https://so07.tci-thaijo.org/index.php/VRUJ/issue/feed วารสารครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏวไลยอลงกรณ์ 2024-05-01T00:00:00+07:00 กองบรรณาธิการ educationjournal@vru.ac.th Open Journal Systems <p style="user-select: auto;">วารสารครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏวไลยอลงกรณ์ (<strong style="user-select: auto;">Journal Of Education Studies Valaya Alongkorn Rajabhat University: </strong><strong>JES-VRU)</strong>โดยกำหนดพิมพ์เผยแพร่ปีการศึกษาละ 2 ฉบับ (มกราคม-มิถุนายน และ กรกฎาคม-ธันวาคม) คณะครุศาสตร์ จัดพิมพ์ขึ้นเพื่อเป็นการส่งเสริม สนับสนุนให้คณาจารย์ ข้าราชการ นักวิชาการศึกษาและนักศึกษา มหาวิทยาลัยราชภัฏวไลยอลงกรณ์ ในพระบรมราชูปถัมภ์ และสถาบันการศึกษาอื่น ๆ ได้มีโอกาสเสนอผลงานวิชาการ เพื่อเผยแพร่และแลกเปลี่ยนวิทยาการในสาขาศึกษาศาสตร์และสาขาที่เกี่ยวข้อง ซึ่งวารสารมีการตรวจสอบคุณภาพของบทความโดยผู้ทรงคุณวุฒิประเมินบทความ (Peer Review) ที่มีความเชี่ยวชาญในสาขาที่เกี่ยวข้องจากภายในและ/หรือภายนอกมหาวิทยาลัย จำนวน 3 ท่านต่อหนึ่งบทความ บทความที่ได้รับการตีพิมพ์เผยแพร่ต้องผ่านการอนุมัติจากผู้ทรงคุณวุฒิ 2 ใน 3 ท่าน เพื่อประเมินคุณภาพและความเหมาะสมของบทความว่าสมควรเผยแพร่ตีพิมพ์หรือไม่ ทั้งนี้ ผู้ทรงคุณวุฒิไม่ทราบชื่อผู้นิพนธ์ และผู้นิพนธ์ไม่ทราบชื่อผู้ทรงคุณวุฒิ (Double-Blinded Peer Review)</p> <p style="user-select: auto;"><strong style="user-select: auto;">ISSN:</strong> International Standard Serial Number หรือ เลขมาตราฐานสากลประจำวารสาร</p> <p style="user-select: auto;"><strong><a href="https://portal.issn.org/resource/ISSN/2821-9147">ISSN: 2821-9147 (Print)</a></strong><br /><strong>ISSN: 3027-6764 (Online)</strong></p> https://so07.tci-thaijo.org/index.php/VRUJ/article/view/2902 ความต้องการจำเป็นในการพัฒนาทักษะการบริหารของผู้บริหารสถานศึกษาสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาปทุมธานี 2023-11-06T09:52:32+07:00 เนตรนภิส สุขปลั่ง Netnapis.suk@vru.ac.th สีตลา สิงห์มโน Netnapis.suk@vru.ac.th ณัฐวุฒิ บุญนาค Netnapis.suk@vru.ac.th ชาญชัย วงศ์สิรสวัสดิ์ Netnapis.suk@vru.ac.th <p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาสภาพที่เป็นจริงและสภาพที่ควรจะเป็นในการพัฒนาทักษะการบริหารของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาปทุมธานี และ 2) จัดลำดับความต้องการจำเป็นในการพัฒนาทักษะการบริหารของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาปทุมธานี กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย คือ ครูสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาปทุมธานี โดยกำหนดขนาดตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยโดยใช้ตารางของ de Vaus ได้กลุ่มตัวอย่างจำนวน 250 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ แบบสอบถามแบบมาตราส่วนประมาณค่า (Rating Scale) ชนิด 5 ระดับ มีค่าความเที่ยงเท่ากับ 0.97 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และวิธีการวิเคราะห์ PNI<sub>modified</sub></p> <p>ผลการวิจัยพบว่า</p> <ol> <li>ความต้องการจำเป็นในการพัฒนาทักษะของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาปทุมธานี ในสภาพที่เป็นจริงและสภาพที่ควรจะเป็น มีความแตกต่างกัน โดยสภาพที่ควรจะเป็นมีค่าเฉลี่ยมากกว่าสภาพที่เป็นจริงทั้งภาพรวมและรายด้าน</li> <li>ผลการจัดลำดับความสำคัญของความต้องการจำเป็นในการพัฒนาทักษะของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาปทุมธานี พบว่า ค่าดัชนีลำดับความสำคัญของความต้องการจำเป็นมากที่สุด คือ (1) ทักษะทางมนุษย์ รองลงมาคือ (2) ทักษะด้านความรู้ความคิด (3) ทักษะทางความคิดรวบยอด (4) ทักษะทางด้านเทคนิค และ (5) ทักษะทางการศึกษาและการสอน ตามลำดับ</li> </ol> 2024-05-01T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏวไลยอลงกรณ์ https://so07.tci-thaijo.org/index.php/VRUJ/article/view/3207 ภาวะผู้นำเชิงนวัตกรรมของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครราชสีมา เขต 3 2023-11-06T09:55:07+07:00 ณฐาพัชร์ วรพงศ์พัชร์ dr.thiwat@gmail.com มณีพลอยไพริน พิศจะโปะ dr.thiwat@gmail.com <p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาภาวะผู้นำเชิงนวัตกรรมของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครราชสีมา เขต 3 และ 2) เพื่อเปรียบเทียบภาวะผู้นำเชิงนวัตกรรมของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครราชสีมา เขต 3จำแนกตามประสบการณ์ทำงาน และวุฒิการศึกษา การวิจัยนี้เป็นการวิจัยเชิงสำรวจ ประชากรที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ คือ ผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครราชสีมา เขต 3 ในปีการศึกษา 2565 จำนวน 270 คน กลุ่มตัวอย่าง คือ ผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครราชสีมา เขต 3 ในปีการศึกษา 2565 จำนวน 127 คน ทำการกำหนดขนาดตัวอย่างโดยใช้ตาราง เครนซี่และมอร์แกน โดยวิธีการสุ่มตัวอย่างแบบชั้นภูมิ ตามสัดส่วนของกลุ่มตัวอย่างในแต่ละโรงเรียนจนครบตามจำนวนที่กำหนด วิธีดำเนินการวิจัยมี 4 ขั้น ได้แก่ 1) ศึกษาปัญหาการวิจัย 2) การออกแบบการวิจัย 3) การเก็บรวบรวมข้อมูล และ 4) วิเคราะห์ข้อมูล การเขียนรายงานการวิจัย เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูลคือแบบสอบถามชนิดประมาณค่า 5 ระดับ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลได้แก่ 1) ความถี่ร้อยละ 2) ค่าเฉลี่ย 3) ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และ 4) ทดสอบสมมติฐานโดยการทดสอบค่าที</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า ภาวะผู้นำเชิงนวัตกรรมของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครราชสีมา เขต 3 พบว่า โดยรวมอยู่ในระดับมาก และการเปรียบเทียบภาวะผู้นำเชิงนวัตกรรมของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครราชสีมา เขต 3 จำแนกตามประสบการณ์ทำงาน และวุฒิการศึกษา ที่แตกต่างกัน มีความคิดเห็นต่อภาวะผู้นำเชิงนวัตกรรมของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครราชสีมา เขต 3 ที่ไม่แตกต่างกันทั้ง 4 ด้าน</p> 2024-05-01T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏวไลยอลงกรณ์ https://so07.tci-thaijo.org/index.php/VRUJ/article/view/3290 แนวโน้มของการสอนแบบการสืบเสาะหาความรู้ในวิทยาศาสตร์ 2023-11-06T13:32:35+07:00 กอปรกานต์ จำปางาม Kobkancham8@gmail.com ภัทรกร เจียงคง Kobkancham8@gmail.com มลฒาทิพย์ นวลน้อย Kobkancham8@gmail.com ปาริชาติ บุญทด Kobkancham8@gmail.com ศุภมัย พรหมแก้ว Kobkancham8@gmail.com <p>บทความนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาแนวโน้มของการสอนแบบการสืบเสาะหาความรู้ในวิทยาศาสตร์ในวารสาร Journal Science Teacher Education (JSTE) ซึ่งเป็นวารสารสำคัญของสมาคมวิทยาศาสตร์ครูวิทยาศาสตร์ศึกษาระยะเวลา 5 ปี ตั้งแต่ปี ค.