https://so07.tci-thaijo.org/index.php/LiberalJ/issue/feed วารสารศิลปศาสตร์ราชมงคลพระนคร 2024-06-30T16:43:22+07:00 Assistant Professor Dr.Watcharaphong Soongpankhao j_larts@rmutp.ac.th Open Journal Systems <p><strong>ที่ปรึกษา</strong></p> <p>ดร.ณัฐวรพล รัชสิริวัชรบุล อธิการบดีมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลพระนคร</p> <p>รองศาสตราจารย์ ดร.นัฐโชติ รักไทยเจริญชีพ รองอธิการบดีฝ่ายวิชาการและพัฒนาคณาจารย์</p> <p>ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.ยุทธภูมิ สุวรรณเวช คณบดีคณะศิลปศาสตร์</p> <p> </p> https://so07.tci-thaijo.org/index.php/LiberalJ/article/view/5205 การจัดการความหลากหลายของทรัพยากรมนุษย์ในองค์การ : แนวคิดและวิธีปฏิบัติ 2024-06-30T16:35:48+07:00 สุชาวดี เดชทองจันทร์ ลิมปนนาคทอง suchavadee.dej@gmail.com ชินรัตน์ สมสืบ suchavadee.dej@gmail.com ศักย์ ทับพลี suchavadee.dej@gmail.com <p>บทความวิชาการนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อเสนอหลักการแนวคิดเกี่ยวกับการจัดการความหลากหลายของทรัพยากรมนุษย์ในองค์การ และตัวอย่างวิธีการปฏิบัติที่ดีในการจัดการความหลากหลายของทรัพยากรมนุษย์ในองค์การ ทั้งในมิติเพศ อายุ และเชื้อชาติ รวมถึงการเสนอข้อเสนอแนะในการจัดการความหลากหลายของทรัพยากรมนุษย์ในองค์การ &nbsp;บทความนี้เป็นการศึกษาในลักษณะของการทบทวนวรรณกรรม โดยการศึกษาจากเอกสารต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง (Documentary Research) ประกอบด้วย หนังสือ ตำรา บทความวิชาการ และงานวิจัยต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการจัดการความหลากหลายของทรัพยากรมนุษย์ในองค์การทั้งในกลุ่มเพศ อายุ และเชื้อชาติ โดยนำมาเรียบเรียงขึ้นใหม่ในลักษณะของบทความวิชาการ การจัดการความหลากหลายของทรัพยากรมนุษย์ในองค์การนั้น มีแนวทางปฏิบัติที่ดีด้วยการคำนึงถึงความเสมอภาคและความเท่าเทียมกันกับสมาชิกทุกกลุ่มในองค์การในกระบวนการบริหารและพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ทุกกระบวนการ การเสริมสร้างแรงงานสัมพันธ์และบรรยากาศการทำงานที่ดีที่ทำให้พนักงานทั้งหมดไม่รู้สึกถึงความแตกต่าง อันนำไปสู่ความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันภายในองค์การ และการเสริมสร้างความเข้าใจและเห็นอกเห็นใจซึ่งกันและกันในความแตกต่างระหว่างพนักงานด้วยกันเอง</p> 2024-06-30T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารศิลปศาสตร์ราชมงคลพระนคร https://so07.tci-thaijo.org/index.php/LiberalJ/article/view/5206 การเมืองเรื่องตัวอักษร: จากขบวนการปฏิรูปอักษรจีนให้เป็นแบบโรมันในยุคสาธารณรัฐจีนสู่สัทอักษรพินอินในยุคสาธารณรัฐประชาชนจีน 2024-06-30T16:43:22+07:00 ปริวรรต นาครักษา pariwat.n@rmutp.ac.th <p>การปฏิรูปอักษรจีนให้เป็นแบบโรมัน เป็นแนวคิดที่ต้องการแทนที่ตัวอักษรจีนด้วยตัวอักษรละตินในการเขียนภาษาจีน โดยถูกพูดถึงกันในหมู่ปัญญาชนจีนหัวก้าวหน้าอย่างกว้างขวางกันมาตั้งแต่ปีแรกของศตวรรษที่ 20 เนื่องด้วยประเทศจีนในเวลานั้น พึ่งเปลี่ยนแปลงการปกครองมาเป็นระบอบสาธารณรัฐใหม่ ๆ สภาพสังคมจีนยังคงอ่อนแอและล้าหลัง ทั้งยังเผชิญกับภัยคุกคามจากมหาอำนาจตะวันตกและญี่ปุ่น ชนชั้นนำและปัญญาชนบางส่วนจึงต้องการปฏิรูปประเทศให้ทันสมัยและเข้มแข็ง ภาษาจีนถูกมองว่าเป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาสู่ความทันสมัย เนื่องจากอักษรจีนเป็นอักษรภาพที่ซับซ้อน เข้าใจยาก ปัญญาชนหัวก้าวหน้าของจีนร่วมกันขับเคลื่อนความคิดที่จะปฏิรูปภาษาจีนในสังคม จนเกิดเป็นขบวนการปฏิรูปอักษรจีนให้เป็นแบบโรมัน ซึ่งเป็นที่ถกเกียงกันอย่างกว้างขวางในหมู่ปัญญาชนจีนด้วยกันที่เห็นต่าง จนกระทั่งพรรคคอมมิวนิสต์จีนซึ่งนำโดยเหมาเจ๋อตง เอาชนะพรรคชาตินิยมจีน (ก๊กมินตั๋ง) ได้ในสงครามกลางเมืองจีน จนนำมาสู่การก่อตั้งประเทศใหม่นามว่า สาธารณรัฐประชาชนจีน ทว่ากลับไม่มีการประกาศใช้อักษรละตินแทนที่อักษรจีนแต่อย่างใด เพียงแต่มีการลดจำนวนขีดของอักษรจีนให้ซับซ้อนน้อยลง ส่วนแนวคิดที่ต้องการแทนที่ตัวอักษรจีนด้วยตัวอักษรละตินนั้น ถูกแทนที่ด้วยระบบสัทอักษรพินอินที่ใช้ตัวอักษรละตินมาบันทึกเสียงอ่านของตัวอักษรจีนแทน บทความนี้นำเสนอภาพรวมพัฒนาการทางประวัติศาสตร์ของขบวนการปฏิรูปอักษรจีนให้เป็นแบบโรมัน จนนำไปสู่การเกิดขึ้นของระบบสัทอักษรพินอิน อันเป็นระบบมาตรฐานและเป็นที่ยอมรับกันอย่างกว้างขวางที่ทำให้ผู้เรียนภาษาจีนสามารถออกเสียงตัวอักษรจีนได้โดยง่ายผ่านอักษรละตินที่ใช้แทนเสียงต่าง ๆ ที่มีอยู่ในภาษาจีน</p> 2024-06-30T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารศิลปศาสตร์ราชมงคลพระนคร https://so07.tci-thaijo.org/index.php/LiberalJ/article/view/5200 การประยุกต์ใช้งานโปรแกรม Power BI ในการวิเคราะห์ข้อมูลผลการดำเนินงาน โรงพยาบาลทันตกรรม มหาวิทยาลัยพะเยา 2024-06-30T15:47:40+07:00 ดวงใจ ใจกล้า paphaon.kh@up.ac.th ปภาอร เขียวสีมา paphaon.kh@up.ac.th ชวลิต ชนินทรสงขลา paphaon.kh@up.ac.th สมบูรณ์ ใจประการ paphaon.kh@up.ac.th <p>การศึกษาการออกแบบและพัฒนาการรายงานข้อมูลผลการดำเนินงานโรงพยาบาลทันตกรรมโดยใช้ โปรแกรม Power BI มีวัตถุประสงค์เพื่อออกแบบและพัฒนาการรายงานข้อมูลผลการดำเนินงานโรงพยาบาลทันตกรรมโดยใช้โปรแกรม Power BI และประเมินความพึงพอใจของผู้บริหารต่อผลการออกแบบและพัฒนาการรายงานข้อมูลผลการดำเนินงานโรงพยาบาลทันตกรรม ประยุกต์ใช้เครื่องมือโปรแกรม Microsoft Power BI เพื่อเปรียบเทียบประสิทธิผลในอดีตจนถึงปัจจุบันในรูปแบบที่เข้าใจง่าย