วารสารศิลปศาสตร์ราชมงคลพระนคร
https://so07.tci-thaijo.org/index.php/LiberalJ
<p><strong>ที่ปรึกษา</strong></p> <p>ดร.ณัฐวรพล รัชสิริวัชรบุล อธิการบดีมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลพระนคร</p> <p>รองศาสตราจารย์ ดร.นัฐโชติ รักไทยเจริญชีพ รองอธิการบดีฝ่ายวิชาการและพัฒนาคณาจารย์</p> <p>ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.ยุทธภูมิ สุวรรณเวช คณบดีคณะศิลปศาสตร์</p> <p> </p>Faculty of Liberal Arts, Rajamangala University of Technology Phra Nakhon.th-THวารสารศิลปศาสตร์ราชมงคลพระนคร 3057-1049<p>วารสารศิลปศาสตร์ (วังนางเลิ้ง) มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลพระนคร อยู่ภายใต้การอนุญาตของคณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลพระนคร เว้นแต่จะได้รับอนุญาติเป็นอย่างอื่น</p>Translanguaging Practices Used by First-Year English for Business Communication Students at a University in Eastern Thailand
https://so07.tci-thaijo.org/index.php/LiberalJ/article/view/9491
<p>This study aimed to 1) explore the attitudes of the students majoring in English for Business Communication towards translanguaging practices in learning English, and 2) investigate the advantages of translanguaging practices perceived among English for Business Communication students at a university in Eastern Thailand. A mixed-method approach was employed, incorporating both quantitative (N = 64) by convenient sampling and qualitative (N = 10) by convenient selection. Data collection instruments were online questionnaires and semi-structured interview form. Quantitative data were analyzed using descriptive statistics (mean, and percentage), while qualitative data were examined through content analysis. This research article was part of a research project approved by Burapha University Research Ethics Committee Approval No.HU127/2567 (E2).</p> <p> The findings indicated that 1) most of the students felt motivated when lecturers used both English and Thai in classrooms (46.9%). Additionally, the significance of translanguaging practices was acknowledged to have a strong effect on the students, with an average rating of 3.95. Thus, the students felt that translanguaging allows them to connect prior knowledge (82.81%), followed by the influences on their daily communication (78.12%). Overall, the students found translanguaging practices beneficial for their English language learning, using it when necessary. The study suggests that instructors should integrate translanguaging strategies, particularly for students struggling with English. Encouraging a flexible English language approach in the classrooms could create a more inclusive and conducive English language learning environment.</p>Theerawat BoonchairojeSutthirak SuwandechaTanonrat Naktang
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารศิลปศาสตร์ราชมงคลพระนคร
https://so07.tci-thaijo.org/index.php/LiberalJ/issue/view/411
2025-10-312025-10-3152115การพัฒนาชุดกิจกรรมการเรียนรู้แบบร่วมมือด้วยเทคนิคสืบค้น (GI) เพื่อส่งเสริมการเรียนรู้วิชาอบชุบโลหะ
