วารสารสังคมพัฒนศาสตร์
https://so07.tci-thaijo.org/index.php/JSSD
<p> <strong>วารสารสังคมพัฒนศาสตร์</strong> เป็นวารสารวิชาการของวัดสนธิ์ (นาสน) ตำบลมะม่วงสองต้น อำเภอเมือง จังหวัดนครศรีธรรมราช มีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมการค้นคว้าและนำเสนอองค์ความรู้ทางด้านวิชาการ โดยการเผยแพร่บทความวิจัยและบทความวิชาการแก่นักวิจัยนักวิชาการ คณาจารย์และนักศึกษา ในมิติเพื่อสนับสนุนการศึกษา การสอน การวิจัยในมหาวิทยาลัยสงฆ์รวมถึงคณะสงฆ์ไทย และสถาบันภายนอก รวมทั้งนักวิชาการและผู้สนใจ โดยเน้นสาขาวิชาเกี่ยวกับ การพัฒนาชุมชม การพัฒนาสังคม ศิลปะทั่วไปและมนุษยศาสตร์ ศาสนศึกษา ธุรกิจทั่วไป การจัดการและการบัญชี สังคมศาสตร์ทั่วไป การศึกษา รวมถึงสหวิทยาการด้านสังคมศาสตร์และและศาสตร์แห่งการพัฒนา โดยรับพิจารณาตีพิมพ์ต้นฉบับของบุคคลหรือองค์กร ทั้งภายในและภายนอกวัด เปิดรับบทความเฉพาะภาษาไทย ประเภท บทความวิจัย และ บทความวิชาการ</p> <p> บทความที่ตีพิมพ์เผยแพร่ในวารสารสังคมพัฒนศาสตร์จะต้องผ่านการพิจารณาจากผู้ทรงคุณวุฒิ อย่างน้อย 2 ท่าน ในลักษณะปกปิดรายชื่อ (Double blind peer-reviewed) ผลงานที่ส่งมาจะต้องไม่เคยตีพิมพ์หรืออยู่ระหว่างการพิจารณาจากผู้ทรงคุณวุฒิเพื่อตีพิมพ์ในวารสารอื่น ผู้เขียนบทความจะต้องปฏิบัติตามหลักเกณฑ์การเสนอบทความวิชาการหรือบทความวิจัยเพื่อตีพิมพ์ในวารสาร อย่างเคร่งครัด รวมทั้งระบบการอ้างอิงต้องเป็นไปตามหลักเกณฑ์ของวารสาร ทัศนะและข้อคิดเห็นที่ปรากฏในบทความวารสาร ถือเป็นความรับผิดชอบของผู้เขียนบทความนั้น มิใช่ความคิดของคณะผู้จัดทำ และไม่ถือเป็นทัศนะและความรับผิดชอบของกองบรรณาธิการ ทั้งนี้กองบรรณาธิการไม่สงวนลิขสิทธิ์ในการคัดลอก แต่ให้อ้างอิงแสดงที่มา</p> <p><strong>วารสารสังคมพัฒนศาสตร์</strong> มีกำหนดออกเผยแพร่ปีละ 12 ฉบับ (รายเดือน)*</p> <table width="100%"> <tbody> <tr> <td width="32%"> <p>ฉบับที่ 1 เดือนมกราคม</p> </td> <td width="35%"> <p>ฉบับที่ 2 เดือนกุมภาพันธ์</p> </td> <td width="31%"> <p>ฉบับที่ 3 เดือนมีนาคม</p> </td> </tr> <tr> <td width="32%"> <p>ฉบับที่ 4 เดือนเมษายน</p> </td> <td width="35%"> <p>ฉบับที่ 5 เดือนพฤษภาคม</p> </td> <td width="31%"> <p>ฉบับที่ 6 เดือนมิถุนายน</p> </td> </tr> <tr> <td width="32%"> <p>ฉบับที่ 7 เดือนกรกฎาคม</p> </td> <td width="35%"> <p>ฉบับที่ 8 เดือนสิงหาคม</p> </td> <td width="31%"> <p>ฉบับที่ 9 เดือนกันยายน</p> </td> </tr> <tr> <td width="32%"> <p>ฉบับที่ 10 เดือนตุลาคม</p> </td> <td width="35%"> <p>ฉบับที่ 11 เดือนพฤศจิกายน</p> </td> <td width="31%"> <p>ฉบับที่ 12 เดือนธันวาคม</p> </td> </tr> </tbody> </table> <p><em>*มีผลตั้งแต่ ปีที่ 8 ฉบับที่ 2 เดือนกุมภาพันธ์ 2568 เป็นต้นไป</em></p>
th-TH
nattapong.krai@mcu.ac.th (พระณัฐพงษ์ ญาณเมธี)
natthaphong.jan@mcu.ac.th (พระณัฐพงษ์ สิริสุวณฺโณ)
Tue, 25 Mar 2025 20:01:35 +0700
OJS 3.3.0.8
http://blogs.law.harvard.edu/tech/rss
60
-
การพัฒนาศูนย์การเรียนรู้หลักสูตรการแปรรูปกะปิ (เคย) เพื่อสร้างความมั่นคงทางด้านอาหารในชุมชนบริเวณหาดทุ่งใส
https://so07.tci-thaijo.org/index.php/JSSD/article/view/7215
<p>บทความนี้เป็นการนำเสนอเรื่องการพัฒนาศูนย์การเรียนรู้หลักสูตรการแปรรูปกะปิ (เคย) เพื่อสร้างความมั่นคงทางด้านอาหารในชุมชนบริเวณหาดทุ่งใส หรือที่เรียกว่า “อ่าวทุ่งใส” เป็นชายหาดที่ทอดยาวจากเชิงเขาพลายดำจรดปากน้ำสิชล ลักษณะสภาพภูมิศาสตร์ที่เป็นชายฝั่งทะเลทำให้พื้นที่มีความหลากหลายและความสมบูรณ์ของทรัพยากร พลวัตการเปลี่ยนแปลงในวิถีบริโภคถูกบ่มเพาะกลายเป็นภูมิปัญญาและวัฒนธรรมอาหาร เมื่อความสมบูรณ์ของทรัพยากรลดลงจากการขยายพื้นที่ในการบริโภคมากขึ้น ทำให้ชุมชนเกิดความตระหนักถึงเสถียรภาพความมั่นคงด้านอาหาร ชุมชนจึงมีการจัดการตนเองในการอนุรักษ์ทรัพยากรและแก้ไขปัญหาโดยมีส่วนร่วมในการทำงานร่วมกันอย่างมีเป้าหมาย และใช้ทรัพยากรอย่างยั่งยืน จนเกิดเป็นศูนย์การเรียนรู้ชุมชนหาดทุ่งใสเป้าหมายเพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตและสร้างความเข้มแข็งเครือข่ายประมง เมื่อสังคมและเศรษฐกิจเปลี่ยนแปลงต้องมีการปรับตัวเพื่อเรียนรู้การดำรงชีพ การสร้างคุณค่าอาหาร และวัฒนธรรมการกิน ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญที่บ่งชี้ถึงวิถีชีวิตและการเปลี่ยนแปลงสังคมวัฒนธรรมด้วยเช่นกัน ดังเช่น อาหารพื้นบ้านดั้งเดิมที่มีการสืบทอดเป็นอัตลักษณ์ชุมชน นั้นคือ กะปิกุ้งเคย จากการเห็นคุณค่าภูมิปัญญาและเสถียรภาพความมั่นคงด้านอาหารศูนย์การเรียนรู้จึงได้พัฒนาภูมิความรู้จากวิถีการบริโภคอาหาร และภูมิปัญญาอันเป็นรากฐานแห่งวัฒนธรรมและสังคมโดยผ่านกระบวนการปฏิบัติการตามรูปแบบการเรียนรู้อย่างเท่าเทียมตลอดชีวิต เน้นการจัดเก็บองค์ความรู้เพื่อดำรงชีพและได้ถูกพัฒนาเป็นสูตรอาหารที่มีมาตรฐาน เช่น เคยเจี้ยน เคยคั่ว และเคยหวาน (“เคย”เป็นภาษาถิ่น หมายถึง “กะปิ”) เพื่อสร้างความมั่นคงทางด้านอาหารอย่างยั่งยืนในชุมชน</p>
จิตติมา ดำรงวัฒนะ, ประนอม การชะนันท์
Copyright (c) 2025
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
https://so07.tci-thaijo.org/index.php/JSSD/article/view/7215
Tue, 25 Mar 2025 00:00:00 +0700
-
ภาวะผู้นำเชิงคุณธรรมตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง: การประยุกต์เพื่อการบริหารการเปลี่ยนแปลงในบริบทของสถานศึกษา
https://so07.tci-thaijo.org/index.php/JSSD/article/view/7228
<p>ภาวะผู้นำเชิงคุณธรรมตามหลักเศรษฐกิจพอเพียงมีบทบาทสำคัญในการบริหารการเปลี่ยนแปลงในสถานศึกษา โดยผู้นำจะตัดสินใจอย่างรอบคอบ คำนึงถึงผลระยะสั้นและระยะยาว พร้อมรับฟังความคิดเห็นจากทุกฝ่าย การใช้หลักนี้ช่วยรักษาความสมดุลระหว่างผลประโยชน์องค์กรและสังคม เพิ่มความยืดหยุ่น ลดความเสี่ยง และเสริมสร้างความไว้วางใจระหว่างผู้นำและผู้ตาม บทความนี้มุ่งนำเสนอภาวะผู้นำเชิงคุณธรรมตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงมีบทบาทสำคัญในการสร้างวัฒนธรรมองค์กรที่มุ่งเน้นความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม เป็นการศึกษาเชิงเอกสาร สังเคราะห์เชิงเนื้อหา และสรุปเชิงพรรณนา ผลการศึกษพบว่า 1) การดำเนินงานที่คำนึงถึงความยั่งยืนไม่ใช่เพียงแค่การทำกำไรหรือการบรรลุเป้าหมายทางธุรกิจเท่านั้น แต่ยังต้องพิจารณาถึงผลกระทบที่จะเกิดขึ้นกับชุมชนและสิ่งแวดล้อมในระยะยาวด้วย 2) มิติของการเตรียมความพร้อมกับการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม ภาวะผู้นำเชิงคุณธรรมจะช่วยให้องค์กรมีความสามารถในการปรับตัวมากขึ้น เนื่องจากการพิจารณาและเตรียมพร้อมรับมือกับความท้าทายในระยะยาวทำให้การบริหารจัดการความเสี่ยงมีประสิทธิภาพมากขึ้น และ 3) การให้ความสำคัญกับวัฒนธรรมองค์กรที่เน้นความยั่งยืน ส่งผลให้การดำเนินงานองค์กรเติบโตได้อย่างมั่นคงยั่งยืน ผลการศึกษาดังกล่าวได้สะท้อนภาวะผู้นำเชิงคุณธรรมตามหลักเศรษฐกิจพอเพียงมีบทบาทสำคัญในการสร้างวัฒนธรรมองค์กรที่มุ่งเน้นความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม โดยการตัดสินใจที่คำนึงถึงความยั่งยืนและผลกระทบระยะยาว ช่วยให้องค์กรสามารถปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงได้ดีขึ้น และบริหารความเสี่ยงได้อย่างมีประสิทธิภาพ การเน้นความยั่งยืนในวัฒนธรรมองค์กรช่วยเสริมสร้างการเติบโตที่มั่นคงและยั่งยืน</p>
พระมหาเมืองมนต์ ศรีปัตตา
Copyright (c) 2025
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
https://so07.tci-thaijo.org/index.php/JSSD/article/view/7228
Tue, 25 Mar 2025 00:00:00 +0700
-
การประยุกต์ใช้แนวคิดเชิงระบบกับรางวัลทรงคุณค่า สพฐ. (OBEC AWARDS) ผู้บริหารสถานศึกษายอดเยี่ยม การจัดการศึกษาโรงเรียนสุขภาวะ โรงเรียนบ้านตาเรือง (ตำรวจชายแดนสงเคราะห์)
https://so07.tci-thaijo.org/index.php/JSSD/article/view/7240
<p>แนวคิดการบริหารเชิงระบบเกี่ยวข้องกับมุมมองการพัฒนาที่เชื่อมโยงกันของระบบต่าง ๆ ในองค์กร ระบบย่อยแต่ละระบบ ทำงานพึ่งพากันเพื่อบรรลุเป้าหมายร่วมกันแบบองค์รวม โรงเรียนบ้านตาเรืองฯ ได้พัฒนาโรงเรียนส่งเสริมสุขภาพ โดยใช้รูปแบบ BANTARUANG 4G Model ประกอบด้วยกระบวนการสำคัญ ได้แก่ 1) การระดมความคิด: การรวบรวมความคิดเห็นและข้อมูลจากผู้มีส่วนเกี่ยวข้องจากทุกภาคส่วน 2) พัฒนาทัศนคติ: การส่งเสริมทัศนคติเชิงบวกในการดูแลรักษาสุขภาพทั้งครูและผู้เรียน 3) การพัฒนาแผนที่ทันสมัย: การพัฒนาแผนเชิงกลยุทธ์ด้านสุขภาพ 4) ทีม: การสร้างทีมงานคุณภาพ และร่วมมือกัน 5) การกำหนดเป้าหมายความสำเร็จ: กำหนดเป้าหมายระยะสั้น ระยะกลาง และระยะยาว 6) ความรับผิดชอบ: การส่งเสริมความรับผิดชอบร่วมกัน 7) ความเข้าใจ: การสร้างความเข้าใจการทำงานในทุกระดับ 8) กิจกรรมที่ดี 4 ประการ ได้แก่ ความรู้ที่ดี กิจกรรมที่ดี สภาพแวดล้อมที่ดี และการกำกับดูแลที่ดี 9) เครือข่าย: การสร้างเครือข่ายในการสนับสนุนและแลกเปลี่ยนเรียนรู้ด้านสุขภาพ และ 10) การเติบโตอย่างต่อเนื่อง: การพัฒนาคุณภาพการศึกษาควบคู่กับการส่งเสริมด้านสุขภาพ บทสรุป การประยุกต์ใช้แนวคิดเชิงระบบกับรางวัลทรงคุณค่า สพฐ. (OBEC AWARDS) โรงเรียนบ้านตาเรืองฯ เป็นแนวทางเชิงกลยุทธ์ในการพัฒนาโรงเรียนเพื่อส่งเสริมสุขภาพและยกระดับคุณภาพการศึกษาโดยรวม ผ่านการบูรณาการอย่างเป็นระบบในกระบวนการต่าง ๆ ที่ส่งผลให้นักเรียนมีสุขภาพที่ดีขึ้น นักเรียนมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนที่สูงขึ้น ผู้ปกครองและชุมชนเข้ามามีส่วนร่วมในกิจกรรมด้านสุขภาพ และเชื่อมั่นต่อการพัฒนาคุณภาพการศึกษาของโรงเรียนมากขึ้น ส่งผลให้โรงเรียนได้รับรางวัลระดับชาติมากมาย และบรรลุความเป็นเลิศทางการศึกษา</p>
คมกริช อันทรง, ทัชชัย ผ่องสวัสดิ์, เริงวิชญ์ นิลโคตร, วัยวุฒิ บุญลอย
Copyright (c) 2025
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
https://so07.tci-thaijo.org/index.php/JSSD/article/view/7240
Tue, 25 Mar 2025 00:00:00 +0700
-
รูปแบบการบริหารทีมตามหลักอปริหานิยธรรม 7 ในสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสกลนคร เขต 1
https://so07.tci-thaijo.org/index.php/JSSD/article/view/7216
<p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาความต้องการจำเป็นการบริหารทีมในสถานศึกษา 2) พัฒนารูปแบบการบริหารทีมตามอปริหานิยธรรม 7 3) ทดลองใช้รูปแบบการบริหารทีมตามอปริหานิยธรรม 7 และ 4) ประเมินรูปแบบการบริหารทีมตามอปริหานิยธรรม 7 ในสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสกลนคร เขต 1 เป็นการแบบผสานวิธี วิจัยเชิงปริมาณ กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ ครูในสถานศึกษา จำนวน 327 คน เลือกกลุ่มตัวอย่างโดยกำหนดขนาดกลุ่มตัวอย่างใช้ตารางของเครจซี่และมอร์แกน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แบบสอบถาม มีลักษณะเป็นแบบมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ สถิติที่ใช้ คือ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และวิเคราะห์ข้อมูลด้วยการวิเคราะห์ค่าความต้องการจำเป็น ผลการวิจัยพบว่า 1) ความต้องการจำเป็นการบริหารทีมในสถานศึกษา สำหรับสภาพปัจจุบันภาพรวมอยู่ระดับปานกลาง ( <img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\bar{x}" alt="equation" /> = 3.65, S.D. = 0.373) ด้านสภาพความน่าจะเป็น โดยภาพรวมมีค่าเฉลี่ยอยู่ในระดับมาก ( <img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\bar{x}" alt="equation" /> = 4.66, S.D. = 0.466) 2) ผลการประเมินรูปแบบการบริหารทีมตามอปริหานิยธรรม 7 พบว่า ภาพรวมอยู่ในระดับมาก เมื่อพิจารณาเป็นรายด้านจาก พบว่า ด้านความเป็นประโยชน์ อยู่ระดับดีมาก (μ = 4.16, σ = 0.473) ด้านความเป็นไปได้ อยู่ระดับมาก (μ = 4.40, σ = 0.645) และด้านความเหมาะสม อยู่ระดับปานกลาง (μ = 3.68, σ = 0.627) 3) ผลการทดลองใช้รูปแบบการบริหารทีมตามอปริหานิยธรรม 7 พบว่า ในภาพรวมอยู่ในระดับมาก (μ = 4.44, σ = 0.325) และ 4) ผลการประเมินรูปแบบ พบว่า จากผลประเมินค่าดัชนีความตรงเชิงเนื้อเรื่องของรายการประเมิน มีค่าเท่ากับ 1.00 ทั้งฉบับ</p>
พระมหาสีพันดอน ขันติโสภโน (สุวันนะแสง), สมศักดิ์ บุญปู่, บุญเชิด ชำนิศาสตร์
Copyright (c) 2025
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
https://so07.tci-thaijo.org/index.php/JSSD/article/view/7216
Tue, 25 Mar 2025 00:00:00 +0700
-
ปัจจัยที่ส่งผลต่อการตัดสินใจเลือกซื้อเครื่องใช้ไฟฟ้าภายในบ้าน ของผู้ที่อาศัยอยู่ในเขตสายไหมกรุงเทพมหานคร
https://so07.tci-thaijo.org/index.php/JSSD/article/view/7222
<p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ปัจจัยกลยุทธ์ทางการตลาด 5A และการตัดสินใจซื้อเครื่องใช้ไฟฟ้าภายในบ้าน 2) เปรียบเทียบปัจจัยการตัดสินใจซื้อเครื่องใช้ไฟฟ้าภายในบ้านของผู้บริโภคในเขตสายไหมกรุงเทพมหานคร จำแนกตามปัจจัยส่วนบุคคล 3) ศึกษาปัจจัยกลยุทธ์การตลาดส่งผลต่อการตัดสินใจซื้อเครื่องใช้ไฟฟ้าภายในบ้านของผู้บริโภค ประชากรในการวิจัย คือ ผู้บริโภคที่ซื้ออุปกรณ์เครื่องใช้ไฟฟ้าของผู้บริโภคในเขตสายไหมกรุงเทพมหานคร กลุ่มตัวอย่าง จำนวน 400 คน เป็นการวิจัยเชิงปริมาณ โดยเก็บข้อมูลจากแบบสอบถามโดยใช้วิธีสุ่มตัวอย่างแบบเจาะจง (Purposive Sampling) มีค่าความเชื่อมั่น 0.968 (Cronbach’s Alpha) สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน โดยการวิเคราะห์ความแปรปรวนทางเดียว (One-way ANOVA) สถิติ (t-Test) , (F-Test) และ สถิติในการวิเคราะห์การถดถอยพหุคูณ ผลการวิจัยพบว่า 1) ผู้บริโภคส่วนใหญ่เป็นเพศหญิง จำนวน 231 คน มีอายุระหว่าง 36 - 45 ปี จำนวน 198 คน จบการศึกษาต่ำกว่าปริญญาตรี จำนวน 179 คน เป็นผู้ที่พักอาศัยอยู่ในกรุงเทพนาน 10 ปีขึ้นไป จำนวน 161 คน ส่วนใหญ่เป็นพนักงานเอกชน จำนวน 271 คนมีการตัดสินใจใซื้อเครื่องใช้ไฟฟ้าภายในบ้านเขตสายไหมกรุงเทพมหานคร 2) การตัดสินใจเลือกซื้อเครื่องใช้ไฟฟ้าภายในบ้านของผู้บริโภคในเขตสายไหมกรุงเทพมหานคร จำแนกตามปัจจัยส่วนบุคคล ได้แก่ เพศ อายุ ระดับการศึกษา ระยะเวลาในการอยู่อาศัย และอาชีพ แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.01 และ 3) ปัจจัยกลยุทธ์การตลาด ได้แก่ ด้านการสอบถาม ด้านการตัดสินใจซื้อ และด้านการบอกต่อ มีอิทธิพลทางบวกต่อการตัดสินใจเลือกซื้อเครื่องใช้ไฟฟ้าภายในบ้านของผู้บริโภคในเขตสายไหมกรุงเทพมหานคร โดยภาพรวม ได้ร้อยละ 52.20 (Adjusted R<sup>2</sup> = .522) ส่งผลอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01</p>
วัชรพงศ์ ไม้เท้าทิพย์, ปัทมา รูปสุวรรณกุล, สานิต ศิริวิศิษฐ์กุล
Copyright (c) 2025
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
https://so07.tci-thaijo.org/index.php/JSSD/article/view/7222
Tue, 25 Mar 2025 00:00:00 +0700
-
พืชเสริมรายได้ในสวนยางพารา: ทางเลือกสู่ความยั่งยืนของเกษตรกร ตำบลบ้านเสด็จ อำเภอเคียนซา จังหวัดสุราษฎร์ธานี
https://so07.tci-thaijo.org/index.php/JSSD/article/view/7223
<p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อวิเคราะห์รูปแบบการปลูกพืชเสริมรายได้ในสวนยางพาราของเกษตรกร และต้นทุนและผลตอบแทนของการปลูกพืชเสริมรายได้ในสวนยางพาราของเกษตรกรในตำบลบ้านเสด็จ อำเภอเคียนซา จังหวัดสุราษฎร์ธานี เป็นการวิจัยเชิงปริมาณ กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ เกษตรกรที่ขึ้นทะเบียนกับการยางแห่งประเทศไทย สาขาเคียนซา จำนวน 66 คน เลือกกลุ่มตัวอย่างแบบเจาะจง เครื่องมือวิจัย ได้แก่ แบบสอบถาม เก็บรวบรวมข้อมูลด้วยแบบสอบถาม สถิติที่ใช้วิจัย ได้แก่ ค่าร้อยละ และค่าเฉลี่ย วิเคราะห์ข้อมูลเชิงพรรณา ผลการวิจัยพบว่า รูปแบบในการปลูกพืชเสริมรายได้ในสวนยางพาราของเกษตรกรฯ เกษตรกรส่วนใหญ่มีประสบการณ์ปลูกยางพาราพันธุ์ RRIM 600 และพันธุ์ RRIT 251 ในที่ดินของตนเองและมีเอกสารสิทธิ์ ประเภท สปก.4 - 01 บนพื้นที่ราบเป็นดินเหนียวใช้แหล่งน้ำจากแม่น้ำลำคลองและแหล่งน้ำธรรมชาติ พืชที่นิยมปลูกเสริมมากที่สุดคือ กาแฟและผักเหลียง ต้นทุนและผลตอบแทนของการปลูกพืชเสริมรายได้ในสวนยางพาราของเกษตรกร ได้แก่ 1) กาแฟโรบัสต้า มีต้นทุนรวม 3,223.88 บาทต่อไร่ต่อปี มีผลผลิตเฉลี่ย 79 กิโลกรัมต่อไร่ ขายได้ราคา 110 บาทต่อกิโลกรัม มีผลตอบแทนสุทธิ 5,466.12 บาทต่อไร่ต่อปี หรือ 69.19 บาทต่อกิโลกรัม และ 2) ผักเหลียง มีต้นทุนรวม 3,760.08 บาทต่อไร่ต่อปี มีผลผลิตเฉลี่ย 162 กิโลกรัมต่อไร่ ขายได้ราคา 80 บาทต่อกิโลกรัม มีผลตอบแทนสุทธิ 9,199.92 บาทต่อไร่ต่อปี หรือ 56.73 บาทต่อกิโลกรัม ด้านโครงสร้างต้นทุน ทั้งกาแฟโรบัสต้าและผักเหลียงมีต้นทุนผันแปรเป็นสัดส่วนหลักของต้นทุนรวม ซึ่งค่าแรงงานเป็นต้นทุนสำคัญ</p>
เบญจวรรณ คงขน, อภิชญา ขุนทอง, สถิต ทศวิชิต
Copyright (c) 2025
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
https://so07.tci-thaijo.org/index.php/JSSD/article/view/7223
Tue, 25 Mar 2025 00:00:00 +0700
-
แนวทางการสื่อสารในการรณรงค์หาเสียงเลือกตั้ง นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด ปี 2568
https://so07.tci-thaijo.org/index.php/JSSD/article/view/7224
<p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา 1) แนวทางการออกแบบเนื้อหาในการรณรงค์หาเสียงเลือกตั้งนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด 2) แนวทางการใช้สื่อในการรณรงค์หาเสียงเลือกตั้งนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด โดยใช้การวิจัยเชิงคุณภาพด้วยวิธีการสัมภาษณ์เชิงลึก เก็บรวบรวมข้อมูลจากผู้ให้ข้อมูลหลักที่นักวางแผนหาเสียงการเลือกตั้ง จำนวน 15 คน ด้วยแบบสัมภาษณ์เชิงลึกแบบมีโครงสร้าง วิเคราะห์ข้อมูลด้วยการสร้างข้อสรุป ผลการศึกษา พบว่า การออกแบบเนื้อหาเพื่อการสื่อสารคุณลักษณะของผู้สมัครเป็นปัจจัยสำคัญในการสร้างภาพลักษณ์และความเชื่อมั่นจากประชาชน โดยเน้นคุณธรรม ความซื่อสัตย์ วิสัยทัศน์ และแผนพัฒนาเพื่อแสดงทิศทางในอนาคตของท้องถิ่น การมีผลงานที่ชัดเจน การเข้าถึงประชาชนอย่างใกล้ชิด การนำเสนอนโยบายที่ครอบคลุมทุกกลุ่มเป็นการแสดงถึงความเท่าเทียม โดยทักษะการเป็นผู้นำที่ดีเสริมสร้างความมั่นใจในความสามารถในการบริหารท้องถิ่น ส่วนนโยบายการพัฒนาต้องออกแบบเนื้อหาที่ชัดเจนช่วยให้ประชาชนเข้าใจและสนับสนุนมากขึ้น โดยเน้นการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน การส่งเสริมเศรษฐกิจท้องถิ่น การพัฒนาการศึกษา สุขภาพ สิ่งแวดล้อม คุณภาพชีวิต การมีส่วนร่วมของประชาชนในการพัฒนาจังหวัดช่วยเพิ่มความโปร่งใส การใช้เทคโนโลยีในการพัฒนาบริการภาครัฐเพิ่มความสะดวกในการเข้าถึงประชาชน การบริหารจัดการที่โปร่งใสช่วยสร้างความไว้วางใจ สำหรับการใช้สื่อดั้งเดิมยังมีบทบาทสำคัญ เช่น ป้ายหาเสียง การแจกแผ่นพับ การใช้รถแห่ และการปราศรัยในพื้นที่ การเคาะประตูพบปะประชาชนและทีมหัวคะแนนจะช่วยกระจายข้อมูลอย่างมีประสิทธิภาพ ส่วนการใช้สื่อใหม่ ประกอบด้วยเว็บไซต์ Facebook LINE YouTube TikTok และ X (Twitter) ช่วยเพิ่มการรับรู้และสร้างความเชื่อมั่นในตัวผู้สมัครได้รวดเร็ว</p>
