วารสารศิลปะและวัฒนธรรมลุ่มแม่น้ำมูล https://so07.tci-thaijo.org/index.php/acj <div class="container-fluid"> <div class="container-fluid"> <div class="container-fluid"> <div class="container-fluid"><strong>วารสารศิลปะและวัฒนธรรมลุ่มแม่น้ำมูล (Arts and Culture Journal of the Lower Moon River)</strong><hr /> <div class="row"> <div class="col-sm-3" style="text-align: center; padding: 5px; box-shadow: 3px 2px 5px 0px rgba(86,82,82,0.30); -webkit-box-shadow: 3px 2px 5px 0px rgba(86,82,82,0.30); -moz-box-shadow: 3px 2px 5px 0px rgba(86,82,82,0.30);"><strong>ISSN</strong></div> <div class="col-sm-9">ISSN 2822 - 0617 (Online)<br />ISSN 2822 - 1141 (Print)</div> </div> <hr /> <div class="row"> <div class="col-sm-3" style="text-align: center; padding: 5px; box-shadow: 3px 2px 5px 0px rgba(86,82,82,0.30); -webkit-box-shadow: 3px 2px 5px 0px rgba(86,82,82,0.30); -moz-box-shadow: 3px 2px 5px 0px rgba(86,82,82,0.30);"><strong>วัตถุประสงค์วารสาร</strong></div> <div class="col-sm-9">วารสารมีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) เพื่อเผยแพร่ผลงานทางวิชาการและวิจัยของบุคลากรมหาวิทยาลัยและหน่วยงานจากภายนอกในรูปแบบสื่อสิ่งพิมพ์และรูปแบบออนไลน์ 2) เพื่อเป็นแหล่งสนับสนุนการศึกษา วิจัย บูรณาการองค์ความรู้ เพื่อการอนุรักษ์ ฟื้นฟู ส่งเสริม พัฒนา และเพิ่มคุณค่าของศิลปะ วัฒนธรรม และภูมิปัญญาท้องถิ่น และ 3) เพื่อสนองพันธกิจสำนักศิลปะและวัฒนธรรม และมหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์</div> </div> <hr /> <div class="row"> <div class="col-sm-3" style="text-align: center; padding: 5px; box-shadow: 3px 2px 5px 0px rgba(86,82,82,0.30); -webkit-box-shadow: 3px 2px 5px 0px rgba(86,82,82,0.30); -moz-box-shadow: 3px 2px 5px 0px rgba(86,82,82,0.30);"><strong>ขอบเขตวารสาร</strong></div> <div class="col-sm-9"> <p>ขอบเขตของวารสาร ดังนี้<br />- ศิลปวัฒนธรรม แหล่งเรียนรู้ และภูมิปัญญาท้องถิ่น<br />- สหวิทยาการมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์เพื่อการยกระดับคุณภาพวิถีชีวิต<br />- การศึกษาและบูรณาการศาสตร์เพื่อการอนุรักษ์และสืบสาน<br />- เศรษฐกิจสร้างสรรค์โดยใช้ทุนทางวัฒนธรรม<br />(<a href="https://so07.tci-thaijo.org/index.php/acj/about/submissions">รายละเอียดเพิ่มเติม</a>)</p> </div> </div> <hr /> <div class="row"> <div class="col-sm-3" style="text-align: center; padding: 5px; box-shadow: 3px 2px 5px 0px rgba(86,82,82,0.30); -webkit-box-shadow: 3px 2px 5px 0px rgba(86,82,82,0.30); -moz-box-shadow: 3px 2px 5px 0px rgba(86,82,82,0.30);"><strong>การรับรองคุณภาพ</strong></div> <div class="col-sm-9"> <p>วารสารได้ถูกจัดให้เป็น วารสารกลุ่มที่ 1 (TCI Tier 1)<br />โดย ศูนย์ TCI ให้คำรับรองคุณภาพวารสาร ตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค 68 - 31 ธ.ค 72</p> </div> </div> <hr /> <div class="row"> <div class="col-sm-3" style="text-align: center; padding: 5px; box-shadow: 3px 2px 5px 0px rgba(86,82,82,0.30); -webkit-box-shadow: 3px 2px 5px 0px rgba(86,82,82,0.30); -moz-box-shadow: 3px 2px 5px 0px rgba(86,82,82,0.30);"><strong>เจ้าของ</strong></div> <div class="col-sm-9"> <p>สำนักศิลปะและวัฒนธรรม มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์</p> </div> </div> <hr /> <div class="row"> <div class="col-sm-3" style="text-align: center; padding: 5px; box-shadow: 3px 2px 5px 0px rgba(86,82,82,0.30); -webkit-box-shadow: 3px 