ศ. 2018-2022 วิธีการทบทวนวรรณกรรมอย่างเป็นระบบ ในการวิเคราะห์และสังเคราะห์ข้อมูลงานวิจัย ประเด็นที่ได้ทำการศึกษา ได้แก่ ประเทศที่มีการสอนแบบสืบเสาะหาความรู้ กลุ่มเป้าหมายที่เกี่ยวข้องกับการสอนแบบสืบเสาะหาความรู้ กลยุทธ์การพัฒนาผู้สอนในการสอนแบบสืบเสาะหาความรู้ วิธีการสอนแบบสืบเสาะหาความรู้ที่นำมาใช้ วิเคราะห์ผลโดยหาค่าเฉลี่ยและร้อยละของข้อมูล ผลที่ได้จากการศึกษาพบว่า สหรัฐอเมริกาเป็นประเทศที่มีการตีพิมพ์งานวิจัยมากที่สุด กลุ่มเป้าหมายมุ่งเน้นไปที่ครูวิทยาศาสตร์มากที่สุด กลยุทธ์ที่พบว่ามีการถูกนำมาใช้ในทุกปี คือ การโค้ช (Coaching) แนวคิดการพัฒนาครูด้วยการโค้ช และวิธีการสอนที่พบว่ามีการนำมาใช้มากที่สุด คือ การจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ (5E) การเรียนการสอนแบบการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ประสบความสำเร็จสำหรับสหวิทยาการในบริบทห้องเรียนที่หลากหลาย ซึ่งผลที่ได้จากการศึกษาเพื่อให้ผู้วิจัยหรือนักการศึกษาทั่วไปได้เห็นทิศทางและแนวโน้มของการสอนแบบการสืบเสาะหาความรู้ ในวิทยาศาสตร์ในอดีตนำไปสู่การพัฒนาในอนาคต</p> 2024-05-01T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏวไลยอลงกรณ์ https://so07.tci-thaijo.org/index.php/VRUJ/article/view/3508 การวิเคราะห์องค์ประกอบเชิงยืนยันของทักษะการทำงานที่หลากหลายของบุคลากรสายสนับสนุน 2023-11-06T14:05:11+07:00 พรพรรณ ยอดเมือง ppym.241140@gmail.com วิชาดา พิมสอน ppym.241140@gmail.com ธนัญญา เสริมชูธรรม ppym.241140@gmail.com วรัญญา อุบลคำ ppym.241140@gmail.com ณัฐกานต์ ประจันบาน ppym.241140@gmail.com <p>การวิจัยในครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาโมเดลองค์ประกอบการพัฒนาทักษะการทำงานที่หลากหลายของบุคลากรสายสนับสนุนในมหาวิทยาลัยนเรศวร และเพื่อตรวจสอบความตรงเชิงโครงสร้างของโมเดลองค์ประกอบการพัฒนาทักษะการทำงานที่หลากหลายของบุคลากรสายสนับสนุนในมหาวิทยาลัยนเรศวร กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยเป็นบุคลากรสายสนับสนุนในมหาวิทยาลัยนเรศวร จำนวน 350 คน เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บข้อมูลเป็นแบบสอบถามแบบมาตรประมาณค่า 5 ระดับ จำนวน 25 ข้อ ซึ่งมีค่าความเชื่อมั่นเท่ากับ 0.851 และทำการวิเคราะห์ตรวจสอบองค์ประกอบเชิงยืนยันด้วยโปรแกรม M-plus</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า โมเดลการวัดทักษะการทำงานที่หลากหลายของบุคลากรสายสนับสนุนในมหาวิทยาลัยนเรศวร ประกอบด้วย 5 องค์ประกอบ ได้แก่ 1) ทักษะการสื่อสารด้านภาษา 2) ทักษะการคิดวิเคราะห์ 3) ทักษะการบริหารจัดการ 4) ทักษะการทำงานเป็นทีม และ 5) ทักษะด้านการใช้สื่อและเทคโนโลยี ซึ่งมีความสอดคล้องกับข้อมูลเชิงประจักษ์ โดยพิจารณาจากค่าดัชนีความสอดคล้อง คือ = 75.447, df = 59, <em>p–value</em> = 0.0732, RMSEA = 0.028, CFI = 0.998, TLI = 0.991, SRMR = 0.040 มีค่าน้ำหนักองค์ประกอบตั้งแต่ 0.340 ถึง 0.999 และมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 ทุกตัว แสดงว่าโมเดลการวัดทักษะการทำงานที่หลากหลายของบุคลากรสายสนับสนุนในมหาวิทยาลัยนเรศวร มีความตรงเชิงโครงสร้าง และองค์ประกอบแต่ละตัวร่วมกันอธิบายความผันแปรได้ร้อยละ 11.6 ถึง 99.8</p> 2024-05-01T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏวไลยอลงกรณ์ https://so07.tci-thaijo.org/index.php/VRUJ/article/view/3897 การพัฒนาความสามารถในการคิดคำนวณทางคณิตศาสตร์ เรื่อง การบวกและการลบจำนวนเต็ม โดยใช้การจัดการเรียนรู้แบบอุปนัยร่วมกับการใช้ บทเรียนมัลติมีเดีย สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 2024-01-05T15:36:02+07:00 เบญจมาศ สิงห์ธวัช benjamas.si@ksu.ac.th