วิทยาธร ท่อแก้ว
Copyright (c) 2025
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
https://so07.tci-thaijo.org/index.php/JSSD/article/view/7224
Tue, 25 Mar 2025 00:00:00 +0700
-
การบริหารความขัดแย้งในศตวรรษที่ 21 ของผู้บริหารสถานศึกษาที่ส่งผลต่อความผูกพันในองค์กรของครู สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษา นครศรีธรรมราช เขต 2
https://so07.tci-thaijo.org/index.php/JSSD/article/view/7225
<p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ 1) ศึกษาการบริหารความขัดแย้งในศตวรรษที่ 21 ของผู้บริหารสถานศึกษา 2) ศึกษาความผูกพันในองค์กรของครู 3) ศึกษาการบริหารความขัดแย้งในศตวรรษที่ 21 ของผู้บริหารสถานศึกษาที่ส่งผลต่อความผูกพันในองค์กรของครู 4) ศึกษาแนวทางพัฒนาการบริหารความขัดแย้งในศตวรรษที่ 21 ที่ส่งผลต่อความผูกพันในองค์กรของครู การวิจัยนี้ใช้วิธีวิจัยแบบผสมผสาน กระบวนการวิจัยมีดังนี้ 1) ศึกษาการบริหารความขัดแย้งในศตวรรษที่ 21 ของผู้บริหารสถานศึกษาที่ส่งผลต่อความผูกพันในองค์กรของครู กลุ่มตัวอย่าง คือ ผู้บริหารสถานศึกษาและครู 327 คน เครื่องมือที่ใช้เป็นแบบสอบถาม การวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ วิเคราะห์การถดถอยพหุคูณ 2) ศึกษาแนวทางพัฒนาการบริหารความขัดแย้งในศตวรรษที่ 21 ของผู้บริหารสถานศึกษาที่ส่งผลต่อความผูกพันในองค์กรของครู กลุ่มตัวอย่าง คือ ผู้บริหารการศึกษา ผู้บริหารสถานศึกษาครู โดยวิธีเลือกแบบเจาะจง 9 คน เครื่องมือที่ใช้ แบบบันทึกการสนทนากลุ่ม วิเคราะห์ข้อมูลโดยการวิเคราะห์ข้อคิดเห็น ผลการวิจัยพบว่า 1) การบริหารความขัดแย้งในศตวรรษที่ 21อยู่ในระดับมากที่สุด (<img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\bar{x}" alt="equation" /> = 4.53, S.D. = 0.43) 2) ความผูกพันในองค์กรของครู อยู่ในระดับมากที่สุด (<img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\bar{x}" alt="equation" /> = 4.58, S.D. = 0.47) 3) การบริหารความขัดแย้งในศตวรรษที่ 21 ที่ส่งผลต่อความผูกพันในองค์กรของครู คือ การร่วมมือ การประนีประนอม การหลีกเลี่ยงและการใช้เทคโนโลยีในการบริหารองค์กร อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ.01 4) แนวทางพัฒนาการบริหารความขัดแย้งในศตวรรษที่ 21 จำนวน 5 ด้าน ได้แก่ 1) การร่วมมือ 2) การหลีกเลี่ยง 3) การประนีประนอม 4) การแข่งขัน 5) การใช้เทคโนโลยีในการบริหารองค์กร 25 ข้อ</p>
ธรณ์ธนัท กวินโชติวณิชย์, พณกฤษ บุญพบ, นพรัตน์ ชัยเรือง
Copyright (c) 2025
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
https://so07.tci-thaijo.org/index.php/JSSD/article/view/7225
Tue, 25 Mar 2025 00:00:00 +0700
-
ภาวะผู้นำเชิงสร้างสรรค์ของผู้บริหารสถานศึกษาที่ส่งผลต่อประสิทธิผลการบริหาร งานวิชาการยุคปัญญาประดิษฐ์ สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา ชลบุรี ระยอง
https://so07.tci-thaijo.org/index.php/JSSD/article/view/7226
<p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาระดับภาวะผู้นำเชิงสร้างสรรค์ของผู้บริหารสถานศึกษา 2) ศึกษาระดับประสิทธิผลการบริหารงานวิชาการยุคปัญญาประดิษฐ์ 3) ศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างภาวะผู้นำเชิงสร้างสรรค์ของผู้บริหารสถานศึกษากับประสิทธิผลการบริหารงานวิชาการยุคปัญญาประดิษฐ์ และ 4) ศึกษาภาวะผู้นำเชิงสร้างสรรค์ของผู้บริหารสถานศึกษาที่ส่งผลต่อประสิทธิผลการบริหารงานวิชาการยุคปัญญาประดิษฐ์ สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาชลบุรี ระยอง เป็นการวิจัยเชิงปริมาณ กลุ่มประชากรคือผู้บริหาร และข้าราชการครู กลุ่มตัวอย่าง จำนวน 357 คน กำหนดขนาดกลุ่มตัวอย่างโดยใช้ตารางเทียบหากลุ่มตัวอย่างของเครจซี่และมอร์แกน เครื่องมือที่ใช้เป็นแบบสอบถาม แบ่งออกเป็น 2 ตอน คือ ตอนที่ 1 แบบสอบถามเกี่ยวกับภาวะผู้นำเชิงสร้างสรรค์ของผู้บริหารสถานศึกษา มีค่าความเชื่อมั่นเท่ากับ 0.96 และตอนที่ 2 แบบสอบถามเกี่ยวกับประสิทธิผลการบริหารงานวิชาการยุคปัญญาประดิษฐ์ มีค่าความเชื่อมั่นเท่ากับ 0.98 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์แบบเพียร์สัน และการวิเคราะห์ถดถอยพหุคูณ ผลการวิจัยพบว่า 1) ภาวะผู้นำเชิงสร้างสรรค์ของผู้บริหารสถานศึกษา โดยรวมอยู่ในระดับมาก 2) ประสิทธิผลการบริหารงานวิชาการยุคปัญญาประดิษฐ์โดยรวมอยู่ในระดับมาก 3) ผู้นำเชิงสร้างสรรค์ของผู้บริหารสถานศึกษา มีความสัมพันธ์กันในทางบวก ระดับสูง อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 และ 4) ภาวะผู้นำเชิงสร้างสรรค์ของผู้บริหารสถานศึกษาส่งผลต่อประสิทธิผล การบริหารงานวิชาการยุคปัญญาประดิษฐ์ อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 โดยสามารถพยากรณ์ประสิทธิผลการบริหารงานวิชาการยุคปัญญาประดิษฐ์ ได้ร้อยละ 54.00 สร้างสมการพยากรณ์ในรูปคะแนนดิบ = 0.826 + 0.355 (X<sub>1</sub>) - 0.158 (X<sub>2</sub>) + 0.172 (X<sub>3</sub>) + 0.430 (X<sub>4</sub>) และสมการพยากรณ์ในรูปคะแนนมาตรฐาน คือ Ẑ<sub>y </sub>= 0.303 (X<sub>1</sub>) - 0.161 (X<sub>2</sub>) + 0.185 (X<sub>3</sub>) + 0.417 (X<sub>4</sub>)</p>
นงเยาว์ เรืองบุญส่ง, ธีรังกูร วรบำรุงกุล, เริงวิชญ์ นิลโคตร
Copyright (c) 2025
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
https://so07.tci-thaijo.org/index.php/JSSD/article/view/7226
Tue, 25 Mar 2025 00:00:00 +0700
-
ภาวะผู้นำเชิงจริยธรรมที่ส่งผลต่อการทำงานเป็นทีมของครูในสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษา นครศรีธรรมราช เขต 4
https://so07.tci-thaijo.org/index.php/JSSD/article/view/7227
<p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาสภาพปัจจุบันภาวะผู้นำเชิงจริยธรรมของผู้บริหาร การทำงานเป็นทีมของครู ภาวะผู้นำเชิงจริยธรรมของผู้บริหารที่ส่งผลต่อการทำงานเป็นทีมของครู และเสนอแนวทางการพัฒนาภาวะผู้นำเชิงจริยธรรมของผู้บริหารที่ส่งผลต่อการทำงานเป็นทีมของครูในสถานศึกษา เป็นการวิจัยแบบผสานวิธี แบ่งเป็น 2 ระยะ ได้แก่ ระยะที่ 1 กลุ่มตัวอย่าง/ผู้ให้ข้อมูลสำคัญ ได้แก่ ผู้บริหารสถานศึกษา จำนวน 26 คน ครู จำนวน 277 คน ของโรงเรียนในสังกัดเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครศรีธรรมราช เขต 4 เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แบบสอบถามมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ และแบบบันทึกการสนทนากลุ่ม เก็บรวบรวมข้อมูลโดยใช้แบบสอบถาม สถิติที่ใช้ในวิจัยและการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ การวิเคราะห์การถดถอยพหุคูณ ในระยะที่ 2 กลุ่มตัวอย่างได้แก่ ผู้บริหารการศึกษา จำนวน 3 คน ผู้บริหารสถานศึกษา จำนวน 3 คน และครู ระดับชำนาญการพิเศษ จำนวน 3 คน โดยคัดเลือกแบบเจาะจง รวมทั้งหมด 9 คน เครื่องมือที่ใช้ในการรวบรวมข้อมูล เป็นแบบบันทึกการสนทนากลุ่มผู้ทรงคุณวุฒิ วิเคราะห์ข้อมูลด้วยวิธีการวิเคราะห์เนื้อหาจากการสนทนากลุ่ม ผลการวิจัยพบว่า ภาวะผู้นำเชิงจริยธรรมของผู้บริหาร และการทำงานเป็นทีมของครูในสถานศึกษา โดยรวมอยู่ในระดับมากที่สุด ภาวะผู้นำเชิงจริยธรรมของผู้บริหารที่ส่งผลต่อการทำงานเป็นทีมของครูในสถานศึกษา คือ ด้านความไว้วางใจ ด้านความเป็นผู้ให้หรือความเป็นพลเมืองดี มีคุณธรรม และด้านความเคารพในปัจเจกบุคคล และแนวทางการพัฒนาภาวะผู้นำเชิงจริยธรรมของผู้บริหารที่ส่งผลต่อการทำงานเป็นทีมของครูในสถานศึกษา จำนวน 5 ด้าน 24 ข้อ</p>
ปณัฎดา เชื้อจีน, พณกฤษ บุญพบ, นพรัตน์ ชัยเรือง
Copyright (c) 2025
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
https://so07.tci-thaijo.org/index.php/JSSD/article/view/7227
Tue, 25 Mar 2025 00:00:00 +0700
-
คุณภาพชีวิตด้านจิตใจของผู้ป่วยโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรงจากพันธุกรรม
https://so07.tci-thaijo.org/index.php/JSSD/article/view/7230