2px 5px 0px rgba(86,82,82,0.30); -moz-box-shadow: 3px 2px 5px 0px rgba(86,82,82,0.30);"><strong>ประเภทบทความ</strong></div> <div class="col-sm-9"> <p>บทความวิชาการ และบทความวิจัย</p> </div> </div> <hr /> <div class="row"> <div class="col-sm-3" style="text-align: center; padding: 5px; box-shadow: 3px 2px 5px 0px rgba(86,82,82,0.30); -webkit-box-shadow: 3px 2px 5px 0px rgba(86,82,82,0.30); -moz-box-shadow: 3px 2px 5px 0px rgba(86,82,82,0.30);"><strong>ภาษาบทความ</strong></div> <div class="col-sm-9"> <p>ภาษาไทยและภาษาอังกฤษ</p> </div> </div> <hr /> <div class="row"> <div class="col-sm-3" style="text-align: center; padding: 5px; box-shadow: 3px 2px 5px 0px rgba(86,82,82,0.30); -webkit-box-shadow: 3px 2px 5px 0px rgba(86,82,82,0.30); -moz-box-shadow: 3px 2px 5px 0px rgba(86,82,82,0.30);"><strong>วาระการออก</strong></div> <div class="col-sm-9">วารสารมีวาระออกปีละ 3 ฉบับ ได้แก่<br />ฉบับที่ 1 ประจำเดือน มกราคม - เมษายน<br />ฉบับที่ 2 ประจำเดือน พฤษภาคม - สิงหาคม<br />ฉบับที่ 3 ประจำเดือน กันยายน - ธันวาคม</div> </div> <hr /> <div class="row"> <div class="col-sm-3" style="text-align: center; padding: 5px; box-shadow: 3px 2px 5px 0px rgba(86,82,82,0.30); -webkit-box-shadow: 3px 2px 5px 0px rgba(86,82,82,0.30); -moz-box-shadow: 3px 2px 5px 0px rgba(86,82,82,0.30);"><strong>จำนวนบทความต่อฉบับ</strong></div> <div class="col-sm-9"> <p>วารสารเปิดรับ 16 - 20 บทความ ต่อฉบับ โดยจะเริ่มตั้งแต่ปี 2568 เป็นต้นไป </p> </div> </div> <hr /> <div class="row"> <div class="col-sm-3" style="text-align: center; padding: 5px; box-shadow: 3px 2px 5px 0px rgba(86,82,82,0.30); -webkit-box-shadow: 3px 2px 5px 0px rgba(86,82,82,0.30); -moz-box-shadow: 3px 2px 5px 0px rgba(86,82,82,0.30);"><strong>การประเมินคุณภาพของบทความ</strong></div> <div class="col-sm-9"> <p>บทความที่ส่งเข้ามาจะได้รับการประเมินคุณภาพของบทความ โดยผู้ประเมินซึ่งเป็นผู้ทรงคุณวุฒิในสาขาที่เกี่ยวข้อง จำนวน 3 ท่าน ซึ่งพิจารณาแบบปกปิดรายชื่อทั้งผู้เขียนบทความ ผู้ประเมิน และผู้ที่เกี่ยวข้อง (Double Blind Review) ทั้งนี้วารสารจะดำเนินงานตามกรอบจริยธรรมการตีพิมพ์ผลงานในวารสารวิชาการ (Publication Ethics) อย่างเคร่งครัด</p> </div> </div> <hr /> <div class="row"> <div class="col-sm-3" style="text-align: center; padding: 5px; box-shadow: 3px 2px 5px 0px rgba(86,82,82,0.30); -webkit-box-shadow: 3px 2px 5px 0px rgba(86,82,82,0.30); -moz-box-shadow: 3px 2px 5px 0px rgba(86,82,82,0.30);"><strong>ระยะเวลาการดำเนินงานวารสาร</strong></div> <div class="col-sm-9"> <table style="border-collapse: collapse; width: 100%;"> <tbody> <tr style="text-align: left; padding: 8px;"> <td style="text-align: left; padding: 8px; width: 33.4%;">6 Days</td> <td style="text-align: left; padding: 8px; width: 33.4%;">35 Days</td> <td style="text-align: left; padding: 8px; width: 33.4%;">65 Days</td> </tr> <tr style="background-color: #f2f2f2;"> <td style="text-align: left; padding: 8px; width: 33.4%;">Time to initial review</td> <td style="text-align: left; padding: 8px; width: 33.4%;">Review time</td> <td style="text-align: left; padding: 8px; width: 33.4%;">Submission to acceptance</td> </tr> </tbody> </table> </div> </div> <hr /> <div class="row"> <div class="col-sm-3" style="text-align: center; padding: 5px; box-shadow: 3px 2px 5px 0px