วารสารสังคมพัฒนศาสตร์
https://so07.tci-thaijo.org/index.php/JSSD
<p> <strong>วารสารสังคมพัฒนศาสตร์</strong> เป็นวารสารวิชาการของวัดสนธิ์ (นาสน) ตำบลมะม่วงสองต้น อำเภอเมือง จังหวัดนครศรีธรรมราช มีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมการค้นคว้าและนำเสนอองค์ความรู้ทางด้านวิชาการ โดยการเผยแพร่บทความวิจัยและบทความวิชาการแก่นักวิจัยนักวิชาการ คณาจารย์และนักศึกษา ในมิติเพื่อสนับสนุนการศึกษา การสอน การวิจัยในมหาวิทยาลัยสงฆ์รวมถึงคณะสงฆ์ไทย และสถาบันภายนอก รวมทั้งนักวิชาการและผู้สนใจ โดยเน้นสาขาวิชาเกี่ยวกับ การพัฒนาชุมชม การพัฒนาสังคม ศิลปะทั่วไปและมนุษยศาสตร์ ศาสนศึกษา ธุรกิจทั่วไป การจัดการและการบัญชี สังคมศาสตร์ทั่วไป การศึกษา รวมถึงสหวิทยาการด้านสังคมศาสตร์และและศาสตร์แห่งการพัฒนา โดยรับพิจารณาตีพิมพ์ต้นฉบับของบุคคลหรือองค์กร ทั้งภายในและภายนอกวัด เปิดรับบทความเฉพาะภาษาไทย ประเภท บทความวิจัย และ บทความวิชาการ</p> <p> บทความที่ตีพิมพ์เผยแพร่ในวารสารสังคมพัฒนศาสตร์จะต้องผ่านการพิจารณาจากผู้ทรงคุณวุฒิ อย่างน้อย 2 ท่าน ในลักษณะปกปิดรายชื่อ (Double blind peer-reviewed) ผลงานที่ส่งมาจะต้องไม่เคยตีพิมพ์หรืออยู่ระหว่างการพิจารณาจากผู้ทรงคุณวุฒิเพื่อตีพิมพ์ในวารสารอื่น ผู้เขียนบทความจะต้องปฏิบัติตามหลักเกณฑ์การเสนอบทความวิชาการหรือบทความวิจัยเพื่อตีพิมพ์ในวารสาร อย่างเคร่งครัด รวมทั้งระบบการอ้างอิงต้องเป็นไปตามหลักเกณฑ์ของวารสาร ทัศนะและข้อคิดเห็นที่ปรากฏในบทความวารสาร ถือเป็นความรับผิดชอบของผู้เขียนบทความนั้น มิใช่ความคิดของคณะผู้จัดทำ และไม่ถือเป็นทัศนะและความรับผิดชอบของกองบรรณาธิการ ทั้งนี้กองบรรณาธิการไม่สงวนลิขสิทธิ์ในการคัดลอก แต่ให้อ้างอิงแสดงที่มา</p> <p><strong>วารสารสังคมพัฒนศาสตร์</strong> มีกำหนดออกเผยแพร่ปีละ 12 ฉบับ (รายเดือน)*</p> <table width="100%"> <tbody> <tr> <td width="32%"> <p>ฉบับที่ 1 เดือนมกราคม</p> </td> <td width="35%"> <p>ฉบับที่ 2 เดือนกุมภาพันธ์</p> </td> <td width="31%"> <p>ฉบับที่ 3 เดือนมีนาคม</p> </td> </tr> <tr> <td width="32%"> <p>ฉบับที่ 4 เดือนเมษายน</p> </td> <td width="35%"> <p>ฉบับที่ 5 เดือนพฤษภาคม</p> </td> <td width="31%"> <p>ฉบับที่ 6 เดือนมิถุนายน</p> </td> </tr> <tr> <td width="32%"> <p>ฉบับที่ 7 เดือนกรกฎาคม</p> </td> <td width="35%"> <p>ฉบับที่ 8 เดือนสิงหาคม</p> </td> <td width="31%"> <p>ฉบับที่ 9 เดือนกันยายน</p> </td> </tr> <tr> <td width="32%"> <p>ฉบับที่ 10 เดือนตุลาคม</p> </td> <td width="35%"> <p>ฉบับที่ 11 เดือนพฤศจิกายน</p> </td> <td width="31%"> <p>ฉบับที่ 12 เดือนธันวาคม</p> </td> </tr> </tbody> </table> <p><em>*มีผลตั้งแต่ ปีที่ 8 ฉบับที่ 2 เดือนกุมภาพันธ์ 2568 เป็นต้นไป</em></p>
th-TH
nattapong.krai@mcu.ac.th (พระณัฐพงษ์ ญาณเมธี)
natthaphong.jan@mcu.ac.th (พระณัฐพงษ์ สิริสุวณฺโณ)
Wed, 26 Feb 2025 00:00:00 +0700
OJS 3.3.0.8
http://blogs.law.harvard.edu/tech/rss
60
-
ภาวะผู้นำดิจิทัลของผู้บริหารสถานศึกษาที่ส่งผลต่อการจัดการเรียนรู้เชิงรุก ของครูปฐมวัย สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาระยอง เขต 1
https://so07.tci-thaijo.org/index.php/JSSD/article/view/6789
<p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อ 1) ศึกษาภาวะผู้นำดิจิทัลของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาระยอง เขต 1 2) ศึกษาการจัดการเรียนรู้เชิงรุกของครูปฐมวัย สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาระยอง เขต 1 และ 3) ศึกษาภาวะผู้นำดิจิทัลของผู้บริหารสถานศึกษาที่ส่งผลต่อการจัดการเรียนรู้เชิงรุกของครูปฐมวัย สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาระยอง เขต 1 การวิจัยนี้เป็นการวิจัยเชิงสำรวจ ประชากรคือ ครูปฐมวัย สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาระยอง เขต 1 จำนวน 7 กลุ่มโรงเรียน จำนวน 372 คน กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ ครูปฐมวัย สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาระยอง เขต 1 ได้กลุ่มตัวอย่าง จำนวน 208 คน กำหนดขนาดตัวอย่างโดยใช้ตารางสำเร็จรูปของ เครจซีและมอร์แกน และดำเนินการสุ่มตัวอย่างแบบสุ่มชั้นภูมิ เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้เป็นแบบสอบถามมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลได้แก่ ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์แบบเพียร์สัน และค่าสัมประสิทธิ์การถดถอยของตัวพยากรณ์ ผลการวิจัยพบว่า 1) ภาวะผู้นำดิจิทัลของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาระยอง เขต 1 โดยภาพรวมและรายด้านอยู่ในระดับมากที่สุด (𝑥̅ = 4.69, S.D. = 0.33) 2) การจัดการเรียนรู้เชิงรุกของครูปฐมวัย สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาระยอง เขต 1 โดยภาพรวมและรายด้านอยู่ในระดับมากที่สุด (𝑥̅ = 4.64 ,S.D. = 0.31) และ 3) ศึกษาภาวะผู้นำดิจิทัลของผู้บริหารสถานศึกษาที่ส่งผลต่อการจัดการเรียนรู้เชิงรุกของครูปฐมวัย ที่สามารถพยากรณ์การส่งผลต่อการจัดการเรียนรู้เชิงรุกของครูปฐมวัยได้อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 ได้แก่ ด้านการสื่อสารดิจิทัล และด้านการรู้ดิจิทัล</p>
วิชุดา ทองไพรวรรณ์, สมหญิง จันทรุไทย, ประพจน์ แย้มทิม
Copyright (c) 2025
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
https://so07.tci-thaijo.org/index.php/JSSD/article/view/6789
Wed, 26 Feb 2025 00:00:00 +0700
-
แนวทางการพัฒนาลวดลายผ้าบาติก เพื่อส่งเสริมอาชีพของผู้สูงอายุ ในเขตเทศบาล ตำบลฉวาง จังหวัดนครศรีธรรมราช
https://so07.tci-thaijo.org/index.php/JSSD/article/view/6794