<p>การวิจัยนี้เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพ ตามแนวปรากฏการณ์วิทยา มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาคุณภาพชีวิตด้านจิตใจของผู้ป่วยโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรงจากพันธุกรรม ซึ่งเป็นผู้ป่วยในกลุ่มโรคที่หายากจึงขาดข้อมูลและความเข้าใจเชิงลึกในหลายมิติ การศึกษาเริ่มต้นจากกรอบแนวคิดคุณภาพชีวิตด้านจิตใจขององค์การอนามัยโลก และแนวคิดคุณภาพชีวิตของคนพิการ ผู้ให้ข้อมูลหลักในการวิจัย คือ ผู้ป่วยโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรงจากพันธุกรรมและผู้ดูแลหลักรวม 7 คน การเลือกผู้ให้ข้อมูลหลักเป็นแบบเฉพาะเจาะจง โดยคัดเลือกผู้ป่วยที่มีอาการรุนแรงจนกล้ามเนื้อเสื่อมสภาพและส่งผลต่อการเคลื่อนไหว ซึ่งได้รับการแนะนำมาจากผู้ที่รู้จักใกล้ชิดกับผู้ป่วยและผู้ดูแลได้รับการเสนอชื่อโดยผู้ป่วย เครื่องมือหลักที่ใช้ในการวิจัยคือแนวคำถามแบบกึ่งโครงสร้างซึ่งเป็นคำถามแบบปลายเปิด เก็บข้อมูลโดยการสัมภาษณ์เชิงลึกและใช้การวิเคราะห์เนื้อหาในการวิเคราะห์ข้อมูล ผลการวิจัย สรุปคุณภาพชีวิตด้านจิตใจของผู้ป่วยโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรงใน 5 ประเด็น คือ 1) ผลกระทบทางด้านจิตใจจากความเจ็บป่วย 2) การยอมรับความเจ็บป่วยและความพิการ 3) ความเข้มแข็งที่มาจากความรัก กำลังใจ และหลักยึดเหนี่ยวทางใจ 4) มุมมองเชิงบวกต่อชีวิตและการมุ่งมั่นจะพึ่งตนเอง และ 5) การสนับสนุนจากครอบครัวและเครือข่ายทางสังคม ผลการศึกษาทำให้นักจิตวิทยาและผู้ที่ทำงานเกี่ยวข้องได้เข้าใจคุณภาพชีวิตด้านจิตใจของผู้ป่วย และนำไปใช้ประโยชน์ในการดูแลช่วยเหลือผู้ป่วยโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรงต่อไป ข้อเสนอแนะ ให้มีการพัฒนาระบบอาสาสมัคร มีการดูแลแบบการจัดการรายกรณี การให้คำปรึกษาเชิงจิตวิทยาที่สนับสนุนให้เกิดการยอมรับตนเองและยอมรับอุปกรณ์เครื่องช่วยในชีวิตประจำวัน</p>
ณัฐกา สงวนวงษ์, อรอนงค์ สงเจริญ
Copyright (c) 2025
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
https://so07.tci-thaijo.org/index.php/JSSD/article/view/7230
Tue, 25 Mar 2025 00:00:00 +0700
-
ผลการใช้ชุดกิจกรรมศิลปะสร้างสรรค์ตามแนวคิดไฮสโคปที่มีต่อความสามารถใน การใช้กล้ามเนื้อมัดเล็กของเด็กปฐมวัยชั้นอนุบาลปีที่ 3 โรงเรียนเพชรผดุงเวียงไชย
https://so07.tci-thaijo.org/index.php/JSSD/article/view/7231
<p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ดังนี้ 1) เพื่อสร้างชุดกิจกรรมศิลปะสร้างสรรค์ตามแนวคิดไฮสโคปสำหรับเด็กปฐมวัยให้มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ 80/80 2) ศึกษาความสามารถในการใช้กล้ามเนื้อมัดเล็กของเด็กปฐมวัยหลังจัดการเรียนรู้โดยใช้ชุดกิจกรรมศิลปะสร้างสรรค์ตามแนวคิดไฮสโคป และ 3) เพื่อเปรียบเทียบความสามารถในการใช้กล้ามเนื้อมัดเล็กของเด็กปฐมวัยก่อน และหลังจัดการเรียนรู้ กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย คือ เด็กปฐมวัยชั้นอนุบาลปีที่ 3 โรงเรียนเพชรผดุงเวียงไชย ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2567 จำนวน 1 ห้อง นักเรียนทั้งสิ้น 18 คนได้มา โดยวิธีการเลือกแบบเจาะจง เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล ได้แก่ ชุดกิจกรรมศิลปะ สร้างสรรค์ตามแนวคิดไฮสโคปและแผนการจัดประสบการณ์ จำนวน 30 แผน และแบบสังเกต ความสามารถในการใช้กล้ามเนื้อมัดเล็กของเด็กปฐมวัย มีค่าความเชื่อมั่น 0.93 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล คือ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานและสถิติการวิเคราะห์ความแปรปรวน ผลการวิจัยปรากฏว่า 1) ผลการสร้างและหาประสิทธิภาพของชุดกิจกรรมศิลปะสร้างสรรค์ตามแนวคิดไฮสโคปสำหรับเด็กปฐมวัยมีประสิทธิภาพเท่ากับ 82.47/85.19 ซึ่งมีผลเป็นไปตามเกณฑ์ที่กำหนดไว้ 80/80 2) ความสามารถในการใช้กล้ามเนื้อมัดเล็กของเด็กปฐมวัยหลังจัดการเรียนรู้โดยใช้ชุดกิจกรรมศิลปะสร้างสรรค์ตามแนวคิดไฮสโคปมีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 2.47 ซึ่งเด็กปฐมวัยมีความสามารถในการใช้กล้ามเนื้อมัดเล็กทั้ง 5 ด้าน สูงขึ้น 3) ความสามารถในการใช้กล้ามเนื้อมัดเล็กของเด็กปฐมวัยหลังจัดการเรียนรู้โดยใช้ชุดกิจกรรมศิลปะสร้างสรรค์ตามแนวคิดไฮสโคปสูงกว่าก่อนจัดการเรียนรู้โดยใช้ชุดกิจกรรมศิลปะสร้างสรรค์ตามแนวคิดไฮสโคปอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05</p>
กัลยา บุหงอ, พลิตา คชสิทธิ์, สุวิมล เด่นสุนทร
Copyright (c) 2025
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
https://so07.tci-thaijo.org/index.php/JSSD/article/view/7231
Tue, 25 Mar 2025 00:00:00 +0700
-
การศึกษาความรู้ความเข้าใจด้านสิทธิประโยชน์ทางภาษีของผู้ประกอบการธุรกิจวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมในเขตภาคเหนือตอนล่าง
https://so07.tci-thaijo.org/index.php/JSSD/article/view/7234
<p style="margin: 0cm; text-align: justify; text-justify: inter-cluster;"><span lang="TH" style="font-size: 16.0pt; font-family: 'TH SarabunPSK',sans-serif;">บทความวิจัยนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาปัจจัยส่วนบุคคลของผู้ประกอบการธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อมในภาคเหนือตอนล่าง 2) ศึกษาระดับความรู้ความเข้าใจด้านสิทธิประโยชน์ทางภาษีของผู้ประกอบการธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อมในภาคเหนือตอนล่างและ 3) ศึกษาการเปรียบเทียบปัจจัยส่วนบุคคลที่ส่งผลต่อระดับความรู้ความเข้าใจด้านสิทธิประโยชน์ทางภาษีของผู้ประกอบการธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อมในภาคเหนือตอนล่าง เป็นการวิจัยเชิงปริมาณ โดยกลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยมีจำนวนทั้งสิ้น </span><span style="font-size: 16.0pt; font-family: 'TH SarabunPSK',sans-serif;">40<span lang="TH">0 คน ใช้การสุ่มกลุ่มตัวอย่างแบบเฉพาะเจาะจง ใช้แบบสอบถามเป็นเครื่องมือ เก็บข้อมูลผ่านทางแบบสอบถามออนไลน์ </span>google Froms<span lang="TH"> การวิเคราะห์ข้อมูลใช้สถิติเชิงพรรณนาได้แก่ร้อยละและค่าเฉลี่ยและสถิติเชิงอนุมานได้แก่ค่าสถิติแบบ </span>t<span lang="TH">-</span>test <span lang="TH">และ </span>One<span lang="TH">-</span>Way ANOVA <span lang="TH">โดยใช้โปรแกรมคอมพิวเตอร์สำเร็จรูปประมวลผล ผลการวิจัยพบว่าความรู้ความเข้าใจด้านสิทธิประโยชน์ทางภาษีของผู้ประกอบการธุรกิจวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมในเขตภาคเหนือตอนล่าง อยู่ในระดับมาก มีค่าเฉลี่ยเท่ากับ </span>0.75 <span lang="TH">และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานเท่ากับ</span> 0.079<span lang="TH"> เนื่องจากผู้ประกอบการธุรกิจวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมเล็งเห็นถึงความสำคัญของความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับสิทธิประโยชน์ทางภาษีมากขึ้น โดยการศึกษาตามแหล่งข้อมูลบนเว็บไซด์ที่เกี่ยวข้อง ปรึกษาสำนักงานบัญชี เพื่อการเข้าใจสิทธิประโยชน์ทางภาษีจะช่วยในเรื่องการวางแผนภาษีภายในกิจการสำหรับข้อเสนอแนะผู้สนใจสามารถนำเอาผลการศึกษาที่ได้จากการผลงานวิจัยไปพัฒนาแบบสํารวจเพื่อเก็บข้อมูลและศึกษาในพื้นที่และประชากรที่กว้างขึ้นในระดับภูมิภาคอื่นๆและระดับประเทศ ซึ่งจะทำให้ผู้ประกอบการธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อมเข้าใจสิทธิประโยชน์ทางภาษีมากยิ่งขึ้นและนําผลของการศึกษามาใช้กับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง </span></span></p>
ชนากานต์ ฉัตรมี, ปิยพงศ์ ประไพศรี
Copyright (c) 2025
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
https://so07.tci-thaijo.org/index.php/JSSD/article/view/7234
Tue, 25 Mar 2025 00:00:00 +0700
-
คุณภาพการให้บริการที่ส่งผลต่อความพึงพอใจของผู้ใช้บริการขนส่ง บริษัท เจแอนด์ที เอ็กซ์เพรส
https://so07.tci-thaijo.org/index.php/JSSD/article/view/7233
<p>บทความวิจัยมีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา 1) คุณภาพการให้บริการ 2) ความพึงพอใจ 3) เปรียบเทียบความพึงพอใจของผู้ใช้บริการขนส่ง บริษัท เจแอนด์ที เอ็กซ์เพรส จำแนกตามข้อมูลส่วนบุคคล และ 4) คุณภาพการให้บริการที่ส่งผลต่อความพึงพอใจของผู้ใช้บริการขนส่ง บริษัท เจแอนด์ที เอ็กซ์เพรส กลุ่มตัวอย่าง คือ ผู้ใช้บริการขนส่ง จำนวน 400 ราย ใช้การคำนวณแบบไม่ทราบจำนวนประชากรที่แน่นอน ใช้แบบสอบถามเป็นเครื่องมือในการวิจัย ใช้สถิติในการวิเคราะห์ข้อมูล คือ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย t-test, F-test, One way ANOVA และMultiple Regression Analysis ผลการศึกษา พบว่า ผู้ตอบแบบสอบถามส่วนใหญ่ คือ เพศหญิง มีอายุน้อยกว่า 31 ปี รายได้เฉลี่ยต่อเดือนต่ำกว่า 25,001 บาท ระดับการศึกษามัธยมศึกษาตอนปลาย หรือ ปวช. ความถี่ของการใช้บริการ 1 - 2 ครั้ง/สัปดาห์ จำนวนพัสดุที่ส่งต่อครั้ง 1 - 5 ชิ้น คุณภาพการให้บริการขนส่ง ภาพรวมอยู่ในระดับความสำคัญมาก ความพึงพอใจของผู้ใช้บริการขนส่ง ภาพรวมอยู่ในระดับสำคัญมาก ข้อมูลส่วนบุคคล ด้านอายุ ความถี่ในการใช้บริการ และจำนวนพัสดุที่ส่งต่อครั้ง ที่แตกต่างกันมีผลต่อความพึงพอใจของผู้ใช้บริการขนส่ง บริษัท เจแอนด์ที เอ็กซ์เพรส แตกต่างกัน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 ด้านการตอบสนองลูกค้า ด้านความไว้วางใจ และด้านการเข้าใจและรู้จักลูกค้า มีอิทธิพลต่อความพึงพอใจของผู้ใช้บริการ อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 ข้อเสนอแนะจากผลการศึกษา ควรพัฒนาแนวทางในการตอบสนองต่อลูกค้าให้ดียิ่งขึ้น โดยการเพิ่มช่องทางการสื่อสารและการให้ข้อมูลที่ชัดเจนแก่ลูกค้า จัดสถานที่ให้เพียงพอต่อผู้ใช้บริการ มีป้ายแสดงจุดบริการต่าง ๆ และการสร้างความไว้วางใจให้แก่ลูกค้า</p>