rgba(86,82,82,0.30); -webkit-box-shadow: 3px 2px 5px 0px rgba(86,82,82,0.30); -moz-box-shadow: 3px 2px 5px 0px rgba(86,82,82,0.30);"><strong>ค่าธรรมเนียมในการตีพิมพ์บทความ (Article Processing Charge)</strong></div> <div class="col-sm-9"> <p>- บทความวิจัย/ บทความวิชาการ ภาษาไทย 5,000 บาท/ บทความ (ประมาณ 160 USD)<br />- บทความวิจัย/ บทความวิชาการ ภาษาอังกฤษ 6,000 บาท/ บทความ (ประมาณ 190 USD)</p> </div> </div> <hr /> <div class="row"> <div class="col-sm-3" style="text-align: center; padding: 5px; box-shadow: 3px 2px 5px 0px rgba(86,82,82,0.30); -webkit-box-shadow: 3px 2px 5px 0px rgba(86,82,82,0.30); -moz-box-shadow: 3px 2px 5px 0px rgba(86,82,82,0.30);"><strong>ขั้นตอนการส่งบทความและชำระค่าธรรมเนียม</strong></div> <div class="col-sm-9"> <p>1. ขอให้ผู้นิพนธ์ส่งไฟล์เอกสารผ่านระบบ ThaiJo ประกอบด้วย<br /> 1.1 บทความวิจัย/บทความวิชาการ ในรูปแบบไฟล์ Word จำนวน 1 ไฟล์<br /> 1.2 แบบฟอร์มส่งบทความ จำนวน 1 ไฟล์</p> <p>2. เมื่อส่งไฟล์เอกสารครบถ้วนแล้ว ทางกองบรรณาธิการจะพิจารณาบทความเบื้องต้น (First Decision) หากผ่านการพิจารณาบทความเบื้องต้น ทางวารสารจะแจ้งผ่านระบบวารสาร ให้ชำระค่าธรรมเนียมในการตีพิมพ์วารสารก่อนส่งประเมินคุณภาพบทความ</p> <p>ทั้งนี้ วารสารขอยกเลิกและปฏิเสธการรับพิจารณาประเมินบทความ หากผู้นิพนธ์ส่งไฟล์เอกสารไม่ครบถ้วน บทความไม่ได้อยู่ในขอบเขตวารสาร หรือบทความมีรูปแบบอ้างอิงไม่เป็นไปตามที่วารสารกำหนด</p> <p>3. เมื่อชำระค่าธรรมเนียมเรียบร้อยแล้ว กรุณาจัดส่งหลักฐานการชำระเงินผ่านระบบวารสาร โดยระบุ 1) ชื่อ - สกุล ผู้นิพนธ์ 2) ชื่อบทความ 3) สลิปการโอน</p> <p>ทั้งนี้ การชำระค่าธรรมเนียมในการตีพิมพ์บทความทุกรายการ เป็นค่าดำเนินการของวารสาร ซึ่งหากบทความของท่านไม่ผ่านการพิจารณาให้ตีพิมพ์ลงในวารสารศิลปะและวัฒนธรรมลุ่มแม่น้ำมูล จากผู้ทรงคุณวุฒิ จำนวน 3 ท่าน และถูกปฏิเสธการลงตีพิมพ์ (Rejected) ทางวารสารจะไม่คืนเงินค่าตีพิมพ์วารสารดังกล่าว</p> </div> </div> <hr /> <div class="row"> <div class="col-sm-3" style="text-align: center; padding: 5px; box-shadow: 3px 2px 5px 0px rgba(86,82,82,0.30); -webkit-box-shadow: 3px 2px 5px 0px rgba(86,82,82,0.30); -moz-box-shadow: 3px 2px 5px 0px rgba(86,82,82,0.30);"><strong>หมายเลขบัญชี</strong></div> <div class="col-sm-9"> <p>ชื่อบัญชี มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ (บกศ2)<br />ชื่อธนาคาร ธนาคารกรุงเทพ ประเภท เงินฝากออมทรัพย์<br />เลขที่บัญชี 644-0-30330-0<br />Swift Code: BKKBTHBK</p> </div> </div> </div> <hr /></div> </div> </div> th-TH <p>บทความทุกเรื่องที่ตีพิมพ์ในรูปแบบ เปิดให้เข้าถึง (Open Access) ภายใต้สัญญาอนุญาต CC BY-NC-ND 4.0 จะสามารถเข้าถึงได้ฟรีทันทีและอย่างถาวรสำหรับทุกคน โดยผู้อ่านสามารถอ่าน ดาวน์โหลด ทำสำเนา แจกจ่าย พิมพ์ ค้นหา หรือเชื่อมโยงไปยังบทความได้โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย การใช้งานอนุญาตเฉพาะเพื่อวัตถุประสงค์ที่ไม่แสวงหากำไร (ไม่อนุญาตการใช้เพื่อการค้า) และต้องไม่ทำการดัดแปลงแก้ไขผลงาน (ไม่อนุญาตการดัดแปลง) การเข้าถึงไม่จำเป็นต้องขออนุญาตล่วงหน้าจากสำนักพิมพ์หรือผู้แต่ง ทั้งนี้ต้องมีการอ้างอิงถึงแหล่งตีพิมพ์ต้นฉบับอย่างถูกต้องและเหมาะสม</p> acj.lmr@srru.ac.th (Dr.Wijittra Potisarn) acj.lmr@srru.ac.th (Miss Narudee Plaengdee) Wed, 03 Sep 2025 00:00:00 +0700 OJS 3.3.0.8 http://blogs.law.harvard.edu/tech/rss 60 การพัฒนาศูนย์การเรียนรู้ออนไลน์เพื่อส่งเสริมอาชีพการทำธุงอีสานสำหรับชุมชนในอำเภอกมลาไสย จังหวัดกาฬสินธุ์ โดยใช้การออกแบบแบบมีส่วนร่วมเป็นฐาน