https://so07.tci-thaijo.org/index.php/Lawllmjournal/issue/feed วารสารนิติศาสตร์ศรีปทุม 2025-08-10T00:00:00+07:00 ผู้ช่วยศาสตร์จารย์ ดร.นิสิต อินทมาโน lawllmjournal@spu.ac.th Open Journal Systems <p><strong><img src="https://so07.tci-thaijo.org/public/site/images/spulawllmjournal/---4.png" alt="" width="1366" height="768" /></strong></p> <p><strong>วารสารนิติศาสตร์ศรีปทุม</strong><br />ISSN : 3088-2028 (Online)</p> <p><strong>วัตถุประสงค์ (Aims)</strong><br />คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีปทุม ได้จัดทำวารสารนิติศาสตร์ศรีปทุม เพื่อให้เป็นวารสารวิชาการสำหรับนักศึกษา อาจารย์ นักวิจัย และนักวิชาการทั้งภายในและภายนอก เพื่อเผยแพร่ผลงานวิชาการในรูปแบบของบทความวิชาการและบทความวิจัย เป็นการส่งเสริมและสนับสนุนให้เกิดการเผยแพร่ความรู้ทางวิชาการในสาขานิติศาสตร์และศาสตร์ที่เกี่ยวกับสังคมศาสตร์ให้กว้างขวางยิ่งขึ้น จัดตีพิมพ์เผยแพร่สู่วงการวิชาการและสาธารณชนผู้สนใจทั่วไป พร้อมทั้งต้องการยกระดับให้เป็นวารสารระดับชาติและนานาชาติ</p> <p><strong>ขอบเขต (Scope)</strong><br />วารสารนิติศาสตร์ศรีปทุม รับพิจารณาบทความวิชาการ บทความวิจัย ทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษ โดยขอบเขตเนื้อหาทางวิชาการของวารสารนิติศาสตร์ศรีปทุม จะครอบคลุมเนื้อหาด้านนิติศาสตร์และศาสตร์ที่เกี่ยวกับสังคมศาสตร์ ได้แก่ ด้านรัฐศาสตร์ รัฐประศาสนศาสตร์ และสังคมวิทยา</p> <p><strong>ประเภทบทความที่รับ (Types of Articles)</strong><br />1. บทความทางวิชาการ (Article) <br />2. บทความงานวิจัย (Research Article)</p> <p><strong>กำหนดการออกเผยแพร่ (Publication Frequency)</strong><br />มีกำหนดตีพิมพ์เผยแพร่ปีละ 2 ฉบับ คือ <br />ฉบับที่ 1 เดือน มกราคม - มิถุนายน<br />ฉบับที่ 2 เดือน กรกฎาคม - ธันวาคม</p> <p><strong>ค่าธรรมเนียมการเสนอบทความเพื่อตีพิมพ์</strong><br />วารสารนิติศาสตร์ศรีปทุม คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีปทุม ไม่มีการเรียกเก็บค่าธรรมเนียมการเสนอบทความ และค่าตีพิมพ์เผยแพร่บทความในวารสาร</p> <p><strong>ต้นฉบับทุกเรื่องที่พิมพ์เผยแพร่ได้รับการตรวจสอบความถูกต้องทางวิชาการ โดยผู้ทรงคุณวุฒิ (Peer Review) ด้วยรูปแบบ Semi-Blind Peer Review เฉพาะสาขานิติศาสตร์และสังคมศาสตร์ ซึ่งเป็นบุคคลภายนอกจากหลากหลายสถาบัน จำนวน 3 คน</strong></p> <p>** Blind Peer Review หมายความว่า ต้องไม่มีการเปิดเผยชื่อและข้อมูลใด ๆ (รวมถึงต้นสังกัด) ของผู้ทรงคุณวุฒิ ถ้าหากอยากเปิดเผยกองบรรณาธิการต้องพิจารณาดำเนินการอย่างน้อย 2 ข้อ ดังนี้<br />1) ระบุให้ชัดเจนบนเว็บไซต์ของวารสารว่าเป็นการ Semi-Blind Peer Review กล่าวคือ เปิดเผยข้อมูลบางส่วน เช่น ชื่อ-สกุล หรือ ต้นสังกัดผู้ประเมิน เป็นต้น<br />2) แจ้งและขอความยินยอมเป็นลายลักษณ์อักษรจากผู้ทรงคุณวุฒิขณะเชิญพิจารณาบทความ **</p> https://so07.tci-thaijo.org/index.php/Lawllmjournal/article/view/7763 ปัญหาเกี่ยวกับการป้องกันและปราบปรามการข่มเหงรังแกในที่ทำงาน 2025-05-12T12:43:37+07:00 เอื้ออังกูร ขำนาท ueaungkurnkhamnat@gmail.com ธัชพงษ์ วงษ์เหรียญทอง borormor_bom@hotmail.com <p>การข่มเหงรังแกในที่ทำงาน เป็นพฤติกรรมที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องและเป็นระบบ โดยมีลักษณะการใช้อำนาจหรืออิทธิพลในทางที่มิชอบ เพื่อทำร้ายทางจิตใจหรือสังคมของลูกจ้างหรือลูกน้องในองค์กร อันส่งผลกระทบต่อสิทธิในการทำงานอย่างปลอดภัยและมีศักดิ์ศรีตามหลักสิทธิมนุษยชน แม้ประเทศไทยจะมีบทบัญญัติกฎหมายที่เกี่ยวข้อง เช่น ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 397 และกฎหมายคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 แต่การบังคับใช้กลับมีข้อจำกัดในทางปฏิบัติ ทั้งในด้านความชัดเจนขององค์ประกอบความผิด การพิสูจน์ความเสียหายทางจิตใจ และกลไกการรับเรื่องร้องเรียนที่ไม่เป็นอิสระเพียงพอ</p> <p>การศึกษานี้มุ่งวิเคราะห์ปัญหาทางกฎหมายที่เกี่ยวกับการป้องกัน และปราบปรามการข่มเหงรังแกในที่ทำงาน โดยเปรียบเทียบกับกฎหมายต่างประเทศที่มีการบัญญัติเรื่อง Power Harassment หรือ Workplace Bullying ไว้อย่างชัดเจน เช่น ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ จีน และสิงคโปร์ ซึ่งมีกฎหมายเฉพาะที่กำหนดนิยาม ขอบเขต และกลไกบังคับใช้ที่มีประสิทธิภาพมากกว่า โดยการวิจัยจะเสนอแนวทางในการปรับปรุงกฎหมายไทย ไม่ว่าจะเป็นการตรากฎหมายเฉพาะ การแก้ไขเพิ่มเติมกฎหมายแรงงานหรืออาญา หรือการจัดตั้งกลไกรับเรื่องร้องเรียนและเยียวยาที่มีอิสระและเป็นธรรม เพื่อส่งเสริมสิทธิแรงงานและสร้างวัฒนธรรมองค์กรที่ปลอดภัยจากการใช้อำนาจโดยมิชอบ</p> 2025-08-10T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารนิติศาสตร์ศรีปทุม https://so07.tci-thaijo.org/index.php/Lawllmjournal/article/view/8268 แนวทางการพัฒนากฎหมายเพื่อคุ้มครองสิทธิของผู้ต้องสงสัย ในกระบวนการสอบสวนคดีอาญา 2025-06-25T14:25:34+07:00 นพรัตน์ นาเมืองรักษ์ hemmawan.na@gmail.com <p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาแนวทางการพัฒนากฎหมายเพื่อคุ้มครองสิทธิของผู้ต้องสงสัยในกระบวนการสอบสวนคดีอาญา โดยกระบวนการยุติธรรมทางอาญามีบทบาทสำคัญในการรักษาความสงบเรียบร้อยของสังคมและสร้างความเชื่อมั่นในหลักนิติรัฐ อย่างไรก็ตามปัญหาการละเมิดสิทธิของผู้ต้องสงสัยในกระบวนการสอบสวนคดีอาญายังคงเกิดขึ้นในประเทศไทย เช่น การบังคับให้รับสารภาพ การควบคุมตัวเกินระยะเวลาที่กฎหมายกำหนด และการปฏิเสธสิทธิในการเข้าถึงทนายความ ปัญหาเหล่านี้สะท้อนให้เห็นถึงความไม่สมดุลระหว่างการบังคับใช้กฎหมายกับการคุ้มครองสิทธิมนุษยชน บทความนี้มุ่งเน้นการศึกษาพัฒนากฎหมายเพื่อคุ้มครองสิทธิของผู้ต้องสงสัยในกระบวนการสอบสวนคดีอาญา โดยศึกษากฎหมายในประเทศต่าง ๆ อาทิ ปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชน ค.ศ. 1948(พ.ศ. 2491) กติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง ค.ศ. 1966(พ.ศ. 2509) และแนวปฏิบัติจากประเทศที่มีระบบกฎหมายเข้มแข็ง เช่น สหราชอาณาจักร สหรัฐอเมริกา สาธารณรัฐฝรั่งเศส และสหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี การวิจัยนี้เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพโดยรวบรวมข้อมูลจากหนังสือ บทความ วิทยานิพนธ์ รายงานการวิจัย และเอกสารที่เกี่ยวข้อง ผลการวิจัยพบว่า แนวทางการพัฒนากฎหมายเพื่อคุ้มครองสิทธิของผู้ต้องสงสัยในกระบวนการสอบสวนคดีอาญา ประกอบด้วย 4 แนวทาง ได้แก่ (1) การแจ้งสิทธิของผู้ต้องสงสัยตั้งแต่เริ่มกระบวนการสอบสวน (2) การบันทึกวิดีโอและเสียงในการสอบปากคำ (3) การรับรองสิทธิในการเข้าถึงทนายความ และ (4) การจัดตั้งกลไกตรวจสอบและถ่วงดุลเพื่อป้องกันการใช้อำนาจโดยมิชอบ ซึ่งสะท้อนถึงความจำเป็นในการปฏิรูปกระบวนการยุติธรรมของไทยให้สอดคล้องกับหลักนิติรัฐและสิทธิมนุษยชน เพื่อสร้างความยุติธรรมและความโปร่งใสในกระบวนการสอบสวนคดีอาญา</p> 2025-08-10T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารนิติศาสตร์ศรีปทุม https://so07.tci-thaijo.org/index.php/Lawllmjournal/article/view/8254 การพัฒนามาตรการทางกฎหมายเกี่ยวกับความผิดฐานทอดทิ้งเด็ก 2025-06-24T14:01:58+07:00 พงศกร สุขศิริ pongsakorn.suk@spumail.net <p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาปัญหาทางกฎหมายเกี่ยวกับการกำหนดเกณฑ์อายุของผู้เสียหายและผู้กระทำความผิดในความผิดฐานทอดทิ้งเด็ก รวมถึงการกำหนดบทฉกรรจ์ในความผิดฐานทอดทิ้งเด็กที่ไม่เหมาะสมเพียงพอตามประมวลกฎหมายอาญา โดยศึกษาประกอบกับกฎหมายฉบับอื่น ๆ ของไทยที่เกี่ยวข้องและศึกษาถึงแนวทางในการแก้ไขปัญหาดังกล่าวที่ปรากฏอยู่ในกฎหมายของประเทศต่าง ๆ อันได้แก่ รัฐเท็กซัสแห่งสหรัฐอเมริกา รัฐแคลิฟอร์เนียแห่งสหรัฐอเมริกา สหราชอาณาจักร และสหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี รวมถึงประเทศญี่ปุ่น เพื่อให้ทราบถึงแนวทางในการพัฒนามาตรการทางกฎหมายของประเทศไทยให้สามารถคุ้มครองเด็กจากการถูกทอดทิ้งได้ดียิ่งขึ้น ผลการวิจัยพบว่า กฎหมายของประเทศไทยในเรื่องการทอดทิ้งเด็กตามประมวลกฎหมายอาญานั้น ในปัจจุบันไม่สามารถคุ้มครองเด็กที่มีอายุเกินกว่า 9 ปี จากการถูกทอดทิ้งได้ และไม่ปรากฏถึงการกำหนดเกณฑ์อายุของผู้กระทำความผิดไว้ รวมถึงบทฉกรรจ์ก็คงมีแต่เพียงผลฉกรรจ์โดยไม่ปรากฏถึงเหตุฉกรรจ์สำหรับความผิดฐานทอดทิ้งเด็กเลย จึงสมควรแก้ไขเพิ่มเติมบทบัญญัติในประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 306 โดยการปรับเพิ่มเกณฑ์อายุของเด็กซึ่งเป็นผู้เสียหายในความผิดฐานทอดทิ้งเด็กให้สูงยิ่งขึ้น และเสนอให้มีการกำหนดเกณฑ์อายุของผู้กระทำความผิดในความผิดฐานทอดทิ้งเด็ก รวมถึงให้มีการกำหนดเหตุฉกรรจ์ของความผิดฐานดังกล่าวด้วย เพื่อให้สามารถคุ้มครองเด็กจากการถูกทอดทิ้งได้อย่างเหมาะสม</p> 2025-08-10T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารนิติศาสตร์ศรีปทุม https://so07.tci-thaijo.org/index.php/Lawllmjournal/article/view/8345 การพัฒนากฎหมายการริบทรัพย์สินในคดียาเสพติดภายใต้กรอบประมวลกฎหมายยาเสพติด พ.