วรรณธิดา ยลวิลาศ wantida.yo@ksu.ac.th <p> งานวิจัยนี้เป็นงานวิจัยเชิงปฏิบัติการ มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาความสามารถในการคิดคำนวณทางคณิตศาสตร์ เรื่อง การบวกและการลบจำนวนเต็ม สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โดยใช้การจัดการเรียนรู้แบบอุปนัยร่วมกับการใช้บทเรียนมัลติมีเดีย ให้มีคะแนนอย่างน้อยร้อยละ 70 กลุ่มเป้าหมายที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ นักเรียนชั้นมัยมศึกษาปีที่ 1/3 จำนวน 30 คน โรงเรียนนามนพิทยาคม อำเภอนามน จังหวัดกาฬสินธุ์ ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2566 เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ 1) แผนการจัดการเรียนรู้มีค่าเฉลี่ยอยู่ระหว่าง 4.83-4.96 2) แบบทดสอบความสามารถในการคิดคำนวณทาง 3) แบบบันทึกหลังการสอน สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน </p> <p> ผลการวิจัยพบว่า ความสามารถในการคิดคำนวณทางคณิตศาสตร์ หลังการจัดการเรียนรู้แบบอุปนัยร่วมกับการใช้บทเรียนมัลติมีเดียเพิ่มขึ้น โดยในวงจรปฏิบัติการที่ 1 มีนักเรียนผ่านเกณฑ์ร้อยละ 70 จำนวน 22 คน คิดเป็นร้อยละ 73.33 วงจรปฏิบัติการที่ 2 มีนักเรียนผ่านเกณฑ์ร้อยละ 70 จำนวน 25 คน คิดเป็นร้อยละ 83.33 และวงจรปฏิบัติการที่ 3 มีนักเรียนผ่านเกณฑ์ ร้อยละ 70 จำนวน 28 คน คิดเป็นร้อยละ 93.33 การจัดการเรียนรู้แบบอุปนัยร่วมกับการใช้บทเรียนมัลติมีเดีย สามารถช่วยพัฒนาความสามารถในการคิดคำนวณทางคณิตศาสตร์เรื่องการบวกและการลบจำนวนเต็มของนักเรียนให้ดีขึ้น</p> 2024-05-01T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏวไลยอลงกรณ์ https://so07.tci-thaijo.org/index.php/VRUJ/article/view/3862 การสอนการพัฒนาซอฟต์แวร์ตามแนวคิดแบบ Agile 2024-01-16T16:12:17+07:00 นภารัตน์ ชูไพร napharatc66@nu.ac.th สุภาณี เส็งศรี supanees@nu.ac.th กอบสุข คงมนัส kobsookk@nu.ac.th <p>การสอนการพัฒนาซอฟต์แวร์โดยใช้แนวคิด Agile เป็นแนวคิดในการพัฒนาซอฟต์แวร์ที่ทำให้เกิดความรวดเร็ว สามารถปรับเปลี่ยนการทำงานได้ตลอดเวลา มีความยืดหยุ่น และมีการทำงานเป็นทีม เป็นวิธีในการบริหารจัดการเพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าให้ดีที่สุด ระเบียบวิธีแบบ Agile มีลักษณะการทำงานแบบวนซ้ำ เน้นย้ำการพัฒนา การทำงานร่วมกัน การยอมปรับการเปลี่ยนแปลง คำติชมของลูกค้าและมีการนำไปใช้อย่างกว้างขวางเพื่อความยืดหยุ่นและการปรับตัว ซึ่งการพัฒนาซอฟต์แวร์ตามแนวคิดแบบ Agile ประกอบด้วย 1) การศึกษาความต้องการของผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย 2) การวางแผนและออกแบบ 3) การพัฒนาซอฟต์แวร์ 4) การทดสอบการทำงานของซอฟต์แวร์ 5) การปรับปรุงซอฟต์แวร์ 6) การให้ข้อเสนอแนะความคิดเห็น และ 7) การประเมินผล โดยผู้สอนต้องเป็นผู้นำทางการเรียนรู้ มีการวางแผนการเรียนที่มีความยืดหยุ่น มีการทำงานเป็นทีม ส่งเสริมการเรียนรู้ด้วยตนเองให้กับผู้เรียน มีการสร้างบรรยากาศที่เป็นกันเอง เพื่อให้ผู้เรียนได้เรียนรู้เข้าใจหลักการของ Agile ที่สามารถนำไปใช้ในการพัฒนาซอฟต์แวร์ ซึ่งเป็นทักษะที่มีความจำเป็นในศตวรรษที่ 21 ที่ต้องพัฒนาสมรรถนะผู้เรียนให้ทันสมัยกับการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นรอบด้าน กว้างขวาง รู้เท่าทันโลก ก้าวทันความเจริญก้าวหน้าทางวิทยาการและเทคโนโลยี ต่อการเรียนรู้และการพัฒนาตนเองอย่างต่อเนื่องตลอดชีวิต สู่การเป็นคนไทยที่มีทักษะสูงเป็นนวัตกร นักคิด ผู้ประกอบการ เกษตรกรยุคใหม่</p> 2024-05-01T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏวไลยอลงกรณ์