วารสารสังคมพัฒนศาสตร์ https://so07.tci-thaijo.org/index.php/JSSD <p> <strong>วารสารสังคมพัฒนศาสตร์</strong> เป็นวารสารวิชาการของวัดสนธิ์ (นาสน) ตำบลมะม่วงสองต้น อำเภอเมือง จังหวัดนครศรีธรรมราช มีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมการค้นคว้าและนำเสนอองค์ความรู้ทางด้านวิชาการ โดยการเผยแพร่บทความวิจัยและบทความวิชาการแก่นักวิจัยนักวิชาการ คณาจารย์และนักศึกษา ในมิติเพื่อสนับสนุนการศึกษา การสอน การวิจัยในมหาวิทยาลัยสงฆ์รวมถึงคณะสงฆ์ไทย และสถาบันภายนอก รวมทั้งนักวิชาการและผู้สนใจ โดยเน้นสาขาวิชาเกี่ยวกับ การพัฒนาชุมชม การพัฒนาสังคม ศิลปะทั่วไปและมนุษยศาสตร์ ศาสนศึกษา ธุรกิจทั่วไป การจัดการและการบัญชี สังคมศาสตร์ทั่วไป การศึกษา รวมถึงสหวิทยาการด้านสังคมศาสตร์และและศาสตร์แห่งการพัฒนา โดยรับพิจารณาตีพิมพ์ต้นฉบับของบุคคลหรือองค์กร ทั้งภายในและภายนอกวัด เปิดรับบทความเฉพาะภาษาไทย ประเภท บทความวิจัย และ บทความวิชาการ</p> <p> บทความที่ตีพิมพ์เผยแพร่ในวารสารสังคมพัฒนศาสตร์จะต้องผ่านการพิจารณาจากผู้ทรงคุณวุฒิ อย่างน้อย 2 ท่าน ในลักษณะปกปิดรายชื่อ (Double blind peer-reviewed) ผลงานที่ส่งมาจะต้องไม่เคยตีพิมพ์หรืออยู่ระหว่างการพิจารณาจากผู้ทรงคุณวุฒิเพื่อตีพิมพ์ในวารสารอื่น ผู้เขียนบทความจะต้องปฏิบัติตามหลักเกณฑ์การเสนอบทความวิชาการหรือบทความวิจัยเพื่อตีพิมพ์ในวารสาร อย่างเคร่งครัด รวมทั้งระบบการอ้างอิงต้องเป็นไปตามหลักเกณฑ์ของวารสาร ทัศนะและข้อคิดเห็นที่ปรากฏในบทความวารสาร ถือเป็นความรับผิดชอบของผู้เขียนบทความนั้น มิใช่ความคิดของคณะผู้จัดทำ และไม่ถือเป็นทัศนะและความรับผิดชอบของกองบรรณาธิการ ทั้งนี้กองบรรณาธิการไม่สงวนลิขสิทธิ์ในการคัดลอก แต่ให้อ้างอิงแสดงที่มา</p> <p><strong>วารสารสังคมพัฒนศาสตร์</strong> มีกำหนดออกเผยแพร่ปีละ 12 ฉบับ (รายเดือน)*</p> <table width="100%"> <tbody> <tr> <td width="32%"> <p>ฉบับที่ 1 เดือนมกราคม</p> </td> <td width="35%"> <p>ฉบับที่ 2 เดือนกุมภาพันธ์</p> </td> <td width="31%"> <p>ฉบับที่ 3 เดือนมีนาคม</p> </td> </tr> <tr> <td width="32%"> <p>ฉบับที่ 4 เดือนเมษายน</p> </td> <td width="35%"> <p>ฉบับที่ 5 เดือนพฤษภาคม</p> </td> <td width="31%"> <p>ฉบับที่ 6 เดือนมิถุนายน</p> </td> </tr> <tr> <td width="32%"> <p>ฉบับที่ 7 เดือนกรกฎาคม</p> </td> <td width="35%"> <p>ฉบับที่ 8 เดือนสิงหาคม</p> </td> <td width="31%"> <p>ฉบับที่ 9 เดือนกันยายน</p> </td> </tr> <tr> <td width="32%"> <p>ฉบับที่ 10 เดือนตุลาคม</p> </td> <td width="35%"> <p>ฉบับที่ 11 เดือนพฤศจิกายน</p> </td> <td width="31%"> <p>ฉบับที่ 12 เดือนธันวาคม</p> </td> </tr> </tbody> </table> <p><em>*มีผลตั้งแต่ ปีที่ 8 ฉบับที่ 2 เดือนกุมภาพันธ์ 2568 เป็นต้นไป</em></p> th-TH natthaphong.jan@mcu.ac.th (นายอนุชิต ปราบพาล) natthaphong.jan@mcu.ac.th (พระณัฐพงษ์ สิริสุวณฺโณ) Wed, 26 Nov 2025 16:46:24 +0700 OJS 3.3.0.8 http://blogs.law.harvard.edu/tech/rss 60 น้ำปานะกับการบริโภคเพื่อสุขภาพของผู้สูงอายุ https://so07.tci-thaijo.org/index.php/JSSD/article/view/9572 <p>บทความวิชาการนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาหลักน้ำปานะที่ปรากฎในคัมภีร์พระพุทธศาสนา และประยุกต์ใช้หลักน้ำปานะในการส่งเสริมสุขภาพของผู้สูงอายุ คำว่าน้ำปานะ ตรงกับภาษาบาลีว่า น้ำอัฏฐบาน หมายถึง เครื่องดื่มสำหรับพระสงฆ์ ที่พระพุทธเจ้าทรงอนุญาตไว้ มี 2 ชุด ชุดแรก เป็นผลไม้ 8 อย่าง ได้แก่ น้ำมะม่วง น้ำหว้า น้ำกล้วยมีเมล็ด น้ำกล้วยไม่มีเมล็ด น้ำมะทราง น้ำจันทน์หรือองุ่น น้ำเหง้าบัว น้ำมะปรางหรือลิ้นจี่ ดังปรากฏอยู่ในพระวินัยปิฎก คัมภีร์มหาวรรคและคัมภีร์จุลวรรค ชุดที่สอง ปรากฏอยู่ในพระสุตตันตปิฎก คัมภีร์มหานิทเทส ทรงเพิ่มเติมผลไม้บางอย่างที่หาได้จากท้องถิ่นไม่เหมือนกับผลไม้ที่ทรงอนุญาตไว้ครั้งก่อน นอกจากนี้ยังทรงอนุญาต น้ำนม น้ำมัน น้ำเปรียงเพิ่มเติมไว้ด้วย น้ำปานะตามหลักพระวินัยคือ ศีล 8 โดยศีล 8 มีขึ้นเพื่อให้ผู้ปฏิบัติละเว้นสิ่งต่าง ๆ กล่าวคือ มีจุดประสงค์เพื่อขัดเกลากิเลสของผู้ปฏิบัติ ซึ่งห้ามฉันอาหาร (ห้ามเคี้ยวอาหาร) หลังเที่ยงวันจนกว่าจะเช้าวันใหม่ เพื่อบรรเทาความหิวกระหาย และช่วยในการดับธาตุไฟที่เผาผลาญอาหารอยู่ภายในร่างกายให้สมดุล พร้อมสำหรับปฏิบัติกิจของสงฆ์ต่อได้ จึงอนุญาตให้ฉันน้ำปานะได้ ซึ่งเป็นน้ำจากผลไม้และสมุนไพรธรรมชาติที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพ ในการนำมาประยุกต์ใช้น้ำปานะในการส่งเสริมสุขภาพผู้สูงอายุกล่าวคือ ผู้สูงอายุเป็นวัยที่มีระบบย่อยอาหารและการดูดซึมอาหารลดลง จึงควรได้รับอาหารและเครื่องดื่มที่ย่อยง่าย ให้พลังงานและสารอาหารเหมาะสม ดังนั้นน้ำปานะสามารถนำมาปรับใช้ในการดูแลสุขภาพให้แข็งแรง สมดุล และสงบในชีวิตประจำวัน รวมทั้งการใช้เป็นกิจกรรมเชิงสุขภาวะได้</p> พรชัย สังข์คำ, พระครูโสภณธรรมวิสิฐ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสังคมพัฒนศาสตร์ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so07.tci-thaijo.org/index.php/JSSD/article/view/9572 Sun, 30 Nov 2025 00:00:00 +0700 การวิเคราะห์เปรียบเทียบแนวโน้มการพัฒนาหลักสูตรฐานสมรรถนะ ในระดับการศึกษาขั้นพื้นฐานของประเทศไทยและต่างประเทศ https://so07.tci-thaijo.org/index.php/JSSD/article/view/9579 <p>บทความวิชาการฉบับนี้ใช้วิธีการวิจัยเอกสาร (Documentary Research) เพื่อวิเคราะห์เปรียบเทียบแนวโน้มการพัฒนาหลักสูตรฐานสมรรถนะในระดับการศึกษาขั้นพื้นฐานของประเทศไทยและต่างประเทศ โดยทำการรวบรวมและวิเคราะห์ข้อมูลทุติยภูมิ (Secondary Data) จากเอกสารทางวิชาการ รายงานนโยบาย หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน และงานวิจัยที่ตีพิมพ์ จากทั้งในประเทศและกลุ่มประเทศเปรียบเทียบที่ประสบความสำเร็จในการนำหลักสูตรฐานสมรรถนะมาใช้ ข้อมูลที่ได้ถูกนำมาจัดหมวดหมู่และวิเคราะห์เนื้อหาเชิงคุณภาพ เพื่อค้นหาความเหมือน ความแตกต่าง และแนวโน้มร่วมกันในประเด็นสำคัญ 5 ประเด็น ได้แก่ 1) นโยบายระดับชาติ 2) โครงสร้างหลักสูตร 3) การพัฒนาครู 4) ระบบการประเมินผล และ 5) การเชื่อมโยงกับบริบทท้องถิ่น เพื่อนำไปสู่การสังเคราะห์ข้อเสนอแนะเชิงนโยบายสำหรับการพัฒนาหลักสูตรฐานสมรรถนะของประเทศไทย ผลการวิเคราะห์พบว่า ประเทศที่มีความก้าวหน้าทางการศึกษาให้ความสำคัญกับการจัดทำนโยบายแบบมีส่วนร่วม มุ่งออกแบบหลักสูตรที่ยืดหยุ่นและเน้นผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง มีระบบพัฒนาครูที่ต่อเนื่อง มีระบบประเมินสมรรถนะที่หลากหลาย และเชื่อมโยงหลักสูตรกับชุมชนและวัฒนธรรมท้องถิ่นเข้าด้วยกัน ในขณะที่ประเทศไทยและประเทศอาเซียนยังคงประสบปัญหาในด้านช่องว่างระหว่างนโยบายกับการปฏิบัติ ความไม่พร้อมของครูผู้สอนต่อการจัดการเรียนรู้ฐานสมรรถนะ และการประเมินที่เน้นผลสัมฤทธิ์มากกว่าความสามารถที่แท้จริงของผู้เรียน ซึ่งความท้าทายหลักที่ทุกประเทศเผชิญคือ การขับเคลื่อนนโยบายสู่การปฏิบัติ และการมีระบบสนับสนุนที่เข้มแข็ง บทความฉบับนี้จึงเสนอข้อค้นพบเชิงนโยบายเพื่อเสริมสร้างการเปลี่ยนผ่านสู่ระบบหลักสูตรฐานสมรรถนะในประเทศไทยให้มีประสิทธิภาพที่เน้นการพัฒนาเชิงระบบแบบบูรณาการที่เชื่อมโยงทุกส่วนอย่างเป็นรูปธรรมและยั่งยืน</p> เกศริน บินสัน, พัศรเบศวณ์ เวชวิริยะสกุล ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสังคมพัฒนศาสตร์ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so07.tci-thaijo.org/index.php/JSSD/article/view/9579 Sun, 30 Nov 2025 00:00:00 +0700 การสื่อสารคุณลักษณะของพิธีกรรายการโทรทัศน์บนสื่อออนไลน์ https://so07.tci-thaijo.org/index.php/JSSD/article/view/9570 <p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาการสื่อสารคุณลักษณะของพิธีกรรายการโทรทัศน์บนสื่อออนไลน์ โดยใช้วิธีการวิจัยเชิงปริมาณ (Quantitive Research) กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ผู้ใช้งานบัญชี Douyin ที่มีการสื่อสารคุณลักษณะของพิธีกรรายการโทรทัศน์บนสื่อออนไลน์ โดยสุ่มเลือกตัวแทน ตามสัดส่วนของขนาดประชากรจากสูตรของ* ทาโร ยามาเน่ จาก 4 เขตการปกครองได้แก่ นครกุ้ยหลิน เป๋ยไห่ ยุวี่หลิน และ ป่ายเช่อ รวมจำนวน 400 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แบบสอบถามออนไลน์ โดยผ่านการตรวจสอบความเที่ยงตรงเชิงเนื้อหาจากผู้เชี่ยวชาญ และมีค่าความเชื่อมั่นเท่ากับ 0.84 เก็บรวบรวมข้อมูลผ่านแฟลตฟอร์ม WeChat สถิติที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน รวมถึงการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงอนุมาน การทดสอบสมมติฐาน ผลการวิจัยพบว่า การสื่อสารคุณลักษณะของพิธีกรรายการโทรทัศน์โดยรวมอยู่ในระดับมากที่สุด ค่าเฉลี่ย 4.21 โดยกลุ่มตัวอย่างมีความเห็นว่าการสื่อสารคุณลักษณะของพิธีกร ด้านอวัจนภาษา ได้แก่ ผู้เป็นพิธีกรมีการแต่งหน้าและแต่งกายที่เหมาะสมกับรายการ รูปร่างหน้าตาดี มีเสน่ห์ชวนมอง และมีพลังดึงดูดให้ผู้ชมติดตาม ด้านวัจนภาษา ได้แก่ การใช้ภาษาถูกต้องตามอักขระ น้ำเสียงและคำพูดเหมาะสม เปิดประเด็นซักถาม หรือพูดคุยสนทนาได้อย่างเป็นธรรมชาติ มีการนำเสนอเนื้อหาตรงประเด็นไม่ออกนอกเรื่อง และสามารถเลือกสรรคำที่สุภาพในการนำเสนอ ด้านการเล่าเรื่องและสร้างเนื้อหา พิธีกรมีทักษะในการนำเสนอเนื้อหามีความน่าสนใจ มีทักษะในการสอดแทรกความคิดเห็นอย่างเหมาะสม และทักษะการนำเสนอเรียงลำดับ มีความชัดเจนเข้าใจง่าย นอกจากนี้ ปัจจัยส่วนบุคคล ได้แก่ เพศ อายุ และระดับการศึกษา