https://so07.tci-thaijo.org/index.php/acj/article/view/7313 <p>การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยและพัฒนา (R&amp;D) มีความมุ่งหมายของการวิจัยเพื่อพัฒนาศูนย์การเรียนรู้ออนไลน์เพื่อส่งเสริมอาชีพการทำธุงอีสาน สำหรับชุมชนในอำเภอกมลาไสย จังหวัดกาฬสินธุ์ โดยใช้การออกแบบแบบมีส่วนร่วมเป็นฐาน แบ่งระยะการวิจัยออกเป็น 4 ระยะ กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย จำนวน 117 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ประกอบด้วย (1) แบบสัมภาษณ์ความต้องการของผู้เรียน (2) แบบสัมภาษณ์ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องเกี่ยวกับองค์ประกอบและการออกแบบศูนย์การเรียนรู้ออนไลน์ (3) แผนการจัดการเรียนรู้ (4) ศูนย์การเรียนรู้ออนไลน์ (5) แบบประเมินประสิทธิภาพของศูนย์การเรียนรู้ออนไลน์ (6) แบบประเมินผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน (7) แบบประเมินทักษะปฏิบัติ และ(8) แบบประเมินความพึงพอใจต่อศูนย์การเรียนรู้ออนไลน์ ผลการวิจัย พบว่า 1) ผลความต้องการศูนย์การเรียนรู้ออนไลน์ พบว่า ผู้เรียนมีความต้องการในการนำเนื้อหาการทำธุงอีสาน และสามารถให้ความรู้ผ่านแอพลิเคชันไลน์ 2) ผลการออกแบบของศูนย์การเรียนรู้ออนไลน์ พบว่า ระบบศูนย์การเรียนรู้ออนไลน์เพื่อส่งเสริมอาชีพการทำธุงอีสาน ประกอบด้วย (1) ระบบการลงทะเบียนและยืนยันตัวตน (2) ระบบคู่มือการใช้ของผู้เรียนและผู้สอน (3) ระบบการจัดการเนื้อหาเอกสาร(4) ระบบการจัดการวิดีทัศน์เพื่อการศึกษา (5) ระบบแหล่งข้อมูลสนับสนุน (6) ระบบสื่อสารผ่านสื่อสังคมออนไลน์ (7) ระบบคลังข้อสอบ (8) ระบบการติดตามและประเมินผล 3) ผลการใช้ศูนย์การเรียนรู้ออนไลน์ พบว่า กลุ่มทดลองมีความก้าวหน้าทางการเรียนรู้ คิดเป็นร้อยละ 76.39 ผ่านเกณฑ์คะแนนพุทธิพิสัยในระดับดี กลุ่มทดลองมีคะแนนทักษะปฏิบัติ ค่าเฉลี่ยร้อยละ 85.38 ผ่านเกณฑ์คะแนนทักษะปฏิบัติในระดับดีมาก และกลุ่มทดลองมีความพึงพอใจต่อศูนย์การเรียนรู้ออนไลน์ โดยภาพรวมอยู่ในระดับมากที่สุด</p> เนติรัฐ วีระนาคินทร์, เทพพร มูลเหลา ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารศิลปะและวัฒนธรรมลุ่มแม่น้ำมูล https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so07.tci-thaijo.org/index.php/acj/article/view/7313 Tue, 16 Sep 2025 00:00:00 +0700 ทุนทางวัฒนธรรมสี่เผ่าไทไพรบึง จังหวัดศรีสะเกษ https://so07.tci-thaijo.org/index.php/acj/article/view/8009 <p>การวิจัยครั้งนี้เป็นการศึกษาบริบทชุมชนและข้อมูลเบื้องต้นเกี่ยวกับทุนทางวัฒนธรรมของกลุ่มชาติพันธุ์สี่เผ่าไทศรีสะเกษ ในพื้นที่อำเภอไพรบึง จังหวัดศรีสะเกษ เพื่อค้นหาทุนทางวัฒนธรรมที่ทรงคุณค่า และเป็นเอกลักษณ์ของอำเภอไพรบึง โดยการศึกษาครั้งนี้ใช้วิธีวิจัยเชิงคุณภาพ มีกลุ่มเป้าหมาย คือ ประชากรในอำเภอไพรบึง จังหวัดศรีสะเกษ คัดเลือกโดยใช้วิธีสุ่มตัวอย่างแบบเจาะจง โดยการคัดเลือกผู้นำท้องถิ่น ผู้นำชุมชน ศิลปิน ช่างฝีมือท้องถิ่น และปราชญ์ชุมชน รวมทั้งสิ้น 85 คน ใช้วิธีการศึกษาโดยการประชุมกลุ่มย่อย การสัมภาษณ์ และการสำรวจพื้นที่ ผลการวิจัย พบว่า ทุนทางวัฒนธรรมของกลุ่มชาติพันธุ์สี่เผ่าไทศรีสะเกษ ในพื้นที่อำเภอไพรบึง หรือเรียกอีกชื่อว่า สี่เผ่าไทไพรบึง ยังมีความแนบแน่นกับสายสัมพันธ์ที่เป็นจิตวิญญาณตามความเชื่อดั้งเดิมจากบรรพชน ที่เป็นความเชื่อเกี่ยวกับผีบรรพบุรุษ และผีถือว่าเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ประจำชุมชน จากทุนทางวัฒนธรรมดังกล่าวก่อให้เกิดประเพณี และพิธีกรรมต่าง ๆ ที่เป็นเอกลักษณ์ของสี่เผ่าไทไพรบึง แบ่งเป็นทุนทางวัฒนธรรม 8 ด้าน ได้แก่ 1) โบราณสถาน 2) ภูมิปัญญาการทอผ้าพื้นเมือง 3) เสลิก 4) เครื่องแต่งกายกลุ่มชาติพันธุ์สี่เผ่าไทไพรบึง 5) หมอช้างและพิธีปะกำ 6) ประเพณีปังอ๊อกเปรี๊ยะแค 