https://so07.tci-thaijo.org/index.php/MCI/issue/feed วารสาร Media and Communication Inquiry 2025-08-31T21:38:06+07:00 โมไนยพล รณเวช Monaiphol@yahoo.com Open Journal Systems <p><strong>ISSN (Online)</strong> <strong>:</strong><em> 2697-5173</em><strong><br />ISSN (Print ) : </strong><em>2697-5084</em></p> <p><strong>กำหนดการออก :</strong> 2<em> ฉบับต่อปี ฉบับที่ 1 มกราคม-มิถุนายน, ฉบับที่ 2 กรกฎาคม – ธันวาคม</em></p> <p><strong>นโยบายและขอบข่ายการตีพิมพ์</strong> : <em>เป็นวารสารที่นำเสนอผลงานวิชาการประเภทบทความวิจัย และบทความวิชาการ ซึ่งมีสาระสำคัญที่เกี่ยวข้องกับสื่อหรือการสื่อสารในบริบทต่าง ๆ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นเวทีทางวิชาการให้กับอาจารย์นักวิชาการ และนักศึกษา จากสถาบันการศึกษาต่าง ๆ ได้มีโอกาสได้เผยแพร่ผลงานวิชาการของตนเองสู่สาธารณชน อันจะนำไปสู่การยกระดับศาสตร์ของสื่อและการสื่อสารให้มีองค์ความรู้ที่เข้มแข็ง และสามารถนำไปประยุกต์ใช้เพื่อประโยชน์ต่อชุมชน องค์การ และสังคมได้</em></p> https://so07.tci-thaijo.org/index.php/MCI/article/view/6405 ทบทวนความสัมพันธ์ของการสื่อสารองค์กร การสื่อสารในองค์การ การประชาสัมพันธ์ และการสื่อสารการตลาด 2025-03-26T14:38:19+07:00 ปาจารีย์ ปุรินทรวรกุล pajareep@go.buu.ac.th <p>บทความนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อขยายมุมมองต่อบทความเรื่อง “แนวทางสหสาขาวิชาชีพเพื่อความเข้าใจใหม่เกี่ยวกับการสื่อสารองค์กร” ของ Mazzei (2013) ที่นำเสนอความสัมพันธ์ระหว่างสาขาวิชาในลักษณะที่เท่าเทียมกัน โดยแสดงให้เห็นทั้งจุดร่วมและความแตกต่างของแต่ละสาขาซึ่งเป็นข้อมูลที่เป็นประโยชน์อย่างมากต่อแวดวงวิชาการในการจัดทำหลักสูตรหรือเป็นกรอบในการศึกษาวิจัย อย่างไรก็ตาม จากการทบทวนนิยาม ขอบเขต และความสัมพันธ์ระหว่างการสื่อสารองค์กร การสื่อสารในองค์การ การประชาสัมพันธ์ และการสื่อสารการตลาด พบว่า การสื่อสารทั้ง 4 สาขานี้มีระดับความครอบคลุมงานด้านการสื่อสารหรือความสามารถในเชิงการบริหารที่แตกต่างจากการอธิบายความสัมพันธ์เป็นระนาบเดียวกันในบริบทของสาขาวิชาในสถาบันการศึกษา โดยพบว่า การสื่อสารองค์กรมีเป้าหมาย ขอบเขตการทำงานที่ครอบคลุมการสื่อสารอื่น ๆ ขณะเดียวกันการสื่อสารการตลาดก็เป็นการสื่อสารอีกสาขาหนึ่งที่ได้รับความสำคัญในองค์กรธุรกิจ ดังนั้น แม้ท้ายที่สุดแล้ว บทความนี้จะนำเสนอให้การสื่อสารองค์กรมีบทบาทครอบคลุมการสื่อสารรูปแบบอื่น แต่ขณะเดียวกันก็ได้เปิดกว้างให้การสื่อสารทุกรูปแบบสามารถยกระดับความสำคัญที่มีต่อองค์กรได้ โดยเสนอให้พิจารณาเป้าหมาย ภารกิจ และกลุ่มผู้มีส่วนได้ส่วนเสียขององค์กรเป็นสำคัญ</p> 2025-07-30T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 คณะวารสารศาสตร์และสื่อสารมวลชน มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ https://so07.tci-thaijo.org/index.php/MCI/article/view/8234 อิทธิพลของความพึงพอใจในการทำงานที่มีต่อความผูกพันต่อองค์กร ของพนักงานเจเนอเรชัน Z 2025-06-28T14:48:29+07:00 กมลสร ชื่นศิวา kamonsorn.chu@dome.tu.ac.th กุลสินี สวัสดี kulsinee.saw@dome.tu.ac.th อนัญธิดา มีวุฒิ anuntida.mee@dome.tu.ac.th ภัทริน เพียงพิมพ์ pattarin.pie@dome.tu.ac.th พลอยนภัส บุญอดุลยรัตน ploynapat.boo@dome.tu.ac.th สิรินยา สุวรรณปักษ์ sirinya.suwa@dome.tu.ac.th พชรพร งามสินจำรัส pacharaporn.nga@dome.tu.ac.th ณัฐวัชร์ ดีพันธ์ nattawat.deep@gmail.com <p>&nbsp;การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาความพึงพอใจในการทำงานและความผูกพันต่อองค์กร ความแตกต่างระหว่างลักษณะทางประชากรกับความพึงพอใจในการทำงาน และอิทธิพลของความพึงพอใจในการทำงานที่มีต่อความผูกพันในองค์กรของพนักงานเจเนอเรชัน Z การวิจัยนี้เป็นการวิจัยเชิงปริมาณ โดยใช้แบบสอบถามออนไลน์เป็นเครื่องมือในการเก็บข้อมูลจากกลุ่มตัวอย่าง จำนวนทั้งสิ้น 283 คน</p> <p>&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; ผลการวิจัยพบว่า 1) พนักงานเจเนอเรชัน Z มีความพึงพอใจในการทำงานในภาพรวมอยู่ในระดับมาก 2) พนักงานเจเนอเรชัน Z มีความผูกพันในงานอยู่ในระดับปานกลาง 3) พนักงานเจเนอเรชัน Z ที่มีเพศและประเภทองค์กรแตกต่างกันจะมีความพึงพอใจในการทำงานแต่ละด้านและในภาพรวมไม่แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญ 4) พนักงานเจเนอเรชัน Z ที่มีรายได้ส่วนตัวต่อเดือนแตกต่างกันจะมีความพึงพอใจในการทำงานในภาพรวมแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .001 และ 5) ความพึงพอใจในการทำงานที่มีอิทธิพลต่อความผูกพันที่มีต่อองค์กรของพนักงานเจเนอเรชัน Z ในภาพรวม พบว่า ด้านลักษณะงาน ด้านค่าตอบแทน และด้านโอกาสและความก้าวหน้ามีอิทธิพลทางบวกต่อความผูกพันที่มีต่อองค์กรของพนักงานเจเนอเรชัน Z ในภาพรวม สามารถอธิบายความผันแปรของความผูกพันที่มีต่อองค์กรของพนักงานเจเนอเรชัน Z ในภาพรวมได้ร้อยละ 53.5 ตัวแปรที่มีอิทธิพลสูงสุด คือ ด้านลักษณะงาน</p> 2025-07-30T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 คณะวารสารศาสตร์และสื่อสารมวลชน มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ https://so07.tci-thaijo.org/index.php/MCI/article/view/6413 การเปิดรับสื่อ ทัศนคติ และพฤติกรรมการซื้อผลิตภัณฑ์ Mark Tuan ของแฟนคลับ 2025-03-16T20:16:46+07:00 พิชชาภา กันตพิชญาธร phitchaphanink@gmail.com โมไนยพล รณเวช monaiphol@yahoo.com <p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาการเปิดรับสื่อ ทัศนคติ และพฤติกรรมการซื้อผลิตภัณฑ์ Mark Tuan ของแฟนคลับ รวมถึงความสัมพันธ์ระหว่างการเปิดรับสื่อเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ Mark Tuan กับทัศนคติที่มีต่อ ผลิตภัณฑ์ และความสัมพันธ์ระหว่างทัศนคติกับพฤติกรรมการซื้อผลิตภัณฑ์ของแฟนคลับ การศึกษานี้เป็นการวิจัย เชิงปริมาณโดยใช้แบบสอบถามปลายปิดในการเก็บรวบรวมข้อมูลผ่านแบบสอบถามออนไลน์บนเว็บไซต์ Google Forms และเผยแพร่ผ่านสื่อโซเชียลมีเดียในกลุ่มแฟนคลับ MARK TUAN THE OTHER SIDE โดยกลุ่มตัวอย่างเป็น ผู้มีอายุ 18-60 ปี ซึ่งเปิดรับสื่อและเป็นผู้ซื้อผลิตภัณฑ์ของ Mark Tuan จำนวน 307 คน ผลการศึกษาพบว่า กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่เป็นเพศหญิง มีรายได้ส่วนตัวต่อเดือนในช่วง 40,001-50,000 บาท มีการเปิดรับสื่อออนไลน์เกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ในระดับมากที่สุด โดยเฉพาะสื่อ Instagram ซึ่งได้รับความนิยม สูงสุด</p> <p>นอกจากนี้ กลุ่มตัวอย่างมีทัศนคติเชิงบวกต่อผลิตภัณฑ์ในระดับสูง โดยเฉพาะในด้านความน่าสนใจของ ผลิตภัณฑ์และการส่งเสริมการตลาดที่ใช้พรีเซนเตอร์ที่มีชื่อเสียง ด้านพฤติกรรมการซื้อพบว่า กลุ่มตัวอย่างนิยมซื้อบัตรคอนเสิร์ตมากที่สุด และมีแนวโน้มจะซื้อผลิตภัณฑ์ ใหม่ของ Mark Tuan ในอนาคตอย่างต่อเนื่อง ผลการทดสอบสมมติฐานแสดงให้เห็นว่า การเปิดรับสื่อออนไลน์มี ความสัมพันธ์เชิงบวกกับทัศนคติที่มีต่อผลิตภัณฑ์ Mark Tuan อย่างมีนัยสำคัญ นอกจากนี้ ทัศนคติที่มีต่อ ผลิตภัณฑ์ยังมีความสัมพันธ์เชิงบวกกับพฤติกรรมการซื้อผลิตภัณฑ์ในทุกด้าน ทั้งด้านผลงานเพลง สินค้า Official Goods และบัตรคอนเสิร์ต</p> 2025-07-30T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 คณะวารสารศาสตร์และสื่อสารมวลชน มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ https://so07.tci-thaijo.org/index.php/MCI/article/view/8037 พฤติกรรมการเปิดรับสื่อออนไลน์เกี่ยวกับการท่องเที่ยวจังหวัดสมุทรสาคร และพฤติกรรมการท่องเที่ยวจังหวัดสมุทรสาคร ของนักท่องเที่ยวชาวไทย 2025-06-16T11:49:23+07:00 ศิรดา ตั้งจิตติพร sirada20262@gmail.com <p>การศึกษาเรื่องพฤติกรรมการเปิดรับสื่อออนไลน์เกี่ยวกับการท่องเที่ยวจังหวัดสมุทรสาคร และพฤติกรรมการท่องเที่ยวจังหวัดสมุทรสาคร ของนักท่องเที่ยวชาวไทย มีวัตถุประสงค์ 4 ประการ ได้แก่ เพื่อศึกษาพฤติกรรมการเปิดรับสื่อออนไลน์เกี่ยวกับการท่องเที่ยวจังหวัดสมุทรสาคร เพื่อศึกษาพฤติกรรมการท่องเที่ยวจังหวัดสมุทรสาคร ของนักท่องเที่ยวชาวไทย เพื่อศึกษาความแตกต่างของลักษณะทางประชากร กับพฤติกรรมการเปิดรับสื่อออนไลน์เกี่ยวกับการท่องเที่ยวจังหวัดสมุทรสาคร และเพื่อศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างพฤติกรรมการเปิดรับสื่อออนไลน์เกี่ยวกับการท่องเที่ยวจังหวัดสมุทรสาคร กับพฤติกรรมการท่องเที่ยวจังหวัดสมุทรสาคร ของนักท่องเที่ยวชาวไทย <br>การศึกษานี้เป็นการวิจัยในเชิงปริมาณ แบบการสำรวจ และใช้แบบสอบถามเป็นเครื่องมือในการเก็บข้อมูล โดยมีประชากรการศึกษาได้แก่ นักท่องเที่ยวชาวไทยที่มีอายุตั้งแต่ 18 ปีขึ้นไป และเคยเดินทางมาท่องเที่ยวในแหล่งท่องเที่ยวจังหวัดสมุทรสาคร ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2566 - ปัจจุบัน อย่างน้อย 1 ครั้ง โดยไม่ทราบจำนวนที่แน่นอน ผู้ศึกษาจึงได้เลือกทำการเก็บข้อมูล 270 ราย <br>ผลการศึกษาพบว่า นักท่องเที่ยวชาวไทยที่มีลักษณะทางประชากรแตกต่างกัน มีพฤติกรรมการเปิดรับสื่อออนไลน์เกี่ยวกับการท่องเที่ยวจังหวัดสมุทรสาครไม่แตกต่างกัน และพฤติกรรมการเปิดรับสื่อออนไลน์เกี่ยวกับการท่องเที่ยวจังหวัดสมุทรสาคร ไม่มีความสัมพันธ์กับพฤติกรรมการท่องเที่ยวจังหวัดสมุทรสาคร ของนักท่องเที่ยวชาวไทย</p> 2025-07-30T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 คณะวารสารศาสตร์และสื่อสารมวลชน มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ https://so07.tci-thaijo.org/index.php/MCI/article/view/8338 ภาพตัวแทนตัวร้ายมุสลิมในภาพยนตร์ไทย 2025-07-12T20:11:23+07:00 นาเดีย แหละตี nadialhaetee@gmail.com บัณฑูร พานแก้ว banthoon@tu.ac.th <p>การวิจัยเรื่อง “ภาพตัวแทนตัวร้ายมุสลิมในภาพยนตร์ไทย” เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพ โดยมุ่งศึกษากลวิธีการเล่าเรื่องในภาพยนตร์ไทย (Narrative) ว่ามีกลวิธีการนำเสนอให้มุสลิมรับบทบาทเป็นตัวร้ายอย่างไร และมุ่งศึกษาแนวคิดบูรพาคดีศึกษา (Orientalism) ซึ่งเป็นแนวคิดของชาวตะวันตกที่มีมุมมองด้อยค่าต่อชาวตะวันออก ผู้วิจัยจึงสนใจนำแนวคิดนี้มาวิเคราะห์ต่อว่าแนวคิดบูรพาคดีศึกษาจะทำช่วยติดตั้งชุดความคิดให้กับผู้ผลิตภาพยนตร์มีมุมมองชาวมุสลิมที่เป็นคนไทยด้วยกันเอง เหมือนกับที่ผู้ผลิตภาพยนตร์ตะวนตกมีต่อตะวันออกหรือไม่ โดยใช้วิธีการศึกษาด้วยการวิเคราะห์เนื้อหา เลือกลุ่มตัวอย่างภาพยนตร์ไทยที่มีการนำเสนอเนื้อหาเกี่ยวกับความเป็นมุสลิมจำนวน 3 เรื่อง ในช่วงปี 2558 – 2567 ได้แก่ ภาพยนตร์เรื่องขุนพันธ์ 1 (2559) ภาพยนตร์เรื่องของแขก (2566) และภาพยนตร์เรื่องแดนสาป (2567) ผลการวิจัยสรุปได้ดังนี้</p> <p>&nbsp;กลวิธีการเล่าเรื่องของภาพยนตร์ทั้ง 3 เรื่อง พบว่ามีกลวิธีในการเล่าเรื่องให้ตัวละครมุสลิมได้รับบทเป็นตัวร้าย ด้วยการทำให้พวกเขามีความแตกต่างจากตัวละครหลักด้วยการแต่งกาย การใช้ชื่อ และทำให้ชาวมุสลิมได้รับบทเป็นตัวร้ายมากขึ้นด้วยการเชื่อมโยงกับเรื่องไสยศาสตร์ นอกจากนั้นสิ่งสำคัญที่ทำให้ตัวละครมุสลิมได้รับบทเป็นตัวร้ายคือการทำให้ตัวละครเหล่านั้นมีปมในอดีตที่แสนเจ็บปวดจนเกิดเป็นความโกรธแค้น และฝังใจทำให้พวกเขากลายเป็นคนไม่ดีในภาพยนตร์ สำหรับแนวคิดบูรพาคดีศึกษา ซึ่งเป็นแนวคิดที่กล่าวถึงเรื่องความเป็นอื่นด้วย พบว่า แนวคิดบูรพาคดีศึกษาไม่ได้มีอิทธิพลต่อการสร้างภาพตัวแทนตัวร้ายมุสลิมในภาพยนตร์ไทยอย่างตรงไปตรงมา และไม่ได้มีบทบาทในการติดตั้งชุดความคิดให้ผู้ผลิตภาพยนตร์ไทยแบบตะวันตกที่มองโลกตะวันออกในเชิงลบ ทั้งนี้เพราะในภาพยนตร์บางเรื่อง มีการนำเสนอให้ชาวมุสลิมที่ถูกทำให้กลายเป็นความเป็นอื่น ได้รับบทบาทในฐานะผู้ช่วยเหลือ และไม่ได้ถูกจำกัดให้เป็นเพียงตัวร้ายหรือเป็นผู้ที่ถูกด้อยค่าเสมอไป จึงนำไปสู่ข้อถกเถียงที่ว่าภาพยนตร์ไทยอาจใช้มุมมองที่ยืดหยุ่นมากกว่าที่ปรากฏในภาพยนตร์ตะวันตกที่มีการผลิตซ้ำภาพเหมารวมต่อชาวมุสลิม</p> <p><strong>&nbsp;</strong></p> <p>&nbsp;</p> 2025-07-30T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 คณะวารสารศาสตร์และสื่อสารมวลชน มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ https://so07.tci-thaijo.org/index.php/MCI/article/view/8331 ปัจจัยส่วนประสมทางการตลาดที่มีความสัมพันธ์ต่อการตัดสินใจซื้อสินค้าผ่านแอปพลิเคชัน 7-Eleven Thailand ของประชาชนในเขตกรุงเทพมหานคร 2025-06-29T16:19:00+07:00 วิชญ์ธาวิน ภัทรตฤณพันธุ์ chanpathorn.can@hotmail.com คันธิรา ฉายาวงศ์ kantira9@tu.ac.th <p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) เพื่อศึกษาความแตกต่างของปัจจัยส่วนบุคคลที่มีความสัมพันธ์ต่อการตัดสินใจซื้อสินค้าผ่านแอปพลิเคชัน 7-Eleven Thailand ของประชาชนในเขตกรุงเทพมหานคร และ 2) เพื่อศึกษาความสัมพันธ์ของปัจจัยส่วนประสมทางการตลาดที่มีอิทธิพลต่อการตัดสินใจซื้อผ่านแอปพลิเคชัน 7-Eleven Thailand โดยใช้ระเบียบวิธีวิจัยเชิงปริมาณ ซึ่งมีแบบสอบถามออนไลน์เป็นเครื่องมือในการเก็บรวบรวมข้อมูลจากกลุ่มตัวอย่างซึ่งเป็นประชาชนในเขตกรุงเทพมหานครที่เคยใช้บริการแอปพลิเคชัน 7-Eleven Thailand จำนวน 400 คน</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า ปัจจัยส่วนบุคคล ได้แก่ เพศ อายุ ระดับการศึกษา อาชีพ และรายได้ที่แตกต่างกัน ไม่มีผลต่อการตัดสินใจซื้อสินค้าผ่านแอปพลิเคชัน 7-Eleven Thailand อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 ในขณะที่ปัจจัยส่วนประสมทางการตลาดสำหรับการพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ (6Ps) ทั้ง 6 ด้าน ได้แก่ ด้านผลิตภัณฑ์ (r = 0.718), ด้านราคา (r = 0.592), ด้านช่องทางการจัดจำหน่าย (r = 0.749), ด้านการส่งเสริมการตลาด (r = 0.692), ด้านการให้บริการส่วนบุคคล (r = 0.667) และด้านการรักษาความเป็นส่วนตัว (r = 0.676) มีความสัมพันธ์เชิงบวกกับการตัดสินใจซื้อสินค้าผ่านแอปพลิเคชัน 7-Eleven Thailand อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 โดยปัจจัยด้านช่องทางการจัดจำหน่ายมีความสัมพันธ์สูงสุด ผลการศึกษาชี้ให้เห็นว่าประสบการณ์โดยรวมบนแพลตฟอร์มออนไลน์เป็นปัจจัยสำคัญในการขับเคลื่อนการตัดสินใจซื้อ</p> 2025-07-30T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 คณะวารสารศาสตร์และสื่อสารมวลชน มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ https://so07.tci-thaijo.org/index.php/MCI/article/view/8333 การจัดวาระสารและการเล่าเรื่องข้ามสื่อของเพจโหนกระแส กรณีศึกษาดิไอคอน 2025-06-29T17:38:17+07:00 ปาณิสา เพ็ชรหล้า panisa.phe@dome.tu.ac.th บัณฑูร พานแก้ว banthoon@tu.ac.th <p>การวิจัยเรื่อง “การจัดวาระสารและการเล่าเรื่องข้ามสื่อของเพจโหนกระแส กรณีศึกษาดิไอคอน” เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพ โดยมุ่งศึกษาการจัดวาระสารในรายงานข่าวของเพจโหนกระแส และศึกษาการเล่าเรื่องข้ามสื่อระหว่างเพจและรายการ โดยใช้วิธีการศึกษาด้วยการวิเคราะห์เนื้อหา เลือกกลุ่มตัวอย่างแบบเฉพาะเจาะจง แบ่งเป็นข่าวที่รายงานในเพจ 406 ชิ้น และรายการ 10 ตอน ระหว่างวันที่ 1–31 ตุลาคม พ.ศ. 2567 ผลการวิจัยสรุปได้ดังนี้</p> <p>การจัดวาระสารในรายงานข่าวของเพจโหนกระแส พบว่า รูปแบบเนื้อหาที่เผยแพร่เป็นหลัก คือ ภาพพร้อมข้อความ พาดหัวข่าวแบบสรุปความให้ข้อมูล เนื้อหาข่าวแบบพีระมิดหัวกลับ ส่วนการจัดวาระสาร ในช่วงก่อนการจับกุมยึดหลักคุณค่าด้านความสำคัญและความเด่น รองลงมาคือด้านผลกระทบ โดยเพจเน้นรายงานเคลื่อนไหวของบุคคลที่เกี่ยวข้อง หน่วยงานและผลกระทบที่เกิดขึ้น ส่วนช่วงหลังการจับกุม รายงานโดยใช้หลักคุณค่าด้านความสำคัญและความเด่น เน้นรายงานความคืบหน้าทางคดี การขยายผลและเปิดประเด็นใหม่ จัดกรอบสารโดยใช้กรอบการตั้งสมมติฐานสาเหตุและกรอบการเสนอแนวทางแก้ไข โดยอัดฉีดสารผ่านการรายงานซ้ำ สำหรับการเล่าเรื่องข้ามสื่อ มีลักษณะเกื้อหนุนกัน โดยเพจทำหน้าที่จุดประเด็น ขณะที่รายการขยายเนื้อหาเชิงลึก ทั้งสองสื่อทำงานร่วมกันผ่านองค์ประกอบการแพร่กระจายและการขุดค้น ความต่อเนื่องและความหลากหลาย ซึ่งช่วยส่งเสริมให้เรื่องราวมีความชัดเจนและรักษาความสนใจของสาธารณชน</p> 2025-07-30T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 คณะวารสารศาสตร์และสื่อสารมวลชน มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ https://so07.tci-thaijo.org/index.php/MCI/article/view/6406 จัดการใจในโลกใบใหม่ด้วยหลัก “สโตอิก” กับพระพุทธศานา 2025-03-26T14:34:12+07:00 จันทรวรรณ ตระกุลผิว jantarawan.th@cmu.ac.th <p>บทความนี้มุ่งศึกษาปรัชญาสโตอิก (Stoicism) จากบทความวิชาการเรื่อง The Evolution of Stoicism: An Overview of Prominent Features and Discussions in Modern Stoicism ของ Christopher Sanchez ที่อธิบายแนวคิดที่เน้นการควบคุมตนเอง การยอมรับความไม่แน่นอน และการพัฒนาจิตใจให้เข้มแข็งผ่านการนำเสนอแนวคิดหลักของนักคิดสำคัญ หลังจากนั้นผู้เขียนได้นำแนวคิดจากบทความดังกล่าวมาวิเคราะห์ว่ามีความสอดคล้องกับหลักธรรมในพระพุทธศาสนา โดยเฉพาะเรื่องไตรลักษณ์ การปล่อยวาง และการมีสติ</p> <p>ในส่วนของบทความต้นฉบับมีเนื้อหาครอบคลุมการนำแนวคิดตั้งแต่ที่มาจนถึงการนำไปประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวัน เช่น การจัดการความเครียด การรับมือกับปัญหา การฝึกจิตใจให้เข้มแข็ง การสร้างสมดุลในชีวิต และการยึดมั่นในคุณธรรมเป็นเครื่องนำทางชีวิต อย่างไรก็ตามผู้เขียนได้อภิปรายถึงข้อโต้แย้งบางประการเกี่ยวกับสโตอิกเช่น การถูกมองว่าเฉยชาเกินไปหรือยอมจำนนต่อโชคชะตา พร้อมทั้งการเสนอแนวทางการตีความใหม่ในบริบทปัจจุบัน</p> <p>ผลการศึกษาชี้ให้เห็นว่า แนวคิดสโตอิกมีคุณค่าที่ยั่งยืนและสามารถนำไปใช้ร่วมกับหลักคำสอนของพระพุทธศาสนาเพื่อเสริมสร้างความสงบทางจิตใจ การปล่อยวางจากสิ่งที่ควบคุมไม่ได้ การดำเนินชีวิตอย่างมีคุณธรรมและสมดุล ซึ่งช่วยให้มนุษย์สามารถเผชิญกับความท้าทายของชีวิตได้อย่างเข้มแข็งและมีสติปัญญา</p> 2025-07-30T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 คณะวารสารศาสตร์และสื่อสารมวลชน มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์