<p>งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาสภาพบริบททั่วไปของกลุ่มบาติกเทศบาลตำบลฉวาง จังหวัดนครศรีธรรมราช และหาแนวทางการพัฒนาลวดลายผ้าบาติกเพื่อส่งเสริมอาชีพของผู้สูงอายุในเขตเทศบาลตำบลฉวาง จังหวัดนครศรีธรรมราช โดยใช้กระบวนการวิธีวิจัยเชิงคุณภาพโดยมีประชากรผู้ให้ข้อมูลคือกลุ่มผู้ให้ข้อมูลหลัก ได้แก่ ผู้รู้ และผู้ปฏิบัติ ผู้ให้ข้อมูลรอง ได้แก่ ประชาชนทั่วไป และนักท่องเที่ยว จำนวน 37 คน โดยมีเครื่องมือในการเก็บข้อมูลโดยใช้แบบสัมภาษณ์ แบบสังเกต และการสนทนากลุ่ม จากนั้นวิเคราะห์ข้อมูลโดยการวิเคราะห์เนื้อหาจากการสัมภาษณ์ สังเกต และการสนทนากลุ่ม ผลการวิจัยพบว่า กลุ่มบาติกเทศบาลตำบลฉวาง ได้มีการจัดกลุ่มการเรียนรู้ และอบรมฝึกอาชีพในการทำผ้าบาติกให้กับผู้สูงอายุที่อาศัยอยู่ในเขตเทศบาลตำบลฉวาง ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2563 จนถึงปัจจุบันมีสมาชิกกลุ่มในกลุ่มจำนวน 10 คน มีการทำผ้าบาติกเป็นอาชีพเสริม โดยใช้สีธรรมชาติจากพืชในท้องถิ่น และได้มีการต่อยอดแนวทางในการพัฒนาลวดลายผ้าบาติกของกลุ่มบาติกเทศบาลตำบลฉวาง พบว่า มีความต้องการทั้งหมด 9 ลวดลาย คือ ลวดลายดอกมังเร ลวดลายดอกพุดตาน ลวดลายผลไม้ประจำถิ่นตำบลฉวาง ลวดลายพ่อท่านคล้ายวาจาสิทธิ์ ลวดลายนก (แผนที่อำเภอฉวาง) ลวดลายรถไฟ 100 ปี ลวดลายวัดธาตุน้อย ลวดลายสวนยางพารา และลวดลาย เข้า ป่า ลวดลายผ้าบาติกที่ออกแบบสามารถนำไปใช้ได้กับทุกคน ทุกเพศ ทุกวัย อีกทั้งอยากให้ชุมชนมีการรณรงค์ร่วมมือและส่งเสริมให้คนในชุมชนใส่ผ้าบาติกลวดลายของตนเอง และส่งเสริมให้ผู้สูงอายุและวัยเตรียมพร้อมก่อนสูงอายุมาเป็นสมาชิกกลุ่มและมีส่วนร่วมในการทำผ้าบาติกให้โดดเด่นและมีชื่อเสียง</p>
วโรชา ยศบุญ, สุดาวรรณ์ มีบัว, พัชรี สุเมโธกุล
Copyright (c) 2025
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
https://so07.tci-thaijo.org/index.php/JSSD/article/view/6794
Wed, 26 Feb 2025 00:00:00 +0700
-
วัดธาตุน้อย: แนวทางการจัดการวัดเพื่อส่งเสริมศักยภาพการท่องเที่ยว ในจังหวัดนครศรีธรรมราช
https://so07.tci-thaijo.org/index.php/JSSD/article/view/6803
<p>งานวิจัยฉบับนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาสภาพบริบททั่วไปของวัดธาตุน้อยตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ศึกษาศักยภาพการท่องเที่ยวของวัดธาตุน้อย และแนวทางการบริหารจัดการเพื่อส่งเสริมศักยภาพการท่องเที่ยวของวัดธาตุน้อย เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพ ผู้ให้ข้อมูลสำคัญ รวมจำนวน 31 ราย เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แบบสัมภาษณ์เชิงลึก เก็บรวบรวมข้อมูลจากเอกสารและการสัมภาษณ์เชิงลึกแบบมีโครงสร้าง วิเคราะห์ข้อมูลเชิงพรรณนา ผลการวิจัย พบว่า สภาพบริบททั่วไปของวัดธาตุน้อย เป็นศูนย์รวมแห่งศรัทธาของชุมชนและนักท่องเที่ยว ด้วยประวัติศาสตร์อันยาวนาน ก่อตั้งเมื่อปี พ.ศ. 2483 การพัฒนาของวัดธาตุน้อยแบ่งออกเป็น 3 ระยะ โดยมีการบูรณะและพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานอย่างต่อเนื่อง เพื่อรองรับการเป็นศูนย์กลางทางศาสนา ศักยภาพการท่องเที่ยวของวัดธาตุน้อย จำแนกออกเป็น 4 ด้าน ได้แก่ 1) ด้านคุณค่าของแหล่งท่องเที่ยว วัดธาตุน้อยเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่มีคุณค่าเชิงศิลปวัฒนธรรมที่โดดเด่นและมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว 2) ด้านความสะดวกในการเข้าถึง การพัฒนาและปรับปรุงระบบคมนาคมที่เชื่อมโยงระหว่างวัดธาตุน้อยและพื้นที่ใกล้เคียงเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยอำนวยความสะดวกแก่นักท่องเที่ยว 3) ด้านสิ่งอำนวยความสะดวก การจัดเตรียมสิ่งอำนวยความสะดวกที่เหมาะสม จะช่วยสร้างประสบการณ์ที่ดีและเพิ่มความพึงพอใจให้แก่ผู้มาเยือน และ 4) ด้านสิ่งแวดล้อม การอนุรักษ์สภาพแวดล้อมที่ร่มรื่นภายในวัด และแนวทางการจัดการเพื่อส่งเสริมศักยภาพการท่องเที่ยวของวัด ประกอบด้วย การวางแผน การบริหารจัดการทรัพยากร การจัดกิจกรรมส่งเสริมวัฒนธรรม และการประยุกต์ใช้หลักการบริหารจัดการอย่างยั่งยืน ผลการวิจัยนี้แสดงให้เห็นถึง ความสำคัญของวัดธาตุน้อยในฐานะศูนย์กลางทางศาสนา วัฒนธรรม และแหล่งท่องเที่ยวที่โดดเด่นของจังหวัดนครศรีธรรมราช</p>
สิริชัย ศรีปลอด, สุดาวรรณ์ มีบัว, พัชรี สุเมโธกุล
Copyright (c) 2025 วารสารสังคมพัฒนศาสตร์
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
https://so07.tci-thaijo.org/index.php/JSSD/article/view/6803
Thu, 27 Feb 2025 00:00:00 +0700
-
แนวทางพัฒนาการส่งเสริมคุณธรรมจริยธรรมของนักเรียนในโรงเรียน สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษากำแพงเพชร เขต 2
https://so07.tci-thaijo.org/index.php/JSSD/article/view/6805
<p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาสภาพและปัญหาการส่งเสริมคุณธรรม จริยธรรมของนักเรียนในโรงเรียน สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษากำแพงเพชร เขต 2 2) เพื่อเปรียบเทียบสภาพการส่งเสริมคุณธรรม จริยธรรมของนักเรียนในโรงเรียนจำแนกตามขนาดของโรงเรียน สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษากำแพงเพชร เขต 2 3) เพื่อหาแนวทางการส่งเสริมคุณธรรม จริยธรรมของนักเรียน เป็นการวิจัยแบบผสานวิธี ประกอบด้วยการวิจัยเชิงปริมาณและเชิงคุณภาพ กลุ่มตัวอย่าง คือ ผู้บริหารและครู จำนวน 330 คน ซึ่งได้มาโดยการเปิดตารางเครจซี่และมอร์แกน และกำหนดเป็นกลุ่มตัวอย่างแบบหลายขั้นตอน ผู้ให้ข้อมูล จำนวน 17 ท่าน โดยวิธีเลือกแบบเจาะจง เครื่องมือที่ใช้เก็บข้อมูลเป็นแบบสอบถาม และแบบสัมภาษณ์ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลได้แก่ ความถี่ (f) ค่าร้อยละ (%) ค่าเฉลี่ย (<img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\bar{x}" alt="equation" />) ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) การหาค่าความแปรปรวน ทางเดียว (F - test) และการวิเคราะห์เนื้อหา ผลการวิจัยพบว่า 1) สภาพการส่งเสริมคุณธรรม จริยธรรมของนักเรียนในโรงเรียน พบว่า ด้านที่มีค่าเฉลี่ยสูงสุด ได้แก่ ด้านความรับผิดชอบ และปัญหาการส่งเสริมคุณธรรมจริยธรรมของนักเรียนในโรงเรียน ด้านที่มีค่าเฉลี่ยสูงสุด ได้แก่ ด้านอุดมการณ์คุณธรรม 2) ผลการเปรียบเทียบสภาพการส่งเสริมคุณธรรมจริยธรรมของนักเรียนในโรงเรียน จำแนกตามขนาดของโรงเรียนพบว่า มีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 3) แนวทางพัฒนาการส่งเสริมคุณธรรม จริยธรรมของนักเรียน ได้แก่ ผู้บริหารสถานศึกษาควรส่งเสริม สนับสนุนการดำเนินงานกิจกรรมพัฒนาผู้เรียน และพัฒนาครูให้มีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับการจัดกิจกรรมส่งเสริมคุณธรรม จริยธรรมนักเรียน ปลูกฝังคุณธรรมจริยธรรมสอดแทรกคุณธรรม จริยธรรม ในทุกกลุ่มสาระการเรียนรู้ การจัดการเรียนการสอนครูจะต้องจัดกิจกรรมให้หลากหลาย เหมาะสมกับวัย และจัดอย่างต่อเนื่องสม่ำเสมอ</p>
ณฐกมล โพธิ์พฤกษ์, ประจบ ขวัญมั่น