7) พิธีกรรมรำบำบัดโรค และ 8) ศิลปะการแสดงพื้นบ้าน ซึ่งข้อมูลทุนทางวัฒนธรรมเหล่านี้ได้ไปปรากฏในนิทรรศการสี่เผ่าไท ในพิพิธภัณฑ์ “พิพิธศรีสะเกษ” อีกทั้งเป็นทุนในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ชุมชนและเทศกาล “สี่เผ่าไทไพรบึง” เทศกาลประจำปีของอำเภอไพรบึงในปัจจุบัน</p> อุมาพร ประชาชิต, กิจติพงษ์ ประชาชิต, เชิดศักดิ์ ฉายถวิล ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารศิลปะและวัฒนธรรมลุ่มแม่น้ำมูล https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so07.tci-thaijo.org/index.php/acj/article/view/8009 Sat, 25 Oct 2025 00:00:00 +0700 Knowledge Management with English Language Skills in Religious Tourism Destinations, Chiang Rai Province https://so07.tci-thaijo.org/index.php/acj/article/view/8042 <p>This research aimed to study the community's English language knowledge management in Buddhist archaeological sites in Chiang Rai. It sought to establish knowledge management approaches regarding English skills for communities in these Buddhist archaeological sites, using knowledge management processes. Additionally, it aimed to propose strategies for managing English language knowledge in Chiang Rai's Buddhist archaeological sites. This research was qualitative. The population consisted of 80 monks/individuals from three temples in Chiang Rai province including Wat Phra Kaew, Wat Rong Suea Ten, and Wat Phra That Pha Ngao. The research tools included in-depth interviews and focus group discussions. The study found that the overall knowledge management of English language skills within the communities surrounding Buddhist archaeological sites in Chiang Rai was limited. Monks, novices, and community members possessed minimal English language knowledge and skills, and there was no formalized knowledge management structure within the community. Additionally, it showed the lack on systematic approach in developing English language skills among personnel and in these Buddhist archaeological sites. The recommendations for improving English knowledge management showed general consensus : all parties agreed on the need for serious implementation of English language skill management in Chiang Rai’s Buddhist archaeological sites. This need arose because each temple received a large number of English-speaking international tourists daily. However, communication across the four language skills; listening, speaking, reading, and writing remained insufficiently effective. The study emphasized the necessity for strong support and serious promotion to improve these skills in the community.</p> Anurak Sakaew ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารศิลปะและวัฒนธรรมลุ่มแม่น้ำมูล https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so07.tci-thaijo.org/index.php/acj/article/view/8042 Tue, 25 Nov 2025 00:00:00 +0700 นโยบายสุขภาพที่ตอบโจทย์คนใต้ : ถอดบทเรียนระบบสนับสนุนบนฐานความมั่นคงมนุษย์ https://so07.tci-thaijo.org/index.php/acj/article/view/8723 <p>งานวิจัยนี้เป็นการถอดบทเรียนจากผลพัฒนาระบบและกลไกสนับสนุนการขับเคลื่อนนโยบายสาธารณะเพื่อการสร้างเสริมสุขภาพภาคใต้ ผ่านแนวคิดความมั่นคงทางมนุษย์กับแผนสุขภาพชุมชน โดยขยายเครือข่าย สร้างการมีส่วนร่วม และใช้กองทุนตำบลขับเคลื่อนสุขภาวะอย่างยั่งยืนและเท่าเทียม