มีความสัมพันธ์กับการสื่อสารคุณลักษณะของพิธีกรรายการโทรทัศน์บนสื่อออนไลน์อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05</p> เหวิน ย่าชิง, นิสากร ยินดีจันทร์ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสังคมพัฒนศาสตร์ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so07.tci-thaijo.org/index.php/JSSD/article/view/9570 Wed, 26 Nov 2025 00:00:00 +0700 รูปแบบการสื่อสารของอินฟลูเอนเซอร์ในสื่อโซเซียลมีเดียที่มีผลต่อการตัดสินใจซื้อสินค้าของผู้บริโภค กรณีศึกษา:เมืองตงฟาง ประเทศจีน https://so07.tci-thaijo.org/index.php/JSSD/article/view/9571 <p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาลักษณะเนื้อหาของอินฟลูเอนเซอร์ในสื่อโซเซียลมีเดียที่มีผลต่อการตัดสินใจซื้อสินค้าของผู้บริโภคชาวจีน 2) เพื่อศึกษาทัศนคติของผู้บริโภคที่มีต่ออินฟลูเอนเซอร์ที่ส่งผลต่อการตัดสินใจซื้อสินค้า เป็นการวิจัยเชิงปริมาณ (Quantitive Research) กลุ่มตัวอย่างได้แก่ ผู้บริโภคชาวจีนในเมืองตงฟางที่ใช้สื่อโซเซียลมีเดียแพลตฟอร์ม Weibo, และ WeChat เพื่อซื้อสินค้าออนไลน์ จำนวน 400 คน ทำการสุ่มตัวอย่างตามสะดวก โดยคำนวณตามสัดส่วนของขนาดประชากร จากสูตรทาโร ยามาเน่ เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แบบสอบถามออนไลน์ เก็บรวบรวมข้อมูลผ่านแพลตฟอร์ม WeChat สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และสถิติเชิงอนุมาน ผลการวิจัยพบว่า 1) ลักษณะเนื้อหาในสื่อโซเชียลมีเดียของอินฟลูเอนเซอร์มีอิทธิพลต่อการตัดสินใจซื้อสินค้าในระดับมาก มีค่าเฉลี่ย 4.14 คือ การนำเสนอเนื้อหามีความน่าสนใจ บ่งบอกถึงประโยชน์และคุณภาพของสินค้า ซึ่งนำเสนอเน้นภาพสินค้ามากกว่าตัวอักษร การตัดสินใจซื้อสินค้าจากอินฟลูเอนเซอร์ที่มีการนำเสนอเนื้อหาจากประสบการณ์ที่ตนเองใช้งานจริง 2) ลักษณะของผู้ทรงอิทธิพลบนสื่อโซเชียลมีเดียมีอิทธิพลต่อการตัดสินใจซื้อสินค้า ผู้บริโภคให้ความสำคัญกับความมีชื่อเสียง มีความน่าเชื่อถือ และความเชี่ยวชาญในการรีวิวและการใช้สินค้าของอินฟลูเอนเซอร์ ผลการวิเคราะห์ทางสถิติพบว่า ลักษณะเนื้อหาในสื่อโซเชียลมีเดียของอินฟลูเอนเซอร์มีอิทธิพลต่อการตัดสินใจซื้อสินค้าของผู้บริโภคชาวจีน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ 0.05 ซึ่งสะท้อนบทบาทสำคัญของอินฟลูเอนเซอร์ ในการ โน้มน้าวพฤติกรรมการซื้อของผู้บริโภคในยุคดิจิทัล</p> จาง ซินเฉิง, นิสากร ยินดีจันทร์ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสังคมพัฒนศาสตร์ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so07.tci-thaijo.org/index.php/JSSD/article/view/9571 Wed, 26 Nov 2025 00:00:00 +0700 รูปแบบการประยุกต์ใช้หลักกาลามสูตรเพื่อการพัฒนาคุณภาพชีวิต ในสังคมดิจิทัล https://so07.tci-thaijo.org/index.php/JSSD/article/view/9573 <p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาแนวคิดการพัฒนาคุณภาพชีวิตในสังคมดิจิทัล 2) ศึกษาหลักกาลามสูตรที่ปรากฏในคัมภีร์พระพุทธศาสนา และ 3) ประยุกต์ใช้หลักกาลามสูตรเพื่อการพัฒนาคุณภาพชีวิตในสังคมดิจิทัล การวิจัยเป็นการวิจัยเชิงคุณภาพ โดยใช้ระเบียบวิธีวิจัยเชิงเอกสาร เพื่อรวบรวม วิเคราะห์ และสังเคราะห์ข้อมูลจากคัมภีร์และงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง เพื่อนำไปสู่องค์ความรู้ใหม่ทางพระพุทธศาสนา ผลการวิจัยพบว่า การพัฒนาคุณภาพชีวิตควรมุ่งเสริมสร้างลักษณะของชีวิตที่ดำรงอยู่ด้วยดี มีความสัมพันธ์เกื้อกูลระหว่างมนุษย์ สังคม และธรรมชาติ เพื่อให้เกิดความสมดุลทางกาย จิต และปัญญา อันนำไปสู่สันติสุขที่ยั่งยืน หลักกาลามสูตรเป็นแนวทางแห่งปัญญา ที่เน้นการพิจารณาด้วยเหตุผล ไตร่ตรองก่อนเชื่อ และลงมือปฏิบัติจนเกิดปัญญาเห็นจริง ผลการประยุกต์ใช้หลักกาลามสูตรเพื่อการพัฒนาคุณภาพชีวิตในสังคมดิจิทัล ครอบคลุม 4 ด้าน ได้แก่ 1) ด้านกายภาพ เน้นการบริโภคด้วยสติสัมปชัญญะและความรู้ตัว 2) ด้านพฤติภาพ เน้นการเสพสื่อและค่านิยมทางวัฒนธรรมอย่างระมัดระวังและเห็นประโยชน์แท้จริง 3) ด้านจิตภาพ เน้นการควบคุมความอยาก พิจารณาความจำเป็น และฝึกสติให้เกิดความสงบมั่นคง และด้านปัญญาภาพ เน้นการรู้เท่าทันกระแสของโลกดิจิทัลการไม่ตกอยู่ภายใต้กิเลสตัณหา และใช้ปัญญากำกับพฤติกรรมอย่างมีเหตุผล ผลการสังเคราะห์นำไปสู่การสร้างรูปแบบองค์ความรู้ใหม่ทางพระพุทธศาสนา คือ MWUEH Model ซึ่งสะท้อนแนวคิดการดำเนินชีวิตอย่างมีสติ ปัญญา ความพอประมาณ และความรับผิดชอบต่อสังคม เป็นแนวทางในการพัฒนาคุณภาพชีวิตของมนุษย์ในยุคดิจิทัลให้มีความสมดุล ยั่งยืน สอดคล้องกับหลักธรรมคำสอนทางพระพุทธศาสนา และสามารถนำไปประยุกต์ใช้ได้จริงในชีวิตประจำวัน</p> พระครูสถิตกาญจนคุณ (ประดิษฐ์ กาญฺจนวณฺโณ), พระครูโฆสิตวัฒนานุกูล (อนุกูล ปานประดิษฐ์), พระครูวิจิตรศีลาจาร (ประสิทธิ์ ชาตวณฺโณ), สิทธิโชค ปาณะศรี, ภูวเดช ขวัญเสน ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสังคมพัฒนศาสตร์ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so07.tci-thaijo.org/index.php/JSSD/article/view/9573 Wed, 26 Nov 2025 00:00:00 +0700 การพัฒนาชุมชนและการมีส่วนร่วมของประชาชนที่ส่งผลต่อประสิทธิผลขององค์การบริหารส่วนตำบล ในจังหวัดสระบุรี https://so07.tci-thaijo.org/index.php/JSSD/article/view/9137 <p> การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาระดับประสิทธิผล 2) วิเคราะห์การพัฒนาชุมชนและการมีส่วนร่วมของประชาชนที่ส่งผลต่อประสิทธิผล และ 3) เสนอแนวทางการพัฒนาประสิทธิผลขององค์การบริหารส่วนตำบล ในจังหวัดสระบุรี เป็นวิจัยเชิงปริมาณและคุณภาพ ประชากร คือ ประชาชนที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป ที่มีสิทธิเลือกตั้งและทะเบียนบ้านอยู่ในเขตองค์การบริหารส่วนตำบลในจังหวัดสระบุรี ใช้การสุ่มตัวอย่างแบบง่าย ได้กลุ่มตัวอย่าง จำนวน 400 คน และเลือกผู้ให้ข้อมูลสำคัญแบบเจาะจง จำนวน 20 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ แบบสอบถามเพื่อตรวจสอบแนวโน้มเชิงสถิติ และแบบสัมภาษณ์เชิงลึกเพื่อต่อยอดในเชิงเนื้อหา ตรวจสอบคุณภาพเครื่องมือโดยการหาค่า IOC และค่าสัมประสิทธิ์อัลฟา วิเคราะห์ข้อมูลเชิงพรรณนาโดยใช้ ค่าความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน วิเคราะห์ถดถอยพหุคูณด้วยโปรแกรมคอมพิวเตอร์สำเร็จรูป และวิเคราะห์เชิงคุณภาพ ผลการวิจัยพบว่า 1) การพัฒนาชุมชนขององค์การบริหารส่วนตำบล ในจังหวัดสระบุรี โดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก 2) ผลวิเคราะห์การพัฒนาเมืองอุตสาหกรรมเชิงนิเวศ มีน้ำหนักสูงสุด และ การมีส่วนร่วมในการประเมินผล มีผลน้อยที่สุด ด้านตัวแปร พบว่า ยกระดับการพัฒนาเมืองอุตสาหกรรมเชิงนิเวศ การมีส่วนร่วมตัดสินใจ เสริมสร้างศักยภาพชุมชนและเมืองสีเขียวอย่างยั่งยืน และการมีส่วนร่วมในการประเมินผล ส่งผลต่อประสิทธิผลขององค์การบริหารส่วนตำบล ในจังหวัดสระบุรี มีระดับนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 และ 3) แนวทาง พบว่า ให้มีการพัฒนาเมืองโดยเน้นเชิงนิเวศ พัฒนาภาคการเกษตรเพิ่มมูลค่าผลิตผล หากไม่มีการพัฒนาการมีส่วนร่วมอย่างจริงจัง จะทำให้เกิดช่องว่างระหว่างองค์การกับประชาชน และอาจกระทบต่อความน่าเชื่อถือขององค์กรท้องถิ่น เพื่อให้ข้อเสนอแนะมีน้ำหนักมากขึ้น</p> กวิน วาสนา, ภมร ขันธะหัตถ์, ธนิศร ยืนยง ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสังคมพัฒนศาสตร์ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so07.tci-thaijo.org/index.php/JSSD/article/view/9137 Wed, 26 Nov 2025 00:00:00 +0700 ภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลงและการบริหารงานตามหลักธรรมาภิบาลที่ส่งผลต่อการพัฒนาท้องถิ่นของเทศบาลตำบล ในจังหวัดสระบุรี https://so07.tci-thaijo.org/index.php/JSSD/article/view/9138 <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาระดับการพัฒนาท้องถิ่นของเทศบาลตำบล ในจังหวัดสระบุรี 2) วิเคราะห์ภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลงและการบริหารงานตามหลักธรรมาภิบาลที่ส่งผลต่อการพัฒนาท้องถิ่นของเทศบาลตำบล ในจังหวัดสระบุรี และ 3) เสนอแนวทางในการพัฒนาท้องถิ่นของเทศบาลตำบล ในจังหวัดสระบุรี เป็นวิจัยเชิงปริมาณและคุณภาพ ประชากร คือ ประชาชนที่มีสิทธิเลือกตั้งมี อายุ18 ปีขึ้นไป อยู่ในเขตเทศบาลตำบล ในจังหวัดสระบุรี กลุ่มตัวอย่างการวิจัยเชิงปริมาณจำนวน 400 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ แบบสอบถาม กลุ่มตัวอย่างการวิจัยเชิงคุณภาพ จำนวน 20 คน เครื่องมือการวิจัยคือ แบบสัมภาษณ์เชิงลึก สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการวิเคราะห์ถดถอยพหุคูณ ผลการวิจัยพบว่า 1) การพัฒนาท้องถิ่นของเทศบาลตำบล ในจังหวัดสระบุรี โดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก โดยเรียงค่าเฉลี่ยมากไปน้อย คือ ด้านการส่งเสริมการศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม ด้านโครงสร้างพื้นฐาน ด้านการพัฒนาองค์กรและบุคลากรสู่การบริหารจัดการที่ดี และ ด้านการส่งเสริมคุณภาพชีวิต ตามลำดับ 2) ภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลงและการบริหารงานตามหลักธรรมาภิบาลของเทศบาลตำบล ในจังหวัดสระบุรี ด้านการมีอิทธิพลอย่างมีอุดมการณ์ หลักการกระจายอำนาจ การคำนึงถึงความเป็นเอกัตถะบุคคล หลักความโปร่งใส และหลักนิติธรรม ส่งผลต่อการพัฒนาท้องถิ่นของเทศบาลตำบล ในจังหวัดสระบุรี มีระดับนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 และ 3) แนวทางในการพัฒนา ควรมีการส่งเสริมความรู้ความเข้าใจของประชาชน มีแหล่งเรียนรู้สาธารณะ สามารถศึกษาหาความรู้ได้ด้วยตนเอง และจัดกิจกรรมที่ช่วยส่งเสริมการพัฒนาชุมชนให้มีความเข้มแข็ง</p> เฉลิมชัย ต้นเกตุ, ภมร ขันธะหัตถ์, ธนิศร ยืนยง ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสังคมพัฒนศาสตร์ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so07.tci-thaijo.org/index.php/JSSD/article/view/9138 Wed, 26 Nov 2025 00:00:00 +0700 ความสัมพันธ์ระหว่างทัศนะต่อภาวะผู้นำของผู้บริหารโรงเรียนกับกระบวนการดำเนินงานตามระบบการดูแลช่วยเหลือนักเรียนของครู สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครศรีธรรมราช เขต 2 https://so07.tci-thaijo.org/index.php/JSSD/article/view/9621 <p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาภาวะผู้นำของผู้บริหารโรงเรียน 2) ศึกษากระบวนการดำเนินงานตามระบบการดูแลช่วยเหลือนักเรียนของครู และ3) ศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างภาวะผู้นำของผู้บริหารโรงเรียนกับกระบวนการดำเนินงานตามระบบการดูแลช่วยเหลือนักเรียนของครู เป็นการวิจัยเชิงปริมาณ ประชากรจำนวน 2,668 คน และกลุ่มตัวอย่าง จำนวน 338 คน คือครูในสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครศรีธรรมราช เขต 2 เครื่องมือที่ใช้เป็นแบบสอบถาม ได้ค่าความเชื่อมั่นแบบสอบถามทั้งฉบับเท่ากับ 0.991 วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติเชิงพรรณนา ได้แก่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานและค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์เพียร์สัน ผลการวิจัยพบว่า ข้อมูลทั่วไปของผู้ตอบแบบสอบถามส่วนใหญ่เพศหญิง มีอายุ 41 ปีขึ้นไป มีประสบการณ์การทำงานมากกว่า 10 ปี และทำงานในโรงเรียนขนาดใหญ่พิเศษ ภาวะผู้นำของผู้บริหารโรงเรียนโดยรวมอยู่ในระดับดี (ค่าเฉลี่ย 4.40) โดยด้านที่สูงสุดคือการเป็นแบบอย่างที่เหมาะสม รองลงมาการระบุวิสัยทัศน์อย่างชัดเจน การให้การสนับสนุนผู้ตามรายบุคคล การเกื้อกูลการยอมรับเป้าหมายของกลุ่ม การกระตุ้นทางปัญญา และต่ำสุดคือการคาดหวังผลการปฏิบัติงานในระดับสูง ส่วนกระบวนการดำเนินงานระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียนของครูอยู่ในระดับดี (ค่าเฉลี่ย 4.42) โดยด้านที่สูงสุดคือการคัดกรองนักเรียน รองลงมาการป้องกันและแก้ไขปัญหา การรู้จักนักเรียนเป็นรายบุคคล การพัฒนาและส่งเสริมนักเรียนและต่ำสุดคือการส่งต่อ ผลการวิเคราะห์ความสัมพันธ์พบว่าภาวะผู้นำของผู้บริหารโรงเรียนกับกระบวนการดำเนินงานระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียนของครูมีความสัมพันธ์ทางบวกในระดับปานกลาง (r = .608, p &lt; .001) ข้อเสนอแนะผู้บริหารเน้นพัฒนาการผลการปฏิบัติงานของครู กระตุ้นให้ครูเห็นแนวทางแก้ปัญหา ส่งเสริมการทำงานเป็นทีม กำหนดนโยบายด้านการส่งต่อนักเรียนอย่างชัดเจน</p> กมล รัตนบุรี, สุดคนึง อาจชอบการ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสังคมพัฒนศาสตร์ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so07.tci-thaijo.org/index.php/JSSD/article/view/9621 Sun, 30 Nov 2025 00:00:00 +0700 การพัฒนาการดูแลผู้สูงอายุและสวัสดิการผู้สูงอายุที่ส่งผลต่อคุณภาพชีวิตผู้สูงอายุ ในจังหวัดอุทัยธานี https://so07.tci-thaijo.org/index.php/JSSD/article/view/9151 <p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาระดับคุณภาพชีวิตผู้สูงอายุในจังหวัดอุทัยธานี 2) วิเคราะห์การพัฒนาการดูแลผู้สูงอายุและสวัสดิการผู้สูงอายุที่ส่งผลต่อคุณภาพชีวิตผู้สูงอายุในจังหวัดอุทัยธานี และ 3) เสนอแนวทางการพัฒนาเพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตผู้สูงอายุในจังหวัดอุทัยธานี เป็นวิจัยผสมผสาน ประชากร คือ ผู้สูงอายุที่มีอายุตั้งแต่ 60 ปี ขึ้นไป มีภูมิลำเนาอยู่ในจังหวัดอุทัยธานี กลุ่มตัวอย่างการวิจัยเชิงปริมาณ จำนวน 400 คน เก็บรวบรวมข้อมูลโดยใช้แบบสอบถาม และการวิจัยเชิงคุณภาพ ผู้ให้ข้อมูลสำคัญ ประกอบด้วย ผู้นำท้องถิ่น กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน และผู้สูงอายุ จำนวน 20 คน เก็บรวบรวมข้อมูลโดยใช้แบบสัมภาษณ์เชิงลึก สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการวิเคราะห์ถดถอยพหุคูณ ผลการวิจัยพบว่า 1) คุณภาพชีวิตผู้สูงอายุในจังหวัดอุทัยธานี โดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก ( <em> </em>= 3.52, S.D. = 0.259) โดยเรียงค่าเฉลี่ยมากไปน้อย คือ ด้านจิตใจ ด้านร่างกาย ด้านสภาพแวดล้อม และด้านความสัมพันธ์ทางสังคม ตามลำดับ 2) การพัฒนาการดูแลผู้สูงอายุในจังหวัดอุทัยธานี โดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก ( <em> </em>= 3.45, S.D. = 0.215) สวัสดิการผู้สูงอายุในจังหวัดอุทัยธานี โดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก ( <em> </em>= 3.46, S.D. = 0.165) และตัวแปรที่ส่งผล ได้แก่ การพัฒนาบริการสุขภาพเพื่อการดูแลผู้สูงอายุ ที่มีปัญหาสุขภาพอย่างมีคุณภาพ การช่วยเหลือเงินเบี้ยยังชีพ การช่วยเหลือด้านที่พักอาศัย และการประกอบอาชีพ ฝึกอาชีพที่เหมาะสม ส่งผลต่อคุณภาพชีวิตผู้สูงอายุในจังหวัดอุทัยธานี มีระดับนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 และ 3) แนวทางการพัฒนา เสนอแนะให้มีการพัฒนาบริการสุขภาพเพื่อการดูแลผู้สูงอายุอย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น ส่งเสริมการประกอบอาชีพในผู้สูงอายุเพื่อให้ผู้สูงอายุสามารถประกอบอาชีพที่เหมาะสม และส่งเสริมพฤติกรรมสุขภาพที่พึงประสงค์ในผู้สูงอายุ</p> อรวรรณ ทองหล่อเลิศ, ภมร ขันธะหัตถ์, ธนิศร ยืนยง ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสังคมพัฒนศาสตร์ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so07.tci-thaijo.org/index.php/JSSD/article/view/9151 Sun, 30 Nov 2025 00:00:00 +0700 พลวัตคุณภาพชีวิตและความผูกพันต่อองค์การที่มีอิทธิพลต่อประสิทธิผลการปฏิบัติงาน ในบริบทตำรวจชั้นประทวน จังหวัดปทุมธานี https://so07.tci-thaijo.org/index.php/JSSD/article/view/9190 <p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาระดับประสิทธิผลการปฏิบัติงานของข้าราชการตำรวจชั้นประทวน ในจังหวัดปทุมธานี 2) วิเคราะห์ความสัมพันธ์ระหว่างคุณภาพชีวิตการทำงานและความผูกพันต่อองค์การที่มีอิทธิพลต่อประสิทธิผลการปฏิบัติงานของข้าราชการตำรวจชั้นประทวน ในจังหวัดปทุมธานี และ 3) วิเคราะห์องค์ประกอบของคุณภาพชีวิตการทำงานและความผูกพันธ์ต่อองค์กรที่มีอิทธิพลต่อประสิทธิผลการปฏิบัติงานของข้าราชการตำรวจชั้นประทวน ในจังหวัดปทุมธานี เป็นวิจัยแบบผสมผสาน ประชากร คือ ข้าราชการตำรวจชั้นประทวน สังกัดตำรวจภูธร จังหวัดปทุมธานี จำนวน 1,086 คน กลุ่มตัวอย่าง จำนวน 292 คน ผู้ให้ข้อมูลสำคัญ จำนวน 20 คน เครื่องมือการวิจัย คือ แบบสอบถาม และแบบสัมภาษณ์เชิงลึก วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้ค่าความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการวิเคราะห์ถดถอยพหุคูณ ผลการวิจัย พบว่า 1) ภาพรวมของประสิทธิผลการปฏิบัติงาน อยู่ในระดับมาก โดยเรียงค่าเฉลี่ยมากไปน้อย คือ การพัฒนาเพื่อประสิทธิผลองค์การ ประสิทธิภาพ การอยู่รอด การผลิต ความพึงพอใจ และการปรับตัว ตามลำดับ 2) ผลการวิเคราะห์ความสัมพันธ์ พบว่า ด้านสิ่งแวดล้อมที่ถูกสุขลักษณะและปลอดภัย ภาวะผู้นำ ความก้าวหน้าและความมั่นคงในงาน ค่าตอบแทนที่เหมาะสมและเป็นธรรม และการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ ส่งผลต่อประสิทธิผลการปฏิบัติงานของข้าราชการตำรวจชั้นประทวน จังหวัดปทุมธานี มีระดับนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 และ 3) วิเคราะห์องค์ประกอบของคุณภาพชีวิตการทำงาน ประกอบด้วย 8 ด้าน ได้แก่ ค่าตอบแทนที่เหมาะสมและเป็นธรรม สิ่งแวดล้อมที่ถูกสุขลักษณะและปลอดภัย การพัฒนาความสามารถของบุคคล ความก้าวหน้าและความมั่นคงในงาน บูรณาการทางสังคม ระเบียบข้อบังคับในการปฏิบัติงาน ความสมดุลระหว่างชีวิตกับการทำงาน และการปฏิบัติงานในสังคม และองค์ประกอบของความผูกพันต่อองค์การ ประกอบด้วย 4 ด้าน ได้แก่ องค์การ งาน การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ และภาวะผู้นำ</p> รณกฤต มารยาทตร์, ภมร ขันธะหัตถ์, ธนิศร ยืนยง ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสังคมพัฒนศาสตร์ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so07.tci-thaijo.org/index.php/JSSD/article/view/9190 Sun, 30 Nov 2025 00:00:00 +0700 การจัดกิจกรรมศิลปะสร้างสรรค์โดยใช้เทคนิค Round Robin เพื่อส่งเสริมความสามารถทางภาษาสำหรับเด็กปฐมวัย https://so07.tci-thaijo.org/index.php/JSSD/article/view/9255 <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา 1) ผลของการจัดกิจกรรมศิลปะสร้างสรรค์โดยใช้เทคนิค Round Robin ที่ส่งเสริมความสามารถทางภาษาสำหรับเด็กปฐมวัย และ 2) ความพึงพอใจของเด็กปฐมวัยที่มีต่อกิจกรรมดังกล่าว โดยใช้การวิจัยแบบแผนการวิจัยขั้นต้น แบบแผนการทดลองแบบกลุ่มเดียวประเมินก่อนและหลัง (One-group pretest-posttest design) กลุ่มตัวอย่าง คือ เด็กปฐมวัย อายุ 3-4 ปี ชั้นอนุบาลปีที่ 1/2 ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2568 โรงเรียนอนุบาลเซนต์แคเธอรีน จำนวน 14 คน ได้จากการสุ่มแบบกลุ่ม เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ 1) แผนการจัดกิจกรรมศิลปะสร้างสรรค์ ซึ่งมีผลการประเมินความเหมาะสมของแผนอยู่ในระดับมากที่สุด (𝑥̄ = 4.57, S.D = 0.47) 2) แบบสังเกตความสามารถทางภาษา มีค่าความตรงเชิงเนื้อหา อยู่ระหว่าง 0.67-1.00 และมีค่าความเชื่อมั่นของแบบสังเกตทั้งฉบับ เท่ากับ 0.84 และ 3) แบบสัมภาษณ์ความพึงพอใจ มีค่าความตรงเชิงเนื้อหา อยู่ระหว่าง 0.67-1.00 วิเคราะห์ข้อมูลโดยการหาค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การทดสอบค่าทีแบบไม่อิสระต่อกัน และการวิเคราะห์เนื้อหา ผลการวิจัยพบว่า 1) คะแนนเฉลี่ยความสามารถทางภาษาของเด็กปฐมวัยหลังได้รับการจัดกิจกรรมศิลปะสร้างสรรค์ โดยใช้เทคนิค Round Robin สูงกว่าก่อนได้รับการจัดกิจกรรมอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 และเด็กปฐมวัยมีความสามารถทางภาษาภาพรวมอยู่ในระดับดีมาก และ 2) เด็กปฐมวัยส่วนใหญ่มีความรู้สึกเชิงบวกต่อกิจกรรม โดยเฉพาะเมื่อได้ทำกิจกรรมร่วมกับเพื่อน มีความสุข สนุกสนาน เพลิดเพลิน ตื่นเต้นภูมิใจในผลงานของตนเอง มีโอกาสได้เลือก ลงมือทำกิจกรรมด้วยตนเอง สามารถระบุกิจกรรมที่ตนชื่นชอบได้ และในอนาคตต้องการให้มีกิจกรรมลักษณะเช่นนี้</p> สาวิตรี ดาวแจ้ง, ณัฏฐ์รดา ไชยอัครพงศ์ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสังคมพัฒนศาสตร์ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so07.tci-thaijo.org/index.php/JSSD/article/view/9255 Sun, 30 Nov 2025 00:00:00 +0700 การบริหารกิจการนักเรียนของผู้บริหารเพื่อพัฒนาคุณลักษณะอันพึงประสงค์ของนักเรียนโรงเรียนเครือข่าย อำเภอพนัสนิคม สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาชลบุรี เขต 2 https://so07.tci-thaijo.org/index.php/JSSD/article/view/9622 <p>การวิจัยเชิงพรรณนานี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาระดับและแนวทางการพัฒนาการบริหารกิจการนักเรียนของผู้บริหารเพื่อพัฒนาคุณลักษณะอันพึงประสงค์ของนักเรียนโรงเรียนเครือข่าย อำเภอพนัสนิคม สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาชลบุรี เขต 2 กลุ่มตัวอย่างจำนวน 226 คน โดยการเปิดตารางสำเร็จรูปของเครจซี่และมอร์แกน จากนั้นใช้วิธีการสุ่มแบบแบ่งชั้น ตามสัดส่วนของแต่ละสถานศึกษาด้วยวิธีจับสลาก เครื่องมือที่ใช้เป็นแบบสอบถาม มาตราส่วนประเมินค่า 5 ระดับและแบบสัมภาษณ์ มีค่าดัชนีความสอดคล้องตั้งแต่ 0.67-1.00 มีค่าความเชื่อมั่นเท่ากับ 0.93 สถิติวิเคราะห์ข้อมูล ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานและการวิเคราะห์เชิงเนื้อหา ผลการวิจัยพบว่า ระดับการบริหารกิจการนักเรียนของผู้บริหารเพื่อพัฒนาคุณลักษณะอันพึงประสงค์ของนักเรียนโรงเรียนเครือข่าย อำเภอพนัสนิคม โดยรวมและรายด้านอยู่ในระดับมากที่สุด ด้านที่มีค่าเฉลี่ยสูงสุดคือการดำเนินงานระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียนและด้านที่มีค่าเฉลี่ยต่ำสุดคือการบริหารงานกิจการนักเรียน มีแนวทางการพัฒนาประกอบด้วยการดำเนินงานระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียน ควรกำหนดเทคนิควิธีให้รัดกุมและเป็นระบบ การประเมินผลควรมีกระบวนการวัดคุณค่าของนักเรียนอย่างต่อเนื่องชัดเจนบนพื้นฐานของความเป็นระบบและมาตรฐานเดียวกัน การวางแผนงานกิจการนักเรียน ควรจัดทำแผนงานให้สอดคล้องกับนโยบายประเมินมาตรฐานประกันคุณภาพ มีการรวบรวมข้อมูลและจัดทำระเบียบข้อบังคับเกี่ยวกับงานกิจการนักเรียนที่เป็นปัจจุบัน การส่งเสริมพัฒนาให้นักเรียนมีวินัยคุณธรรมจริยธรรม ควรส่งเสริมปลูกฝังสร้างจิตสำนึกให้นักเรียนมีความรับผิดชอบต่อหน้าที่ การบริหารงานกิจการนักเรียนควรจัดกิจกรรมที่เกี่ยวกับนักเรียนโดยตรงให้เป็นผู้มีความรู้ ความสามารถ มีความประพฤติที่ดีงามส่งเสริมพัฒนาการใช้เวลาว่างให้เป็นประโยชน์และยกย่องให้กำลังใจแก่นักเรียน</p> น้ำฝน พรินรัมย์, ทัศพร เกตุถนอม ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสังคมพัฒนศาสตร์ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so07.tci-thaijo.org/index.php/JSSD/article/view/9622 Sun, 30 Nov 2025 00:00:00 +0700 การพัฒนานโยบายสาธารณะเพื่อสุขภาพและการพัฒนาท้องถิ่นขององค์การบริหารส่วนตำบลที่ส่งผลต่อคุณภาพชีวิตของประชาชน ในจังหวัดนครนายก https://so07.tci-thaijo.org/index.php/JSSD/article/view/9159 <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาระดับคุณภาพชีวิตของประชาชน 2) วิเคราะห์การพัฒนานโยบายสาธารณะเพื่อสุขภาพและการพัฒนาท้องถิ่นขององค์การบริหารส่วนตำบลที่ส่งผลต่อคุณภาพชีวิตของประชาชน และ 3) เสนอแนวทางในการพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชน ในจังหวัดนครนายก เป็นวิจัยเชิงผสมผสาน กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ ประชาชนที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป ที่มีสิทธิเลือกตั้งในจังหวัดนครนายก จำนวน 400 คน เลือกโดยใช้สูตรคำนวณของ Yamane, T. และผู้ให้ข้อมูลสำคัญ ได้แก่ ผู้บริหารองค์การบริหารส่วนตำบลในจังหวัดนครนายก และประชาชน จำนวน 20 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แบบสอบถามโดยผ่านการตรวจสอบความตรงเชิงเนื้อหา มีค่าเฉลี่ยของดัชนีความสอดคล้อง (IOC) ได้เท่ากับ 0.80 และได้ค่าความเชื่อมั่นทั้งฉบับเท่ากับ .90 ผ่านเกณฑ์ และแบบสัมภาษณ์เชิงลึกโดยผ่านหาดัชนีความเที่ยงตรงเชิงเนื้อหา (Content Validity Index) ได้เท่ากับ 1.00 การวิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้ ค่าความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ใช้การวิเคราะห์ถดถอยพหุคูณ และการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงพรรณนา ผลการวิจัยพบว่า 1) คุณภาพชีวิตของประชาชน โดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก ( <em> </em>= 3.81, S.D. = 0.22) 2) ผลวิเคราะห์ตัวแปร ด้านการพัฒนาทรัพยากรธรรมชาติ สิ่งแวดล้อมและการท่องเที่ยว (X<sub>5</sub>) ส่งเสริมสุขภาพ ป้องกันโรค (X<sub>1</sub>) และบุคลากรเป็นเลิศ (X<sub>3</sub>) ส่งผลต่อคุณภาพชีวิตของประชาชน มีระดับนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 และ 3) แนวทางการพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชน ได้แก่ การส่งเสริมการออกกำลังกายและดูแลสุขภาพกายใจสม่ำเสมอ มุ่งสร้างความมั่นใจในศักยภาพของตนเอง ให้ความรู้และการเข้าถึงความมั่นคงในชีวิตประจำวัน และสนับสนุนการสร้างความสัมพันธ์และเครือข่ายที่ดีในชุมชนและครอบครัวผ่านการแลกเปลี่ยนและความเข้าใจซึ่งกันและกัน</p> สุรกิจ ลิ้มสิทธิกูล, ภมร ขันธะหัตถ์, ธนิศร ยืนยง ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสังคมพัฒนศาสตร์ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so07.tci-thaijo.org/index.php/JSSD/article/view/9159 Sun, 30 Nov 2025 00:00:00 +0700 อรรถปริวรรตคำสอนเรื่องสุญญตาตามทัศนะของพุทธทาสภิกขุเพื่อการพ้นทุกข์ https://so07.tci-thaijo.org/index.php/JSSD/article/view/9580 <p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาหลักคำสอนเรื่องการพ้นทุกข์ในพระพุทธศาสนา 2) ศึกษาอรรถปริวรรตคำสอนเรื่องสุญญตาตามทัศนะของพุทธทาสภิกขุ 3) ประยุกต์ใช้อรรถปริวรรตคำสอนเรื่องสุญญตาตามทัศนะของพุทธทาสภิกขุเพื่อการพ้นทุกข์ด้วยวิธีการวิจัยเชิงเอกสาร เพื่อนำไปสู่องค์ความรู้ใหม่ทางพระพุทธศาสนา การปฏิบัติตามหลักธรรมอย่างสม่ำเสมอจะช่วยให้บุคคลเข้าใจสัจธรรมของชีวิต รู้จักควบคุมกิเลส และละวางความยึดติด ทำให้หลุดพ้นจากความทุกข์ และเข้าถึงความสุขที่แท้จริงได้ เพราะเป็นเครื่องค้ำประกันในการประพฤติพรหมจรรย์ที่จะนำผู้ปฏิบัติให้ได้สิ่งที่ดีที่สุดที่ผู้ปฏิบัติจะพึงได้รับ สุญญตาตามทัศนะของพุทธทาสภิกขุ หมายถึง สภาวะที่ว่างจากความเป็นตัวตนหรืออัตตา ซึ่งเป็นอนัตตา ไม่มีสาระที่พึงยึดถือว่าเป็นสัตว์ เป็นบุคคล สภาวะที่ว่างหรือปราศจากกิเลสเครื่องร้อยรัดทั้งปวง คือ ราคะ โทสะ โมหะ เป็นต้น ได้แก่ พระนิพพาน ไม่มีความยึดมั่นถือมั่นว่าเป็นตัวกู ของกู ในกระบวนการการพ้นทุกข์ด้วยความเข้าใจความไม่มีตัวตน เป็นการมองเห็นได้ด้วยปัญญาจักขุเท่านั้น ตัวตนหรือธรรมทั้งมวลล้วนเป็นตัวตนของเหตุที่มาเป็นปัจจัยกัน จึงล้วนไม่ใช่ตัวใช่ตน ที่หมายถึงเราหรือของเราสิ่งทั้งปวงนั้นจึงไม่ใช่เรา เราจึงไม่ใช่นั่น นั่นจึงไม่ใช่ตัวใช่ตนของเรา อย่างแท้จริง เมื่อเราเข้าใจอรรถปริวรรตคำสอนเรื่องสุญญตาตามทัศนะของท่านพุทธทาสภิกขุด้วยการใช้ภาษาธรรมจะนำไปสู่การเข้าถึงการพ้นทุกข์ได้ องค์ความรู้ใหม่ทางพระพุทธศาสนา คือ LEPDI Model</p> พระครูโกศลสุตกิจ (สุเชาว์ สุเมโธ), พระครูโฆสิตวัฒนานุกูล (อนุกูล ปานประดิษฐ์), พระครูวิจิตรศีลาจาร (ประสิทธิ์ ชาตวณฺโณ), สิทธิโชค ปาณธศรี, ภูวเดช ขวัญเสน ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสังคมพัฒนศาสตร์ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so07.tci-thaijo.org/index.php/JSSD/article/view/9580 Sun, 30 Nov 2025 00:00:00 +0700 รูปแบบการประยุกต์ใช้หลักไตรสิกขาเพื่อการเสริมสร้างความสุข แบบเรียบง่ายวิถีพุทธในสังคมดิจิทัล https://so07.tci-thaijo.org/index.php/JSSD/article/view/9629 <p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาแนวคิดการเสริมสร้างความสุขแบบเรียบง่ายวิถีพุทธในสังคมดิจิทัล 2) ศึกษาหลักไตรสิกขาที่ปรากฏในคัมภีร์พระพุทธศาสนา และ 3) ประยุกต์หลักไตรสิกขาเพื่อการเสริมสร้างความสุขแบบเรียบง่ายวิถีพุทธในสังคมดิจิทัล การวิจัยนี้เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพ โดยใช้การวิจัยเชิงเอกสาร เพื่อสังเคราะห์องค์ความรู้ใหม่ทางพระพุทธศาสนา ผลการวิจัยพบว่า ความสุขแบบเรียบง่ายวิถีพุทธเป็นการดำเนินชีวิตบนทางสายกลางอย่างมีสติและปัญญา ไม่ประมาท ยึดมั่นในหลักธรรมคำสอนของพระพุทธศาสนา มีความพอใจในสิ่งที่ตนมี ไม่หลงใหลวัตถุหรือสิ่งเร้าภายนอกเกินควร เน้นการพัฒนาจิตและปัญญาให้สามารถสร้างความสุขได้ด้วยตนเอง