Copyright (c) 2025
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
https://so07.tci-thaijo.org/index.php/JSSD/article/view/6805
Thu, 27 Feb 2025 00:00:00 +0700
-
การศึกษาความพึงพอใจของครูพี่เลี้ยงที่มีต่อคุณภาพของนักศึกษาฝึกประสบการณ์วิชาชีพ สาขาวิชาการศึกษาปฐมวัย วิทยาลัยชุมชนสตูล
https://so07.tci-thaijo.org/index.php/JSSD/article/view/6809
<p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาความพึงพอใจของครูพี่เลี้ยงที่มีต่อคุณภาพของนักศึกษาฝึกประสบการณ์วิชาชีพ สาขาวิชาการศึกษาปฐมวัย วิทยาลัยชุมชนสตูล เป็นการวิจัยเชิงสำรวจ (Survey Research) กลุ่มตัวอย่าง คือ ครูพี่เลี้ยงโรงเรียนเครือข่ายฝึกประสบการณ์วิชาชีพของนักศึกษาสาขาวิชาการศึกษาปฐมวัย วิทยาลัยชุมชนสตูล ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2567 เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล ได้แก่ แบบสอบถามความพึงพอใจของครูพี่เลี้ยงที่มีต่อคุณภาพของนักศึกษาฝึกประสบการณ์วิชาชีพสาขาวิชาการศึกษาปฐมวัย ซึ่งได้ผ่านการตรวจสอบจากผู้เชี่ยวชาญทั้งด้านความตรงของเนื้อหาและหาค่าความเชื่อมั่นได้เท่ากับ .97 เป็นแบบประมาณค่า 5 ระดับ สถิติที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย (μ) ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (s) ผลการศึกษาพบว่า 1) ความพึงพอใจของครูพี่เลี้ยงที่มีต่อนักศึกษาฝึกประสบการณ์วิชาชีพสาขาวิชาการศึกษาปฐมวัย ทั้ง 8 ด้าน โดยรวม อยู่ในระดับมากที่สุด (μ = 4.56, s = 0.39) โดยนักศึกษามีความโดดเด่นด้านกระบวนการจัดการเรียนการสอน (m = 4.69, s = 0.51) รองลงมาคือ บุคลิกภาพ (m = 4.66, s = 0.48) การทำงานร่วมกับผู้อื่น (m = 4.55, s = 0.47) ความรู้ในวิชาเฉพาะ (m = 4.49, s = 0.51) วินัยในการปฏิบัติงาน (m = 4.44, s = 0.56) ความรับผิดชอบต่อหน้าที่ที่ได้รับมอบหมาย (m = 4.43, s = 0.42) ทักษะการสื่อสาร (m = 4.42, s = 0.45) และทักษะการแก้ปัญหา (m = 4.39, s = 0.50) ตามลำดับ 2) ข้อเสนอแนะเพิ่มเติมพบว่า ควรเพิ่มความรู้ ทักษะในการปฏิบัติงาน สร้างความเชื่อมั่นในตนเองให้แก่นักศึกษา และควรมีการประสานงานระหว่างสถานศึกษากับสถานศึกษาอย่างต่อเนื่อง สม่ำเสมอ</p>
กิตติยา ฤทธิภักดี, อุใบ หมัดหมุด, สุนิสา สะแหละ
Copyright (c) 2025
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
https://so07.tci-thaijo.org/index.php/JSSD/article/view/6809
Thu, 27 Feb 2025 00:00:00 +0700
-
การพัฒนาแพลตฟอร์มการเรียนรู้ MOOC มหาวิทยาลัยสงฆ์
https://so07.tci-thaijo.org/index.php/JSSD/article/view/6810
<p>บทความการวิจัยเรื่องนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ พัฒนาแพลตฟอร์มการเรียนรู้ MOOC ของมหาวิทยาลัยสงฆ์ ตรวจสอบประสิทธิภาพและประเมินผลการใช้แพลตฟอร์ม เป็นการวิจัยแบบผสานวิธี ลักษณะการวิจัยและพัฒนา แบ่งเป็น 4 ระยะ ได้แก่ การศึกษาและวิเคราะห์ข้อมูลพื้นฐาน การพัฒนาแพลตฟอร์มต้นแบบ การทดลองใช้และปรับปรุง และการเปิดการใช้งานแพลตฟอร์มพร้อมติดตามผล กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ นิสิตและนักศึกษาของมหาวิทยาลัยสงฆ์ จำนวน 334 ราย ใช้สูตรทาโร่ยามาเน่และการสุ่มแบบชั้นภูมิตามสัดส่วน และผู้ให้ข้อมูลสำคัญ ได้แก่ ผู้บริหารระดับสูง ผู้มีประสบการณ์สอนออนไลน์ ผู้เชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีการศึกษา และบุคลากรฝ่ายสนับสนุน กลุ่มละ 5 ราย เลือกแบบเจาะจง รวมทั้งสิ้น 20 ราย เครื่องมือที่ใชวิจัย ได้แก่ แบบสอบถาม แบบสัมภาษณ์เชิงลึก และการประเมินประสิทธิภาพ เก็บรวบรวมข้อมูลจากแบบสอบถาม การสัมภาษณ์เชิงลึก และประเมินประสิทธิภาพสถิติที่ใช้วิจัย ได้แก่ ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และวิเคราะห์ข้อมูลเชิงพรรณนา ผลการวิจัยพบว่า แพลตฟอร์มการเรียนรู้ MOOC ของมหาวิทยาลัยสงฆ์ ที่พัฒนาขึ้นประกอบด้วยส่วนหน้าบ้าน (LMS) ที่เป็นโมดูลการสื่อสาร และส่วนหลังบ้าน (CMS) ที่มี 6 โมดูลหลัก ได้แก่ การจัดการสื่ออิเล็กทรอนิกส์ ผู้สอน ผู้เรียน การประมวลผลรายวิชา โครงสร้างรายวิชา และกิจกรรมการเรียนรู้ ผลการตรวจสอบประสิทธิภาพ มีค่าเฉลี่ยโดยรวมอยู่ในระดับมากที่สุด ด้านการทำงานตามฟังก์ชันได้ นักศึกษาและนิสิตมีความพึงพอใจอยู่ในระดับมากที่สุด ด้านความสามารถในการสร้างและจัดการหลักสูตร และผลการประเมินการใช้แพลตฟอร์ม ได้ก่อให้เกิดประโยชน์ทั้งการขยายโอกาสทางการศึกษาพระพุทธศาสนา การยกระดับมาตรฐานการศึกษาสู่ระดับสากล การเพิ่มประสิทธิภาพการเรียนการสอน การสร้างเครือข่ายระหว่างสถาบัน และการพัฒนาศักยภาพบุคลากร นับเป็นก้าวสำคัญของการศึกษาพระพุทธศาสนาในยุคดิจิทัล</p>
อภิชาติ รอดนิยม, พระมหาชำนาญ พูดเพราะ
Copyright (c) 2025
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
https://so07.tci-thaijo.org/index.php/JSSD/article/view/6810
Thu, 27 Feb 2025 00:00:00 +0700
-
การนิเทศการสอนที่พึงประสงค์ของครูโรงเรียนราชวินิตบางเขน สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษากรุงเทพมหานคร เขต 2
https://so07.tci-thaijo.org/index.php/JSSD/article/view/6811
<p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาระดับและแนวทางการพัฒนาการนิเทศการสอนที่พึงประสงค์ของครูโรงเรียนราชวินิตบางเขน การวิจัยเชิงปริมาณ กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ ครูโรงเรียนราชวินิตบางเขน จำนวน 92 คน ใช้วิธีสุ่มแบบแบ่งชั้นตามขนาดโรงเรียนด้วยวิธีจับฉลาก เครื่องมือวิจัย คือ แบบสอบถามประมาณค่า 5 ระดับ มีค่าความเชื่อมั่น 0.94 และแบบสัมภาษณ์ วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานและการวิเคราะห์เชิงเนื้อหา ผลการวิจัยพบว่า ระดับการนิเทศการสอนที่พึงประสงค์ของครูโรงเรียนราชวินิตบางเขน โดยรวมและรายด้านอยู่ในระดับมาก เมื่อพิจารณาเป็นรายด้านจากมากไปน้อย ดังนี้ ด้านการนิเทศแบบร่วมมือ ด้านการนิเทศแบบไม่ชี้นำ ด้านการนิเทศแบบชี้นำให้ข้อมูลและด้านการนิเทศแบบชี้นำควบคุมตามลำดับ ส่วนแนวทางการพัฒนาการนิเทศการสอนที่พึงประสงค์ของครูโรงเรียนราชวินิตบางเขน มีแนวทางการพัฒนา ดังนี้ 1) การนิเทศแบบร่วมมือ ควรสร้างความเข้าใจที่ตรงกันในการแก้ปัญหาและพัฒนาที่เหมาะสมเพื่อให้เกิดคุณภาพต่อผู้เรียนและเป็นการพัฒนาศักยภาพของครู 2) การนิเทศแบบไม่ชี้นำ ครูเป็นผู้ตัดสินใจในการแก้ปัญหาด้วยตนเอง เพื่อการปรับปรุงแก้ไขพัฒนาให้มีการสอนที่มีคุณภาพและประสิทธิภาพตามวิถีประชาธิปไตยด้วยความเหมาะสมตามสถานการณ์ 3) การนิเทศแบบชี้นำให้ข้อมูล ควรส่งเสริมสนับสนุนและปรับปรุงกระบวนการจัดการเรียนการสอนให้ทันสมัยยึดหลักการพึ่งพากันระหว่างผู้นิเทศและผู้รับการนิเทศเพื่อส่งเสริมคุณภาพของผู้เรียน และ 4) การนิเทศแบบชี้นำควบคุม ควรชี้แนะให้ความรู้ กระตุ้นครูให้มีการพัฒนาวิธีการสอนสร้างขวัญและกำลังใจให้ครูสามารถนำสื่อการเรียนการสอนมาประยุกต์ให้ทันสมัย</p>
ทัศพร เกตุถนอม
Copyright (c) 2025
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
https://so07.tci-thaijo.org/index.php/JSSD/article/view/6811
Thu, 27 Feb 2025 00:00:00 +0700
-
ภาวะผู้นำเชิงสร้างสรรค์ของคณาจารย์ที่ส่งผลต่อประสิทธิผลการศึกษาของนักศึกษาสาขาวิชาการบริหารการศึกษา มหาวิทยาลัยกรุงเทพธนบุรี
https://so07.tci-thaijo.org/index.php/JSSD/article/view/6822
<p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา 1) ภาวะผู้นำเชิงสร้างสรรค์ของคณาจารย์สาขาวิชาการบริหารการศึกษา มหาวิทยาลัยกรุงเทพธนบุรี 2) ประสิทธิผลการศึกษาของนักศึกษาสาขาวิชาการบริหารการศึกษา มหาวิทยาลัยกรุงเทพธนบุรี และ 3) ภาวะผู้นำเชิงสร้างสรรค์ของคณาจารย์ที่ส่งผลต่อประสิทธิผลการศึกษาของนักศึกษาสาขาวิชาการบริหารการศึกษา มหาวิทยาลัยกรุงเทพธนบุรี การวิจัยนี้เป็นการวิจัยเชิงสำรวจ กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ นักศึกษาสาขาวิชาการบริหารการศึกษา จำนวน 169 คน กำหนดขนาดตัวอย่างของเครจซีและมอร์แกน เครื่องมือวิจัยเป็นแบบสอบถามสถิติวิเคราะห์ข้อมูลได้แก่ ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และ การวิเคราะห์การถดถอยพหุคูณ ผลการวิจัยพบว่า 1) ภาวะผู้นำเชิงสร้างสรรค์ของคณาจารย์ สาขาวิชาการบริหารการศึกษา มหาวิทยาลัยกรุงเทพธนบุรี โดยภาพรวมอยู่ในระดับมากมีค่าเฉลี่ย (<img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\bar{x}" alt="equation" /> = 4.24 ,S.D. = .47) เมื่อพิจารณาเป็นรายด้านอยู่ในระดับมากทุกด้านเรียงตามค่าเฉลี่ยจากมากไปน้อยดังนี้ การมีความยืดหยุ่นและปรับตัว รองลงมาได้แก่ การทำงานเป็นทีม การมีความคิดสร้างสรรค์ การมีวิสัยทัศน์ การคำนึงถึงความเป็นปัจเจกบุคคล 2) ประสิทธิผลการศึกษาของนักศึกษาสาขาวิชาการบริหารการศึกษามหาวิทยาลัยกรุงเทพธนบุรี โดยภาพรวมอยู่ในระดับมากมีค่าเฉลี่ย (<img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\bar{x}" alt="equation" /> = 4.21, S.D. = .44) เมื่อพิจารณาเป็นรายด้านอยู่ในระดับมากทุกด้านเรียงตามค่าเฉลี่ยจากมากไปน้อยดังนี้ ความสามารถในการปรับเปลี่ยนและพัฒนาสถานศึกษา รองลงมาได้แก่ ความสามารถในการพัฒนาผู้เรียนให้มีทัศนคติทางบวกความสามารถในการผลิตผู้เรียนให้มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนสูงความสามารถในการแก้ปัญหาภายในสถานศึกษา และ 3) ภาวะผู้นำเชิงสร้างสรรค์ของคณาจารย์สาขาวิชาการบริหารการศึกษา มหาวิทยาลัยกรุงเทพธนบุรี ด้านการมีวิสัยทัศน์ การทำงานเป็นทีม และการมีความคิดสร้างสรรค์ มีอิทธิพลส่งผลต่อประสิทธิผลการศึกษาของนักศึกษาสาขาวิชาการบริหารการศึกษามหาวิทยาลัยกรุงเทพธนบุรี อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01</p>
ประพจน์ แย้มทิม, สมหญิง จันทรุไทย, ยุภาวรัตน์ ขันตีกรม, ฐิตาภา เบ็ญจาธิกุล, รัชชัยย์ ศรสุวรรณ
Copyright (c) 2025
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
https://so07.tci-thaijo.org/index.php/JSSD/article/view/6822
Fri, 28 Feb 2025 00:00:00 +0700
-
การใช้เทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อการบริหารงานวิชาการของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตบางขุนเทียน เครือข่ายที่ 71 กรุงเทพมหานคร
https://so07.tci-thaijo.org/index.php/JSSD/article/view/6824
<p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาระดับและแนวทางการพัฒนาการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อการบริหารงานวิชาการของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตบางขุนเทียน เครือข่ายที่ 71 กรุงเทพมหานคร วิธีวิจัยแบบพรรณนา กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ ครูในสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตบางขุนเทียน เครือข่ายที่ 71 จำนวน 144 คนโดยเปิดตารางเครจซี่และมอร์แกนและสุ่มอย่างง่ายด้วยวิธีจับฉลาก เครื่องมือที่ใช้เป็นแบบสอบถาม แบบมาตราส่วนประเมินค่า 5 ระดับและแบบสัมภาษณ์ มีค่าความเชื่อมั่นเท่ากับ 0.85 สถิติที่ใช้ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานและการวิเคราะห์เชิงเนื้อหา ผลการวิจัยพบว่า การใช้เทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อการบริหารงานวิชาการของผู้บริหารสถานศึกษา โดยรวมอยู่ในระดับมาก เมื่อพิจารณาเป็นรายด้าน พบว่า อยู่ในระดับมากทุกด้าน โดยเรียงลำดับตามค่าเฉลี่ยจากมากไปน้อย ดังนี้ ด้านการวัดผลประเมินผลและดำเนินการเทียบโอนผลการเรียน ด้านการพัฒนาระบบประกันคุณภาพภายในและมาตรฐานการศึกษา ด้านการพัฒนากระบวนการเรียนรู้ ด้านการพัฒนาหลักสูตรสถานศึกษา ด้านการพัฒนาและใช้สื่อเทคโนโลยีเพื่อการศึกษา มีแนวทางการพัฒนา ดังนี้ 1) ด้านการวัดผลประเมินผลและดำเนินการเทียบโอนผลการเรียน ควรมีการใช้เทคโนโลยีในการวัดและประเมินผลการเรียน 2) ด้านการพัฒนาระบบประกันคุณภาพภายในและมาตรฐานการศึกษา ควรมีการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในระบบการประกันคุณภาพภายในสถานศึกษา 3) ด้านการพัฒนากระบวนการเรียนรู้ ควรมีการพัฒนาระบบเครือข่ายอินเทอร์เน็ตที่เสถียร ครอบคลุม 4) ด้านการพัฒนาหลักสูตรสถานศึกษา ควรมีการใช้เทคโนโลยีในการเก็บรวบรวมและวิเคราะห์ผลการเรียนรู้ 5) ด้านการพัฒนาและใช้สื่อเทคโนโลยีเพื่อการศึกษา ควรมีการใช้เทคโนโลยี ในการเผยแพร่และส่งเสริมภูมิปัญญาท้องถิ่น</p>
บุษราพร บุรีชัย, ทัศพร เกตุถนอม
Copyright (c) 2025
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
https://so07.tci-thaijo.org/index.php/JSSD/article/view/6824
Fri, 28 Feb 2025 00:00:00 +0700
-
คุณภาพชีวิตที่ส่งผลต่อประสิทธิภาพในการปฏิบัติงาน ของพนักงานแผนกกฎหมายบริษัทเอกชน
https://so07.tci-thaijo.org/index.php/JSSD/article/view/6825
<p>บทความวิจัยมีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา 1) คุณภาพชีวิต 2) ประสิทธิภาพในการปฏิบัติงาน 3) เปรียบเทียบประสิทธิภาพในการปฏิบัติงานของพนักงานแผนกกฎหมายบริษัทเอกชนจำแนกตามข้อมูลส่วนบุคคล และ 4) คุณภาพชีวิตที่ส่งผลต่อประสิทธิภาพในการปฏิบัติงานของพนักงานแผนกกฎหมายบริษัทเอกชน กลุ่มตัวอย่าง คือพนักงานแผนกกฎหมายบริษัทเอกชน จำนวน 110 คน สุ่มตัวอย่างแบบเจาะจง เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยเป็นแบบสอบถาม สถิติการวิเคราะห์ข้อมูล คือ ร้อยละ, ค่าเฉลี่ย, t-test (One-Way ANOVA และ Multiple Regression Analysis ผลการศึกษาพบว่า 1) คุณภาพชีวิตในการทำงานภาพรวมมีค่าเฉลี่ยอยู่ในระดับความสำคัญมาก 2) ประสิทธิภาพในการปฏิบัติงานมีค่าเฉลี่ยรวมอยู่ในระดับเห็นด้วยมาก 3) ข้อมูลส่วนบุคคลด้านเพศ อายุ ระดับการศึกษา ระยะเวลาในการปฏิบัติงาน และรายได้เฉลี่ยต่อเดือนที่แตกต่างกันมีผลต่อประสิทธิภาพในการปฏิบัติงานที่แตกต่างกัน และ 4) คุณภาพชีวิตที่ส่งผลต่อประสิทธิภาพในการปฏิบัติงาน ด้านเปิดโอกาสให้ผู้ปฏิบัติงานได้พัฒนาความรู้ความสามารถ และด้านลักษณะงานมีส่วนส่งเสริมด้านบูรณาการทางสังคมมีอิทธิพลต่อประสิทธิภาพในการปฏิบัติงานของพนักงานอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 ผู้บริหารหรือหัวหน้าหน่วยงานควรส่งเสริมสนับสนุนให้พนักงานได้ใช้ความรู้ความสามารถในการทำงานเพื่อให้เกิดทักษะในการปฏิบัติงานอย่างเต็มที่ช่วยให้เกิดความคิดสร้างสรรค์หรือคิดงานใหม่ ๆ ให้โอกาสในการพัฒนา เพิ่มพูนความรู้ความสามารถเรียนรู้วิธีการทำงานในรูปแบบอื่น ๆ นอกเหนือจากงานที่ทำและควรจัดกิจกรรมให้พนักงานได้มีโอกาสร่วมทำกิจกรรมในรูปแบบต่าง ๆ อย่างสม่ำเสมอเพื่อสร้างความรู้จักสนิทสนมคุ้นเคยและความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันส่งผลดีต่อการทำงานร่วมกันที่จะมีการเกื้อกูลช่วยเหลือซึ่งกันและกัน</p>
วรรณวิภา ฟ้าภิญโญ, สุธรรม พงศ์สำราญ
Copyright (c) 2025
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
https://so07.tci-thaijo.org/index.php/JSSD/article/view/6825
Fri, 28 Feb 2025 00:00:00 +0700
-
ปัจจัยการตัดสินใจซื้อหนังสือนิยายอิเล็กทรอนิกส์ (E-Book) ของผู้บริโภค
https://so07.tci-thaijo.org/index.php/JSSD/article/view/7005
<p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ ศึกษาปัจจัยการตัดสินใจซื้อหนังสือนิยายอิเล็กทรอนิกส์ของผู้บริโภค และเปรียบเทียบความแตกต่างการตัดสินใจซื้อหนังสือนิยายอิเล็กทรอนิกส์ตามปัจจัยลักษณะส่วนบุคคลที่แตกต่างกันเป็นการวิจัยเชิงปริมาณ กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ ผู้บริโภคที่มีประสบการณ์การใช้บริการหนังสือนิยายอิเล็กทรอนิกส์ (E-Book) โดยสื่อสารผ่านช่องทาง Social Media (Facebook กลุ่ม รีวิวนิยาย จำนวน 400 คน คำนวณได้จากสูตรไม่ทราบขนาดตัวอย่างของ W.G. Cochran เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แบบสอบถาม เก็บข้อมูลรวบรวมข้อมูลด้วยตอบแบบสอบถาม ผ่านทาง Social Media สถิติการวิจัยและการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ 1) สถิติเชิงบรรยาย คือ ค่าความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน 2) สถิติเชิงอนุมาน คือ t-test และ F-test ผลการวิจัยพบว่า ปัจจัยการตัดสินใจซื้อหนังสือนิยายอิเล็กทรอนิกส์ทุกช่องทาง สรุปได้ดังนี้ 1) ข้อมูลทั่วไป ส่วนใหญ่เป็นเพศหญิง มีอายุระหว่าง 26 - 35 ปี เป็นพนักงานบริษัทเอกชนจบการศึกษาระดับปริญญาตรีและมีรายได้อยู่ระหว่าง 10,001 - 20,000 บาท 2) ความคิดเห็นของประชากรเกี่ยวกับปัจจัยการตัดสินใจซื้อนิยายอิเล็กทรอนิกส์ หลักการตลาด 5A โดยภาพรวมมีความคิดเห็นอยู่ในระดับมาก มองว่าหนังสือนิยายอิเล็กทรอนิกส์จะต้องค้นหาง่ายเข้าถึงง่ายทุกช่องทางรวมไปถึงการโฆษณาที่สร้างความตระหนักรู้และกระตุ้นความสนใจให้ความสำคัญกับการรับรู้อย่างมากในการตัดสินใจซื้อ ผลการเปรียบเทียบปัจจัยการตัดสินใจซื้อหนังสือนิยายอิเล็กทรอนิกส์ ที่แตกต่างกันส่งผลต่อปัจจัยส่วนบุคคลที่แตกต่างกัน ด้านอายุ ไม่แตกต่างกันอย่างไม่มีนัยสำคัญทางสถิติ และการตัดสินใจซื้อหนังสือนิยายอิเล็กทรอนิกส์ที่แตกต่างกันส่งผลต่อปัจจัยคุณลักษณะส่วนบุคคล ด้านอายุ ด้านระดับการศึกษา ด้านอาชีพและด้านรายได้แตกต่างอย่างมีนัยสำคัญที่ระดับ .01 และ .05</p>
ลลิตา จันทริมา, ธีรเดช สนองทวีพร, สานิต ศิริวิศิษฐุ์กุล, สมยศ อวเกียรติ
Copyright (c) 2025
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
https://so07.tci-thaijo.org/index.php/JSSD/article/view/7005
Fri, 28 Feb 2025 00:00:00 +0700
-
การจัดการเรียนรู้ด้วยเทคโนโลยีในยุคดิจิทัลของนักศึกษาหลักสูตรภาคพื้น สถาบันการบินพลเรือน แขวงจอมพล เขตจตุจักร กรุงเทพมหานคร
https://so07.tci-thaijo.org/index.php/JSSD/article/view/7006
<p>กบทความวิจัยนี้เป็นงานวิจัยเชิงปริมาณ มีวัตถุประสงค์เพื่อเปรียบเทียบระหว่างปัจจัยลักษณะส่วนบุคคลของนักศึกษาและการจัดการเรียนรู้ด้วยเทคโนโลยีในยุคดิจิทัล และศึกษาปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อการจัดการเรียนรู้ด้วยเทคโนโลยีในยุคดิจิทัลของนักศึกษาหลักสูตรภาคพื้นสถาบันการบินพลเรือน กลุ่มตัวอย่าง คือ นักศึกษาสถาบันการบินพลเรือน 4 หลักสูตรภาคพื้น ได้แก่ หลักสูตรวิทยาศาสตรบัณฑิต หลักสูตรวิศวกรรมศาสตรบัณฑิต หลักสูตรนายช่างภาคพื้นดิน สาขาวิชาช่างเครื่องบิน วิชาเอกเครื่องยนต์แก๊สเทอร์ไบน์ และหลักสูตรนายช่างภาคพื้นดิน สาขาวิชาช่างเอวิโอนิกส์ จำนวน 270 คน เครื่องมือในการเก็บรวบรวมข้อมูล คือ แบบสอบถาม สถิติที่ใช้ในการวิจัยและการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าความถี่ ค่าร้อยละ เฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน สถิตินอนพาราเมตริก สถิติครัสคาลวอลลิส การถดถอยพหุคูณเชิงเส้นแบบหลายตัวแปร ผลการวิจัย พบว่า ผลการเปรียบเทียบระหว่างปัจจัยลักษณะส่วนบุคคลของนักศึกษาและการจัดการเรียนรู้ด้วยเทคโนโลยีในยุคดิจิทัล นักศึกษาภาคพื้นที่มีปัจจัยลักษณะส่วนบุคคลที่แตกต่างกันมีการรับรู้ถึงการจัดการเรียนรู้ด้วยเทคโนโลยีในยุคดิจิทัลไม่แตกต่างกัน และปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อการจัดการเรียนรู้ด้วยเทคโนโลยีในยุคดิจิทัลของนักศึกษา คือ ปัจจัยด้านอุปกรณ์ที่ใช้ในการเรียนการสอน ได้แก่ คอมพิวเตอร์ กระดานอัจฉริยะ ห้องปฏิบัติการจำลอง และปัจจัยด้านการทำกิจกรรมภายในห้องเรียน ได้แก่ โปรแกรมที่ส่งเสริมการเรียนรู้ของนักศึกษา การจำลองสถานการณ์ หรือโปรแกรมอื่น ๆ ที่ใช้ร่วมกับห้องปฏิบัติการ และแนวทางในการพัฒนาการจัดการเรียนรู้ด้วยเทคโนโลยีในยุคดิจิทัล สถาบันการบินพลเรือนควรมีสื่ออุปกรณ์ฮาร์ดแวร์ และโปรแกรมซอฟต์แวร์ที่มีความทันสมัย ก่อให้เกิดการแลกเปลี่ยนข้อมูล และนำเสนอข้อมูลได้อย่างเข้าใจและชัดเจน รวมถึงมีประสิทธิภาพมากขึ้นในการศึกษาในยุคดิจิทัล</p>