มีวัตถุประสงค์หลักเพื่อวิเคราะห์ประสิทธิภาพ ประสิทธิผล ปัจจัยสำเร็จ-อุปสรรค สกัดองค์ความรู้ และกำหนดแนวทางการพัฒนาระบบสนับสนุนนโยบายสาธารณะเพื่อสร้างเสริมสุขภาพภาคใต้ ภายใต้กรอบความมั่นคงทางมนุษย์ ประยุกตใชระเบียบวิธีวิจัยเชิงคุณภาพ กลุ่มผู้ให้ข้อมูลจำนวน 12 คน โดยแบ่งเป็น 5 กลุ่ม ใช้การเลือกแบบเฉพาะเจาะจง ได้แก่ กลุ่มสนับสนุน 3 คน กลุ่มขับเคลื่อน 3 คน กลุ่มติดตาม 2 คน กลุ่มประเมินภายใน 2 คน และสื่อสารสาธารณะ 2 คน เครื่องมือที่ใช้เป็นแบบสัมภาษณ์กึ่งโครงสร้าง และแนวทางการสนทนากลุ่ม มีค่าความตรงเชิงเนื้อหาทั้งฉบับเท่ากับ 0.72 วิเคราะห์ข้อมูลด้วยการวิเคราะห์เชิงเนื้อหา ผลการวิจัยพบว่า (1) ด้านประสิทธิภาพบุคลากรทำงานแบบสหวิชาชีพมีบทบาทชัดเจน งบประมาณระดมทุนจากกองทุนตำบลได้อย่างมีประสิทธิภาพ เครือข่ายขยายจาก 5 เป็น 10+ หน่วยงานใน 1 ปี และ ด้านประสิทธิผล มีการลดอัตราโรค NCDs ในกลุ่มเสี่ยง 15% พัฒนาศูนย์ดูแลผู้สูงอายุ 3 แห่ง จัดทำแผนสุขภาพจังหวัดบูรณาการ (2) ปัจจัยสำเร็จ ได้แก่ ความร่วมมือเครือข่ายข้ามภาคส่วน กระบวนการมีส่วนร่วมแบบองค์รวม ระบบสารสนเทศตัดสินใจ กลยุทธ์สื่อสารหลายระดับ การบริหารทรัพยากรร่วม ส่วน อุปสรรคหลัก ได้แก่ การทำงานซ้ำซ้อน ข้อจำกัดกฎระเบียบ ขาดแคลนบุคลากร ระบบข้อมูลกระจัดกระจาย (3) องค์ความรู้ สามารถแบ่งได้เป็น 3 มิติ ได้แก่ พื้นที่ซึ่งเป็นระบบข้อมูลสุขภาพจังหวัดบูรณาการ + กองทุนตำบลเชิงยุทธศาสตร์ สังคม สำหรับการแก้ปัญหา NCDs แบบมีส่วนร่วมด้วยแนวทาง 4อ. 2ส. (อาหาร/ ออกกำลัง/ อารมณ์/ อากาศ/ สุรา/ สูบบุหรี่) และ ความรู้ จะออกแบบนวัตกรรมกองทุนเสมือนจริงและการสื่อสารเชิงนโยบาย และ (4) แนวทางการพัฒนาระบบ โดยการยกระดับโครงการสู่ระบบผ่านกลไกคณะกรรมการสุขภาพตำบล สร้างกองทุนเสมือนจริง พัฒนาศูนย์ข้อมูลสุขภาวะจังหวัด และ ส่งเสริมการมีส่วนร่วมระดับตัดสินใจ ดังนั้น ระบบนี้สร้างสุขภาวะยั่งยืนโดยใช้ทุนทางสังคมเป็นฐาน ขับเคลื่อนผ่านเครือข่ายท้องถิ่น และบูรณาการความมั่นคงมนุษย์ในทุกมิติ</p> จิรัชยา เจียวก๊ก, ฐาณิดาภัทฐ์ แสงทอง, ชนิษฎา ชูสุข, ซูวารี มอซู, เพ็ญ สุขมาก ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารศิลปะและวัฒนธรรมลุ่มแม่น้ำมูล https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so07.tci-thaijo.org/index.php/acj/article/view/8723 Wed, 26 Nov 2025 00:00:00 +0700 กระบวนการจริยศิลป์ขับเคลื่อนชุมชน : นวัตกรรมสังคมเพื่อยกระดับคุณค่าผู้สูงวัย https://so07.tci-thaijo.org/index.php/acj/article/view/8520 <p>ในบริบทของสังคมไทยที่กำลังก้าวเข้าสู่สังคมผู้สูงวัยอย่างสมบูรณ์ การเชื่อมโยงความรู้และคุณค่าระหว่างคนต่างวัยจึงมีความสำคัญต่อการพัฒนาชุมชนอย่างยั่งยืน งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ 4 ประการ คือ (1) ศึกษาและประเมินผลกระบวนการจริยศิลป์เคลื่อนชุมชนในชุมชนปากน้ำประแส (2) วิเคราะห์การเสริมสร้างบทบาทและคุณค่าของผู้สูงวัย (3) สำรวจผลกระทบต่อการเรียนรู้ข้ามวัยและปัจจัยที่ส่งผลต่อการสืบทอดภูมิปัญญาท้องถิ่น และ (4) เสนอแนวทางขยายผลสู่ชุมชนอื่นที่มีบริบทคล้ายคลึงกัน การวิจัยนี้เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพแบบมีส่วนร่วม มีระยะเวลาดำเนินการ 10 เดือน การเก็บรวบรวมข้อมูลโดยใช้แบบสัมภาษณ์เชิงลึก แบบสนทนากลุ่ม และ แบบประเมินสะท้อนคิด จากกลุ่มตัวอย่างที่คัดเลือกแบบเจาะจง จำนวน 60 คน ได้แก่ ผู้สูงวัย 30 คน เยาวชน 20 คน และผู้มีบทบาทในชุมชน 10 คน เครื่องมือวิจัยในการศึกษาครั้งนี้ผ่านการตรวจสอบคุณภาพของเครื่องมือ โดยผู้ทรงคุณวุฒิ 3 ท่าน และวิเคราะห์ข้อมูลโดยวิธีการวิเคราะห์เนื้อหาเชิงคุณภาพ ผลการวิจัยพบว่า (1) กระบวนการ EAP-CM สามารถดำเนินครบทั้ง 3 ระยะ ได้แก่ การสร้างความไว้วางใจ การเชื่อมโยงความรู้ และการสังเคราะห์บทเรียน โดยผู้เข้าร่วมส่วนใหญ่รายงานว่ากิจกรรมช่วยเปิดใจและเข้าใจระหว่าง (2) ผู้สูงวัยได้รับการยกระดับบทบาทจากผู้รับสู่ “ครูภูมิปัญญา” เกิดความภาคภูมิใจและเห็นคุณค่าตนเอง (3) เยาวชนมีความเข้าใจและเคารพผู้สูงวัยมากขึ้น พร้อมทั้งเรียนรู้ภูมิปัญญาท้องถิ่น เช่น ความรู้เกี่ยวกับป่าชายเลนและการแปรรูปอาหารทะเล และนำมาต่อยอดในรูปแบบสื่อร่วมสมัย ผลลัพธ์สำคัญในเชิงนวัตกรรมสังคมคือการเกิด “ห้องเรียนสี่ช่วงวัย” และเครือข่ายจริยศิลป์ในชุมชนที่เชื่อมโยงโรงเรียน วัด และพิพิธภัณฑ์ท้องถิ่น (4) แนวทางขยายผลควรรวมถึงการอบรมแกนนำชุมชนและการบูรณาการ EAP-CM ในแผนพัฒนาผู้สูงวัยระดับจังหวัด</p> อาบอำไพ รัตนภาณุ, เอื้อมพร ลอยประดิษฐ์, เข็มเพชร ระหว่างงาน, ณัฐพงษ์ มณีกร, สลิลพัชร โรจนาภินันทน์ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารศิลปะและวัฒนธรรมลุ่มแม่น้ำมูล https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so07.tci-thaijo.org/index.php/acj/article/view/8520 Thu, 04 Dec 2025 00:00:00 +0700 แนวทางการประยุกต์หลักพุทธธรรมเพื่อชุมชนสันติสุขโดยวิถีบวร ตำบลทุ่งมน อำเภอปราสาท จังหวัดสุรินทร์ https://so07.tci-thaijo.org/index.php/acj/article/view/8742 <p>งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ 1. เพื่อศึกษาสภาพปัจจุบันของชุมชนวิถีบวร ตำบลทุ่งมน อำเภอปราสาท จังหวัดสุรินทร์ 2. เพื่อศึกษาหลักพุทธธรรมเพื่อชุมชนสันติสุขวิถีบวร และ 3. เพื่อศึกษาแนวทางประยุกต์หลักพุทธธรรมเพื่อชุมชนสันติสุขโดยวิถีบวร ตำบลทุ่งมน อำเภอปราสาท จังหวัดสุรินทร์ โดยใช้รูปแบบการวิจัยเชิงคุณภาพ เก็บข้อมูลโดยการสัมภาษณ์เชิงลึก กลุ่มเป้าหมายและการสนทนากลุ่มเฉพาะ จำนวน 30 รูป/คน มาจากกลุ่ม พระสงฆ์ นักการเมืองท้องถิ่น กำนันผู้ใหญ่บ้าน ข้าราชการ และปราชญ์ชาวบ้านทางศาสนาและวัฒนธรรม และนำเสนอข้อมูลเชิงพรรณนาวิเคราะห์ ผลการวิจัยพบว่า 1.ปัญหาของชุมชนตำบลทุ่งมน มี 2 ปัญหาใหญ่ คือ 1.เผชิญปัญหาจากภัยธรรมชาติ และ2.ปัญหาด้านพฤติกรรม ซึ่งอันเป็นสภาพทั่วไป ทั้ง 2 ปัญหานี้ก่อให้เกิดความเปราะบางทางเศรษฐกิจและสังคม แต่ปัจจุบันความเป็นชุมชนบวร กำลังนำปัญหามาดำเนินการการแก้ไขอย่างมีพลัง 2. หลักไตรสิกขา ซึ่งประกอบด้วย ศีล สมาธิ และปัญญา ซึ่งตรงกับหลักอริยสัจ 4 และ มรรคมีองค์ 8 เป็นหัวใจสำคัญในการสร้างบรรยากาศที่สนับสนุนให้พื้นที่ชุมชนเดินไปสู่สันติสุข และ 3. แนวทางการประยุกต์หลักพุทธธรรมเพื่อชุมชนสันติสุขโดยวิถีบวรในตำบลทุ่งมน ได้เน้นการเสริมสร้างกลไกความร่วมมือที่แข็งแกร่งระหว่าง บ้าน วัด และราชการ (บวร) โดยมีวัดเป็นแกนกลางในการขับเคลื่อนกิจกรรมต่าง ๆ เพื่อลดปัญหาที่เกิดขึ้นในชุมชนอย่างเป็นรูปธรรม เช่น การลดภาระหนี้สินในงานศพโดยใช้แนวคิด “งานศพไม่ให้เขาเป็นหนี้ ไม่เป็นทุกข์” การส่งเสริมความปลอดภัยบนท้องถนนผ่านโครงการ “เส้นทางบุญ ชุมชนปลอดภัย ถนนทุกสายปลอดภัยด้วยสติ” และการบูรณาการความร่วมมือจากทุกภาคส่วนเพื่อป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติดอย่างยั่งยืน</p> พระครูปริยัติกิตติวรรณ (วีระ กิตฺติวณฺโณ/ ได้ทุกทาง), ทวีศักดิ์ ทองทิพย์, พระครูศรีปัญญาวิกรม, ธนรัฐ สะอาดเอี่ยม ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารศิลปะและวัฒนธรรมลุ่มแม่น้ำมูล https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so07.tci-thaijo.org/index.php/acj/article/view/8742 Sat, 06 Dec 2025 00:00:00 +0700 การธำรงรักษาอัตลักษณ์การเทศน์แหล่อีสานประเพณีบุญผะเหวด : พื้นที่ต้นแบบทางวัฒนธรรม https://so07.tci-thaijo.org/index.php/acj/article/view/8937 <p>งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1. วิเคราะห์รูปแบบ เทคนิค และวิธีการเทศน์แหล่อีสานงานประเพณีบุญผะเหวด จังหวัดร้อยเอ็ด 