แสดงสารสนเทศการวิเคราะห์ข้อมูล แสดงผลเป็นแผนภูมิ กราฟ ฮิสโตแกรม ใช้อัลกอริทึมการพยากรณ์เทคนิคเอกซ์โพเนนเชียลพยากรณ์รายได้การบริการทางทันตกรรม เพื่อสนับสนุนการตัดสินใจของผู้บริหารโรงพยาบาลทันตกรรม</p> <p>การวิจัยนี้ทำการทดสอบการทำงานของระบบผ่านการถ่ายทอดองค์ความรู้ให้กับผู้บริหารเพื่อสามารถเข้าใจและใช้งานระบบได้ การประเมินความพึงพอใจโดยใช้แบบสอบถาม เลือกกลุ่มตัวอย่างแบบเจาะจง (Purposive Sampling) ประกอบด้วย ผู้บริหารคณะทันตแพทยศาสตร์จำนวน 14 คน ทำการวิเคราะห์ข้อมูลโดยการหาค่าเฉลี่ย และค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ผลการศึกษาพบว่า ผู้บริหารคณะทันตแพทยศาสตร์จำนวน 14 คน มีความพึงพอใจต่อผลการออกแบบและพัฒนาการรายงานข้อมูลผลการดำเนินงานโรงพยาบาลทันตกรรมโดยใช้โปรแกรม Power BI&nbsp; ในด้านการนำไปใช้งาน มีระดับความพึงพอใจมากที่สุด มีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 4.54 (x = 4.54) และค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานเท่ากับ 0.64 (S.D. = 0.64) และระดับความพึงพอใจต่อผลการออกแบบและพัฒนาการรายงานข้อมูลผลการดำเนินงานโรงพยาบาลทันตกรรมโดยใช้โปรแกรม Power BI รวมทุกด้านอยู่ในระดับดี มีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 4.43 (x = 4.43) และค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานเท่ากับ 0.69&nbsp;&nbsp;&nbsp; (S.D. = 0.69) จากการศึกษาครั้งนี้สรุปได้ว่า โปรแกรม Power BI ที่ออกแบบและพัฒนาขึ้นผู้บริหารสามารถนำระบบไปใช้ในการพยากรณ์ข้อมูลและสนับสนุนการตัดสินใจได้</p> 2024-06-30T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารศิลปศาสตร์ราชมงคลพระนคร https://so07.tci-thaijo.org/index.php/LiberalJ/article/view/5201 ปัจจัยที่มีผลต่อการตัดสินใจท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมของนักท่องเที่ยวผู้สูงอายุ กรณีศึกษาพญาศรีสัตตนาคราช จังหวัดนครพนม 2024-06-30T15:56:24+07:00 วรรวสา ยุระรัตน์ surarak@npu.ac.th รินลดา อามาตย์สมบัติ surarak@npu.ac.th สุรารักษ์ ศรีลาศักดิ์ surarak@npu.ac.th <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาปัจจัยที่มีผลต่อการตัดสินใจท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมของนักท่องเที่ยวผู้สูงอายุ กรณีศึกษาพญาศรีสัตตนาคราช จังหวัดนครพนม โดยกลุ่มตัวอย่างวิจัยครั้งนี้ คือ กลุ่มนักท่องเที่ยวผู้สูงอายุชาวไทยที่มาท่องเที่ยว จังหวัดนครพนม จำนวน 400 คน โดยใช้วิธีการสุ่มตัวอย่างแบบเจาะจง สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ผลการวิจัยพบว่า ปัจจัยที่มีผลต่อการตัดสินใจท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมของนักท่องเที่ยวผู้สูงอายุ กรณีศึกษาพญาศรีสัตตนาคราช