วารสารครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏวไลยอลงกรณ์ https://so07.tci-thaijo.org/index.php/VRUJ <p style="user-select: auto;">วารสารครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏวไลยอลงกรณ์ (<strong style="user-select: auto;">Journal Of Education Studies Valaya Alongkorn Rajabhat University: </strong><strong>JES-VRU)</strong>โดยกำหนดพิมพ์เผยแพร่ปีการศึกษาละ 2 ฉบับ (มกราคม-มิถุนายน และ กรกฎาคม-ธันวาคม) คณะครุศาสตร์ จัดพิมพ์ขึ้นเพื่อเป็นการส่งเสริม สนับสนุนให้คณาจารย์ ข้าราชการ นักวิชาการศึกษาและนักศึกษา มหาวิทยาลัยราชภัฏวไลยอลงกรณ์ ในพระบรมราชูปถัมภ์ และสถาบันการศึกษาอื่น ๆ ได้มีโอกาสเสนอผลงานวิชาการ เพื่อเผยแพร่และแลกเปลี่ยนวิทยาการในสาขาศึกษาศาสตร์และสาขาที่เกี่ยวข้อง ซึ่งวารสารมีการตรวจสอบคุณภาพของบทความโดยผู้ทรงคุณวุฒิประเมินบทความ (Peer Review) ที่มีความเชี่ยวชาญในสาขาที่เกี่ยวข้องจากภายในและ/หรือภายนอกมหาวิทยาลัย จำนวน 3 ท่านต่อหนึ่งบทความ บทความที่ได้รับการตีพิมพ์เผยแพร่ต้องผ่านการอนุมัติจากผู้ทรงคุณวุฒิ 2 ใน 3 ท่าน เพื่อประเมินคุณภาพและความเหมาะสมของบทความว่าสมควรเผยแพร่ตีพิมพ์หรือไม่ ทั้งนี้ ผู้ทรงคุณวุฒิไม่ทราบชื่อผู้นิพนธ์ และผู้นิพนธ์ไม่ทราบชื่อผู้ทรงคุณวุฒิ (Double-Blinded Peer Review)</p> <p style="user-select: auto;"><strong style="user-select: auto;">ISSN:</strong> International Standard Serial Number หรือ เลขมาตราฐานสากลประจำวารสาร</p> <p style="user-select: auto;"><strong><a href="https://portal.issn.org/resource/ISSN/2821-9147">ISSN: 2821-9147 (Print)</a></strong><br /><strong>ISSN: 3027-6764 (Online)</strong></p> คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏวไลยอลงกรณ์ ในพระบรมราชูปถัมภ์ th-TH วารสารครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏวไลยอลงกรณ์ 2821-9147 การบริหารจัดการสภาพแวดล้อมการเรียนรู้ที่ปลอดภัยของโรงเรียนในยุควิถีถัดไป: รูปแบบ SAFTY-TR https://so07.tci-thaijo.org/index.php/VRUJ/article/view/4755 <p>บทความวิชาการนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อนำเสนอแนวคิดการบริหารจัดการสภาพแวดล้อมการเรียนรู้เทคโนโลยีดิจิทัลเพื่อส่งเสริมการจัดการเรียนรู้ในวิถีถัดไป ซึ่งประกอบด้วย (1) เครื่องมือที่ใช้ในการบริหารจัดการสภาพแวดล้อมการเรียนรู้ที่ปลอดภัยในยุควิถีถัดไป (2) รูปแบบการจัดการความปลอดภัยในโรงเรียนอย่างเป็นรูปธรรม (3) องค์ความรู้ใหม่เกี่ยวกับการใช้รูปแบบ SAFTY-TR ที่ประกอบด้วย 5 มิติ 6 องค์ประกอบ และ 7 ขั้นตอน โดยมีรายละเอียดดังนี้ 5 มิติ ได้แก่ มิติทางกายภาพ สุขภาพอนามัย จิตใจและสังคมการเรียน การสอน นวัตกรรมและเทคโนโลยี 6 องค์ประกอบ ได้แก่ การประเมินและการจัดการความเสี่ยง การสร้างวัฒนธรรมแห่งความปลอดภัย การจัดการสิ่งแวดล้อมทางกายภาพ การบูรณาการด้านเทคโนโลยี การสื่อสารและการฝึกอบรม เครือข่ายการมีส่วนร่วมของชุมชน และ 7 ขั้นตอน ได้แก่ สำรวจ วิเคราะห์ กำหนดนโยบาย ฝึกอบรม ผลิตผล ติดตาม และปรับปรุง โดยมีเป้าหมายเพื่อเสริมสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการเรียนรู้และการพัฒนาอย่างยั่งยืนของนักเรียนและผู้ปฏิบัติงานในโรงเรียนบทความวิชาการนี้เหมาะสำหรับผู้บริหารโรงเรียนที่มุ่งเป้าหมายเพื่อเสริมสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการเรียนรู้และการพัฒนา อย่างยั่งยืนของนักเรียนและผู้ปฏิบัติงานในโรงเรียน และสามารถนำองค์ความรู้ไปใช้ในการพัฒนาและรักษาความปลอดภัยในโรงเรียนได้อย่างมีประสิทธิภาพท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงของสังคมและเทคโนโลยีในปัจจุบันและอนาคต</p> วรพล ศรีเทพ ทรงยศ เพชรทอง Copyright (c) 2024 วารสารครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏวไลยอลงกรณ์ 2024-12-31 2024-12-31 2 2 1 14 การพัฒนาชุดกิจกรรมการเรียนรู้เพื่อพัฒนาทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ ขั้นบูรณาการ เรื่อง แสงเชิงคลื่น และเรื่อง แสงเชิงรังสี รหัส ว30203 วิชาฟิสิกส์ 3 (รายวิชาเพิ่มเติม) ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 https://so07.tci-thaijo.org/index.php/VRUJ/article/view/3826 <p>บทความวิจัยฉบับนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) พัฒนาชุดกิจกรรมการเรียนรู้ฯ 2) หาประสิทธิภาพของชุดกิจกรรมการเรียนรู้ ให้มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ 80/80 3) หาดัชนีประสิทธิผลของชุดกิจกรรมการเรียนรู้ ให้มีค่าดัชนีประสิทธิผลตั้งแต่ 0.50 ขึ้นไป 4) เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนและหลังเรียน ของนักเรียน 5) เปรียบเทียบทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ขั้นบูรณาการก่อนและหลังเรียนของนักเรียน และ 6) ศึกษาความพึงพอใจของนักเรียน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ประกอบด้วย 1) ชุดกิจกรรมการเรียนรู้ฯ 2) แผนการจัดการเรียนรู้ 3) แบบประเมินความสอดคล้องของชุดกิจกรรมการเรียนรู้ 4) แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน 5) แบบทดสอบวัดทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ขั้นบูรณาการ และ 6) แบบสอบถามความพึงพอใจ กลุ่มตัวอย่าง คือ ชั้น ม.5 จำนวน 36 คน ปีการศึกษา 2566 ภาคเรียนที่ 1 ที่ได้จากการสุ่มแบบแบ่งกลุ่ม แบบแผนวิจัยแบบทดลองกลุ่มเดียวที่มีการวัดผลก่อนและหลัง ผลวิจัยพบว่า 1) ชุดกิจกรรมฯ พัฒนาขึ้น 10 ชุด มีความสอดคล้องโดยมีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 0.93 2) ชุดกิจกรรมการเรียนรู้ มีประสิทธิภาพ <em>E<sub>1</sub>/E<sub>2</sub></em> มีค่าเท่ากับ 83.04/81.20 3) ชุดกิจกรรมฯ มีค่าดัชนีประสิทธิผลเท่ากับ 0.71 4) คะแนนผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 5) คะแนนทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ขั้นบูรณาการหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 และ 6) ภาพรวมนักเรียนมีความพึงพอใจอยู่ในระดับมากที่สุด</p> ทวิพงศ์ ศรีสุวรรณ Copyright (c) 2024 วารสารครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏวไลยอลงกรณ์ 2024-12-31 2024-12-31 2 2 15 30 การพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนคณิตศาสตร์ เรื่อง จำนวนเต็มของนักเรียน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โดยใช้การจัดการเรียนรู้แบบกิจกรรมเป็นฐาน ร่วมกับเทคนิคการเรียนรู้ร่วมกัน (LT) https://so07.tci-thaijo.org/index.php/VRUJ/article/view/3943 <p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนคณิตศาสตร์ เรื่องจำนวนเต็ม ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ก่อนและหลังได้รับการจัดการเรียนรู้แบบกิจกรรมเป็นฐานร่วมกับเทคนิคการเรียนรู้ร่วมกัน (LT) และ 2) เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนคณิตศาสตร์ เรื่อง จำนวนเต็มของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 หลังได้รับการจัดการเรียนรู้แบบกิจกรรมเป็นฐานร่วมกับเทคนิคการเรียนรู้ร่วมกัน (LT) กับเกณฑ์ร้อยละ 60 กลุ่มตัวอย่างในการวิจัยนี้เป็นนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนกาญจนาภิเษกวิทยาลัยฉะเชิงเทรา ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2566 จำนวน 29 คน ได้มาจากการสุ่ม ตัวอย่างแบบกลุ่ม เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แผนการจัดการเรียนรู้โดยใช้การเรียนรู้แบบกิจกรรม เป็นฐานร่วมกับเทคนิคการเรียนรู้ร่วมกัน (LT) และแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนคณิตศาสตร์สำหรับการทดสอบก่อนเรียนและหลังเรียน สถิติที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การทดสอบทีสำหรับกลุ่มตัวอย่างที่ไม่เป็นอิสระจากกัน และการทดสอบทีสำหรับกลุ่มตัวอย่างหนึ่งกลุ่ม</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า</p> <ol> <li>ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนคณิตศาสตร์ เรื่อง จำนวนเต็ม ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 <br />หลังได้รับการจัดการเรียนรู้แบบกิจกรรมเป็นฐานร่วมกับเทคนิคการเรียนรู้ร่วมกัน (LT) สูงกว่าก่อนได้รับการจัดการเรียนรู้อย่างมีนัยสําคัญทางสถิติที่ระดับ .01</li> <li>ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนคณิตศาสตร์ เรื่อง จำนวนเต็ม ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1<br />หลังได้รับการจัดการเรียนรู้แบบกิจกรรมเป็นฐานร่วมกับเทคนิคการเรียนรู้ร่วมกัน (LT) สูงกว่าเกณฑ์<br />ร้อยละ 60 อย่างมีนัยสําคัญทางสถิติที่ระดับ .01</li> </ol> มัสยา อยาดี สมพล พวงสั้น ณกัญญา พึ่งเกษม Copyright (c) 2024 วารสารครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏวไลยอลงกรณ์ 2024-12-31 2024-12-31 2 2 31 42 การสร้างชุดกิจกรรมการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ตามแนวคิดการสืบเสาะร่วมกับแนวคิดแบบจำลองเป็นฐาน เพื่อพัฒนาการผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิทยาศาสตร์ ของผู้เรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 https://so07.tci-thaijo.org/index.php/VRUJ/article/view/4001 <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) สร้างและหาประสิทธิภาพของชุดกิจกรรมการเรียนรู้ตามแนวคิด การสืบเสาะร่วมกับแนวคิดแบบจำลองเป็นฐาน เรื่อง ดวงอาทิตย์และโลก 2) เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิทยาศาสตร์ก่อนเรียนและหลังเรียนด้วยชุดกิจกรรมการเรียนรู้ตามแนวคิดการสืบเสาะร่วมกับแนวคิดแบบจำลองเป็นฐาน และ 3) เปรียบเทียบทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ขั้นพื้นฐานก่อนเรียนและหลังเรียนด้วยชุดกิจกรรมการเรียนรู้ตามแนวคิดการสืบเสาะร่วมกับแนวคิดแบบจำลองเป็นฐาน กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ ผู้เรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2564 โรงเรียนประถมศึกษาแห่งหนึ่งในจังหวัดปทุมธานี จำนวน 20 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ ชุดกิจกรรมการเรียนรู้ ตามแนวคิดการสืบเสาะร่วมกับแนวคิดแบบจำลองเป็นฐาน สถิติที่ใช้ ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ร้อยละ และ t-test for Dependent Samples ผลการวิจัยพบว่า 1) การจัดการเรียนรู้ด้วยชุดกิจกรรมการเรียนรู้ตามแนวคิดการสืบเสาะหาความรู้ร่วมกับการสร้างแบบจำลองเป็นฐานของผู้เรียนชั้นประถม ศึกษาปีที่ 3 มีค่าประสิทธิภาพ 81.62/83.62 ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์ที่กำหนดไว้ 80/80 2) ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังเรียนของผู้เรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 และ 3) ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์หลังเรียนของผู้เรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01</p> ดารณี หลวงประทุม วิษณุ สุทธิวรรณ Copyright (c) 2024 วารสารครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏวไลยอลงกรณ์ 2024-12-31 2024-12-31 2 2 43 58 การพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนคณิตศาสตร์ เรื่อง สมการกำลังสองตัวแปรเดียว ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ผ่านการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือ โดยใช้เทคนิค STAD ร่วมกับกระบวนการแก้ปัญหาตามแนวคิดของโพลยา https://so07.tci-thaijo.org/index.php/VRUJ/article/view/4211 <p>การวิจัยเรื่องนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ (1) ศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนคณิตศาสตร์ เรื่องสมการ กำลังสองตัวแปรเดียว ผ่านการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือโดยใช้เทคนิค STAD ร่วมกับกระบวนการแก้ปัญหาตามแนวคิดของโพลยา โดยเทียบกับเกณฑ์ร้อยละ 80 (2) เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ก่อนและหลังเรียน เรื่องสมการกำลังสองตัวแปรเดียว ผ่านการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือโดยใช้เทคนิค STAD ร่วมกับกระบวนการแก้ปัญหาตามแนวคิดของโพลยา กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย คือ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 จำนวน 28 คน ได้มาจากการสุ่มแบบกลุ่ม เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ 1) แผนการจัดการเรียนรู้วิชาคณิตศาสตร์ 2) แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนคณิตศาสตร์ เรื่องสมการกำลังสองตัวแปรเดียว สถิติในการวิเคราะห์หาข้อมูล ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และร้อยละ</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า</p> <ol> <li>ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง สมการกำลังสองตัวแปรเดียว ผ่านการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือโดยใช้เทคนิค STAD ร่วมกับกระบวนการแก้ปัญหาตามแนวคิดของโพลยา มีคะแนนคิดเป็นร้อยละ 88.75 ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์ที่กำหนดไว้ร้อยละ 80 อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05</li> <li>ผลการเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ก่อนและหลังเรียนการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือโดยใช้เทคนิค STAD ร่วมกับกระบวนการแก้ปัญหาตามแนวคิดของโพลยา เรื่อง สมการกำลังสองตัวแปรเดียว หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05</li> </ol> จิดาภา ฤทธิศร สมใจ ภูครองทุ่ง ฤทธิชัย พ่อไชยราช Copyright (c) 2024 วารสารครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏวไลยอลงกรณ์ 2024-12-31 2024-12-31 2 2 59 69 แนวโน้มการจัดการเรียนรู้โดยใช้เกมเป็นฐานในการสอนวิทยาศาสตร์ https://so07.tci-thaijo.org/index.php/VRUJ/article/view/4448 <p>การจัดการเรียนรู้โดยใช้เกมเป็นฐานในการสอนวิทยาศาสตร์มีวัตถุประสงค์เพื่อสังเคราะห์งานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับการจัดการเรียนรู้โดยใช้เกมเป็นฐานในการสอนวิทยาศาสตร์ โดยจำแนกประเด็นการสังเคราะห์เป็น 4 ประเด็น ได้แก่ 1. ศึกษาประเทศที่มีการใช้การจัดการเรียนรู้โดยใช้เกมเป็นฐานในการสอน วิทยาศาสตร์ 2. ศึกษากลุ่มเป้าหมายในงานวิจัยทางด้านการจัดการเรียนรู้โดยใช้เกมเป็นฐานในการสอนวิทยาศาสตร์ 3. ศึกษารูปแบบเกมที่นักวิจัยใช้ในการสอนวิทยาศาสตร์ และ 4. ศึกษาการพัฒนาสมรรถนะนักเรียนของนักวิจัย โดยมีวิธีการศึกษาแนวโน้มในปัจจุบันของงานวิจัยการจัดการเรียนรู้โดยใช้เกมเป็นฐานในการสอนวิทยาศาสตร์ ระยะเวลา 5 ปี ตั้งแต่ปี 2019-2023 โดยมี 4 ขั้นตอน ดังนี้ 1. เลือกงานวิจัย 2. ระบุและจัดหมวดหมู่ที่เป็นระบบ 3. การวิเคราะห์และสังเคราะห์ผลการศึกษา 4. สรุปผลและอภิปรายผล ซึ่งผลที่ได้จากการศึกษาแนวโน้มการจัดการเรียนรู้โดยใช้เกมเป็นฐานตลอดระยะเวลา 5 ปี พบว่า ประเทศสหรัฐอเมริกาเป็นประเทศที่มีการศึกษาวิจัยเกี่ยวกับการจัดการเรียนรู้โดยใช้เกมเป็นฐานในการสอนมากที่สุด โดยกลุ่มเป้าหมายของนักวิจัย คือ กลุ่มนักเรียน นักศึกษาครู และครู ซึ่งประเภทเกมที่นักวิจัยใช้ในการสอนวิทยาศาสตร์ที่มีการใช้มากที่สุด คือ 1) Digital Games 2) Video Games 3) Online Games 4) AR Games 5) Board Games 6) Mobile Games 7) VR Games และ 8) E-book Games ตามลำดับ โดยนักวิจัยใช้เกมในการพัฒนาผู้เรียนทั้ง 4 ด้าน คือ 1) การพัฒนาด้านความรู้ (Knowledge) 2) การพัฒนาด้านทักษะ (Skill) 3) การพัฒนาด้านคุณลักษณะอันพึงประสงค์ (Attitude) และ 4) ด้านทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ (Science Process Skill) โดยมีการปรับรูปแบบเกมให้เท่าทันยุคสมัยของผู้เรียน ซึ่งส่วนใหญ่เป็นเกมที่ผู้เรียนสามารถเข้าถึงได้ง่าย และสามารถบูรณาการความรู้ที่เกี่ยวข้องเพื่อให้บรรลุตามเป้าหมายของเกม แสวงหาวิธีการจบเกม ในส่วนนี้จะช่วยส่งเสริมให้ผู้เรียนเกิดความรู้ ความเข้าใจในเนื้อหาวิชาวิทยาศาสตร์ได้มากยิ่งขึ้น นำไปสู่การพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ทักษะการเรียนรู้ในด้านต่าง ๆ เพื่อให้ผู้เรียนสามารถเรียนรู้ได้ด้วยตัวเองและนำไปใช้ได้ต่อไปในอนาคต</p> วรัญญา คลังนุช อนุสสรา ประจันทร์คีรี จุฑารัตน์ มีถม ศุภมัย พรหมแก้ว Copyright (c) 2024 วารสารครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏวไลยอลงกรณ์ 2024-12-31 2024-12-31 2 2 70 85