https://so07.tci-thaijo.org/index.php/LiberalJ/article/view/9492
<p>งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) พัฒนาชุดกิจกรรมการเรียนรู้แบบร่วมมือด้วยเทคนิคสืบค้น (GI) เพื่อส่งเสริมการเรียนรู้วิชาอบชุบโลหะ 2) เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนที่เรียนด้วยชุดกิจกรรมการเรียนรู้แบบร่วมมือด้วยเทคนิคสืบค้น (GI) เพื่อส่งเสริมการเรียนรู้วิชาอบชุบโลหะ และ 3) ประเมินความพึงพอใจของนักเรียนที่เรียนด้วยชุดกิจกรรมการเรียนรู้แบบร่วมมือด้วยเทคนิคสืบค้น (GI) เพื่อส่งเสริมการเรียนรู้วิชาอบชุบโลหะ กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ นักเรียนระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพ ชั้นปีที่ 2 แผนกช่างกลโรงงาน วิทยาลัยเทคนิคสมุทรปราการ จำนวน 2 กลุ่ม จำนวน 40 คน โดยแบ่งเป็นกลุ่มทดลอง และกลุ่มควบคุม ใช้การสุ่มแบบกลุ่ม (Cluster Random Sampling) เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยประกอบด้วย 1) ชุดกิจกรรมการเรียนรู้ 2) แบบประเมินความคิดเห็นของผู้เชี่ยวชาญต่อชุดกิจกรรม 3) แบบประเมินความพึงพอใจของนักเรียน และ 4) แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และทดสอบค่าที ผลการวิจัยพบว่า 1) ชุดกิจกรรมการเรียนรู้ที่พัฒนาขึ้นได้รับการประเมินความคิดเห็นจากผู้เชี่ยวชาญว่าอยู่ในระดับมากที่สุด (=4.54, =0.58) 2) นักเรียนที่เรียนด้วยชุดกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้เทคนิคกลุ่มสืบค้นมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนสูงกว่ากลุ่มควบคุมอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 และ 3) นักเรียนมีความพึงพอใจต่อชุดกิจกรรมการเรียนรู้ในระดับมาก (=4.50, =0.59)</p>ภัทรพล พูลสวัสดิ์ชลธิศ ปิติภูมิสุขสันต์ปราโมทย์ วีรานุกูล
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารศิลปศาสตร์ราชมงคลพระนคร
https://so07.tci-thaijo.org/index.php/LiberalJ/issue/view/411
2025-10-312025-10-31521630ส่วนประสมการตลาดเพื่อการส่งเสริมศักยภาพการท่องเที่ยวเชิงอาหารในจังหวัดจันทบุรี
https://so07.tci-thaijo.org/index.php/LiberalJ/article/view/9493
<p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1. ศึกษาลักษณะประชากรศาสตร์ของนักท่องเที่ยวชาวไทยที่เดินทางมาท่องเที่ยวในจังหวัดจันทบุรี 2. ศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างส่วนประสมทางการตลาดบริการกับพฤติกรรมการเดินทางมาท่องเที่ยวเชิงอาหารในจังหวัดจันทบุรี การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงปริมาณ กลุ่มตัวอย่างคือนักท่องเที่ยวชาวไทย ใช้การสุ่มตัวอย่างแบบโควต้าโดยมีการคัดกรองด้วยคำถามว่าต้องเป็นนักท่องเที่ยว จำนวน 400 คน โดยใช้แบบสอบถามเป็นเครื่องมือ สถิติที่ใช้ในการศึกษาคือ ค่าเฉลี่ย () ส่วนเบี่ยงเบนมาตราฐาน () และทดสอบสมมติฐาน โดยการทดสอบค่าที (T-Test) และการวิเคราะห์ความแปรปรวนทางเดียว (One-Way ANOVA or F-Test) ผลการวิจัยพบว่า</p> <p>1) นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่ที่เดินทางมาท่องเที่ยวเชิงอาหารในจังหวัดจันทบุรีคือ เพศหญิง อายุน้อยกว่าหรือเท่ากับ 30 ปี ระดับการศึกษาปริญญาตรีหรือต่ำกว่าอาชีพพนักงานบริษัทเอกชน รายได้อยู่ที่ 10,001-30,000 บาท 2) ส่วนประสมทางการตลาดบริการของนักท่องเที่ยว ได้แก่ อาหารมีรสชาติอร่อยถูกปากถูกใจ ราคาของอาหารมีความเหมาะสมกับปริมาณอาหารที่ได้รับ แหล่งท่องเที่ยวมีการจัดจำหน่ายสินค้าอาหารและวัตถุดิบท้องถิ่น