พร้อมพัฒนาสมรรถนะภายในเพื่อก้าวพ้นความทุกข์และนำไปสู่ความสงบเย็น หลักไตรสิกขาคือกระบวนการฝึกฝนเรียนรู้และพัฒนาตนจากศีล สมาธิ และปัญญาให้มั่นคงเป็นอุปนิสัยแห่งตน เริ่มจากศีลเป็นพื้นฐานแห่งความดี เจริญสมาธิให้จิตมั่นคง และเจริญปัญญาเพื่อรู้แจ้งสัจธรรม หลักไตรสิกขาสามารถประยุกต์ใช้เป็นแนวทางปฏิบัติที่ถูกต้อง แม้ในสามิสสุข อันเป็นสุขจากกามคุณ โดยมีศีลธรรม ยับยั้งชั่งใจ รู้จักพอดี ไม่เบียดเบียน และไม่หลงระเริงในสุขทางวัตถุ ความสุขแบบเรียบง่ายวิถีพุทธมุ่งสู่นิรามิสสุข ความสุขที่บริสุทธิ์ ปราศจากโลภะ โทสะ และโมหะ เป็นการชำระจิตให้สะอาด สว่าง และสงบ การประยุกต์ใช้หลักไตรสิกขาจึงเป็นแนวทางสำคัญในการดำรงชีวิตอย่างมีความสุขแท้จริงในสังคมดิจิทัล อันนำไปสู่การสังเคราะห์องค์ความรู้ใหม่ทางพระพุทธศาสนาในรูปแบบ 2MWENL Model ซึ่งเป็นนวัตกรรมทางจิตปัญญาที่ช่วยเสริมสร้างความสุข ความสมดุล และคุณภาพชีวิตที่ยั่งยืนในยุคดิจิทัล</p> พระครูวินัยธรชวลิต อุตฺตโม (สุวรรณจันทร์), พระครูโฆสิตวัฒนานุกูล (อนุกูล ปานประดิษฐ์), พระครูวิจิตรศีลาจาร (ประสิทธิ์ ชาตวณฺโณ), สิทธิโชค ปาณะศรี, ภูวเดช ขวัญเสน ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสังคมพัฒนศาสตร์ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so07.tci-thaijo.org/index.php/JSSD/article/view/9629 Sun, 30 Nov 2025 00:00:00 +0700 การพัฒนานวัตกรรมแนวทางการจัดการการเรียนรู้ดิจิทัลที่ส่งเสริมทักษะแห่งศตวรรษที่ 21 ของผู้เรียนในสถาบันอุดมศึกษา https://so07.tci-thaijo.org/index.php/JSSD/article/view/9584 <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาสภาพการจัดการการเรียนรู้ดิจิทัลในสถาบันอุดมศึกษา 2) เพื่อพัฒนานวัตกรรมการจัดการการเรียนรู้ดิจิทัลที่ส่งเสริมทักษะแห่งศตวรรษที่ 21 ในสถาบันอุดมศึกษา และ 3) เพื่อตรวจสอบความเหมาะสมและความเป็นไปได้ของนวัตกรรมดังกล่าว การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยแบบผสมผสาน (Mixed Methods Research) กลุ่มตัวอย่างในเชิงปริมาณประกอบด้วยนักศึกษาและอาจารย์จากมหาวิทยาลัยในจังหวัดชลบุรี จำนวน 400 คน ซึ่งกำหนดตามสูตรของเครจซี่และมอร์แกน เลือกวิธีการสุ่มแบบแบ่งชั้น เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แบบสอบถาม โดยวิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติพรรณนาและเชิงคุณภาพใช้การสนทนากลุ่มผู้ทรงคุณวุฒิและผู้เชี่ยวชาญ จำนวน 10 คน โดยการวิเคราะห์เนื้อหา ผลการวิจัยพบว่า สภาพการจัดการการเรียนรู้ดิจิทัลในสถาบันอุดมศึกษาโดยรวมอยู่ในระดับมาก (𝑥̄ = 4.27) โดยเฉพาะด้านการวัดและประเมินผลซึ่งได้คะแนนสูงสุด (𝑥̄ = 4.45) ส่วนด้านการจัดการเรียนการสอนยังอยู่ในระดับต่ำที่สุด (𝑥̄ = 4.03) นอกจากนี้การพัฒนานวัตกรรมการจัดการการเรียนรู้ดิจิทัลที่ส่งเสริมทักษะแห่งศตวรรษที่ 21 ในสถาบันอุดมศึกษา พบว่าผู้เรียนมีทักษะแห่งศตวรรษที่ 21 ในระดับมาก (𝑥̄ = 4.32) โดยเฉพาะมิตด้านทักษะการเรียนรู้และนวัตกรรม ได้คะแนนสูงที่สุด (𝑥̄ = 4.41) ส่วนมิติที่ได้ค่าเฉลี่ยต่ำสุดคือทักษชีวิตและอาชีพ (𝑥̄ = 4.25) ผลจากการสนทนากลุ่มกับผู้ทรงคุณวุฒิและผู้เชี่ยวชาญ ยืนยันว่าแนวทางนวัตกรรมที่พัฒนาขึ้นมีความเหมาะสมและความเป็นไปได้ในระดับสูง ร้อยละ 85 ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์มาตรฐาน โดยองค์ประกอบสำคัญของนวัตกรรมประกอบด้วยการพัฒนานโยบายต่อเนื่อง การออกแบบกิจกรรมดิจิทัลที่ส่งเสริมการมีส่วนร่วมของผู้เรียน การประเมินผลตามสมรรถนะจริง และการสร้างเครือข่ายความร่วมมือกับภาคอุตสาหกรรม</p> อติพร เกิดเรือง ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสังคมพัฒนศาสตร์ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so07.tci-thaijo.org/index.php/JSSD/article/view/9584 Sun, 30 Nov 2025 00:00:00 +0700 ผลกระทบเชิงบวกจากการใช้สื่อสังคมออนไลน์ของนักศึกษามหาวิทยาลัย ในมณฑลไห่หนาน https://so07.tci-thaijo.org/index.php/JSSD/article/view/9588 <p>การวิจัยในครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาผลกระทบเชิงบวกจากการใช้สื่อสังคมออนไลน์ และเพื่อศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างลักษณะส่วนบุคคลกับผลกระทบเชิงบวกจากการใช้สื่อสังคมออนไลน์ของนักศึกษามหาวิทยาลัยในมณฑลไห่หนาน ใช้วิธีการวิจัยเชิงปริมาณ เก็บรวบรวมข้อมูลจากนักศึกษามหาวิทยาลัยในมณฑลไห่หนาน โดยการสุ่มตัวอย่างแบบโควตา (Quota Sampling) ใช้สูตรของทาโร่ยามาเน่ได้กลุ่มตัวอย่างจำนวน 400 คน สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลคือ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ทดสอบสมมติฐานด้วยสถิติ T-test and F-test วิเคราะห์ความแปรปรวนทางเดียว (One-Way ANOVA) เปรียบเทียบความแตกต่างเป็นรายคู่ด้วยวิธีเชฟเฟ และการวิเคราะห์สหสัมพันธ์แบบเพียร์สัน (Pearson Correlation) ผลการวิจัยพบว่า การใช้สื่อสังคมออนไลน์ของนักศึกษามหาวิทยาลัยในมณฑลไห่หนานสามารถสร้างผลกระทบเชิงบวกทุกด้านโดยรวมอยู่ในระดับมากที่สุด มีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 4.26 และพบว่าลักษณะส่วนบุคคลของนักศึกษาด้านเพศ อายุ ชั้นปีการศึกษา รายได้ต่อเดือน สถานศึกษา มีความสัมพันธ์กับการพัฒนาการเรียนรู้ของนักศึกษา พัฒนาการทางสังคมของนักศึกษา ความสะดวกในการใช้สื่อสังคมออนไลน์ และการใช้ประโยชน์จากสื่อสังคมออนไลน์ ซึ่งเป็นผลกระทบเชิงบวกจากการใช้สื่อสังคมออนไลน์ของนักศึกษามหาวิทยาลัยในมณฑลไห่หนาน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 สรุป: สื่อสังคมออนไลน์ส่งผลกระทบเชิงบวกต่อการเรียนรู้ของนักศึกษา ต่อพัฒนาการทางสังคมของนักศึกษาโดยตรง ซึ่งผลการวิจัยนี้สามารถนำไปประยุกต์ใช้ในการส่งเสริมการใช้ประโยชน์จากสื่อสังคมออนไลน์ในด้านต่าง ๆ ของมหาวิทยาลัยในมณฑลไห่หนาน โดยเฉพาะการประชาชาสัมพันธ์กิจกรรมการเรียนการสอน การสร้างภาพลักษณ์ที่ดีของมหาวิทยาลัย และใช้สื่อสารเพื่อพัฒนานักศึกษาได้อย่างมีประสิทธิภาพ</p> จู เสี่ยงฉี, นิสากร ยินดีจันทร์ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสังคมพัฒนศาสตร์ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so07.tci-thaijo.org/index.php/JSSD/article/view/9588 Sun, 30 Nov 2025 00:00:00 +0700 การเปรียบเทียบผลของการฝึกระหว่างโบซูบอลและอินแฟลตบอลที่มีต่อความแข็งแรงของขา-ลำตัวและการทรงตัวในนักกีฬายิมนาสติกสมัครเล่น https://so07.tci-thaijo.org/index.php/JSSD/article/view/9620 <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาและเปรียบเทียบผลของการฝึกโบซูบอลและอินแฟลตบอลที่มีต่อความแข็งแรงของขา-ลำตัวและการทรงตัวในนักกีฬายิมนาสติกสมัครเล่น กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยเป็นนักกีฬายิมนาสติกสมัครเล่นในจังหวัดสุโขทัย ปี 2567 จำนวน 32 คน ได้มาจากการเลือกแบบเจาะจงและคำนวณกลุ่มตัวอย่างโดยใช้โปรแกรม G*power โดยผู้วิจัยแบ่งกลุ่มตัวอย่างออกเป็น 2 กลุ่มคือ กลุ่มที่ฝึกโบซูบอลจำนวน 16 คน และกลุ่มที่ฝึกอินแฟลตบอลจำนวน 16 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยประกอบด้วย 1) โปรแกรมการฝึกโบซูบอล 2) โปรแกรมการฝึกอินแฟลตบอล 3) แบบทดสอบแรงเหยียดขา 4) แบบทดสอบลุกนั่ง 60 วินาที และ 5) แบบทดสอบการทรงตัวรูปตัววาย ทำการวิเคราะห์ข้อมูลโดยหาค่าเฉลี่ยและส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน วิเคราะห์สถิติที ผลการวิจัยพบว่า 1) กลุ่มที่ฝึกโปรแกรมโบซูบอลและกลุ่มที่ฝึกโปรแกรมอินแฟลตบอลหลังการฝึกสัปดาห์ที่ 8 มีความแข็งแรงของขา-ลำตัวและการทรงตัวดีกว่าก่อนการฝึกอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 2) หลังการฝึกสัปดาห์ที่ 8 กลุ่มที่ฝึกโปรแกรมโบซูบอลมีความแข็งแรงของขา-ลำตัวและการทรงตัวดีกว่ากลุ่มที่ฝึกโปรแกรมอินแฟลตบอลอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 สรุปได้ว่าโปรแกรมการฝึกโบซูบอลสามารถใช้เป็นโปรแกรมเสริมในการฝึกเพื่อพัฒนาความแข็งแรงของขา-ลำตัวและการทรงตัวของนักกีฬายิมนาสติกสมัครเล่น โดยต้องทำการฝึก 3 วันต่อสัปดาห์ วันละ 30 นาที เป็นเวลาจำนวน 8 สัปดาห์ สามารถพัฒนาความแข็งแรงของขา-ลำตัวและการทรงตัวได้</p> ศรัณย์ สุวรรณษา ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสังคมพัฒนศาสตร์ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so07.tci-thaijo.org/index.php/JSSD/article/view/9620 Sun, 30 Nov 2025 00:00:00 +0700 มาตรการพิเศษในการคุ้มครองพยานภายหลังการพิจารณาคดี ในคดีความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมข้ามชาติ https://so07.tci-thaijo.org/index.php/JSSD/article/view/9587 <p>งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาปัญหาการใช้มาตราพิเศษคุ้มครองพยานภายหลังการพิจารณาคดี โดยเฉพาะคดีตามพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการมีส่วนร่วมในองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ พ.ศ. 2556 2) เปรียบเทียบแนวทางการใช้มาตรการดังกล่าวระหว่างกฎหมายไทยกับต่างประเทศ 3) วิเคราะห์ข้อจำกัดของระบบคุ้มครองพยานไทย และ 4) เสนอแนวทางใหม่ที่เหมาะสมต่อการประยุกต์ใช้ในกฎหมายไทย ผลการศึกษาพบว่า แม้มาตรา 8 แห่งพระราชบัญญัติคุ้มครองพยานในคดีอาญา พ.ศ. 2546 จะกำหนดมาตรการคุ้มครองระหว่างการพิจารณาคดี แต่ยังไม่มีบทบัญญัติคุ้มครองพยานหลังคดีสิ้นสุด พยานในคดีอาชญากรรมข้ามชาติมีความเสี่ยงต่อการถูกคุกคามและไม่มั่นใจในการให้ข้อมูลงกระทบต่อประสิทธิภาพของกระบวนการยุติธรรมไทย จากการเปรียบเทียบพบว่า ออสเตรเลียมีมาตรการเปลี่ยนชื่อสร้างตัวตนใหม่ ย้ายถิ่นฐาน และสนับสนุนด้านการเงิน สหรัฐอเมริกามีหน่วยงานเฉพาะด้านความปลอดภัยพยาน พร้อมระบบย้ายถิ่นฐานและการรักษาความลับที่เข้มงวด ทั้งสองประเทศมีระบบคุ้มครองหลังคดีที่มั่นคงและต่อเนื่องกว่าไทย อย่างชัดเจน ไทยยังขาดหน่วยงานเฉพาะด้านการคุ้มครองพยานหลังคดี ขาดมาตรการระยะยาว ไม่กำหนดสิทธิของพยานหลังการคุ้มครอง ต้องปรับปรุงทั้งด้านกฎหมายและกลไกบริหารจัดการ ควรจัดตั้งหน่วยงานคุ้มครองพยานหลังคดี บัญญัติมาตรการย้ายถิ่นฐานและเปลี่ยนตัวตน สนับสนุนทางการเงินระยะเปลี่ยนผ่าน และกำหนดหลักเกณฑ์รักษาความลับตามแนวทางของออสเตรเลียและสหรัฐอเมริกา และศึกษาว่าหากไทยนำมาตรการดังกล่าวไปใช้ ให้การคุ้มครองพยานครอบคลุมครบทุกช่วง ช่วยลดความเสี่ยงของพยาน เสริมความเชื่อมั่นต่อกระบวนการยุติธรรมและเพิ่มศักยภาพของรัฐในการปราบปรามองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติอย่างยั่งยืน</p> สุรชัย พ่วงชูศักดิ์ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสังคมพัฒนศาสตร์ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so07.tci-thaijo.org/index.php/JSSD/article/view/9587 Sun, 30 Nov 2025 00:00:00 +0700 รูปแบบการประยุกต์ใช้หลักสติในการพัฒนาคุณภาพชีวิตของการบริโภคปัจจัยสี่ ในสังคมบริโภคนิยม https://so07.tci-thaijo.org/index.php/JSSD/article/view/9586 <p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาแนวคิดการพัฒนาคุณภาพชีวิตของการบริโภคปัจจัยสี่ในสังคมบริโภคนิยม ผลการวิจัยพบว่า แนวคิดดังกล่าวมีลักษณะเป็นการบริโภคเชิงสัญญะ (Symbolic Consumption) มากกว่าการบริโภคเพื่อความจำเป็นพื้นฐาน โดยประชาชนถูกชักนำจากสื่อ การโฆษณา และค่านิยมทางสังคม ทำให้เลือกบริโภคเพื่อตอบสนองภาพลักษณ์และความอยากมากกว่าความต้องการจริง ส่งผลให้เกิดพฤติกรรมเกินพอดีและขาดสมดุลต่อสุขภาวะ 2) หลักสติที่ปรากฏในคัมภีร์พระพุทธศาสนา สามารถสังเคราะห์ได้เป็น 3 มิติ ได้แก่ 1) สติในพระไตรปิฎก อธิบายว่าเป็นความระลึกได้ รู้เท่าทันอารมณ์ เช่น สติปัฏฐาน 4 และอานาปานสติ 2) สติในคัมภีร์อรรถกถาและคัมภีร์อื่น ๆ ที่เปรียบสติเป็นเครื่องควบคุมจิตและไม่ให้หลงตามสิ่งเร้า 3) สติในทัศนะนักวิชาการที่มองว่าสติเป็นทักษะสำคัญในการแยกแยะความจำเป็นกับความอยาก และลดอิทธิพลสื่อ 3) การประยุกต์ใช้หลักสติเพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตด้านการบริโภคแบ่งเป็น 3 กระบวนการ คือ การพัฒนาสติเพื่อพฤติกรรมระดับปัจเจกบุคคล ได้แก่ บริโภคอย่างพอเหมาะ ใช้สติพิจารณาเหตุผลก่อนบริโภค การพัฒนาระดับสังคม ได้แก่ ส่งเสริมการรู้เท่าทันสื่อและลดค่านิยมอวดฐานะ และระดับการบริโภคอย่างยั่งยืน คือ บริโภคตามความจำเป็น คำนึงผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม และลดการเป็นทาสตัณหา การสังเคราะห์ทั้งหมดนำไปสู่การสร้าง 2CNVMW Model ซึ่งเป็นกรอบคิดใหม่ทางพระพุทธศาสนาที่ช่วยให้ผู้บริโภคเข้าใจความต้องการที่แท้จริง ลดผลกระทบของบริโภคนิยม และพัฒนาคุณภาพชีวิตอย่างสมดุลด้วยสติ พร้อมทั้งเสริมสร้างทัศนคติที่ถูกต้องต่อการใช้ทรัพยากรอย่างรู้คุณค่าและยั่งยืนยิ่งขึ้น อันนำไปสู่สังคมที่ตระหนักถึงความพอเพียงและการพัฒนาที่ตั้งอยู่บนฐานแห่งปัญญาแท้จริง</p> พระครูสุวรรณคูหาพิทักษ์ (กษม สมเคราะห์), พระครูโฆสิตวัฒนานุกูล (อนุกูล ปานประดิษฐ์), พระครูวิจิตรศีลาจาร (ประสิทธิ์ ชาตวณฺโณ), สิทธิโชค ปาณะศรี, ภูวเดช ขวัญเสน ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสังคมพัฒนศาสตร์ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so07.tci-thaijo.org/index.php/JSSD/article/view/9586 Sun, 30 Nov 2025 00:00:00 +0700 การบริหารจัดการหนี้สินบนพื้นฐานปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง ของกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองบ้านใหม่ ตำบลปางหมู อำเภอเมืองแม่ฮ่องสอน จังหวัดแม่ฮ่องสอน https://so07.tci-thaijo.org/index.php/JSSD/article/view/9589 <p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาสภาพปัจจุบันของสมาชิกกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองบ้านใหม่ ตำบลปางหมู อำเภอเมืองแม่ฮ่องสอน จังหวัดแม่ฮ่องสอน ที่เชื่อมโยงกับปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง 2) ศึกษาและเสนอแนวทางการบริหารจัดการหนี้สินของกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองบ้านใหม่ ตำบลปางหมู อำเภอเมืองแม่ฮ่องสอน จังหวัดแม่ฮ่องสอน บนพื้นฐานปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง เป็นวิจัยแบบผสมผสาน ศึกษาจากประชากรทั้งหมด คือ คณะกรรมการกองทุนหมู่บ้านฯ จำนวน 12 คน และสมาชิกกองทุนหมู่บ้านฯ จำนวน 60 คน รวมเป็น 72 คน เครื่องมือที่ใช้ คือ แบบสอบถาม ผลการวิจัยพบว่า ในภาพรวมของความเชื่อมโยงการบริหารจัดการหนี้สินบนพื้นฐานปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงบ้านใหม่ ตำบลปางหมู อำเภอเมืองแม่ฮ่องสอน จังหวัดแม่ฮ่องสอน ด้านคุณธรรม อยู่ในระดับมากที่สุด (󠇯µ=4.52 ,σ=0.54) รองลงมาอยู่ในระดับมาก คือ ด้านความมีเหตุผล (µ=4.19 ,σ=0.72) ด้านความรู้ (µ=3.73 ,σ=0.82) ด้านความมีภูมิคุ้มกัน (µ=3.51 ,σ=0.69) และด้านความพอประมาณ (µ=3.45 ,σ=0.74) ประเด็นการบริหารจัดการหนี้สินของกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองบ้านใหม่ ตำบลปางหมู อำเภอเมืองแม่ฮ่องสอน จังหวัดแม่ฮ่องสอนบนพื้นฐานปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง พบว่า 1) ปัญหาที่ส่งผลต่อการบริหารจัดการหนี้กองทุนหมู่บ้านฯ คือ การพึ่งพาเทคโนโลยีและใช้เงินลงทุนสูง การทำอาชีพซ้ำซ้อน การขาดแคลนแรงงาน ความสัมพันธ์เครือญาติ การใช้เงินกู้ผิดวัตถุประสงค์ และด้านการสื่อสาร 2) แนวทางการบริหารจัดการหนี้สินของกองทุนหมู่บ้านฯ โดยการประยุกต์ใช้ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง คือ ความพอประมาณ ความมีเหตุผล การสร้างภูมิคุ้มกัน พร้อมทั้งเงื่อนไขคุณธรรมและความรู้ในการแก้ไขปัญหาการบริหารจัดการหนี้กองทุนหมู่บ้านฯ ซึ่งอยู่ภายใต้ 3 ระยะ ดังนี้ 1) ก่อนก่อหนี้ 2) ขณะมีหนี้ และ 3) หลังการปลดหนี้</p> ศราวุฒิ สมวะถา, นครินทร์ พริบไหว , ถนัด บุญชัย ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสังคมพัฒนศาสตร์ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so07.tci-thaijo.org/index.php/JSSD/article/view/9589 Sun, 30 Nov 2025 00:00:00 +0700 รูปแบบการนิเทศโดยกระบวนการแห่งการเรียนรู้ทางวิชาชีพเพื่อส่งเสริมความสามารถในการทำวิจัยในชั้นเรียน โรงเรียนชุมชนบ้านนากัน อำเภอสะบ้าย้อย จังหวัดสงขลา https://so07.tci-thaijo.org/index.php/JSSD/article/view/9574 <p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาข้อมูลพื้นฐานที่จำเป็นสำหรับการพัฒนารูปแบบการนิเทศโดยกระบวนการชุมชนแห่งการเรียนรู้ทางวิชาชีพ เพื่อส่งเสริมความสามารถในการทำวิจัยในชั้นเรียน 2) เพื่อสร้างรูปแบบการนิเทศโดยกระบวนการชุมชนแห่งการเรียนรู้ทางวิชาชีพ เพื่อส่งเสริมความสามารถในการทำวิจัยในชั้นเรียน 3) เพื่อศึกษาผลการใช้รูปแบบการนิเทศดังกล่าว และ 4) เพื่อประเมินรูปแบบการนิเทศโดยกระบวนการชุมชนแห่งการเรียนรู้ทางวิชาชีพ เพื่อส่งเสริมความสามารถในการทำวิจัยในชั้นเรียน กลุ่มตัวอย่างคือครูโรงเรียนชุมชนบ้านนากัน จังหวัดสงขลา จำนวน 16 คน เครื่องมือวิจัยประกอบด้วยแบบบันทึกการประชุม แบบสัมภาษณ์ แบบสังเกต แบบประเมิน แบบตรวจสอบความสอดคล้องความเหมาะสม และแบบสรุปข้อมูล การวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การทดสอบที และการวิเคราะห์เนื้อหา ผลการวิจัยพบว่า 1) ข้อมูลพื้นฐานที่จำเป็นสำหรับการพัฒนารูปแบบการนิเทศควรสนับสนุนให้ครูทำวิจัยในชั้นเรียนและใช้ผลวิจัยพัฒนาการจัดการเรียนรู้ มีการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ในรูปแบบ PLC การนิเทศติดตามผลอย่างเป็นระบบ และมีผู้เชี่ยวชาญให้คำปรึกษาอย่างต่อเนื่อง 2) รูปแบบการนิเทศที่สร้างขึ้นประกอบด้วย 6 องค์ประกอบ ได้แก่ หลักการ วัตถุประสงค์ เนื้อหา กระบวนการนิเทศ การวัดและประเมินผล เงื่อนไขความสำเร็จ และมีกระบวนการนิเทศ 6 ขั้นตอน ได้แก่ การสร้างทีม วางแผน ร่วมปฏิบัติ เปิดรับการชี้แนะ สะท้อนผล และเผยแพร่สู่สาธารณะ ซึ่งมีความเหมาะสมในระดับมากที่สุด 3) ผลการใช้รูปแบบ พบว่า ครูมีความสามารถในการทำวิจัยในชั้นเรียนและการเขียนรายงาน อยู่ในระดับดีและสูงกว่าเกณฑ์ร้อยละ 75 อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 และ 4) ผลการประเมินรูปแบบ ในด้านปัจจัยนำเข้า ด้านกระบวนการ และด้านผลผลิตอยู่ในระดับมากที่สุด</p> สุธาสินี ดังแก้วสี ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสังคมพัฒนศาสตร์ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so07.tci-thaijo.org/index.php/JSSD/article/view/9574 Sun, 30 Nov 2025 00:00:00 +0700 ปัจจัยที่มีผลต่อการตัดสินใจเข้าศึกษาต่อระดับปริญญาตรีของนักศึกษา https://so07.tci-thaijo.org/index.php/JSSD/article/view/9256 <p>งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาปัจจัยที่มีผลต่อการตัดสินใจเข้าศึกษาต่อระดับปริญญาตรีของนักศึกษา และ 2) เพื่อศึกษาความสัมพันธ์ปัจจัยที่มีผลต่อการตัดสินใจเข้าศึกษาต่อระดับปริญญาตรีของนักศึกษา งานวิจัยนี้ใช้การวิจัยแบบผสมผสานระหว่างการวิจัยเชิงคุณภาพและการวิจัยเชิงปริมาณ สำหรับกลุ่มตัวอย่างในการวิจัย นักศึกษามหาวิทยาลัยราชภัฏหมู่บ้านจอมบึง ผู้วิจัยใช้การเปิดตารางแสดงขนาดของกลุ่มตัวอย่างของ Krejcie and Morgan ค่าความคลาดเคลื่อน 5% ได้เท่ากับ 346 คน เครื่องมือที่ใช้เก็บรวบรวมข้อมูล ได้แก่ แบบสอบถาม และแบบสัมภาษณ์ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ สถิติเชิงพรรณนา โดยหาค่าเฉลี่ย ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน ค่าความเบ้ และค่าความโด่ง การแปรปรวนการวิเคราะห์ความแปรปรวนทางเดียว และการทดสอบสมมติฐานด้วยค่าสถิติทดสอบที และการวิจัยเชิงคุณภาพใช้วิเคราะห์ข้อมูลเชิงเนื้อหา ผลการวิจัย 1) ปัจจัยที่มีผลต่อการตัดสินใจเข้าศึกษาต่อระดับปริญญาตรีของนักศึกษา โดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก และเมื่อแยกพิจารณาในรายด้านพบว่า สถาบันการศึกษา มีค่าเฉลี่ยมากที่สุด รองลงมาคือด้านบุคคล ด้านครอบครัว ด้านหลักสูตร ด้านการเงิน และด้านสถานบันการศึกษา และ 2) ปัจจัยที่มีผลต่อการตัดสินใจฯเข้าศึกษาต่อระดับปริญญาตรีของนักศึกษา มีความสัมพันธ์โดยภาพรวม ความสัมพันธ์ในระดับสูงและมีความสัมพันธ์ ในลักษณะคล้อยตามกัน กล่าวคือ หากปัจจัยใดเพิ่มขึ้นการตัดสินใจเข้าศึกษาต่อระดับปริญญาตรีของนักศึกษาก็จะมีระดับเพิ่มขึ้นด้วย งานวิจัยนี้เกิดข้อค้นพบว่า การสืบค้นแสวงหาข้อมูลข่าวสารจะช่วยให้เกิดการตัดสินใจมีความแม่นยำมากขึ้นว่าจะเลือกเข้าศึกษาต่อระดับสาขาวิชาอะไรและเลือกมหาวิทยาลัยใดบ้างที่เปิดสาขาวิชานั้น ๆ เพื่อเป็นการประเมินทางเลือกได้ถูกต้อง</p> สมิตา จุลเขตร์ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสังคมพัฒนศาสตร์ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so07.tci-thaijo.org/index.php/JSSD/article/view/9256 Sun, 30 Nov 2025 00:00:00 +0700 การพัฒนาสมรรถนะของผู้บริหารสถานศึกษาขั้นพื้นฐานในยุคดิจิทัล สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษานครราชสีมา https://so07.tci-thaijo.org/index.php/JSSD/article/view/9575 <p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาสมรรถนะและแนวทางการพัฒนาสมรรถนะของผู้บริหารสถานศึกษาขั้นพื้นฐานในยุคดิจิทัล สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษานครราชสีมา เป็นการวิจัยแบบผสมผสาน กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ ผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครราชสีมา เขต 5 ได้กำหนดขนาดของกลุ่มตัวอย่างตามตารางของเครจซีและมอร์แกน จำนวน 136 คน โดยใช้การสุ่มตัวอย่างแบบแบ่งชั้น เครื่องมือที่ใช้ เป็นแบบสอบถาม และแบบสัมภาษณ์ สถิติที่ใช้ ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และวิเคราะห์ข้อมูลเชิงเนื้อหา ผลการวิจัยพบว่า 1) สมรรถนะของผู้บริหารสถานศึกษาขั้นพื้นฐานในยุคดิจิทัล โดยรวม มีการปฏิบัติอยู่ในระดับมาก และ 2) แนวทางการพัฒนาสมรรถนะของผู้บริหารสถานศึกษาขั้นพื้นฐานในยุคดิจิทัล ได้แก่ 1) สมรรถนะหลัก พบว่า ผู้บริหารสถานศึกษามีการนำพาองค์กรให้เติบโตและตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีและสังคม มีความรู้เชิงลึกด้านดิจิทัล นวัตกรรม และการจัดการข้อมูล และทักษะในการนำเทคโนโลยีมาใช้ในการบริหารสถานศึกษาอย่างมีประสิทธิภาพ 2) สมรรถนะประจำสายงาน พบว่า ผู้บริหารสถานศึกษามีความสามารถบริหารสถานศึกษาในสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วโดยเฉพาะในด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ และมีการปรับตัวและพัฒนาทักษะใหม่ ๆ อย่างต่อเนื่อง 3) สมรรถนะส่วนบุคคล พบว่า ผู้บริหารสถานศึกษามีการปรับตัวต่อเทคโนโลยีใหม่ ๆ การวิเคราะห์ข้อมูล และการใช้เครื่องมือดิจิทัลเพื่อการตัดสินใจที่มีประสิทธิภาพ และมีความมุ่งมั่นและกระตือรือร้นในการพัฒนาและแก้ไขปัญหาเพื่อนำพาสถานศึกษาไปสู่ความสำเร็จในยุคดิจิทัล และ 4) สมรรถนะด้านการบริหาร พบว่า ผู้บริหารสถานศึกษามีการใช้เทคโนโลยีในการวางกลยุทธ์ และนำการเปลี่ยนแปลงมาใช้ในการบริหารสถานศึกษาอย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อพัฒนาการศึกษาให้ทันต่อความต้องการของสังคมในยุคดิจิทัล</p> มณีรัตน์ กวดขุนทด, เสาวณีย์ สิกขาบัณฑิต, อุทัยวรรณ สายพัฒนะ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสังคมพัฒนศาสตร์ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so07.tci-thaijo.org/index.php/JSSD/article/view/9575 Sun, 30 Nov 2025 00:00:00 +0700 การเปิดรับข่าวสาร กับทัศนคติและแนวโน้มพฤติกรรมด้านการท่องเที่ยวในประเทศไทยของชาวจีนในมณฑลกว่างซี https://so07.tci-thaijo.org/index.php/JSSD/article/view/9591 <p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา 1) การเปิดรับข่าวสารด้านการท่องเที่ยวในประเทศไทยของชาวจีนในมณฑลกว่างซีจำแนกตามลักษณะทางประชากร 2) ความสัมพันธ์ระหว่างการเปิดรับข่าวสารกับทัศนคติ และ 3) ความสัมพันธ์ระหว่างทัศนคติที่มีต่อการท่องเที่ยวกับแนวโน้มพฤติกรรมด้านการท่องเที่ยวในประเทศไทยของชาวจีนในมณฑลกว่างซี เป็นการวิจัยเชิงปริมาณ ใช้แบบสอบถามเป็นเครื่องมือเก็บรวบรวมข้อมูล กลุ่มตัวอย่างคือ ชาวจีนมณฑลกว่างซี 400 คน ใช้การสุ่มแบบหลายขั้นตอน สถิติที่ใช้คือ การแจกแจงความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และทดสอบสมมติฐานโดยใช้การทดสอบความแตกต่างระหว่างค่าเฉลี่ย การวิเคราะห์ความแปรปรวนทางเดียว และการหาค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์แบบเพียร์สัน ผลการวิจัย พบว่า กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่เปิดรับข่าวสารการท่องเที่ยวในประเทศไทยมา 3−4 ปี ช่องทางที่เปิดรับมากที่สุดคือแอปพลิเคชัน Tencent News เนื้อหาที่สนใจที่สุดคือ การแนะนำที่ท่องเที่ยวใหม่ ๆ เหตุผลหลักการเปิดรับจากความน่าเชื่อถือของแหล่งข้อมูล มีทัศนคติที่ดีในเรื่องการดูแลความปลอดภัยของนักท่องเที่ยวมากที่สุด ด้านแนวโน้มพฤติกรรม กลุ่มตัวอย่างมีความตั้งใจที่จะเดินทางมาท่องเที่ยวที่จังหวัดเชียงใหม่มากที่สุด นอกจากนี้ ผลการทดสอบสมมติฐานยังพบว่า ลักษณะประชากรที่แตกต่างกัน ไม่มีความแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญต่อการเปิดรับข่าวสารด้านการท่องเที่ยว แต่การเปิดรับข่าวสารด้านการท่องเที่ยวมีความสัมพันธ์เชิงบวกกับทัศนคติ ซึ่งทัศนคติก็มีความสัมพันธ์เชิงบวกกับแนวโน้มพฤติกรรมด้านการท่องเที่ยวอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ 0.05 ด้วยเหตุนี้ สามารถสรุปได้ว่า การสื่อสารประชาสัมพันธ์ผ่านช่องทางดิจิทัลมีบทบาทสำคัญในการสร้างทัศนคติเชิงบวกและกระตุ้นการตัดสินใจเดินทางของนักท่องเที่ยวชาวจีนกลุ่มนี้ได้</p> จิงอี้ เว่ย, ฐิติ วิทยสรณะ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสังคมพัฒนศาสตร์ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so07.tci-thaijo.org/index.php/JSSD/article/view/9591 Sun, 30 Nov 2025 00:00:00 +0700 ความคิดเห็นของผู้ประกันตนต่อการเลือกตั้งผู้แทนฝ่ายผู้ประกันตน เป็นคณะกรรมการประกันสังคม ปี พ.ศ. 2566 จังหวัดกระบี่ https://so07.tci-thaijo.org/index.php/JSSD/article/view/9578 <p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา 1) ระดับความคิดเห็นของผู้ประกันตนต่อการเลือกตั้งผู้แทนฝ่ายผู้ประกันตนเป็นคณะกรรมการประกันสังคม ปี พ.ศ. 2566 จังหวัดกระบี่ และ 2) แนวทางในการส่งเสริมการเลือกตั้งผู้แทนฝ่ายผู้ประกันตนเป็นคณะกรรมการประกันสังคม จังหวัดกระบี่ เป็นการวิจัยแบบผสมผสาน ประชากรที่ใช้ศึกษาวิจัยได้แก่ ผู้ประกันตนในเขตพื้นที่จังหวัดกระบี่ จำนวน 98,390 คน ได้ขนาดกลุ่มตัวอย่าง จำนวน 384 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แบบสอบถามและแบบสัมภาษณ์ ทำการวิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าความเบี่ยงเบนมาตรฐาน และวิเคราะห์เชิงเนื้อหาผลการวิจัยพบว่า 1) ความคิดเห็นของผู้ประกันตนต่อการเลือกตั้งผู้แทนฝ่ายผู้ประกันตนเป็นคณะกรรมการประกันสังคม ปี พ.ศ. 2566 จังหวัดกระบี่ ในภาพรวมอยู่ในระดับมากที่สุด โดยเรียงลำดับตามค่าเฉลี่ยจากสูงสุดไปต่ำสุด พบว่า ด้านคุณสมบัติของผู้แทน มีค่าเฉลี่ยสูงสุด (<img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\bar{x}" alt="equation" /> = 4.68, S.D. = 0.60) รองลงมาคือ ด้านการลงคะแนนใช้สิทธิเลือกตั้ง (<img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\bar{x}" alt="equation" /> = 4.67, S.D. = 0.60) และด้านกฎหมาย มีค่าเฉลี่ยต่ำสุด (<img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\bar{x}" alt="equation" /> = 4.65, S.D. = 0.65) ตามลำดับ และ 2) แนวทางในการส่งเสริมการเลือกตั้งผู้แทนฝ่ายผู้ประกันตนเป็นคณะกรรมการประกันสังคมจังหวัดกระบี่ พบว่า 1) ด้านกฎหมาย ควรเพิ่มเติมระเบียบเกี่ยวกับผู้แทนเมื่อได้รับการเลือกตั้งแล้ว หากผู้แทนประพฤติมิชอบผู้ประกันตนมีสิทธิร่วมลงชื่อถอดถอนได้ 2) ด้านคุณสมบัติของผู้แทน ผู้แทนต้องมีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับบริบทของสำนักงานประกันสังคม มีวิสัยทัศน์ที่ดีต่อการพัฒนาต่อยอดงานประกันสังคม 3) ด้านคุณสมบัติและวิธีการลงทะเบียนใช้สิทธิเลือกตั้ง ควรลงทะเบียนใช้สิทธิเลือกตั้งผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ 4) ด้านการประชาสัมพันธ์ ควรเน้นประชาสัมพันธ์ผ่านสื่อโซเซียลมีเดียควบคู่กับช่องทางอื่น และ 5) ด้านการลงคะแนนใช้สิทธิเลือกตั้งฯ ควรให้มีการเลือกตั้งผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์</p> ฉลองชัย นวลแก้ว, กันตภณ หนูทองแก้ว ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสังคมพัฒนศาสตร์ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so07.tci-thaijo.org/index.php/JSSD/article/view/9578 Sun, 30 Nov 2025 00:00:00 +0700 