ธิติสุดา จันทร์อ่อน
Copyright (c) 2025
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
https://so07.tci-thaijo.org/index.php/JSSD/article/view/7233
Tue, 25 Mar 2025 00:00:00 +0700
-
การเสริมพลังองค์กรสร้างสุขด้วยกระบวนการจิตศึกษา : ศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก เทศบาลตำบลบางแพ อำเภอบางแพ จังหวัดราชบุรี
https://so07.tci-thaijo.org/index.php/JSSD/article/view/7235
<p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาความต้องการการพัฒนาในการพัฒนาศูนย์พัฒนาเด็กเล็กให้เป็นองค์กรสร้างสุขของชุมชน 2) พัฒนากระบวนการจิตศึกษาในการเสริมพลังอำนาจศูนย์พัฒนาเด็กเล็กให้เป็นองค์กรสร้างสุข และ 3) พัฒนาคู่มือแนวทางการพัฒนาการเสริมพลังองค์กรสร้างสุขแก่ท้องถิ่น เป็นการศึกษาแบบผสานวิธี การศึกษาเชิงปริมาณ กลุ่มตัวอย่าง คือ ผู้บริหารและประชาชน จำนวน 368 คน ได้จากตารางเปรียบเทียบเครซี่และมอร์แกน เครื่องมือคือแบบสอบถามความต้องการการพัฒนา มีค่าความเชื่อมั่นเท่ากับ 0.98 การศึกษาเชิงคุณภาพ ผู้ให้ข้อมูลสำคัญ ได้คือ ผู้บริหาร บุคลากร และตัวแทนชุมชน จำนวน 30 คน เป็นการเลือกแบบเจาะจง สังเคราะห์ข้อมูลเชิงเนื้อหา ตรวจสอบด้วยเทคนิคสามเส้า และนำเสนอเชิงพรรณนา ผลการวิจัยพบว่า 1) ความต้องการการพัฒนาในการพัฒนาศูนย์พัฒนาเด็กเล็กให้เป็นองค์กรสร้างสุขของชุมชน พบว่า โดยรวมมีความต้องการระดับสูง ( <img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\bar{x}" alt="equation"> = 4.44, S.D = 0.67) 2) ผลการทดลองใช้รูปแบบกระบวนการจิตศึกษาในการเสริมพลังอำนาจศูนย์พัฒนาเด็กเล็กให้เป็นองค์กรสร้างสุข ผ่านกระบวนการประชุมเชิงปฏิบัติการ โดยรวมอยู่ระดับมาก (μ = 4.17, σ = 0.60) และ 3) ข้อเสนอแนะแนวทางการพัฒนาการเสริมพลังองค์กรสร้างสุขแก่ท้องถิ่น พบว่า การเสริมพลังองค์กรสร้างสุขด้วยกระบวนการจิตศึกษามีผลดีหลายด้าน โดยเฉพาะการเสริมสร้างความมีสติในการตัดสินใจ และพัฒนาความสัมพันธ์ที่ดี การฝึกทักษะการทำงานร่วมกันและการเปิดใจในการฟังทำให้เกิดความร่วมมือที่ดี ช่วยลดความขัดแย้งและเสริมสร้างการทำงานเป็นทีม ลดความเครียด และเพิ่มความพึงพอใจในงาน จะส่งผลให้การการบริการประชาชนเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและยั่งยืน</p>
นิภาวรรณ เจริญลักษณ์
Copyright (c) 2025
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
https://so07.tci-thaijo.org/index.php/JSSD/article/view/7235
Tue, 25 Mar 2025 00:00:00 +0700
-
แนวทางการพัฒนาภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลงของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครศรีธรรมราช เขต 1
https://so07.tci-thaijo.org/index.php/JSSD/article/view/7236
<p>การวิจัยครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) เพื่อศึกษาสภาพปัจจุบันและสภาพที่พึงประสงค์ของภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลงของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครศรีธรรมราช เขต 1 2) เพื่อศึกษาแนวทางการพัฒนาภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลงของผู้บริหารสถานศึกษาสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครศรีธรรมราช เขต 1 ใช้วิธีวิจัยแบบผสมผสาน กลุ่มตัวอย่างในการวิจัยครั้งนี้ ได้แก่ ผู้อำนวยการสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครศรีธรรมราช เขต 1 จำนวน 86 คน มาจากตารางของเครจซี่และมอร์แกน จากนั้นสุ่มตัวอย่างแบบแบ่งชั้นภูมิ และหาแนวทางการพัฒนาภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลงของผู้บริหารสถานศึกษา เป็นผู้ทรงคุณวุฒิจำนวน 7 ท่าน โดยใช้วิธีเลือกแบบเจาะจง เครื่องมือที่ใช้เก็บรวบรวมข้อมูล ได้แก่ แบบสอบถามแบบมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ มีค่าความเชื่อมั่นเท่ากับ .97 และแบบสัมภาษณ์กึ่งโครงสร้าง สถิติที่ใช้วิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การวิเคราะห์เนื้อหา ค่าดัชนี PNI <sub>modified</sub> ผลการวิจัยพบว่า 1) ภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลงของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครศรีธรรมราช เขต 1 โดยรวมอยู่ในระดับมาก <em>(<img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\bar{x}" alt="equation"></em> = 3.54, S.D. = 0.20) สภาพที่พึงประสงค์โดยรวมอยู่ในระดับมากที่สุด (<img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\bar{x}" alt="equation"> = 4.68, S.D. = 0.24) และความต้องการตามองค์ประกอบหลักของภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลงของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครศรีธรรมราช เขต 1 พบว่า ด้านการสร้างแรงบันดาลใจมีลำดับความต้องการจำเป็นสูงที่สุด รองลงมา คือ ด้านการสร้างอิทธิพลอย่างมีอุดมการณ์ ด้านการกระตุ้นทางปัญญา ด้านการคำนึงถึงความเป็นปัจเจกบุคคล ตามลำดับ 2) แนวทางการพัฒนาภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลงของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครศรีธรรมราช เขต 1 จำนวน 4 ด้าน 40 ข้อ</p>
มัทนี พรรณเผือก, รัฐพร กลิ่นมาลี, วีระยุทธ ชาตะกาญจน์
Copyright (c) 2025
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
https://so07.tci-thaijo.org/index.php/JSSD/article/view/7236
Tue, 25 Mar 2025 00:00:00 +0700
-
หลักธรรมาภิบาลของผู้บริหารที่ส่งผลต่อประสิทธิผลของสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครศรีธรรมราช เขต 1
https://so07.tci-thaijo.org/index.php/JSSD/article/view/7237
<p>การวิจัยครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาหลักธรรมาภิบาลของผู้บริหาร 2) ศึกษาประสิทธิผลของสถานศึกษา 3) ศึกษาหลักธรรมาภิบาลของผู้บริหารที่ส่งผลต่อประสิทธิผลของสถานศึกษา และ 4) ศึกษาแนวทางการพัฒนาหลักธรรมาภิบาลของผู้บริหารที่ส่งผลต่อประสิทธิผลของสถานศึกษา เป็นการวิจัยแบบผสมผสาน กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ ได้แก่ ผู้บริหารสถานศึกษา จำนวน 86 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยเป็นแบบสอบถาม (Questionaries) สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ การวิเคราะห์การถดถอยพหุคูณ และผู้ทรงคุณวุฒิในการสนทนากลุ่ม ได้แก่ ผู้บริหารการศึกษา จำนวน 3 คน ผู้บริหารสถานศึกษา จำนวน 3 คน และครู ระดับชำนาญการพิเศษ จำนวน 3 คน ได้มาโดยวิธีคัดเลือกแบบเจาะจง (Purposive Sampling) รวมทั้งหมด 9 คน โดยเครื่องมือที่ใช้ในการรวบรวมข้อมูลเป็นแบบบันทึกการสนทนากลุ่มของผู้ทรงคุณวุฒิ (Focus Group Discussion) การวิเคราะห์ข้อมูล ด้วยวิธีการวิเคราะห์เนื้อหา (Content Analysis) โดยวิเคราะห์ข้อคิดเห็นและข้อเสนอจากการสนทนากลุ่ม ผลการวิจัยพบว่า 1) หลักธรรมาภิบาลของผู้บริหาร สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครศรีธรรมราช เขต 1 โดยรวมและรายด้านอยู่ในระดับมากที่สุด 2) ประสิทธิผลของสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครศรีธรรมราช เขต 1 โดยรวมและรายด้านอยู่ในระดับมาก ยกเว้น ด้านความพึงพอใจในการทำงานของครู อยู่ในระดับมากที่สุด 3) หลักธรรมาภิบาลของผู้บริหารที่ส่งผลต่อประสิทธิผลของสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครศรีธรรมราช เขต 1 อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 และ 4) แนวทางการพัฒนาหลักธรรมาภิบาลของผู้บริหารที่ส่งผลต่อประสิทธิผลของสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครศรีธรรมราช เขต 1 จำนวน 4 ด้าน 23 ข้อ</p>
ภัชลฎา จันแกมแก้ว, พณกฤษ บุญพบ, นพรัตน์ ชัยเรือง
Copyright (c) 2025
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
https://so07.tci-thaijo.org/index.php/JSSD/article/view/7237
Tue, 25 Mar 2025 00:00:00 +0700
-
แนวทางการบริหารแบบสร้างความร่วมมือของผู้บริหารสถานศึกษาในยุคดิจิทัล สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครศรีธรรมราช เขต 1
https://so07.tci-thaijo.org/index.php/JSSD/article/view/7238
<p>การวิจัยครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) เพื่อศึกษาสภาพปัจจุบันและสภาพที่พึงประสงค์ของการบริหารแบบสร้างความร่วมมือของผู้บริหารสถานศึกษาในยุคดิจิทัล และ 2) เพื่อศึกษาแนวทางการพัฒนาการบริหารแบบสร้างความร่วมมือของผู้บริหารสถานศึกษาในยุคดิจิทัล โดยมีกระบวนการวิจัย ดังนี้ 1) กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ ผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครศรีธรรมราช เขต 1 ปีการศึกษา 2567 จำนวน 86 คน โดยใช้แบบสอบถามในการเก็บข้อมูล เครื่องมือที่ใช้เป็นแบบสอบถามมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ การวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และค่าดัชนี PNI <sub>modified</sub> 2) กลุ่มตัวอย่าง คือ ผู้บริหารการศึกษา จำนวน 3 คน ผู้บริหารสถานศึกษา จำนวน 3 คน และครูระดับชำนาญการพิเศษขึ้นไป จำนวน 3 คน ได้มาโดยวิธีคัดเลือกแบบเจาะจง รวมทั้งหมด 9 คน เครื่องมือที่ใช้ในการรวบรวมข้อมูลเป็นแบบบันทึกการสนทนากลุ่มของผู้ทรงคุณวุฒิ วิเคราะห์ข้อมูลด้วยวิธีการวิเคราะห์เนื้อหาจากการสนทนากลุ่ม ผลการวิจัยพบว่า 1) สภาพปัจจุบันการบริหารแบบสร้างความร่วมมือของผู้บริหารสถานศึกษาในยุคดิจิทัล สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครศรีธรรมราช เขต 1 โดยรวมอยู่ในระดับมาก สภาพที่พึงประสงค์โดยรวมอยู่ในระดับมากที่สุด และความต้องการตามองค์ประกอบหลักในการบริหารแบบสร้างความร่วมมือของผู้บริหารสถานศึกษาในยุคดิจิทัล พบว่า ด้านการพัฒนาอย่างต่อเนื่องมีลำดับความต้องการจำเป็นสูงที่สุด 2) แนวทางการพัฒนาการบริหารแบบสร้างความร่วมมือของผู้บริหารสถานศึกษาในยุคดิจิทัล จำนวน 6 ด้าน 30 ข้อ ดังนี้ 1) ด้านการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง 2) การประสานความร่วมมือ 3) ด้านการดำเนินการเพื่อให้บรรลุเป้าหมาย 4) ด้านการตั้งเป้าหมายและวางแผนร่วมกัน 5) ด้านการประเมินผลการปฏิบัติงาน และ 6) ด้านการสื่อสารที่มีประสิทธิภาพ</p>
สายธาร ชาญรบ, พณกฤษ บุญพบ, นพรัตน์ ชัยเรือง
Copyright (c) 2025
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
https://so07.tci-thaijo.org/index.php/JSSD/article/view/7238
Tue, 25 Mar 2025 00:00:00 +0700
-
คุณภาพชีวิตการทำงานที่มีผลต่อความผูกพันของพนักงานธนาคาร ABC จังหวัดระยอง
https://so07.tci-thaijo.org/index.php/JSSD/article/view/7239
<p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา 1) คุณภาพชีวิตการทำงานของพนักงานธนาคาร ABC จังหวัดระยอง 2) ความผูกพันของพนักงานธนาคาร ABC จังหวัดระยอง 3) เปรียบเทียบความผูกพันของพนักงานธนาคาร ABC จังหวัดระยอง จำแนกตามข้อมูลส่วนบุคคล และ 4) คุณภาพชีวิตการทำงานที่มีผลต่อความผูกพันของพนักงานธนาคาร ABC จังหวัดระยอง เลือกตัวอย่างจากพนักงานธนาคาร ABC โดยการสุ่มอย่างง่าย จำนวน 142 ชุด โดยใช้แบบสอบถามเป็นเครื่องมือในการวิจัย สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล คือ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย การทดสอบสมมติฐานแบบ t-test, F-test (One-way ANOVA) และ Multiple Regression Analysis ผลการวิจัยพบว่า คุณภาพชีวิตในการทำงานของพนักงานธนาคาร ABC จังหวัดระยอง มีค่าเฉลี่ยภาพรวมอยู่ในระดับ สำคัญมาก และความผูกพันของพนักงานธนาคาร ABC จังหวัดระยอง มีค่าเฉลี่ยภาพรวมอยู่ในระดับ สำคัญมาก ด้านรายได้เฉลี่ยต่อเดือนและด้านระยะเวลาในการทำงานที่แตกต่างกัน มีผลต่อความผูกพันของพนักงานธนาคาร ABC จังหวัดระยอง ที่แตกต่างกัน ด้านค่าตอบแทนที่เพียงพอและยุติธรรม ด้านการบูรณาการทางสังคมหรือการทำงานร่วมกัน ด้านการคำนึงถึงผลประโยชน์และความรับผิดชอบต่อสังคม ภาพรวมมีอิทธิพลต่อความผูกพันของพนักงานธนาคาร ABC จังหวัดระยอง อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 ข้อเสนอแนะจากการวิจัย ผู้บริหารขององค์กรควรจัดหาอุปกรณ์เครื่องใช้ในการปฏิบัติงานของพนักงานให้เพียงพอและอยู่ในสภาพพร้อมใช้งาน จัดสภาพแวดล้อมภายในสถานที่ทำงานให้มีความปลอดภัย สะดวกสบาย เหมาะแก่การทำงาน สนับสนุนและส่งเสริมให้พนักงานมีความก้าวหน้าไปสู่ตำแหน่งที่สูงขึ้น มีการสับเปลี่ยน โยกย้ายตำแหน่งหน้าที่ที่เหมาะสมและยุติธรรม ธนาคารควรจัดให้มีกิจกรรมต่าง ๆ เพื่อให้พนักงานเกิดความสามัคคีและมีความสัมพันธ์อันดีระหว่างพนักงานด้วยกัน</p>
นภาพรณ์ ประจำเมือง, สุธรรม พงศ์สำราญ, ปราณี คงธนสมุทร
Copyright (c) 2025
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
https://so07.tci-thaijo.org/index.php/JSSD/article/view/7239
Tue, 25 Mar 2025 00:00:00 +0700
-
ปัจจัยที่ส่งผลต่อการตัดสินใจเลือกซื้ออสังหาริมทรัพย์ประเภทที่อยู่อาศัย มูลค่า 20 - 80 ล้านบาท ในเขตพื้นที่ตำบลเกาะแก้ว อำเภอเมือง จังหวัดภูเก็ต
https://so07.tci-thaijo.org/index.php/JSSD/article/view/7241
<p> การศึกษาครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาพฤติกรรมการเลือกซื้ออสังหาริมทรัพย์ประเภทที่อยู่อาศัยมูลค่า 20 - 80 ล้านบาท ในเขตพื้นที่ตำบลเกาะแก้ว อำเภอเมือง จังหวัดภูเก็ต 2) เพื่อศึกษาระดับปัจจัยที่ส่งผลต่อการตัดสินใจเลือกซื้ออสังหาริมทรัพย์ประเภทที่อยู่อาศัย มูลค่า 20 - 80 ล้านบาท ในเขตพื้นที่ตำบลเกาะแก้ว อำเภอเมือง จังหวัดภูเก็ต และ 3) เพื่อศึกษาการตัดสินใจเลือกซื้ออสังหาริมทรัพย์ประเภทที่อยู่อาศัย มูลค่า 20 - 80 ล้านบาท ในเขตพื้นที่ตำบลเกาะแก้ว อำเภอเมือง จังหวัดภูเก็ต เป็นการวิจัยเชิงปริมาณ ประชากรที่ใช้ในการศึกษา ได้แก่ ผู้ที่อยู่อาศัยในเขตพื้นที่ตำบลเกาะแก้ว อำเภอเมือง จังหวัดภูเก็ต ได้กลุ่มตัวอย่าง จำนวน 400 คน โดยใช้แบบสอบถามเป็น เครื่องมือวัดผลและเก็บข้อมูล สถิติที่ใช้ในการทดสอบ ได้แก่ สถิติเชิงพรรณนาและการวิเคราะห์การถดถอย ผลการศึกษาพบว่า พฤติกรรมการเลือกซื้อส่วนใหญ่เป็นเพศหญิง อายุ 40 - 50 ปี ประกอบอาชีพธุรกิจส่วนตัว ส่วนใหญ่เลือกซื้ออสังหาริมทรัพย์ประเภทวิลล่า รองลงมา คือ บ้านพักตากอากาศ ราคาเฉลี่ย 20 - 40 ล้านบาท และซื้อเพื่อต้องการลงทุนและเป็นที่พักอาศัย บุคคลที่มีอิทธิพลต่อการเลือกซื้อ คือ สมาชิกในครอบครัว ปัจจัยการตัดสินใจซื้อ โดยภาพรวมมีระดับความสำคัญมากที่สุด คือ ด้านการส่งเสริมการตลาดด้านผลิตภัณฑ์ และด้านราคา การตัดสินใจซื้ออสังหาริมทรัพย์ประเภทที่อยู่อาศัย มูลค่า 20 - 80 ล้านบาท พบว่า ลำดับที่หนึ่ง คือ แบบบ้าน การคมนาคม และคุณภาพงานก่อสร้าง รองลงมา คือ พื้นที่ ใช้สอย ตามลำดับ ปัจจัยส่วนบุคคลด้านเพศ อาชีพ เหตุผลที่เลือกซื้อ และบุคคลที่มีอิทธิพลต่อการเลือกซื้ออสังหาริมทรัพย์ แตกต่างกันมีการตัดสินใจซื้อแตกต่างกัน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05</p>
พงษ์ศักดิ์ พัวพรพงษ์, ปทิดา นิยมอดุลย์, ปราชฐกานย์ นิยมอดุลย์
Copyright (c) 2025
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
https://so07.tci-thaijo.org/index.php/JSSD/article/view/7241
Tue, 25 Mar 2025 00:00:00 +0700
-
การวิเคราะห์กลวิธีการสร้างโครงเรื่องในนวนิยายม่านหมอกสีน้ำเงิน
https://so07.tci-thaijo.org/index.php/JSSD/article/view/7298
<p>งานวิจัยเรื่องการวิเคราะห์กลวิธีการสร้างโครงเรื่องในนวนิยายม่านหมอกสีน้ำเงิน เป็นงานวิจัยเชิงพรรณนา ศึกษาโครงเรื่องตามแนวคิดทฤษฎีการศึกษาวรรณกรรมไทย มาประยุกต์ใช้ในการวิเคราะห์ วัตถุประสงค์เพื่อวิเคราะห์กลวิธีการสร้างโครงเรื่องในนวนิยายม่านหมอกสีน้ำเงิน มีทั้งหมด 3 เรื่อง ได้แก่ เรื่องเมียงู เรื่องเพราะเจ๊เป็นตุ๊ด และเรื่องข้าวหน้าแกงกะหรี่ จากงานเขียนในหมวดหมู่นิยายที่มียอดผู้อ่านสูงสุดอย่างต่อเนื่องจากเว็บไซต์ www.readawrite.com ผลการวิจัยในครั้งนี้ พบว่า โครงเรื่อง มี 3 ลักษณะ ได้แก่ 1) กลวิธีการเปิดเรื่อง มี 2 กลวิธี ผู้แต่งเปิดเรื่องด้วยบทสนทนาเป็นมากที่สุด เป็นกลวิธีที่เรียกร้องความสนใจของผู้อื่นได้ดี รองลงมาเปิดเรื่องด้วยบรรยาย กลวิธีนี้มักเป็นการเริ่มต้นเล่าเรื่องอย่าง เรียบ ๆ แล้วค่อย ๆ ทวีความเข้มข้นของเรื่องขึ้น 2) กลวิธีการสร้างความขัดแย้งมี 2 กลวิธี พบความขัดแย้งระหว่างมนุษย์กับตัวเองมากที่สุด ซึ่งมีสาเหตุมาจากความแตกต่างระหว่างเพศ ปัญหาความรัก รองลงมาความขัดแย้งระหว่างมนุษย์กับสิ่งเหนือธรรมชาติ ซึ่งมีสาเหตุมาจากต่างเผ่าพันธุ์ระหว่างมนุษย์กับงู และ 3) การปิดเรื่องแบบสุขนาฏกรรมทั้ง 3 เรื่อง แม้ว่าเนื้อเรื่องอาจมีเรื่องราวที่พลิกผันอยู่บ่อยครั้งแต่ท้ายที่สุดแล้วตัวละครเอกลงเอยด้วยกันอย่างมีความสุขสมหวัง กล่าวได้ว่านวนิยายหลากหลายความนิยมทางเพศ เป็นวรรณกรรมเพื่อตอบสนองความต้องการของกลุ่ม “สาววาย หนุ่มวาย” เป็นตลาดนักอ่านใหม่ และขยายตัวขึ้นอย่างรวดเร็วในสังคมไทย นวนิยายจึงเป็นส่วนหนึ่งที่ให้ความบันเทิง สอดแทรกแนวคิดและการดำเนินเรื่องมุมมองทางสังคมวิถีใหม่ พร้อมเปิดทัศนคติเรื่องเพศแบบใหม่เพื่อสร้างความเข้าใจว่าความสัมพันธ์แบบรักเพศทางเลือกเป็นเรื่องปกติมนุษย์</p>
วิระวัลย์ ดีเลิศ, ภัคจิรา กอบัว, ดาราวรรณ เกตวัลห์, วิภาพ คัญทัพ, จันทรัตน์ ภคมาศ
Copyright (c) 2025
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
https://so07.tci-thaijo.org/index.php/JSSD/article/view/7298
Mon, 31 Mar 2025 00:00:00 +0700
-
นวัตกรรมการบริการลูกค้าที่ส่งผลต่อการตัดสินใจเข้าใช้บริการ บริษัท เบิร์ดเอ็กซ์เพรส ลอจิสติคส์ จำกัด ท่าอากาศยานนานาชาตินครศรีธรรมราช