ผู้ประกอบการร้านอาหารมีการโฆษณาในช่องทางต่างๆ มีการให้บริการที่รวดเร็ว มีความพร้อมในการให้บริการ พนักงานมีมนุษย์สัมพันธ์ดี รูปแบบร้านที่จำหน่ายอาหารท้องถิ่นดึงดูดใจ กิจกรรมการท่องเที่ยวเชิงอาหารในพื้นที่มีความเป็นเอกลักษณ์ การทดสอบสมมติฐานลักษณะประชากรศาสตร์ของนักท่องเที่ยวชาวไทยกับความคิดเห็นของปัจจัยส่วนประสมการตลาดบริการไม่แตกต่างกันที่ไม่มีนัยสำคัญทางสถิติ 0.05</p>ปุญญ์นิรันดร์ อังศุธีรกุลชวลีย์ ณ ถลางชุษณะ เตชคณา
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารศิลปศาสตร์ราชมงคลพระนคร
https://so07.tci-thaijo.org/index.php/LiberalJ/issue/view/411
2025-10-312025-10-31523144ลักษณะความเสี่ยงของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ในกลุ่มธนาคารพาณิชย์
https://so07.tci-thaijo.org/index.php/LiberalJ/article/view/9495
<p>ธนาคารพาณิชย์เป็นธุรกิจที่มีความเสี่ยงสูงและส่งผลกระทบต่อภาคเศรษฐกิจในประเทศ การศึกษาลักษณะความเสี่ยงของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยในกลุ่มธนาคารพาณิชย์ระหว่างปี 2561-2567 ได้ถูกรวบรวมข้อมูลจากแบบแสดงรายการข้อมูลประจำปี (56-1) ของธนาคารพาณิชย์ จำนวน 11 แห่ง พบว่าลักษณะความเสี่ยงในรอบ 7 ปี ของธนาคารพาณิชย์ที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ไทยมีการเปิดเผยเกี่ยวกับการบริหารจัดการทางการเงิน (Financial Risk) และด้านอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องที่เป็นประโยชน์ ต่อลูกค้า ผู้ลงทุน รวมถึงธนาคารพาณิชย์เอง</p> <p>จากการศึกษาลักษณะความเสี่ยงและผลกระทบจากความเสี่ยง ซึ่งศึกษาและเก็บข้อมูลจากการเปิดเผยความเสี่ยงในแบบ 56-1 พบความเสี่ยงของธนาคารพาณิชย์ 4 ด้าน ได้แก่ ความเสี่ยงด้านกลยุทธ์ ความเสี่ยงด้านปฏิบัติการ ความเสี่ยงด้านการรายงานและความเสี่ยงด้านการปฏิบัติตามกฎระเบียบ นอกจากนี้ยังพบความเสี่ยงที่สำคัญด้านสิ่งแวดล้อม สังคมและธรรมาภิบาล (ESG) ที่มีผลกระทบต่อความน่าเชื่อถือลดลง ธนาคารควรประเมินความเสี่ยงและทำแผนป้องกันความเสี่ยงเพื่อลดความเสียหายที่เกิดขึ้น</p>สมศรี เวิ่นทอง
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารศิลปศาสตร์ราชมงคลพระนคร
https://so07.tci-thaijo.org/index.php/LiberalJ/issue/view/411
2025-10-312025-10-31524553ความสัมพันธ์ของกิจกรรมนันทนาการที่ส่งผลต่อความสมดุลระหว่างชีวิต และการทำงานของบุคลากรสายสนับสนุนในมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง
https://so07.tci-thaijo.org/index.php/LiberalJ/article/view/9496
<p>การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงสำรวจ เพื่อศึกษาความสัมพันธ์ของกิจกรรมนันทนาการที่ส่งผลต่อความสมดุลระหว่างชีวิตและการทำงาน ของบุคลากรสายสนับสนุนในมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง โดยศึกษาจากกลุ่มประชากร จำนวน 353 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย เป็นแบบสอบถามเกี่ยวกับกิจกรรมนันทนาการที่ส่งผลต่อความสมดุลระหว่างชีวิตและการทำงาน สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน และค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์เพียร์สัน ผลการวิจัยพบว่า บุคลากรสายสนับสนุนโดยรวมมีความสมดุลระหว่างชีวิตและการทำงานอยู่ในระดับมาก ( = 4.07, = 0.56) และกิจกรรมนันทนาการที่เข้าร่วมมีความสัมพันธ์กับความสมดุลระหว่างชีวิตและการทำงาน โดยรวม r = .366 มีความสัมพันธ์เชิงบวกปานกลางในทิศทางเดียวกัน (Cohen, 1988) อย่างมีนัยสำคัญที่ .05</p>ศศิธร พุ่มพฤกษ์สุมนรตรี นิ่มเนติพันธ์
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารศิลปศาสตร์ราชมงคลพระนคร
https://so07.tci-thaijo.org/index.php/LiberalJ/issue/view/411
2025-10-312025-10-31525467Effectiveness of English Legal Terminology Learning via E-Books of Undergraduate Law Students in Songkhla Province
https://so07.tci-thaijo.org/index.php/LiberalJ/article/view/9497
<p>The purposes of this study were: 1) To examine student’s achievements of English legal terminology learning via E-Books 2) To measure students ’satisfaction of English legal terminology learning via E-Books. The participants were forty first-year law students at a university in Songkhla province, Thailand. The statistical methods used to analyze the data were frequency, mean (), Standard Deviation (), and T-test. The results of the study revealed that the student’s post-test scores were significantly different from their pre-test scores (p=0.00). The average pre-test score was 14.8 (S.D. 5.79), and the average post-test score was 33.25 (S.D. 3.62). The results showed that Learning legal terminology via e-books significantly enhances students’ comprehension of legal content and strengthens their ability to learn legal terms. The student satisfaction with learning in e-book was at the highest level (= 4.82, = 0.36).</p>Panithan PaensukSantiphap WongsaneChetsuda WansanitPhiraphat Sukyang
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารศิลปศาสตร์ราชมงคลพระนคร
https://so07.tci-thaijo.org/index.php/LiberalJ/issue/view/411
2025-10-312025-10-31526882การพัฒนาย่านสร้างสรรค์: กรณีศึกษาชุมชนพูนบำเพ็ญ
https://so07.tci-thaijo.org/index.php/LiberalJ/article/view/9499
<p>งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาบริบทชุมชนพูนบำเพ็ญต่อการพัฒนาเป็นย่านสร้างสรรค์ และเพื่อวิเคราะห์และเสนอแนะแนวทางต่อการพัฒนาเป็นย่านสร้างสรรค์ เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพ ผู้ให้ข้อมูลสำคัญ ได้แก่ ผู้นำชุมชน ปราชญ์ชาวบ้าน ตัวแทนแหล่งท่องเที่ยว และประชาชน จำนวน 16 ราย โดยใช้เครื่องมือคือแบบสัมภาษณ์แบบมีโครงสร้างและทำการเก็บรวบรวมข้อมูลด้วยการสัมภาษณ์เชิงลึก</p> <p> ผลการวิจัย พบว่า บริบทของชุมชนพูนบำเพ็ญมีศักยภาพในการพัฒนาเป็นย่านสร้างสรรค์ได้ เนื่องจากมีสภาพแวดล้อมทางกายภาพที่เป็นเอกลักษณ์ มีทุนทางวัฒนธรรมที่ได้มีการสั่งสมสืบทอดมาตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ผสานกับทุนทางปัญญาและทักษะการประยุกต์ที่ชุมชนพูนบำเพ็ญมีการนำมาใช้ในการสร้างสรรค์กิจกรรมเพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยว รวมถึงมีความเข้มแข็งของทุนมนุษย์ กล่าวคือ การมีผู้นำที่มีวิสัยทัศน์และการมีส่วนร่วมของคนในชุมชนซึ่งเป็นปัจจัยขับเคลื่อนที่สำคัญ โดยมีการสนับสนุนจากหน่วยงานภาครัฐและเอกชนอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเป็นทุนทางสังคมที่ช่วยยกระดับการพัฒนาชุมชนได้เป็นอย่างดี เงื่อนไขความสำเร็จของการพัฒนาย่านสร้างสรรค์ พบว่า ชุมชนพูนบำเพ็ญเป็นชุมชนที่มีศักยภาพในการพัฒนาทั้งผู้นำชุมชน การมีส่วนร่วม การสนับสนุนจากองค์กรภาครัฐและเอกชน และความสามารถในการพึ่งตนเองของชุมชน ดังนั้น การพัฒนาย่านสร้างสรรค์จะพัฒนาต่อยอดจากจุดแข็งให้มีศักยภาพมากยิ่งขึ้นด้วยการวางแผนระยะยาวในด้านต่างๆ ได้แก่ 1) สร้างและพัฒนาผู้นำรุ่นใหม่ 2) สื่อสารและสร้างประสบการณ์เรื่องราวของชุมชนสู่ภายนอก 3) ออกแบบกิจกรรมเชิงประสบการณ์ให้ดึงดูดความสนใจและการมีส่วนร่วมของทั้งคนในชุมชนและนักท่องเที่ยว 4) ส่งเสริมบทบาทเยาวชน ซึ่งทั้ง 4 แนวทางนี้ มีจุดมุ่งหมายเพื่อการเป็นย่านสร้างสรรค์และมีความยั่งยืน อย่างไรก็ตาม เพื่อเพิ่มศักยภาพในการพัฒนาย่านสร้างสรรค์ของชุมชนพูนบำเพ็ญและเพื่อให้สอดคล้องกับยุคปัจจุบันที่เครือข่ายสังคมออนไลน์มีอิทธิพลกับผู้คน การพัฒนาเครือข่ายสังคมออนไลน์ของชุมชน จะช่วยส่งเสริมและพัฒนาชุมชนสู่ย่านสร้างสรรค์ได้</p>ศิริมาศ ธราพรสกุลวงศ์ชุลีรัตน์ เจริญพร
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารศิลปศาสตร์ราชมงคลพระนคร
https://so07.tci-thaijo.org/index.php/LiberalJ/issue/view/411
2025-10-312025-10-31528397คุณภาพแอปพลิเคชั่นและทฤษฎีการรวมกันของการยอมรับและการใช้เทคโนโลยีที่มีผลต่อพฤติกรรมความตั้งใจใช้เทคโนโลยีของกลุ่มคนเจนเนอเรชั่น X, Y, Z
https://so07.tci-thaijo.org/index.php/LiberalJ/article/view/9500
<p>งานวิจัยมีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาลักษณะและระดับของคุณภาพแอพพลิเคชั่น รูปแบบทฤษฎีการรวมกันของการยอมรับและการใช้เทคโนโลยี และพฤติกรรมความตั้งใจใช้ของกลุ่มคนเจนเนอเรชั่น X, Y, Z 2) วิเคราะห์ความแตกต่างระดับค่าเฉลี่ยตัวแปรคุณภาพแอพพลิเคชั่น 3) วิเคราะห์อิทธิพลพยากรณ์ของคุณภาพแอพพลิเคชั่น และ 4) เสนอแนะการนำเสนอแอพพลิเคชั่นการท่องเที่ยวให้เกิดการตั้งใจใช้เทคโนโลยีของกลุ่มคนเจนเนอเรชั่น X, Y, Z เป็นการวิจัยแบบผสมผสาน เก็บข้อมูลจากกลุ่มตัวอย่าง 400 คน ด้วยแบบสอบถาม สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงปริมาณ ได้แก่ ความถี่ ร้อยละ ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน t-test และ Multiple Regression เพื่อวิเคราะห์อิทธิพล และการสัมภาษณ์ผู้ทรงคุณวุฒิ จำนวน 12 ท่าน เพื่อให้ได้ข้อมูลเชิงคุณภาพที่ช่วยอธิบายผลการวิจัยอย่างละเอียดและเพิ่มความน่าเชื่อถือ และใช้การวิเคราะห์เชิงเนื้อหา</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า คุณภาพแอปพลิเคชัน 4 องค์ประกอบ โดยรวมมีคุณภาพปานกลางถึงมาก และองค์ประกอบการจัดการด้วยตนเองมีความสำคัญสูงสุด เมื่อเปรียบเทียบความแตกต่างของคุณภาพแอพพลิเคชั่น การยอมรับเทคโนโลยี และความตั้งใจใช้เทคโนโลยีระหว่าง Gen X, Y, Z พบว่าระดับการศึกษาที่แตกต่างกันมีผลต่อตัวแปร โดยกลุ่มตัวอย่างที่มีการศึกษาระดับอนุปริญญามีการยอมรับคุณภาพแอพพลิเคชั่นสูงกว่ากลุ่มตัวอย่างที่มีการศึกษาระดับปริญญาตรีอย่างมีนัยสำคัญ และการวิเคราะห์อิทธิพลพบว่าการยอมรับเทคโนโลยีมีอิทธิพลต่อความตั้งใจใช้เทคโนโลยี ด้านข้อเสนอแนะในการพัฒนาแอพพลิเคชั่น เพื่อส่งเสริมความตั้งใจใช้เทคโนโลยีของคนแต่ละรุ่น ได้แก่ การพัฒนาลักษณะแอพพลิเคชั่น ด้านการเข้าถึงการสร้างบัญชี การรับฟัง การเขียน และการตอบคำถาม รวมถึงการพัฒนาการจัดการด้วยตนเอง โดยให้ผู้ใช้สามารถศึกษาและแก้ไขปัญหาเองได้ เลือกกิจกรรมที่สนับสนุนการใช้งานได้ พัฒนาทักษะการเรียนรู้ด้วยตนเอง และสร้างสรรค์ความรู้ใหม่ ๆ ได้</p>จินติยา จินารัตน์
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารศิลปศาสตร์ราชมงคลพระนคร
https://so07.tci-thaijo.org/index.php/LiberalJ/issue/view/411
2025-10-312025-10-315298112