จังหวัดนครพนม ได้แก่ ปัจจัยส่วนบุคคลทั้งด้านเพศ อายุ ระดับการศึกษา และรายได้ต่อเดือน ส่วนความคิดเห็นที่มีผลต่อการตัดสินใจท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมของนักท่องเที่ยวผู้สูงอายุโดยรวม มีค่าเฉลี่ยระดับมากที่สุด ค่าเฉลี่ย 4.56 เมื่อพิจารณารายด้าน พบว่า มีระดับความคิดเห็นในระดับมากที่สุด คือคาดว่าจะเดินทางท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมในครั้งต่อไป ความงดงามของศิลปวัฒนธรรมของแหล่งท่องเที่ยว ความสวยงามของสภาพภูมิทัศน์โดยรวมของสถานที่ท่องเที่ยว มีความสวยงามและกำลังเป็นที่นิยม ประหยัดค่าใช้จ่ายและคุ้มค่ากับการเดินทางมาท่องเที่ยว การอนุรักษ์ด้านสถาปัตยกรรมของแหล่งท่องเที่ยว การเดินทางมีความสะดวกปลอดภัยและสามารถเดินทางมาได้หลายเส้นทาง การได้สัมผัสวิถีชีวิตของคนในชุมชนบริเวณแหล่งท่องเที่ยว สภาพของถนนในเส้นทางเข้าถึงแหล่งท่องเที่ยว การจัดการจราจรในบริเวณแหล่งท่องเที่ยว</p> 2024-06-30T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารศิลปศาสตร์ราชมงคลพระนคร https://so07.tci-thaijo.org/index.php/LiberalJ/article/view/5202 การส่งเสริมการตลาดที่ส่งผลต่อการรับรู้คุณค่าตราสินค้ากรอบแว่นตาแบรนด์อิตาลี ของผู้บริโภคในกรุงเทพมหานคร 2024-06-30T16:05:28+07:00 อภิญญา อภิญญาวงศ์ 6222093014@dru.ac.th ภัทรา สุขะสุคนธ์ Patra.s@dru.ac.th <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา 1) การส่งเสริมการตลาดของกรอบแว่นตาแบรนด์อิตาลีของผู้บริโภคในกรุงเทพมหานคร 2) การรับรู้คุณค่าตราสินค้ากรอบแว่นตาแบรนด์อิตาลีของผู้บริโภคในกรุงเทพมหานคร และ 3) อิทธิพลของการส่งเสริมการตลาดที่ส่งผลต่อการรับรู้คุณค่าตราสินค้ากรอบแว่นตาแบรนด์อิตาลีของผู้บริโภคในกรุงเทพมหานคร กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย คือ ผู้บริโภคที่เคยซื้อและสวมใส่กรอบแว่นตาแบรนด์อิตาลีอาศัยอยู่ในกรุงเทพมหานคร จำนวน 400 คน ใช้การสุ่มตัวอย่างแบบหลายขั้นตอน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ แบบสอบถาม สถิติที่ใช้ในการวิจัยประกอบไปด้วย สถิติเชิงพรรณนา ได้แก่ ค่าความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และสถิติอนุมาน คือ การวิเคราะห์ถดถอยเชิงพหุคูณแบบเป็นขั้นตอน</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1) ความคิดเห็นเกี่ยวข้องกับการส่งเสริมการตลาดของกรอบแว่นแบรนด์อิตาลีของผู้บริโภคในกรุงเทพมหานคร อยู่ในระดับมาก 2) ผู้ตอบแบบสอบถามมีการรับรู้คุณค่าตราสินค้ากรอบแว่นแบรนด์อิตาลีอยู่ในระดับมาก และ3) การส่งเสริมการตลาด ด้านการโฆษณา ด้านการเผยแพร่และการประชาสัมพันธ์ และด้านการส่งเสริมการขายส่งผลต่อการรับรู้คุณค่าตราสินค้ากรอบแว่นตาแบรนด์อิตาลีของผู้บริโภคในกรุงเทพมหานคร อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ 0.05 ผลจากการวิจัยครั้งนี้สามารถนำไปใช้ในการปรับปรุงกลยุทธ์การส่งเสริมการตลาดของผู้จัดจำหน่ายกรอบแว่นตาแบรนด์อิตาลี พัฒนาคุณค่าตราสินค้ากรอบแว่นตาแบรนด์อิตาลี และผลการวิจัยจะช่วยให้ผู้บริหารตราสินค้ากรอบแว่นตาแบรนด์อิตาลีใช้เป็นแนวทางในการเลือกเครื่องมือการส่งเสริมการตลาดได้อย่างเหมาะสม</p> 2024-06-30T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารศิลปศาสตร์ราชมงคลพระนคร https://so07.tci-thaijo.org/index.php/LiberalJ/article/view/5203 พฤติกรรมการใช้บริการของนักท่องเที่ยวชาวไทยและองค์ประกอบคุณภาพการบริการ ของโฮสเทลในกรุงเทพมหานคร 2024-06-30T16:14:57+07:00 ผกามาศ ชัยรัตน์ pakamas.c@rmutp.ac.th นเรศ กันธะวงค์ naret.k@rmutp.ac.th หทัยรัตน์ ปัทมาวิวัฒน์ pakamas.c@rmutp.ac.th <p>งานวิจัยนี้มีจุดประสงค์ 1.เพื่อศึกษาพฤติกรรมการใช้บริการที่พักโฮสเทลของนักท่องเที่ยวชาวไทยในเขตกรุงเทพมหานคร 2.เพื่อศึกษาความคิดเห็นของนักท่องเที่ยวชาวไทยต่อองค์ประกอบคุณภาพการบริการโฮสเทลในเขตกรุงเทพมหานคร การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงปริมาณ กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ศึกษามีจำนวน 400 คน โดยใช้แบบสอบถามเป็นเครื่องมือ สถิติใช้ในการศึกษา คือ ค่าความถี่ (Frequency) และค่าร้อยละ (Percentage)</p> <p>ผลการวิจัยส่วนใหญ่พบว่า 1) ข้อมูลเกี่ยวกับพฤติกรรมของนักท่องเที่ยวชาวไทยที่เดินทางมาใช้บริการที่พักโฮสเทลในเขตกรุงเทพมหานคร ร้อยละ 48 รู้จักและทราบข้อมูลเกี่ยวกับที่พักโฮสเทลในกรุงเทพมหานครโดยสืบค้นข้อมูลจากอินเตอร์เน็ต/สื่อสังคมออนไลน์ ร้อยละ 22.8 เลือกใช้บริการที่พักโฮสเทล เพราะที่พักมีสิ่งอำนวยความสะดวกครบ ร้อยละ 58 เลือกใช้บริการที่พักโฮสเทลในกรุงเทพมหานครในวันหยุดเทศกาลต่าง ๆ ร้อยละ 44.8 เลือกใช้บริการที่พักโฮสเทลในกรุงเทพมหานคร 1 ครั้งต่อเดือน ร้อยละ 61.5 มีค่าใช้จ่ายในการใช้บริการที่พักโฮสเทลในกรุงเทพมหานคร 1,001 - 1,500 บาทต่อครั้ง ร้อยละ 33 เดินทางตามลำพังเพื่อใช้บริการที่พักโฮสเทลในกรุงเทพมหานคร ร้อยละ 29.2 และร้อยละ 80.8 จะกลับมาใช้บริการที่พักโฮสเทลในกรุงเทพมหานคร &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;2) ข้อมูลเกี่ยวกับความคิดเห็นของนักท่องเที่ยวชาวไทยที่มีต่อคุณภาพการให้บริการของที่พักโฮสเทล ในกรุงเทพมหานคร พบว่า นักท่องเที่ยวมีความคิดเห็นด้านการดูแลเอาใจใส่ มากที่สุด รองลงมาคือ ด้านความไว้วางใจ ด้านความน่าเชื่อถือ ด้านสิ่งแวดล้อมที่พบเห็น และด้านการตอบสนองต่อความต้องการ ตามลำดับ</p> 2024-06-30T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารศิลปศาสตร์ราชมงคลพระนคร https://so07.tci-thaijo.org/index.php/LiberalJ/article/view/5204 