พีรกานต์ พวงมาลัย
Copyright (c) 2025
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
https://so07.tci-thaijo.org/index.php/JSSD/article/view/7006
Fri, 28 Feb 2025 00:00:00 +0700
-
การวิเคราะห์คุณภาพบริการสายการบินต้นทุนตํ่าด้วยคุณลักษณะ ของแบบจำลองคาโน
https://so07.tci-thaijo.org/index.php/JSSD/article/view/7016
<p>การวิจัยครั้งนี้เป็นงานวิจัยเชิงปริมาณ มีวัตถุประสงค์เพื่อวิเคราะห์คุณภาพการให้บริการด้วยคุณลักษณะของแบบจำลองคาโน และเสนอแนวทางการพัฒนาคุณภาพการให้บริการของสายการบินต้นทุนต่ำภายในประเทศไทย เก็บรวบรวมข้อมูลด้วยแบบสอบถาม ตามสะดวกจากผู้ใช้บริการสายการบินต้นทุนตํ่าด้วยสูตรการคำนวนของคอแครน ได้จำนวน 393 คน วิเคราะห์ข้อมูลด้วยแบบจําลองคาโน โดยใช้ค่าความถี่ร้อยละผลการวิจัยพบว่า คุณภาพการบริการโดยแยกตามคุณลักษณะ ดังนี้ 1) คุณลักษณะแบบมิติเดียว 14 คุณลักษณะ ได้แก่ เจ้าหน้าที่ให้การบริการอย่างเท่าเทียมกัน เจ้าหน้าที่สายการบินเข้าใจ และตอบคำถามของลูกค้าได้อย่างครบถ้วน สายการบินสามารถดูแลสัมภาระของผู้โดยสารได้เป็นอย่างดี สายการบินให้บริการเที่ยวบินที่ปลอดภัย โดยเป็นไปตามมาตรฐานสากล เว็บไซต์ของสายการบินมีข้อมูลที่เพียงพอ สายการบินมีขั้นตอนที่ง่ายต่อการจองเที่ยวบินผ่านเว็บไซต์ สายการบินสามารถให้บริการได้ตรงเวลา ภาพลักษณ์ของสายการบินมีความน่าเชื่อถือ เจ้าหน้าที่มีความรู้ความสามารถในการปฏิบัติงานอย่างมืออาชีพ เจ้าหน้าที่สามารถรับมือกับสถานการณ์ที่ไม่คาดคิดได้ดี เจ้าหน้าที่ให้บริการด้วยความสุภาพต่อผู้โดยสาร การตอบสนองและแก้ไขปัญหาของผู้โดยสารได้อย่างทันท่วงที การจัดการเรื่องร้องเรียนเกี่ยวกับการให้บริการของสายการบิน และเจ้าหน้าที่บนเครื่องบินยินดีให้ความช่วยเหลือ 2) คุณลักษณะที่ไม่แตกต่าง 6 คุณลักษณะ ได้แก่ เจ้าหน้าที่สนใจผู้โดยสารเป็นรายบุคคล ราคาค่าบริการมีความสมเหตุสมผล ช่วงเวลาเที่ยวบินที่ดี เที่ยวบินมีให้บริการเพียงพอ เส้นทางบินที่หลากหลาย บริการอาหารและเครื่องดื่มแบบชำระเงินได้บนเที่ยวบิน ดังนั้น จึงจะทำให้สายการบินสามารถแข่งขันในตลาดได้โดยส่งมอบความพึงพอใจอันนำไปสู่ความภักดีและการเลือกใช้บริการอย่างต่อเนื่องในอนาคต</p>
ศุภฤกษ์ ประวรรณะ
Copyright (c) 2025
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
https://so07.tci-thaijo.org/index.php/JSSD/article/view/7016
Fri, 28 Feb 2025 00:00:00 +0700
-
แนวทางการพัฒนาทักษะการสื่อสารของหัวคะแนนเพื่อการหาเสียงเลือกตั้งท้องถิ่น
https://so07.tci-thaijo.org/index.php/JSSD/article/view/7007
<p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา 1) แนวทางการพัฒนาหัวคะแนนด้านทักษะการสื่อสารคุณลักษณะของผู้สมัคร 2) แนวทางการพัฒนาหัวคะแนนด้านทักษะการสื่อสารนโยบายการพัฒนาท้องถิ่น และ 3) แนวทางการพัฒนาหัวคะแนนด้านทักษะการสื่อสารในการแก้ไขข้อโจมตีทางการเมือง โดยใช้การวิจัยเชิงคุณภาพด้วยวิธีการสัมภาษณ์เชิงลึก เก็บรวบรวมข้อมูลจากผู้ให้ข้อมูลหลักที่เกี่ยวข้องโดยตรงแบบเจาะจง จำนวน 18 คน ด้วยแบบสัมภาษณ์เชิงลึกแบบมีโครงสร้าง วิเคราะห์ข้อมูลด้วยการสร้างข้อสรุป ผลการศึกษา พบว่า การพัฒนาทักษะการสื่อสารของหัวคะแนนในบริบทการเลือกตั้งท้องถิ่นมุ่งเน้นการถ่ายทอดคุณลักษณะ นโยบาย และวิสัยทัศน์ของผู้สมัครได้อย่างชัดเจนและมีประสิทธิภาพไปยังกลุ่มเป้าหมาย แนวทางการพัฒนาแบ่งออกเป็น 4 ส่วนสำคัญ ได้แก่ 1) ด้านองค์ประกอบของเนื้อหา หัวคะแนนควรถ่ายทอดข้อมูลของผู้สมัคร เช่น ประวัติ ประสบการณ์ ความซื่อสัตย์ วิสัยทัศน์ และผลงานที่เด่นชัด เพื่อตอกย้ำความน่าเชื่อถือในตัวผู้สมัคร 2) ด้านเนื้อหาหลัก เนื้อหาควรครอบคลุมจุดเด่นของผู้สมัคร ประกอบด้วย ความรู้ ความสามารถ ประสบการณ์ คุณธรรมความเข้าใจชุมชน มีวิสัยทัศน์การพัฒนาท้องถิ่น ซื่อสัตย์สุจริต และความตั้งใจในการพัฒนาท้องถิ่น 3) ด้านวิธีการนำเสนอ ควรใช้วิธีหลากหลาย ทั้งการพูดคุยปัญหาในท้องถิ่น การจัดกิจกรรมพบปะประชาชน การเยี่ยมเยือนประชาชนตามบ้าน การปราศรัย การใช้สื่อออนไลน์เพื่อเข้าถึงกลุ่มเป้าหมาย 4) ด้านกลยุทธ์การโน้มน้าวใจ มุ่งเน้นการสร้างความเชื่อมั่นโดยเชื่อมโยงกับความต้องการของชุมชน ใช้หลักฐานเชิงประจักษ์ ย้ำความสัมพันธ์ทางอารมณ์ ฟังพร้อมตอบสนองอย่างเข้าใจ และการสื่อสารนโยบายการพัฒนาเน้นถ่ายทอดวิสัยทัศน์การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน เศรษฐกิจ และคุณภาพชีวิตในชุมชน และตอบโต้ข้อโจมตีทางการเมืองด้วยข้อเท็จจริงอย่างมีสติ สร้างสรรค์เพื่อเสริมสร้างภาพลักษณ์ที่ดีในสายตาของประชาชน</p>
วิทยาธร ท่อแก้ว
Copyright (c) 2025
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
https://so07.tci-thaijo.org/index.php/JSSD/article/view/7007
Fri, 28 Feb 2025 00:00:00 +0700
-
บูรณาการวิธีการสื่อสารกับหลักพุทธธรรมเพื่อเสริมสร้างสันติสุข
https://so07.tci-thaijo.org/index.php/JSSD/article/view/7013
<p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ ศึกษาวิธีการสื่อสารเพื่อเสริมสร้างสันติสุข ศึกษาหลักพุทธธรรมที่ส่งเสริมวิธีการสื่อสารเพื่อเสริมสร้างสันติสุข และบูรณาการวิธีการสื่อสารกับหลักพุทธธรรมเพื่อเสริมสร้างสันติสุข เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพ ผู้ให้ข้อมูลสำคัญ มี 3 กลุ่ม ได้แก่ 1) กลุ่มนักการสื่อสาร 2) กลุ่มผู้เชี่ยวชาญพระพุทธศาสนา 3) กลุ่มนักวิชาการสื่อสาร รวม 17 ราย เครื่องมือวิจัย ได้แก่ แบบสัมภาษณ์แบบมีโครงสร้าง แบบบันทึก เก็บข้อมูลด้วยการสัมภาษณ์เชิงลึก และการสนทนากลุ่ม วิเคราะห์ข้อมูลเชิงพรรณา ผลการวิจัย พบว่า 1) วิธีการสื่อสารเพื่อเสริมสร้างสันติสุข มี 5 ด้าน ได้แก่ เสียง-การพูด ตัวอักษร-การเขียน อวัจนภาษา-ท่าทาง สัญลักษณ์-เครื่องหมาย ภาพศิลปะ-รูปภาพ หลักพุทธธรรมที่ส่งเสริมวิธีการสื่อสารเพื่อเสริมสร้างสันติสุข มี 5 หลัก ได้แก่ วาจาสุภาษิต พุทธลีลา สุจริต อนุสติและอัปปมัญญา กสิณอสุภะอาหาเรปฏิกูลสัญญาและจตุธาตุววัฏฐาน บูรณาการวิธีการสื่อสารกับหลักพุทธธรรมเพื่อเสริมสร้างสันติสุข มี 5 ด้าน ได้แก่ เสียง-การพูดกับวาจาสุภาษิต เขียน-ตัวอักษรกับพุทธลีลา อวัจนภาษา-ภาษาท่าทางกับสุจริต สัญลักษณ์-เครื่องหมายกับอนุสติและอัปปมัญญา ภาพศิลปะ-รูปภาพกับกสิณอสุภะอาหาเรปฏิกูลสัญญาและจตุธาตุววัฏฐาน องค์ความรู้ใหม่จากการวิจัยนี้ คือ CBS Model หมายถึง C: การสื่อสาร (S: การพูด W: การเขียน N: อวัจนะภาษา S: ภาษาสัญลักษณ์ P: ภาษารูปภาพ) B: พุทธธรรม (S: สุภาสิตวาจา D: เทศนาวิธี S: สุจริต A: อนุสสติ & อัปปมัญญา K: กสิณะ, อสุภะ, อาหาเรปฏิกูลสัญญา) S: ทิศ 6 (P: เบื้องหน้า D: เบื้องขวา P: เบื้องหลัง U: เบื้องซ้าย H: เบื้องล่าง U: เบื้องบน)</p>
นิคม ปักษี, โสภณ บัวจันทร์, ชุดาพร จรจรัส
Copyright (c) 2025
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
https://so07.tci-thaijo.org/index.php/JSSD/article/view/7013
Fri, 28 Feb 2025 00:00:00 +0700
-
การพัฒนาพื้นที่เชิงสร้างสรรค์บริเวณเมืองเก่าในจังหวัดสงขลา
https://so07.tci-thaijo.org/index.php/JSSD/article/view/7014
<p>บทความวิจัยมีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา 1) วิเคราะห์องค์ความรู้การพัฒนาพื้นที่เชิงสร้างสรรค์บริเวณเมืองเก่าในจังหวัดสงขลา 2) ศึกษาการพัฒนาพื้นที่กับการมีส่วนร่วมเชิงสร้างสรรค์บริเวณเมืองเก่าในจังหวัดสงขลา และ 3) การเสริมสร้างภาคีเครือข่ายในการพัฒนาพื้นที่เชิงสร้างสรรค์บริเวณเมืองเก่าในจังหวัดสงขลา เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพ โดยการสัมภาษณ์เชิงลึกกลุ่มผู้ให้ข้อมูลสำคัญ จำนวน 25 คน ประกอบด้วย กลุ่มผู้นำศาสนา คือ พระภิกษุระดับบริหารภายในเขตพื้นที่ กลุ่มผู้แทนชุมชน มีปราชญ์ชาวบ้าน ประชาชนในชุมชน มัคคุเทศก์ในพื้นที่ กลุ่มองค์กรภาครัฐ และภาคเอกชนที่มีส่วนเกี่ยวข้อง วัฒนธรรมจังหวัด นักวิชาการ, นักอนุรักษ์ กลุ่มเป้าหมายเชิงปฏิบัติการปฏิบัติการวิจัย ประกอบด้วย กลุ่มพระภิกษุระดับผู้บริหาร กลุ่มนักเรียน กลุ่มผู้ศึกษาดูงาน กลุ่มผู้นำชุมชน กลุ่มไกด์ท้องถิ่น ปราชญ์ชาวบ้าน นักวิชาการและกลุ่มอนุรักษ์รวมทั้งหมด จำนวน 30 คน วิธีการเลือกกลุ่มตัวอย่างใช้วิธีการเฉพาะเจาะจง ที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาพื้นที่เชิงสร้างสรรค์บริเวณเมืองเก่า เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ประกอบด้วย แบบสัมภาษณ์ แบบสังเกตการณ์ และแบบบันทึกการสนทนากลุ่มเฉพาะ ผลการวิจัยพบว่า <br>1) องค์ความรู้การพัฒนาพื้นที่เชิงสร้างสรรค์บริเวณเมืองเก่า ได้แก่ การอนุรักษ์โบราณสถาน สถาปัตยกรรมต่าง ๆ การอนุรักษ์วัฒนธรรมท้องถิ่น สะท้อนวิถีชีวิตของคนในชุมชน การรักษาความเป็นเอกลักษณ์ของเมืองเก่าสงขลา (ซิงกอร่า) 2) การพัฒนาพื้นที่เชิงสร้างสรรค์บริเวณเมืองเก่าในจังหวัดสงขลาใน 4 ด้าน ได้แก่ การพัฒนาปรับโครงสร้างพื้นฐาน การพัฒนาให้มีความปลอดภัย จัดระเบียบสถานที่จะเข้าชมสถานที่สำคัญ มีการพัฒนาด้านสิ่งแวดล้อม และการพัฒนาด้านการมีส่วนร่วมของชุมชน และ 3) ผลการเสริมสร้างภาคีเครือข่ายการพัฒนาพื้นที่เชิงสร้างสรรค์ เกิดจากความร่วมมือระหว่าง 3 กลุ่ม หลัก ได้แก่ ภาครัฐ ภาคเอกชน และชุมชนในท้องถิ่น</p>
บัญญัติ แพรกปาน, ประสิทธิ์ รักนุ้ย, วนิดา เหมือนจันทร์, ณิชารีย์ ปรีชา, พระสมุห์ธนภัทร ธนภทฺโท (ทิพย์วงษ์)
Copyright (c) 2025
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
https://so07.tci-thaijo.org/index.php/JSSD/article/view/7014
Fri, 28 Feb 2025 00:00:00 +0700
-
กระบวนการสร้างเครือข่ายการเรียนรู้ด้านการแปรรูปกะปิ (เคย) : วิถีการพึ่งตนเอง ด้านอาหารในชุมชนบริเวณหาดทุ่งใส
https://so07.tci-thaijo.org/index.php/JSSD/article/view/6826
<p>บทความนี้เป็นการนำเสนอเรื่องกระบวนการสร้างเครือข่ายการเรียนรู้ด้านการแปรรูปกะปิ (เคย) : วิถีการพึ่งตนเองด้านอาหารในชุมชนบริเวณหาดทุ่งใส ซึ่งวิวัฒนาการของการเติบโตเปลี่ยนแปลงของกลุ่มสังคมเกษตรกรรมเปลี่ยนเป็นสังคมฐานความรู้ที่มีการปรับตัวเพื่อเรียนรู้ในวัฒนธรรมท้องถิ่นมากขึ้น จากประสบการณ์และความคิดด้านภูมิปัญญาที่สร้างสรรค์สั่งสมกันมาเวลานาน การสืบทอดแนวคิด และอุดมการณ์สู่คนรุ่นใหม่ให้เกิดวิถีการพึ่งตนเองในชุมชนเพื่อรับมือกับการเปลี่ยนแปลงต่อโลกาภิวัตน์ เมื่อชุมชนสามารถพึ่งตนเองได้ทำให้ชุมชนมีความเข้มแข็งของต้นทุนชุมชน คือ ฐานภูมิปัญญา ฐานทรัพยากร ฐานการผลิตอาหาร ฐานการสร้างความมั่นคงทางอาหาร ซึ่งส่งผลเชิงบวกต่อการพัฒนาความรู้ การสร้างอัตลักษณ์ สืบทอดภูมิปัญญาในรูปแบบของชุมชนแห่งการเรียนรู้การแปรรูปกะปิ (เคย) โดยใช้กิจกรรมขับเคลื่อนกระบวนการ และปราชญ์เป็นกลไกสร้างความรู้ กิจกรรมการเรียนรู้ ได้แก่ 1) ระดับครอบครัว การให้ความรู้เพื่อพัฒนาทักษะอาชีพ 2) ระดับองค์กรชุมชน การนำหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงมาประยุกต์ใช้ และ 3) ระดับชุมชน การจัดการความรู้อย่างมีประสิทธิภาพ ทั้งนี้เกิดจากการรักษาฐานทรัพยากรให้มีความอุดมสมบูรณ์ซึ่งเป็นต้นทุนทรัพยากรที่สำคัญที่นำไปสู่การผลิตสินค้าที่เป็นอัตลักษณ์ชุมชนสร้างเศรษฐกิจฐานรากในชุมชน และยกระดับไปสู่การเป็นองค์กรและชุมชนแห่งการเรียนรู้ และยังมีบุคคลที่สำคัญในการทำหน้าที่อำนวยความสะดวกในการเรียนรู้ครั้งนี้ คือ กลุ่มผู้นำของชุมชน ที่ใช้กระบวนการพัฒนาชุมชนเป็นเครื่องมือสร้างความเข้มแข็งภายในชุมชน ซึ่งเป็นผู้นำกลุ่มในกระบวนทัศน์ใหม่ที่เรียกว่า “ผู้นำการเปลี่ยนแปลง”</p>
จิตติมา ดำรงวัฒนะ, ประนอม การชะนันท์
Copyright (c) 2025
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
https://so07.tci-thaijo.org/index.php/JSSD/article/view/6826
Fri, 28 Feb 2025 00:00:00 +0700
-
ภาวะผู้นำเชิงพหุวัฒนธรรมวิถีพุทธ: บทเรียนการเผยแผ่พระพุทธศาสนาและส่งเสริมเอกลักษณ์ไทยของคณะสงฆ์ในประเทศสหรัฐอเมริกา
https://so07.tci-thaijo.org/index.php/JSSD/article/view/7009