ศ.2564 2025-06-30T10:16:40+07:00 ธนิชพนธ์ ธนศักดิ์สุธี mmini_269@hotmail.com <p>บทความวิชาการนี้มุ่งศึกษาเพื่อพัฒนากฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการป้องกันและปราบปรามยาเสพติดและการริบทรัพย์สินของผู้เกี่ยวข้องซึ่งปัญหายาเสพติดเป็นภัยคุกคามที่ส่งผลกระทบต่อความมั่นคงทางเศรษฐกิจและสังคมของประเทศ นโยบายทางกฎหมายที่ใช้ในการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด จึงมีความสำคัญโดยเฉพาะมาตรการเกี่ยวกับการริบทรัพย์สินของผู้กระทำความผิดและผู้ที่เกี่ยวข้องกับการกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด ซึ่งเป็นแนวทางหนึ่งในการลดแรงจูงใจในการกระทำผิด และตัดวงจรการฟอกเงินจากธุรกิจผิดกฎหมายรวมถึงข้อจำกัดในกระบวนการยึด อายัดทรัพย์สินและริบทรัพย์ทั้งในประเทศและต่างประเทศ ซึ่งเป็นอุปสรรคสำคัญต่อการดำเนินคดีและการป้องกันการหลีกเลี่ยงกฎหมายของผู้กระทำความผิด โดยวิเคราะห์ปัญหาและอุปสรรคในการบังคับใช้กฎหมายตามประมวลกฎหมายยาเสพติด พ.ศ.2564 ผลการศึกษาพบว่า แม้ว่าประมวลกฎหมายยาเสพติด พ.ศ.2564 จะมีบทบัญญัติว่าด้วยการริบทรัพย์สินที่เกี่ยวข้องกับการกระทำความผิด แต่ยังมีข้อบกพร่องในหลาย ๆ ประการโดยเฉพาะการบังคับใช้มาตรการริบทรัพย์สิน เช่น การริบทรัพย์สินที่เป็นทรัพย์สินดิจิทัลที่ใช้ในการฟอกเงินจากยาเสพติด ระยะเวลาในการยื่น คำร้องขอให้ริบทรัพย์สิน ข้อจำกัดในการยึดทรัพย์สินที่อยู่ในต่างประเทศ และการริบทรัพย์สินตามมูลค่า ซึ่งยังไม่มีหลักเกณฑ์ที่ชัดเจนและเป็นธรรมเพียงพอ นอกจากนี้กฎหมายที่มีอยู่ยังขาดกลไกที่มีประสิทธิภาพในการตรวจสอบและติดตามทรัพย์สินที่ถูกโอนไปยังบุคคลที่สามเพื่อหลีกเลี่ยงการถูกริบทรัพย์สิน</p> <p> จากการศึกษาขอเสนอแนะในการพัฒนากฎหมายการริบทรัพย์สินในคดียาเสพติด ภายใต้กรอบประมวลกฎหมายยาเสพติด พ.ศ.2564 ได้แก่ ควรเพิ่มบัญญัติเกี่ยวกับคำนิยามทรัพย์สินที่เกี่ยวเนื่องกับการกระทำความผิดร้ายแรงเกี่ยวกับยาเสพติดให้ครอบคลุมถึงทรัพย์สินที่เป็นทรัพย์สินดิจิทัลและทรัพย์สินที่ได้มาโดยมิชอบ การปรับปรุงบทบัญญัติเกี่ยวกับระยะเวลาในการยื่นคำร้องให้ริบทรัพย์สิน การกำหนดกลไกทางกฎหมายที่รองรับการยึดทรัพย์สินในต่างประเทศภายใต้ความร่วมมือระหว่างประเทศ และการกำหนดหลักเกณฑ์ที่ชัดเจนเกี่ยวกับการริบทรัพย์สินตามมูลค่าเพื่อลดช่องว่างทางกฎหมายและป้องกันการใช้มาตรการริบทรัพย์สินโดยไม่เป็นธรรม</p> 2025-08-10T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารนิติศาสตร์ศรีปทุม