https://so07.tci-thaijo.org/index.php/JSSD/article/view/7299
<p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาระดับความพึงพอใจในนวัตกรรมบริการของบริษัท เบิร์ดเอ็กซ์เพรส ลอจิสติคส์ จำกัด ท่าอากาศยานนานาชาตินครศรีธรรมราช และวิเคราะห์อิทธิพลของนวัตกรรมบริการที่ ส่งผลต่อการตัดสินใจใช้บริการ บริษัท เบิร์ดเอ็กซ์เพรส ลอจิสติคส์ จำกัดฯ เป็นการวิจัยเชิงปริมาณ กลุ่ม ตัวอย่าง คือ ลูกค้ารายใหญ่ จำนวน 52 คน เลือกแบบเจาะจง เครื่องมือการวิจัย คือ แบบสอบถาม เก็บรวบรวมข้อมูลด้วยแบบสอบถาม สถิติที่ใช้ในการวิจัยและวิเคราะห์ข้อมูล คือ สถิติเชิงพรรณนาใช้ค่าเฉลี่ยและส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และสถิติเชิงอ้างอิงใช้การวิเคราะห์ความถดถอยเชิงพหุคูณ ผลการวิจัยพบว่า ระดับความพึงพอใจในนวัตกรรมบริการของบริษัท เบิร์ดเอ็กซ์เพรส ลอจิสติคส์ จำกัดฯ โดยภาพรวมมีความพึงพอใจอยู่ในระดับมากที่สุด เมื่อจำแนกเป็นรายด้าน ด้านกระบวนการมีค่าเฉลี่ยมากที่สุด รองลงมา คือ ด้านเทคโนโลยี ด้านข้อมูลสารสนเทศ และด้านสภาพแวดล้อม ตามลำดับ และมีระดับการตัดสินใจใช้บริการโดยภาพรวมอยู่ในระดับมากที่สุด และเมื่อวิเคราะห์อิทธิพลของนวัตกรรมบริการที่ส่งผลต่อการตัดสินใจใช้บริการด้วยการวิเคราะห์ความถดถอยเชิงพหุคูณ พบว่า นวัตกรรมบริการด้านกระบวนการ และด้านสภาพแวดล้อม ส่งผลต่อการตัดสินใจใช้บริการ อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 ส่วนด้านข้อมูลสารสนเทศ และด้านเทคโนโลยีไม่ส่งผลต่อการตัดสินใจใช้บริการ ผลที่ได้สะท้อนให้เห็นถึงความสำคัญของนวัตกรรมบริการ ที่ผ่านการคิดอย่างเป็นระบบและเข้าใจถึงความต้องการของผู้ใช้บริการมาใช้เป็นแนวทางการพัฒนาหรือปรับปรุงระดับการบริการเพื่อตอบสนองต่อความพึงพอใจของลูกค้า โดยเน้นการอำนวยความสะดวก เน้นความรวดเร็วในการให้บริการ รวมถึงจัดเตรียมเครื่องมือและอุปกรณ์ในการดำเนินการขนส่งที่ดี</p>
จักรภัทร์ บัวแก้ว, โศภิน รัตนสุภา, วิชุตา สองเมือง
Copyright (c) 2025
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
https://so07.tci-thaijo.org/index.php/JSSD/article/view/7299
Mon, 31 Mar 2025 00:00:00 +0700
-
ระบบการให้ค่าตอบแทนแก่พนักงานขององค์การ
https://so07.tci-thaijo.org/index.php/JSSD/article/view/7300
<p>การวิจัยมีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาลักษณะระบบค่าตอบแทนขององค์การในสหรัฐอเมริกาแนวทางประยุกต์ใช้กับประเทศไทย เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพโดยการศึกษาเอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับประเด็นลักษณะระบบค่าตอบแทนขององค์การในสหรัฐอเมริกา ผลการวิจัยพบว่าลักษณะระบบค่าตอบแทนขององค์การในสหรัฐอเมริกานำประยุกต์ใช้กับประเทศไทย 1) ผลประโยชน์ที่บังคับโดยกฎหมาย ได้แก่ ผลประโยชน์ส่วนบุคคล (เงินเดือน ค่าตอบแทนพิเศษ เงินโบนัสประจำปี ประกันสังคม) 2) ผลประโยชน์ตามดุลพินิจ ได้แก่ สิทธิประโยชน์และสวัสดิการ ( ความก้าวหน้าในสายอาชีพ ความภาคภูมิใจในงาน การพัฒนาทักษะต่าง ๆ และสภาพแวดล้อมในการปฏิบัติงาน) เป็นแรงจูงใจในการทำงานและมีผลต่อการปฏิบัติงาน และยังพบว่าลักษณะระบบค่าตอบแทนขององค์การในสหรัฐอเมริกานำประยุกต์ใช้กับประเทศไทย เป็นที่สังเกตว่ามีเกิดความซ้ำซ้อน ส่งผลให้เกิดความไม่สมดุลระหว่างงานกับค่าตอบแทนที่ได้รับ เช่น ปริมาณงานมีมากกว่าอัตรากำลัง อีกทั้งโครงสร้างและกรอบอัตรากำลังไม่เอื้อต่อการเติบโตในการปฏิบัติงาน ข้อเสนอเพิ่มเติม พนักงานเดิมที่มีการจ้างงานอยู่แล้ว ควรพิจารณาปรับฐานเงินเดือนใหม่ ตามผลการปฏิบัติงาน การปรับสวัสดิการเพิ่มให้สอดคล้องกับสภาพเศรษฐกิจ ค่าครองชีพ ดัชนีผู้บริโภค การปรับโครงสร้างเงินเดือนตามคุณค่าของงาน การพิจารณาจากลักษณะงานที่พนักงานรับผิดชอบ ทักษะที่ใช้ในการทำงาน ความยากง่ายของงาน การฝึกอบรมพัฒนาให้กับพนักงานตามความต้องการ ปรับโครงสร้างและกรอบอัตรากำลังให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์และข้อกำหนดในการเติบโตตามความก้าวหน้าในสายอาชีพ พร้อมทั้งยกย่องผู้ที่ปฏิบัติงานได้ดีเด่นหรือดีเยี่ยม ส่วนลักษณะระบบค่าตอบแทนในสหรัฐอเมริกามีความแตกต่างอย่างมากกับประเทศไทยตรงมีความสลับซับซ้อนและครอบคลุมอย่างมาก แต่ในเรื่องระบบค่าตอบแทนสามารถตอบสนองความต้องการของพนักงานได้อย่างเต็มที่</p>
สถิตย์ นิยมญาติ, พีรพล ไทยทอง, ทัศนันท์ อาษาสุข, ชัยยุทธ์ สงวนแก้ว, ณภัทร ศิลปมา
Copyright (c) 2025
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
https://so07.tci-thaijo.org/index.php/JSSD/article/view/7300
Mon, 31 Mar 2025 00:00:00 +0700
-
ปัจจัยส่วนประสมทางการตลาดที่มีผลต่อการตัดสินใจใช้บริการ ขนส่งของหจก.ขนส่งการเกษตร
https://so07.tci-thaijo.org/index.php/JSSD/article/view/7301
<p>บทความวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ ศึกษาปัจจัยส่วนประสมทางการตลาดในการใช้บริการขนส่งของ หจก.ขนส่งการเกษตร การตัดสินใจในการใช้บริการฯ เปรียบเทียบการตัดสินใจในการใช้บริการฯ จำแนกตามข้อมูลส่วนบุคคล และปัจจัยส่วนประสมทางการตลาดที่มีผลต่อการตัดสินใจใช้บริการฯ เป็นการวิจัยเชิงปริมาณ กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ กลุ่มผู้ใช้บริการ หจก.ขนส่งการเกษตร เลือกโดยใช้การคำนวณของ ทาโร ยามาเน่ ได้จำนวน 110 ราย เป็นการสุมแบบง่าย เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แบบสอบถาม เก็บรวบรวมข้อมูลด้วยการแจกแบบสอบถามและเก็บกลับคืนด้วยตนเอง สถิติที่ใช้ในการวิจัยและการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ทดสอบสมมติฐานแบบ t-test, F-test วิเคราะห์ข้อมูลเชิงพรรณา ผลการวิจัยพบว่า ปัจจัยส่วนประสมทางการตลาดในการใช้บริการขนส่งของ หจก.ขนส่งการเกษตร สรุปได้ 2 ส่วน ได้แก่ 1) ข้อมูลทั่วไป ส่วนใหญ่เป็นหญิง มีอายุระหว่างต่ำกว่าหรือเท่ากับ 30 ปี มีระดับการศึกษาอนุปริญญา ประกอบอาชีพธุรกิจส่วนตัว/เจ้าของธุรกิจ มีรายได้ที่ 20,001 - 30,000บาท มีสถานภาพโสด และ 2) ปัจจัยส่วนประสมการตลาดในการใช้บริการฯ ภาพรวมมีค่าเฉลี่ยอยู่ในระดับความสำคัญมาก การตัดสินใจใช้บริการฯ มีระดับความคิดเห็น โดยภาพรวมมีค่าเฉลี่ยอยู่ในระดับเห็นด้วยมาก ผลการเปรียบเทียบการตัดสินใจใช้บริการฯ ตามข้อมูลส่วนบุคคล ที่แตกต่างกันมีผลต่อการตัดสินใจใช้บริการฯ ที่ไม่แตกต่างกัน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 และปัจจัยส่วนประสมทางการตลาดมีผลต่อการตัดสินใจใช้บริการฯมีอิทธิพลต่อการตัดสินใจใช้บริการขนส่งของ หจก.ขนส่งการเกษตรอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05</p>
ธนัชพร ค้าปลา, ชิณโสณ์ วิสิฐนิธิกิจา
Copyright (c) 2025
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
https://so07.tci-thaijo.org/index.php/JSSD/article/view/7301
Mon, 31 Mar 2025 00:00:00 +0700
-
ปัญหาการขอสัญชาติไทยของคนต่างด้าว
https://so07.tci-thaijo.org/index.php/JSSD/article/view/7302
<p>การวิจัยครังนี้นี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา 1) ศึกษาการแก้ปัญหาการขอสัญชาติขององค์การระหว่างประเทศ 2) ศึกษาการตรากฎหมายเพื่อรองรับคนต่างด้าว การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพ โดยการศึกษาเอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับประเด็นคนไร้สัญชาติ คนต่างด้าว ผลการวิจัยพบว่า การไม่มีสัญชาติของแต่ละประเทศ ประเทศทั้งหลายในปัจจุบัน มักมีสัญชาติเป็นของตนเอง เช่น ประเทศสหรัฐอเมริกา จะมีสัญชาติอเมริกัน ซึ่งบ่งบอกถึงประชากรในประเทศนั้น การปกครอง ความเป็นรัฐ รวมถึงการมีสัญชาติของประเทศตนเอง จะได้สิทธิ เช่น สิทธิความเป็นคนชาติ สิทธิเสรีภาพในการอยู่อาศัย สิทธิส่วนบุคคล ตามที่กฎหมายของประเทศนั้นกำหนด ประเทศไทยมีปัญหาเรื่องคนขอสัญชาติ ที่เข้ามาอยู่ ทำให้ไม่เข้าถึงสิทธิขั้นพื้นฐานในการดำรงชีพ ทำให้ชีวิตไม่มีความมั่นคง หากยึดถือตามหลักสิทธิมนุษยชน ต้องคำนึงถึงสิทธิขั้นพื้นฐานของคนไร้สัญชาติที่ยังไม่ได้รับการดูแล อาทิ การจัดตั้งถิ่นฐานและการดำรงชีพ การเข้าถึงสิทธิในและสวัสดิการต่าง ๆ เช่น การเข้าถึงสิทธิการรักษาเมื่อเจ็บป่วย การศึกษาเล่าเรียน การทำงาน การศึกษาครั้งนี้เพื่อที่จะลดข้อปัญหาการขอสัญชาติของคนต่างด้าว การตรากฎหมายเพื่อรองรับคนต่างด้าว ใช้หลักกฎหมายของไทย รวมทั้งพระราชบัญญัติที่เกี่ยวข้องกับการได้สัญชาติรวมถึงอนุสัญญา 1) ศึกษาหลักกฎหมายสัญชาติของต่างประเทศ 2) หาแนวทางการแก้ไขปัญหาการขอสัญชาติขององค์กรระหว่างประเทศเกี่ยวกับอนุสัญญาต่าง ๆ และ 3) หาแนวทางแก้ไขปัญหาการขอสัญชาติของคนต่างด้าวในประเทศไทย เพื่อให้คนขอสัญชาติได้มีสัญชาติตามกฎหมายและตามพระราชบัญญัติสัญชาติของไทย</p>
สมชัย ทรัพย์ศิริผล, เสกสรรค์ อุ่นอ่อน, ณรงค์ ศรีสุวรรณ์
Copyright (c) 2025
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
https://so07.tci-thaijo.org/index.php/JSSD/article/view/7302
Mon, 31 Mar 2025 00:00:00 +0700
-
บทบาทของช่องรีแอคชันในอุตสาหกรรมสื่อบันเทิง ประเภทซีรีส์วายในประเทศไทย
