแปลงไป</p>
กิตติยา ฤทธิภักดี, ปวรรณรัตน์ ประเทืองไทย, ธฤตา นฤภัย
Copyright (c) 2025
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
https://so07.tci-thaijo.org/index.php/JSSD/article/view/7911
Mon, 26 May 2025 00:00:00 +0700
-
มาตรฐาน RSPO กับการยกระดับเกษตรกรรมปาล์มน้ำมัน การปรับตัวสู่ความยั่งยืนของเกษตรกรปาล์มน้ำมันในประเทศไทย
https://so07.tci-thaijo.org/index.php/JSSD/article/view/7914
<p>บทความนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาบทบาทมาตรฐานการผลิตปาล์มน้ำมันอย่างยั่งยืน (มาตรฐานRSPO Roundtable on Sustainable Palm Oil) ในการส่งเสริมและพัฒนาเกษตรกรรมปาล์มน้ำมัน<br>ของประเทศไทยให้เข้าสู่แนวทางความยั่งยืนอย่างเป็นระบบ โดยมาตรฐาน RSPO เป็นกรอบแนวทางสำคัญ<br>ในการยกระดับเกษตรกรรมปาล์มน้ำมันสู่ความยั่งยืนในระยะยาว ซึ่งครอบคลุม 3 มิติสำคัญ ประกอบด้วย สภาพแวดล้อม สังคม และเศรษฐกิจ ในห่วงโซ่อุปทานของการผลิตปาล์มน้ำมัน ตั้งแต่การเพาะปลูก <br>การจัดการแรงงาน จนถึงการปฏิบัติตามกฎหมายที่เกี่ยวข้อง โดยแนวทางตาม RSPO มุ่งลดผลกระทบด้านลบจากกิจกรรมทางการเกษตร เช่น การตัดไม้ทำลายป่า การปล่อยก๊าซเรือนกระจก และการใช้สารเคมีอันตราย รวมถึงการส่งเสริมสวัสดิภาพแรงงาน การมีส่วนร่วมของชุมชน และการพัฒนาท้องถิ่น ซึ่งผลการศึกษาชี้ว่า การรวมกลุ่มของเกษตรกร เช่น สหกรณ์หรือวิสาหกิจชุมชน เป็นกลไกสำคัญที่ช่วยเพิ่มศักยภาพในการปฏิบัติตามมาตรฐาน RSPO โดยช่วยสนับสนุนการลดต้นทุน เพิ่มอำนาจการต่อรองทางเศรษฐกิจ ส่งเสริมการแลกเปลี่ยนความรู้ และเพิ่มโอกาสในการเข้าถึงการสนับสนุนทั้งจากภาครัฐและเอกชน แม้เกษตรกรจะเผชิญกับอุปสรรค เช่น ต้นทุนการขอรับรองที่สูง การเข้าถึงตลาดที่จำกัด และความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับ RSPO ที่ยังไม่ทั่วถึงในบางพื้นที่ ซึ่งจากข้อมูลการขอรับรองมาตรฐาน RSPO ของเกษตรกรปาล์มน้ำมันในจังหวัดสุราษฎร์ธานี มีแนวโน้มที่สะท้อนให้เห็นถึงการปรับตัวเชิงบวกของเกษตรกรระดับฐานราก ส่งผลต่อการพัฒนาอย่างสมดุลทั้งในระดับชุมชนและอุตสาหกรรม มาตรฐาน RSPO ได้กลายเป็นเครื่องมือเชิงนโยบายที่มีศักยภาพในการขับเคลื่อนภาคเกษตรกรรมปาล์มน้ำมันของไทยไปสู่ความยั่งยืนในระยะยาว</p>
สรศักดิ์ เดือนเพ็ง, โชติ บดีรัฐ
Copyright (c) 2025
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
https://so07.tci-thaijo.org/index.php/JSSD/article/view/7914
Mon, 26 May 2025 00:00:00 +0700
-
การพัฒนาทักษะจำเป็นของครูผู้สอนในยุคแห่งการเปลี่ยนแปลง และการขับเคลื่อนแนวคิดการจัดการเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21
https://so07.tci-thaijo.org/index.php/JSSD/article/view/7937
<p>ท่ามกลางกระแสการเปลี่ยนแปลงในยุคโลกาภิวัตน์ กอปรกับการเจริญเติบโตอย่างก้าวกระโดดของปัญญาประดิษฐ์ นับเป็นความท้าทายที่สำคัญที่สังคมทั่วโลกกำลังเผชิญ ภาคการศึกษานับเป็นส่วนหนึ่งที่ได้รับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น พร้อมกับการถูกคาดหวังจากสังคมให้เป็นกลไกสำคัญในการเตรียมทรัพยากรมนุษย์ให้มีความพร้อมรับมือกับการเปลี่ยนแปลง แนวคิดหนึ่งที่ถูกนำมาใช้ในกระบวนการดังกล่าว คือ แนวคิดการจัดการเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21 อย่างไรก็ดีจากงานศึกษาที่ผ่านมาล้วนบ่งชี้ว่า การจะบรรลุตามเป้าประสงค์ของรูปแบบการจัดการเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21 ได้นั้น จำเป็นต้องอาศัยการขับเคลื่อนอย่างเป็นองคาพยพและหนึ่งในกระบวนการที่สำคัญ คือ การพัฒนาทักษะจำเป็นเพื่อเตรียมความพร้อมให้กับครูผู้สอน สำหรับบทความทางวิชาการนี้มุ่งเน้นที่จะนำเสนอแนวคิดการเรียนรู้ในศตวรรษ 21 ในมิติที่เกี่ยวข้องกับครูผู้สอน ประเด็นความท้าทายและบริบทการเปลี่ยนแปลงที่ครูผู้สอนต้องเผชิญในกระบวนการจัดการเรียนรู้ รวมไปถึงการนำเสนอทักษะจำเป็นที่ครูผู้สอนพึงได้รับการพัฒนา จำนวน 8 ทักษะ ได้แก่ 1) การส่งเสริมทักษะด้านการจัดการเรียนรู้และนวัตกรรม 2) ทักษะด้านสารสนเทศ สื่อ และเทคโนโลยี 3) ทักษะด้านชีวิตและอาชีพ 4) ทักษะภาษาและการสื่อสาร 5) ทักษะการจัดการเรียนรู้แบบสนับสนุนการเรียนรู้ หรือ “Active Learning” 6) ทักษะการเชื่อมโยงเครือข่ายความร่วมมือ 7) ทักษะการคิดวิเคราะห์และแก้ปัญหา และ 8) ทักษะการส่งเสริมการเรียนรู้ตลอดชีวิต ซึ่งทักษะเหล่านี้นับเป็นส่วนสำคัญที่จะส่งผลให้ครูผู้สอนมีความพร้อมที่จะรับมือกับการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น รวมไปถึงความพร้อมในการเป็นกลไกเพื่อการยกระดับคุณภาพการศึกษาตามเป้าหมายและทิศทางของประเทศที่ได้กำหนดไว้</p>
นงนุช เกษมจิต, ศรชัย ท้าวมิตร
Copyright (c) 2025
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
https://so07.tci-thaijo.org/index.php/JSSD/article/view/7937
Mon, 26 May 2025 00:00:00 +0700