<p>พระพุทธศาสนาเป็นศาสนาแห่งการเรียนรู้ หลักธรรมมุ่งพัฒนาปัญญา มีความเป็นวิทยาศาสตร์เชิงเหตุและผล มุ่งส่งเสริมสุขภาวะแบบองค์รวม เสริมสร้างความสงบทั้งจากภายในปัจเจกบุคคล และสังคมให้เกิดสันติภาพ การเผยแผ่พระพุทธศาสนาเป็นภารกิจของพระสงฆ์มาตั้งแต่อดีต พระธรรมทูตสายต่างประเทศเป็นบทบาทหนึ่งของคณะสงฆ์ไทย การปฏิบัติศาสนกิจในต่างประเทศมีความสำคัญต่อการเผยแผ่พระพุทธศาสนาให้กับนานาประเทศ และยังธำรงรักษาเอกลักษณ์ไทยไปพร้อม ๆ กัน บทความนี้มีวัตถุประสงค์นำเสนอภาวะผู้นำเชิงพหุวัฒนธรรมวิถีพุทธ ซึ่งเป็นการถอดบทเรียนจากประสบการณ์การบริหารจัดการเครือข่ายการเผยแผ่พระพุทธศาสนาและส่งเสริมเอกลักษณ์ของคณะสงฆ์ไทยในประเทศสหรัฐอเมริกา ภาวะผู้นำเชิงพหุวัฒนธรรมวิถีพุทธ เป็นคุณลักษณะสำคัญของพระพุทธศาสนาที่มุ่งเพื่อประโยชน์มหาชนโดยไม่แบ่งแยกชั้นวรรณะตั้งแต่อดีตและสืบทอดมาจนถึงปัจจุบัน ประกอบด้วย 1) ความเข้าใจในความเป็นพหุวัฒนธรรม 2) การปฏิบัติตามหลักพระธรรมวินัยของพระพุทธศาสนา 3) การสื่อสารข้ามวัฒนธรรมที่หลากหลาย 4) การบริหารบนฐานคุณธรรมจริยธรรม และ 5) การส่งเสริมเครือข่ายความร่วมมือ แนวปฏิบัติเพื่อส่งเสริมการพัฒนาภาวะผู้นำเชิงพหุวัฒนธรรมวิถีพุทธ ประกอบด้วย 1) การฝึกอบรมและพัฒนาทักษะด้านพหุวัฒนธรรม 2) การปฏิบัติศาสนกิจตามหลักธรรมวินัยและเผยแผ่หลักคำสอนของพระพุทธศาสนา 3) การส่งเสริมการศึกษาและการเรียนรู้ข้ามวัฒนธรรม และ 4) การให้คำปรึกษาและสนับสนุนการตัดสินใจบนพื้นฐานคุณธรรมและศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ บทความนี้เน้นนำเสนอภาวะผู้นำเชิงพหุวัฒนธรรมวิถีพุทธในการเผยแผ่พระพุทธศาสนาในต่างประเทศการผสมผสานหลักธรรมกับการเข้าใจวัฒนธรรมที่หลากหลายและการสร้างความร่วมมือช่วยส่งเสริมสันติภาพและรักษาเอกลักษณ์คณะสงฆ์ไทยและส่งเสริมความสุข</p>
ณัฐพัชร สายเสนา, เริงวิชญ์ นิลโคตร, ฐิติวัสส์ สุขป้อม, ณัฏฐกรณ์ ปะพาน, สิทธิชัย ธารพล
Copyright (c) 2025
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
https://so07.tci-thaijo.org/index.php/JSSD/article/view/7009
Fri, 28 Feb 2025 00:00:00 +0700
-
ตราสารหนี้เพื่อความยั่งยืน: กลไกขับเคลื่อนองค์กรตามแนวทาง ESG สู่เป้าหมายการพัฒนาอย่างยั่งยืน
https://so07.tci-thaijo.org/index.php/JSSD/article/view/7011
<p>บทความวิชาการนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อนำเสนอความรู้เกี่ยวกับการพัฒนาโลกอย่างยั่งยืนด้วย การบริหารจัดการธุรกิจตามรูปแบบ ESG (Environment, Social, Governance) ซึ่งเป็นการดำเนินงานขององค์กรที่คำนึงถึงความยั่งยืนต่อสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล การขับเคลื่อนองค์กรด้วยแนวคิดนี้จึงเป็นแนวทางที่เชื่อมโยงและสนับสนุนต่อเป้าหมายการพัฒนาโลกที่ยั่งยืน (Sustainability Development Goals: SDGs) ในปัจจุบันการดำเนินธุรกิจที่ขับเคลื่อนด้วยแนวทาง ESG ได้นำนวัตกรรมของเครื่องมือทางการเงินเพื่อระดมทุนทำโครงการ ได้แก่ ตราสารหนี้เพื่อความยั่งยืนที่ถูกพัฒนาขึ้นเพื่อแก้ไขปัญหาการขาดแคลนทรัพยากรด้านการเงินเพื่อจัดทำโครงการสนับสนุนความยั่งยืนขององค์กรซึ่งแต่ละโครงการต้องใช้งบประมาณจำนวนมาก อาทิ ตราสารหนี้สีเขียว ตราสารหนี้เพื่อสังคม ตราสารหนี้เพื่อส่งเสริมความยั่งยืน ตราสารหนี้เพื่อความยั่งยืนที่ผลตอบแทนสัมพันธ์กับความยั่งยืน บทความนี้ได้นำเสนอความสำเร็จของตราสารหนี้เพื่อความยั่งยืนขององค์กรธุรกิจผ่านกรณีศึกษาทั้งไทยและต่างประเทศ นอกจากนี้ยังแสดงให้เห็นถึงความสัมพันธ์ระหว่างตราสารหนี้เพื่อความยั่งยืนกับการเพิ่มขึ้นของจำนวนโครงการขององค์กร การส่งผลต่อค่าคะแนน ESG ที่พัฒนาขึ้นซึ่งบ่งบอกถึงความสามารถของการบริหารจัดการความยั่งยืนที่ดีขึ้น รวมทั้งการมีอิทธิพลต่อทัศนคติของนักลงทุนซึ่งทำให้เกิดภาพลักษณ์เชิงบวกต่อธุรกิจ อย่างไรก็ตาม ปัจจัยความสำเร็จของตราสารหนี้เพื่อความยั่งยืนขององค์กรจะต้องประกอบด้วยการมีวิสัยทัศน์และนโยบายองค์กรด้านความยั่งยืนที่ชัดเจน การกำหนดวัตถุประสงค์และเป้าหมายของโครงการ ESG อย่างดีและเหมาะสม การเปิดเผยข้อมูลของโครงการ ESG และผลตอบแทนการลงทุน รวมทั้งความมีประสิทธิภาพของการสื่อสารองค์กรที่จะให้ข้อมูลแก่นักลงทุนและสังคมอย่างชัดเจน</p>
วิภาวี วลีพิทักษ์เดช, สวรรยา พิณเนียม, สุริษา ประสิทธิ์แสงอารีย์, สนธยา เรืองหิรัญ
Copyright (c) 2025
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
https://so07.tci-thaijo.org/index.php/JSSD/article/view/7011
Fri, 28 Feb 2025 00:00:00 +0700
-
ผู้นำเชิงศรัทธาบารมียุคบานี่กับการประยุกต์หลักกัลยาณมิตรธรรม ในการส่งเสริมคุณภาพชีวิตของชุมชนสู่ความยั่งยืน
https://so07.tci-thaijo.org/index.php/JSSD/article/view/7012
<p>บทความนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ นำเสนอผู้นำเชิงศรัทธาบารมียุคบานี่กับการประยุกต์หลักกัลยาณมิตรในการเสริมคุณภาพชีวิตของชุมชนสู่ความยั่งยืน ในด้านต่าง ๆ ดังนี้ 1) ผู้นำเชิงศรัทธาบารมี: แนวคิดพื้นฐาน และบทบาทในยุค BANI world คือ 1.1) ความเป็นผู้นำเชิงศรัทธา 1.2) มีวิสัยทัศน์ มองโลกในมุมมองที่กว้างขึ้น เห็นโอกาส และความท้าทาย 1.3) ความเป็นผู้นำที่มีความรับผิดชอบในการพัฒนาและสร้างสรรค์คุณค่าที่ยั่งยืน 1.4) การมีความคิดสร้างสรรค์ ในการคิดค้นและนำเสนอแนวทางแก้ไขปัญหา 1.5) การสร้างความเชื่อมั่นและสร้างสรรค์ทีม มีความสามารถในการสร้างความเชื่อมั่นและปรับใช้แนวทางการทำงานที่สนับสนุนความร่วมมือ และ 1.6) การปรับตัวและเรียนรู้ มีความยืดหยุ่นตามสถานการณ์และความสามารถในการเรียนรู้จากประสบการณ์เพื่อพัฒนาตนเองและองค์กร 2) คุณภาพชีวิตและการพัฒนาชุมชนสู่ความยั่งยืน คือ 2.1) แนวคิดการคุณภาพชีวิต 2.2) การพัฒนาชุมชนสู่ความยั่งยืน และ 2.3) ความสำคัญของชุมชนเข้มแข็ง และ 3) การประยุกต์หลักกัลยาณมิตรธรรมในการส่งเสริมคุณภาพชีวิตของชุมชนสู่ความยั่งยืน คือ 3.1) การสั่งสอน ส่งเสริมการเรียนรู้และความเข้าใจในหลักธรรมกัลยาณมิตร 3.2) การสนับสนุนและสร้างความตั้งใจ ส่งเสริมให้ชุมชนมีความตั้งใจและความกระตือรือร้นในการปฏิบัติตามหลักกัลยาณมิตรธรรม 3.3) การสร้างพื้นที่เชิงบวก สร้างสภาพแวดล้อมที่สนับสนุนการพัฒนาและการเรียนรู้ 3.4) การส่งเสริมคุณค่าและพฤติกรรมที่ดี สนับสนุนให้ชุมชนปฏิบัติตามคุณค่าตามหลักกัลยาณมิตรธรรม และ 3.5) การเสริมสร้างศักยภาพและความเข้มแข็ง ส่งเสริมให้ชุมชนมีความเข้มแข็งทั้งทางจิตใจและทางกายเพื่อทำให้สามารถรับมือกับความท้าทายและสร้างความยั่งยืนได้ในระยะยาว</p>
ฐิติวัสส์ สุขป้อม, เริงวิชญ์ นิลโคตร, ณัฏฐกรณ์ ปะพาน, ณัฐพัชร สายเสนา, รุจิรัตน์ ธนดลชยากร
Copyright (c) 2025
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
https://so07.tci-thaijo.org/index.php/JSSD/article/view/7012
Fri, 28 Feb 2025 00:00:00 +0700