https://so07.tci-thaijo.org/index.php/JSSD/article/view/7309
<p>งานวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ ศึกษาบทบาทของช่องรีแอคชันในอุตสาหกรรมสื่อบันเทิงประเภท ซีรีส์วายในประเทศไทย เป็นงานวิจัยเชิงคุณภาพ มีกลุ่มตัวอย่าง คือ คลิปวิดีโอคอนเทนต์รีแอคชันของช่องหนังหน้าโรงเกี่ยวกับซีรีส์วายเรื่อง กลรักรุ่นพี่ จำนวน 4 คลิปและการสัมภาษณ์เชิงลึกจากเจ้าของช่องหนังหน้าโรง เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้วิจัยเอกสารประกอบกับชุดคำถามสำหรับสัมภาษณ์แบบกึ่งโครงสร้างนำไปสู่การใช้ทฤษฎีฐานราก รูปแบบกระบวนที่เป็นระบบ ผลการวิจัยพบว่า บทบาทของช่อง รีแอคชันหนังหน้าโรงในอุตสาหกรรมสื่อบันเทิงประเภทซีรีส์วายในประเทศไทย แบ่งตามการแสดงออกต่อกลุ่มคน 3 กลุ่ม 1) บทบาทที่แสดงออกกับแฟนคลับ ได้แก่ บทบาทของผู้ตอบรับคำเรียกร้อง บทบาทของเพื่อนร่วมแนวคิด บทบาทของผู้ส่งเสริมแง่คิด และบทบาทการเป็นจุดเชื่อมโยง 2) บทบาทที่แสดงออกกับผู้สนับสนุนทางการตลาด ได้แก่ บทบาทของการเป็นผู้ประชาสัมพันธ์ บทบาทของการเป็นผู้ส่งเสริมการขาย บทบาทของการเป็นผู้รีวิวสินค้า และบทบาทของการเป็นช่องทางตอบกลับให้แก่ผู้สนับสนุนทางการตลาด และ 3) บทบาทที่แสดงออกกับผู้ผลิตซีรีส์ ได้แก่ บทบาทการเป็นผู้สร้างการรับรู้ และบทบาทการเป็นช่องทางตอบกลับให้แก่ผู้ผลิตซีรีส์ องค์ความรู้ใหม่ที่พบในการวิจัยครั้งนี้ มี 3 บทบาท ได้แก่ บทบาทการเป็นจุดเชื่อมโยง บทบาทการเป็นผู้ขยายการรับรู้ และบทบาทการเป็นช่องทางการตอบกลับ ซึ่งแต่ละบทบาทแสดงให้เห็นถึงบทบาทของช่องรีแอคชันที่มีความสำคัญต่อทุกองค์ประกอบของอุตสาหกรรมสื่อบันเทิงซีรีส์วายในประเทศไทย และขับเคลื่อนพัฒนาซีรีส์วายประเทศไทยเพื่อส่งเสริมอุตสาหกรรมสื่อบันเทิงไทยให้ก้าวหน้า</p>
อรุชา อมรรุ่งโรจน์, ภานนท์ คุ้มสุภา, ทักษยา วัชรสารทรัพย์
Copyright (c) 2025
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
https://so07.tci-thaijo.org/index.php/JSSD/article/view/7309
Mon, 31 Mar 2025 00:00:00 +0700
-
การสื่อสารอัตลักษณ์ตราสินค้าประเภทอาหารและเครื่องดื่มในมิวสิกวิดีโอ ของศิลปินทีป๊อป
https://so07.tci-thaijo.org/index.php/JSSD/article/view/7310
<p>บทความวิจัยนี้เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพ มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) วิเคราะห์อัตลักษณ์ตราสินค้าประเภทอาหารและเครื่องดื่ม 2) ศึกษากลวิธีการสื่อสารอัตลักษณ์ตราสินค้าประเภทอาหารและเครื่องดื่มที่ปรากฏ ในมิวสิกวิดีโอของศิลปินทีป๊อป ศึกษาจากแนวคิดและทฤษฎีเกี่ยวกับอัตลักษณ์ตราสินค้าและการเล่าเรื่อง โดยใช้การวิเคราะห์ตัวบท เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล คือ ตารางวิเคราะห์อัตลักษณ์ตราสินค้าประเภทอาหารและเครื่องดื่ม และตารางองค์ประกอบของโครงสร้างการเล่าเรื่องในมิวสิกวิดีโอ คัดเลือกเฉพาะมิวสิกวิดีโอที่เผยแพร่ระหว่างปี พ.ศ. 2565 ถึง พ.ศ. 2567 ที่มีการโฆษณาแฝงของผลิตภัณฑ์ประเภทอาหารและเครื่องดื่ม จำนวน 5 เพลง จาก 4 ตราสินค้า ได้แก่ เพลงแลกเลยปะ (เลย์) เพลงใจเปิดใจ (เป๊ปซี่) เพลง ฟีลลิ่งแบบว่าอู้วว! (เนสท์เล่ เพียวไลฟ์) เพลงใจว่าใช่ (เป๊ปซี่) และเพลงจะเป็นให้ได้เลย (เรดดี้) ผลการศึกษาประกอบไปด้วย 2 ด้าน ได้แก่ ด้านอัตลักษณ์ตราสินค้าประเภทอาหารและเครื่องดื่ม พบว่า ตราสินค้า จะสื่อสารอัตลักษณ์ตราสินค้าผ่านองค์ประกอบต่าง ๆ คือ ตำแหน่งตราสินค้า บุคลิกภาพตราสินค้า เอกลักษณ์ด้านภาพ เอกลักษณ์ด้านเสียง และเอกลักษณ์ด้านพฤติกรรม ด้านกลวิธีการสื่อสารอัตลักษณ์ตราสินค้า ในมิวสิกวิดีโอ พบว่า ทั้ง 4 ตราสินค้าเลือกใช้ศิลปินทีป๊อปที่มีลักษณะสอดคล้องกับเรื่องราว และกลุ่มเป้าหมายเป็นผู้นำเสนอตราสินค้า โดยพบโครงเรื่อง 2 รูปแบบ คือ การเล่าเรื่องผ่านรูปแบบละคร และการเล่าเรื่องผ่านเนื้อร้อง ร่วมกับการใช้องค์ประกอบการเล่าเรื่องอื่น ๆ ได้แก่ แก่นเรื่อง ความขัดแย้ง ตัวละคร ฉาก มุมมองในการเล่าเรื่อง สัญลักษณ์ เครื่องแต่งกาย และเทคนิคภาพและการสื่อความหมาย เพื่อนำเสนอตราสินค้าผ่านมิวสิกวิดีโอ</p>
คณธัช จิรวิวัฒน์วนิช, ภานนท์ คุ้มสุภา, ทักษยา วัชรสารทรัพย์
Copyright (c) 2025
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
https://so07.tci-thaijo.org/index.php/JSSD/article/view/7310
Mon, 31 Mar 2025 00:00:00 +0700
-
ผลของการเปรียบเทียบการนำเสนอข้อความภาพนิ่งและภาพเคลื่อนไหวเพื่อส่งเสริมต่อสมรรถนะดิจิทัลของนักศึกษาหลักสูตรครุศาสตรบัณฑิต มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์
https://so07.tci-thaijo.org/index.php/JSSD/article/view/7315
<p>วัตถุประสงค์ของการวิจัยเพื่อเปรียบเทียบผลการเรียนรู้สมรรถนะดิจิทัลของของนักศึกษาชั้นปีที่ 1 หลักสูตรครุศาสตรบัณฑิต สาขาวิชาคณิตศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ ที่ได้รับการนำเสนอข้อความในรูปแบบภาพนิ่งกับนักศึกษาที่ได้รับการนำเสนอความในรูปแบบภาพเคลื่อนไหว การวิจัยเป็นวิจัยเชิงทดลอง จำนวน 60 คน โดยออกแบ่งเป็นกลุ่มทดลอง 2 กลุ่ม คือ กลุ่มการนำเสนอข้อความในรูปแบบภาพนิ่ง และกลุ่มการนำเสนอข้อความในรูปแบบภาพเคลื่อนไหว ได้มาโดยแบบการสุ่มอย่างง่าย (Simple Random Sampling) โดยใช้คณะเป็นหน่วยสุ่มจับฉลากได้คณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี และคณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีประกอบด้วยหลักสูตรครุศาสตรบัณฑิต 7 หลักสูตร และใช้แบบการสุ่มแบบเป็นกลุ่ม (Cluster Sampling) ได้หลักสูตรครุศาสตรบัณฑิต สาขาวิชาคณิตศาสตร์ และจัดเข้ากลุ่ม เป็นกลุ่มที่นำเสนอข้อความในรูปแบบภาพนิ่ง 30 คน และกลุ่มที่นำเสนอข้อความในรูปแบบภาพเคลื่อนไหว 30 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ สื่อการสอนที่นำเสนอในรูปแบบข้อความภาพนิ่ง และสื่อการสอนที่นำเสนอในรูปแบบข้อความภาพเคลื่อนไหว แบบทดสอบสมรรถนะดิจิทัล สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการทดสอบค่าที (t-test) ผลการวิจัยพบว่า การวิเคราะห์ค่าเฉลี่ย ( ) ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) และเปรียบเทียบค่าเฉลี่ยของคะแนนด้วยการนำเสนอข้อความภาพนิ่งและภาพเคลื่อนไหวที่ส่งผลต่อสมรรถนะดิจิทัล ของกลุ่มทดลองทั้ง 2 กลุ่ม พบว่ากลุ่มการนำเสนอข้อความภาพในรูปแบบภาพเคลื่อนไหว มีค่าคะแนนเฉลี่ยเท่ากับ 61.18 และมีส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานเท่ากับ 0.02 กลุ่มการนำเสนอข้อความในรูปแบบภาพนิ่ง มีค่าคะแนนเฉลี่ยเท่ากับ 41.43 และมีส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานหลังเรียนเท่ากับ 0.03 นักศึกษากลุ่มการนำเสนอข้อมูลในรูปแบบข้อความภาพเคลื่อนไหวมีคะแนนสมรรถนะดิจิทัลหลังเรียนสูงกว่ากลุ่มที่ได้รับข้อมูลในรูปแบบข้อความภาพนิ่งอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ .05</p>
วิกรม สุนทรารักษ์, ขจรศักดิ์ สงวนสัตย์, อุดม หอมคำ
Copyright (c) 2025
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
https://so07.tci-thaijo.org/index.php/JSSD/article/view/7315
Mon, 31 Mar 2025 00:00:00 +0700
-
มาตรการทางกฎหมายในการคุ้มครองการชนไก่
https://so07.tci-thaijo.org/index.php/JSSD/article/view/7316
<p>บทความนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษามาตรการทางกฎหมายในการคุ้มครองการชนไก่ในประเทศไทย กรณีก่อนชน ขณะชน และหลังชน ศึกษาถึงหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการดูแลการชนไก่ และการกำหนดบทลงโทษสำหรับผู้ที่กระทำความผิด ศึกษาเปรียบเทียบกับกฎหมายการชนไก่ของสาธารณรัฐฟิลิปปินส์และสาธารณรัฐอินโดนีเซีย ซึ่งเป็นงานวิจัยเชิงคุณภาพโดยใช้การศึกษาข้อมูลจากเอกสารทางกฎหมายและการเปรียบเทียบเชิงนโยบาย ผลการวิจัยพบว่า การชนไก่ในประเทศไทยนั้นยังมีการแต่งเดือยไก่ชนโดยสวมมีดปลายแหลมให้ไก่ชนในขณะแข่ง ใช้สารกระตุ้นต่างๆซึ่งเป็นอันตรายกับไก่ชน และยังมีการฆ่าไก่ชนตัวที่แพ้เพื่อทำเป็นอาหารอีกด้วย แต่กฎหมายในประเทศไทยได้ให้การยกเว้นไว้ว่าการชนไก่ไม่ถือว่าเป็นการทารุณกรรมสัตว์และไม่ผิดกฎหมายโดยไม่มีเงื่อนไขใดๆจึงถือเป็นช่องว่างทางกฎหมายของประเทศไทย ในสาธารณรัฐฟิลิปปินส์และสาธารณรัฐอินโดนีเซีย ได้มีกฎหมายกำหนดห้ามในเรื่องของการทารุณกรรมสัตว์ไว้อย่างชัดเจน และมีบทลงโทษสำหรับผู้กระทำการฝ่าฝืน ดังนั้น ประเทศไทยจึงควรกำหนดมาตรการทางกฎหมายในการชนไก่ กล่าวคือ ห้ามมิให้มีการแต่งเดือยหรือสวมมีดปลายแหลม ห้ามมิให้มีการใช้สารอันตรายที่เป็นโทษต่อไก่ชน หลังจากชนไก่แล้วเจ้าของจะต้องดูแลไก่ชนเป็นอย่างดีห้ามฆ่า และกระจายอำนาจของเจ้าหน้าที่ในแต่ละตำบลเพื่อให้ดูแลสนามชนไก่อย่างทั่วถึง รวมไปถึงกำหนดโทษสำหรับผู้ที่กระทำการฝ่าฝืนกฎหมายควรจะมีทั้งโทษจำคุกและโทษปรับ เพื่อให้ประเพณีชนไก่ของประเทศไทยยังคงเป็นประเพณีที่ดีงามสืบต่อไป</p>
ปาจรีย์ สำลีทอง
Copyright (c) 2025
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
https://so07.tci-thaijo.org/index.php/JSSD/article/view/7316
Mon, 31 Mar 2025 00:00:00 +0700