การใช้นวัตกรรมและเทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อการบริหารสถานศึกษาในศตวรรษที่ 21 ของผู้บริหารโรงเรียนกลุ่มบางจากประชานิคม และวัดสุบรรณนิมิต สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาชุมพร เขต 1 2024-06-30T16:24:56+07:00 ณฐาพัชร์ วรพงศ์พัชร์ dr.thiwat@gmail.com ไมตรี เจียมรจนานนท์ dr.thiwat@gmail.com <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา 1) สภาพการใชันวัตกรรมและเทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อการบริหารสถานศึกษา ในศตวรรษที่ 21 ของผู้บริหารโรงเรียนกลุ่มบางจากประชานิคม และวัดสุบรรณนิมิต สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาชุมพร เขต 1 และ 2) การเปรียบเทียบการใช้นวัตกรรมและเทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อการบริหารสถานศึกษาในศตวรรษที่ 21 ของผู้บริหารโรงเรียนกลุ่มบางจากประชานิคม และวัดสุบรรณนิมิต สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาชุมพร เขต 1 ตามการประเมินของครูผู้สอน จำแนกตามระดับการศึกษาและประสบการณ์การทำงาน&nbsp; กลุ่มตัวอย่างในการวิจัย ได้แก่ ครู จำนวน 76 คน ใช้แบบสอบถามแบบมาตราส่วนประมาณค่า (Rating Scale) 5 ระดับเป็นเครื่องมือในการเก็บข้อมูล วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้ค่าความถี่และค่าร้อยละค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานและการวิเคราะห์เนื้อหา</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า (1) สภาพการใช้นวัตกรรมและเทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อการบริหารสถานศึกษา ในศตวรรษที่ 21 ของผู้บริหารโรงเรียนกลุ่มบางจากประชานิคม และวัดสุบรรณนิมิต สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาชุมพร เขต 1 โดยรวม อยู่ในระดับมาก (=3.85, S.D.=0.61) เมื่อพิจารณารายด้าน เรียงลำดับ ค่าเฉลี่ยจากมากไปหาน้อย ดังนี้ ค่าเฉลี่ยสูงสุด คือ ด้านการบริหารงานบุคคลอยู่ในระดับมาก (= 4.10, S.D.=0.58) รองลงมาคือ ด้านการบริหารงบประมาณอยู่ในระดับมาก (= 4.05, S.D.=0.61) ด้านการบริหารทั่วไป (&nbsp;=3.67, S.D.=0.62) และค่าเฉลี่ยต่ำสุด คือ ด้านการบริหารวิชาการอยู่ในระดับมาก (= 3.61, S.D.=0.64) (2) เปรียบเทียบการใช้นวัตกรรมและเทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อการบริหารสถานศึกษาในศตวรรษที่ 21 ของผู้บริหารโรงเรียนกลุ่มบางจากประชานิคม และวัดสุบรรณนิมิต สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาชุมพร เขต 1 ตามการประเมินของครูผู้สอน จำแนกตามระดับการศึกษาและประสบการณ์การทำงาน พบว่าไม่แตกต่างกัน</p> 2024-06-30T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารศิลปศาสตร์ราชมงคลพระนคร