การสื่อสารนโยบายการพัฒนาท้องถิ่นของนายกเทศมนตรี ต่อสภาเทศบาลก่อนปฏิบัติหน้าที่ https://so07.tci-thaijo.org/index.php/JSSD/article/view/9592 <p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาการสื่อสารนโยบายการพัฒนาท้องถิ่นของนายกเทศมนตรีต่อสภาเทศบาลก่อนปฏิบัติหน้าที่เกี่ยวกับ 1) รูปแบบการสื่อสารนโยบาย 2) ลักษณะการใช้คำและวลีในการสื่อสารนโยบาย เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพด้วยวิธีวิเคราะห์เนื้อหาจากเอกสารการแถลงนโยบายของนายกเทศมนตรีแบบเจาะจงจากเทศบาลนคร จำนวน 3 แห่ง ประกอบด้วย เทศบาลนครรังสิต เทศบาลนครหาดใหญ่ และเทศบาลนครอุบลราชธานี วิเคราะห์ข้อมูลโดยข้อสรุป ผลการศึกษาพบว่ารูปแบบการสื่อสารนโยบายของนายกเทศมนตรีต่อสภาเทศบาลมีความเป็นระบบและมีเป้าหมายชัดเจน โดยผู้บริหารเทศบาลควรเน้นการสื่อสารในการชี้แจงวิสัยทัศน์ ทิศทางการพัฒนาเมือง การสร้างความเชื่อมั่น และการกระตุ้นการมีส่วนร่วมของประชาชน โครงสร้างการสื่อสารแบ่งเป็น 3 ส่วน คือ เกริ่นนำ เนื้อหาหลัก และการสรุปพร้อมเชิญชวนให้เข้าร่วม ซึ่งช่วยให้สารมีความครบถ้วน เข้าใจง่าย และสร้างความน่าเชื่อถือ โดยนายกเทศมนตรีควรต่อยอดการสื่อสารด้วยการใช้สื่อดิจิทัลและแพลตฟอร์มออนไลน์ควบคู่ เพื่อขยายวงการรับรู้และเพิ่มช่องทางการมีส่วนร่วมของประชาชน ส่วนลักษณะการใช้คำและวลี ผู้บริหารเทศบาลควรออกแบบสารด้วยการใช้คำกริยาเชิงนโยบาย เช่น “พัฒนา” “สนับสนุน” “แก้ไข” ที่สะท้อนการลงมือทำจริง คำเชิงคุณค่า เช่น “โปร่งใส” “ยั่งยืน” “น่าอยู่” เพื่อสร้างความไว้วางใจ และวลีที่เริ่มต้นด้วย “เพื่อ” แสดงเจตนารมณ์ของนโยบาย รวมทั้งวลีที่เน้นการมีส่วนร่วม เช่น “ร่วมคิด ร่วมทำ ร่วมตรวจสอบ” ซึ่งสะท้อนกระบวนการประชาธิปไตย ข้อเสนอคือ ควรพัฒนาคู่มือการใช้ภาษานโยบายท้องถิ่นที่ชัดเจน เพื่อเป็นแนวทางหลักให้ผู้บริหารรุ่นต่อไปได้ใช้ถ้อยคำที่สื่อสารได้อย่างมีพลัง น่าเชื่อถือ และเอื้อต่อการสร้างการมีส่วนร่วมของประชาชน</p> วิทยาธร ท่อแก้ว ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสังคมพัฒนศาสตร์ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so07.tci-thaijo.org/index.php/JSSD/article/view/9592 Sun, 30 Nov 2025 00:00:00 +0700 การบริหารแบบมีส่วนร่วมของชุมชนในการจัดการแหล่งเรียนรู้ ของโรงเรียนในพื้นที่นวัตกรรมการศึกษา https://so07.tci-thaijo.org/index.php/JSSD/article/view/9577 <p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาสภาพและแนวทางการบริหารแบบมีส่วนร่วมของชุมชนในการจัดการแหล่งเรียนรู้ของโรงเรียนในพื้นที่นวัตกรรมการศึกษา ซึ่งเป็นการวิจัยแบบผสมผสาน 1) กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ ผู้บริหารสถานศึกษา ครูผู้สอน และประธานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐานของโรงเรียน ได้มาโดยการกำหนดขนาดของกลุ่มตัวอย่างตามตารางเครจซีและมอร์แกน ได้กลุ่มตัวอย่าง จำนวน 432 คน ใช้วิธีสุ่มแบบแบ่งชั้นภูมิ 2) ผู้ให้ข้อมูล ได้แก่ ผู้เชี่ยวชาญ จำนวน 5 คน ได้มาโดยการเลือกแบบเจาะจง เครื่องมือที่ใช้ เป็นแบบสอบถามและแบบสัมภาษณ์ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และวิเคราะห์เชิงเนื้อหา ผลการวิจัยพบว่า 1) สภาพการบริหารแบบมีส่วนร่วมของชุมชนในการจัดการแหล่งเรียนรู้ของโรงเรียนในพื้นที่นวัตกรรมการศึกษา โดยรวมอยู่ในระดับมาก และ 2) แนวทางการบริหารแบบมีส่วนร่วมของชุมชนในการจัดการแหล่งเรียนรู้ของโรงเรียนในพื้นที่นวัตกรรมการศึกษา ประกอบด้วย 5 มิติหลัก ได้แก่ 1) การร่วมคิดตัดสินใจ การกำหนดทิศทาง และแก้ไขปัญหา การดำเนินงานของสถานศึกษา 2) การร่วมวางแผน มีส่วนร่วมในการวางแผนกลยุทธ์ กำหนดรายละเอียดหรือวิธีการดำเนินงาน และปรับปรุงแก้ไขปัญหา เพื่อติดตามผลการดำเนินงาน รวมถึงจัดทำแผนปฏิบัติราชการขององค์กร 3) การร่วมดำเนินการ การเข้าร่วมและดำเนินการโครงการ/กิจกรรมต่าง ๆ ขององค์กรตามแผนงานที่วางไว้ และมีการปรับปรุงกระบวนการทำงานให้ดีขึ้น 4) การประเมินผล มีการติดตามความก้าวหน้า และประเมินผลในการปฏิบัติงาน เพื่อนำมาแก้ไขปรับปรุงร่วมกันให้เกิดประสิทธิภาพและประสิทธิผลของระบบงานต่าง ๆ และ 5) การร่วมรับผลประโยชน์ การนำความรู้ และทักษะไปใช้ในการสร้างผลงานที่ดี เพื่อให้เกิดสัมพันธภาพที่ดีกับองค์กร</p> ปภัชญา ยุทธเจริญกิจ, เสาวณีย์ สิกขาบัณฑิต, ขวัญหญิง ศรีประเสริฐภาพ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสังคมพัฒนศาสตร์ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so07.tci-thaijo.org/index.php/JSSD/article/view/9577 Sun, 30 Nov 2025 00:00:00 +0700 การพัฒนากฎหมายว่าด้วยการประกันวินาศภัย ตามพระราชบัญญัติ ประกันวินาศภัย พ.ศ. 2535 https://so07.tci-thaijo.org/index.php/JSSD/article/view/9590 <p>การวิจัยนี้เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพ โดยใช้วิธีศึกษาวรรณกรรมและการวิเคราะห์กฎหมายเชิงเปรียบเทียบ เพื่อศึกษาปัญหาและแนวทางพัฒนากฎหมายว่าด้วยการประกันวินาศภัยของประเทศไทย โดยมีวัตถุประสงค์ ได้แก่ 1) ศึกษาวิวัฒนาการ ความหมาย หลักการ แนวคิด และทฤษฎีที่เกี่ยวข้องกับการประกันวินาศภัยและธุรกิจประกันวินาศภัย 2) ศึกษามาตรการทางกฎหมายของไทย เปรียบเทียบกับกฎหมายของญี่ปุ่น สิงคโปร์ และสหราชอาณาจักร 3) วิเคราะห์ปัญหาตามพระราชบัญญัติประกันวินาศภัย พ.ศ. 2535 ในสี่ประเด็น คือ ความเป็นเจ้าพนักงานของพนักงาน คปภ. การให้ข้อมูลอันเป็นเท็จต่อ คปภ. ความรับผิดของกรรมการหรือผู้บริหารกรณีประวิงการจ่ายค่าสินไหมทดแทน และการเปิดเผยข้อมูลบริษัทที่ฝ่าฝืนกฎหมาย และ 4) เสนอแนวทางการปรับปรุงกฎหมายเพื่อคุ้มครองสิทธิประโยชน์ของประชาชน ผลการวิจัยพบว่า ทั้งสี่ประเด็นสะท้อนข้อจำกัดสำคัญของกฎหมายไทย ได้แก่ การที่พนักงาน คปภ. ยังไม่ถือเป็น “เจ้าพนักงาน” ตามประมวลกฎหมายอาญา การไม่มีบทบัญญัติกำหนดความผิดฐานให้ข้อมูลอันเป็นเท็จต่อ คปภ. และการไม่กำหนดความรับผิดของกรรมการหรือผู้บริหารกรณีประวิงการจ่ายค่าสินไหมทดแทนจนทำให้บริษัทถูกเพิกถอนใบอนุญาต ปัญหาเหล่านี้ยิ่งชัดเจนในช่วงการระบาดของโควิด-19 ซึ่งหลายบริษัทประสบปัญหาสภาพคล่องและไม่สามารถจ่ายค่าสินไหมได้ นอกจากนี้ แม้มาตรา 111/2 จะให้อำนาจในการเปิดเผยชื่อบริษัทที่ฝ่าฝืนกฎหมาย แต่บทบัญญัติดังกล่าวยังไม่ถูกนำไปใช้จริงอย่างมีประสิทธิภาพ ทั้งที่สำนักงาน คปภ. ได้นำหลัก Insurance Core Principles (ICP) มาใช้เป็นแนวทางในการกำกับดูแลแล้วก็ตาม งานวิจัยจึงเสนอให้ปรับปรุงกฎหมาย โดยกำหนดให้พนักงาน คปภ. เป็นเจ้าพนักงานตามประมวลกฎหมายอาญา บัญญัติความผิดฐานให้ข้อมูลเท็จต่อ คปภ. กำหนดความรับผิดของกรรมการหรือผู้บริหารกรณีประวิงการจ่ายค่าสินไหมทดแทน และกำหนดหลักเกณฑ์การเผยแพร่ข้อมูลการฝ่าฝืนกฎหมายอย่างโปร่งใสและตรวจสอบได้</p> ศุภสิทธิ์ ศิริ, สุระทิน ชัยทองคำ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสังคมพัฒนศาสตร์ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so07.tci-thaijo.org/index.php/JSSD/article/view/9590 Sun, 30 Nov 2025 00:00:00 +0700 การวิเคราะห์นโยบายสิ่งแวดล้อมของประเทศไทยภายใต้กรอบเป้าหมาย การพัฒนาที่ยั่งยืน (SDGs) https://so07.tci-thaijo.org/index.php/JSSD/article/view/9630 <p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) วิเคราะห์เนื้อหาและแนวทางของนโยบายสิ่งแวดล้อมของประเทศไทยที่เกี่ยวข้องกับเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDGs) 2) ประเมินระดับความสอดคล้องระหว่างนโยบายสิ่งแวดล้อมของประเทศไทยกับเป้าหมายและตัวชี้วัดของ SDGs 3) ศึกษาปัญหา อุปสรรค และปัจจัยที่ส่งผลต่อการดำเนินนโยบายสิ่งแวดล้อมในบริบทของประเทศไทย และเสนอแนวทางการพัฒนานโยบายสิ่งแวดล้อมให้มีประสิทธิภาพและสอดคล้องกับกรอบ SDGs อย่างยั่งยืน เป็นการวิธีเชิงคุณภาพ ผู้ให้ข้อมูลหลัก ได้แก่ เจ้าหน้าที่ระดับสูงจากภาครัฐ ผู้เชี่ยวชาญด้านสิ่งแวดล้อมและ SDGs ตัวแทนจากองค์กรพัฒนาเอกชน จำนวน 15 คน เลือกแบบเจาะจง เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บข้อมูล ได้แก่ แบบสัมภาษณ์กึ่งโครงสร้าง วิเคราะห์ข้อมูลเชิงเนื้อหา ผลการวิจัยพบว่า ผลการวิเคราะห์เนื้อหาและแนวทางของนโยบายสิ่งแวดล้อมของประเทศไทย ในช่วงทศวรรษที่ผ่านมาแสดงให้เห็นถึงความเชื่อมโยงกับเป้าหมาย SDGs หลายข้อ โดยเฉพาะเป้าหมายที่ 13 (การรับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ) เป้าหมายที่ 14 (การอนุรักษ์ทรัพยากรทางทะเล) และเป้าหมายที่ 15 (การจัดการทรัพยากรบนบกอย่างยั่งยืน) ผลการประเมินระดับความสอดคล้องระหว่างนโยบายสิ่งแวดล้อมของประเทศไทยกับเป้าหมายและตัวชี้วัดของ SDGs ยังขาดกลไก ตัวชี้วัดและกรอบการติดตามประเมินผลที่ชัดเจน ทำให้การวัดผลเชิงรูปธรรมยังจำกัดปัญหาอุปสรรค และปัจจัยที่ส่งผลต่อการดำเนินนโยบายสิ่งแวดล้อมฯ ที่พบ ได้แก่ งบประมาณ บุคลากร ความขัดแย้งระหว่างการพัฒนาเศรษฐกิจและการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม และการมีส่วนร่วมของภาคประชาชนที่ไม่ทั่วถึง แนวทางการพัฒนานโยบายสิ่งแวดล้อมฯ ได้แก่ ควรพัฒนาระบบตัวชี้วัดสิ่งแวดล้อมที่สอดคล้องกับ SDGs เพิ่มกลไกการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วน ส่งเสริมการบูรณาการเทคโนโลยีดิจิทัลในการบริหารจัดการสิ่งแวดล้อม และสร้างเครือข่ายความร่วมมือในระดับชาติและนานาชาติ</p> ปิยะนุช ปัญจพรรค์ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสังคมพัฒนศาสตร์ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so07.tci-thaijo.org/index.php/JSSD/article/view/9630 Sun, 30 Nov 2025 00:00:00 +0700