2. สังเคราะห์กระบวนการธำรงรักษาอัตลักษณ์การเทศน์แหล่อีสานงานประเพณีบุญผะเหวดจังหวัดร้อยเอ็ด และ 3. สร้างรูปแบบการพัฒนาพื้นที่ต้นแบบทางวัฒนธรรมประเพณีบุญผะเหวดจังหวัดร้อยเอ็ด โดยเป็นงานวิจัยเชิงคุณภาพ เก็บข้อมูลการวิจัยโดยการสัมภาษณ์กับกลุ่มผู้ให้ข้อมูลหลัก จำนวน 30 คน ได้แก่ กลุ่มพระนักเทศน์แหล่อีสาน จำนวน 5 รูป กลุ่มประชาชนหรือเยาวชน จำนวน 10 คน กลุ่มปราชญ์ชาวบ้าน ผู้นำชุมชน และผู้นำศาสนา จำนวน 10 คน และกลุ่มนักวิชาการหรือเจ้าหน้าที่สำนักงานพุทธศาสนา จำนวน 5 คน ซึ่งได้มาจากการคัดเลือกแบบเจาะจง และดำเนินการวิเคราะห์ข้อมูลโดยการวิเคราะห์เชิงเนื้อหาและตรวจสอบข้อมูลแบบสามเส้า ผลการวิจัย พบว่า 1. รูปแบบ เทคนิค และวิธีการเทศน์แหล่อีสานงานประเพณีบุญผะเหวด จังหวัดร้อยเอ็ด สามารถแบ่งออกได้ 2 รูปแบบ ได้แก่ การเทศน์แบบลำผะเหวดและการเทศน์แหล่ประยุกต์ ส่วนเทคนิคและวิธีการเทศน์แหล่อีสานงานประเพณีบุญผะเหวด จังหวัดร้อยเอ็ดมี 5 ลักษณะ ได้แก่ (1) รูปแบบการแสดงธรรมะ (2) เทคนิคการสื่อสาร (3) ปฏิสัมพันธ์กับผู้ฟัง (4) แก่นสาระแห่งธรรมะ และ (5) ลีลาการเทศน์หรือศิลป์แสดง 2. กระบวนการธำรงรักษาอัตลักษณ์การเทศน์แหล่อีสานงานประเพณีบุญผะเหวดจังหวัดร้อยเอ็ดพบว่า มี 5 ขั้นตอน ได้แก่ (1) การสร้างความตระหนักรู้ในคุณค่าของประเพณีและวัฒนธรรมให้แก่เยาวชน ประชาชน (2) การบันทึกองค์ความรู้การเทศน์แหล่อีสานประเพณีบุญผะเหวด (3) การสืบทอดและการสืบสานการเทศน์แหล่ (4) การปฏิบัติจริงในงานบุญผะเหวด และ (5) การสร้างเครือข่ายความร่วมมือ และ 3. รูปแบบการพัฒนาพื้นที่ต้นแบบทางวัฒนธรรมประเพณีบุญผะเหวดจังหวัดร้อยเอ็ด พบว่า มีรูปแบบสำคัญ 6 มิติ ได้แก่ (1) มิติการธำรงรักษา (2) มิติของการถ่ายทอดความรู้และภูมิปัญญา (3) มิติการสร้างมูลค่าเพิ่มของสินค้าประเพณีและวัฒนธรรม (4) มิติด้านการบริหารและการจัดการ (5) มิติด้านพื้นที่ต้นแบบ และ (6) มิติด้านการมีส่วนร่วมของกลุ่มผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย</p> เสกสรรค์ สนวา, พงศ์สวัสดิ์ ราชจันทร์ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารศิลปะและวัฒนธรรมลุ่มแม่น้ำมูล https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so07.tci-thaijo.org/index.php/acj/article/view/8937 Sat, 06 Dec 2025 00:00:00 +0700 การบริหารจัดการแบบมีส่วนร่วมของชุมชนที่ได้รับผลกระทบปัญหาที่ดินพังทลายริมฝั่งแม่น้ำป่าสัก จังหวัดสระบุรี https://so07.tci-thaijo.org/index.php/acj/article/view/8956 <p>การสร้างกระบวนการจัดการเพื่อแก้ไขและป้องกันปัญหาการพังทลายของที่ดินที่เหมาะสมกับบริบทท้องถิ่น นำมาสู่การวิจัยครั้งนี้ ซึ่งมีวัตถุประสงค์ 2 ประการ คือ 1. เพื่อเสริมสร้างความเข้าใจภัยธรรมชาติด้วยกระบวนการมีส่วนร่วมป้องกันและฟื้นฟูที่ดินริมฝั่งแม่น้ำป่าสัก จังหวัดสระบุรี และ 2. เพื่อเสริมสร้างรูปแบบการมีส่วนร่วมบริหารจัดการปัญหาการพังทลายและภัยน้ำท่วมริมฝั่งแม่น้ำป่าสัก จังหวัดสระบุรี โดยใช้วิธีวิจัยเชิงคุณภาพแบบชาติพันธุ์วรรณนา กำหนดกลุ่มเป้าหมาย จำนวน 30 คน จำแนกเป็น 3 กลุ่ม ได้แก่ กลุ่มชุมชน 20 คน กลุ่มผู้เชี่ยวชาญ 5 คน และกลุ่มเจ้าหน้าที่ 5 คน โดยใช้วิธีเลือกผู้ให้ข้อมูลแบบลูกโซ่โดยอาศัยความน่าเชื่อถือจากผู้ที่มีคุณสมบัติเดียวกัน เพื่อเข้าถึงผู้มีความรู้และประสบการณ์โดยตรง เครื่องมือที่ใช้ประกอบด้วยแบบสัมภาษณ์และแบบสนทนากลุ่มกึ่งโครงสร้างปลายเปิด การเก็บรวบรวมข้อมูลดำเนินการภาคสนามโดยเริ่มจากผู้ให้ข้อมูลคนแรกแล้วขยายเครือข่ายแบบการกลิ้งก้อนหิมะ จนข้อมูลเพียงพอ สำหรับการวิเคราะห์ข้อมูลใช้การวิเคราะห์เชิงเนื้อหาและการวิเคราะห์เชิงประเด็น เพื่อพัฒนารูปแบบการมีส่วนร่วมเชิงแนวคิดที่สื่อความหมายด้วยภาพ ผลการวิจัยพบว่า ประชาชนมีความเข้าใจถึงปัญหาที่เกิดขึ้นจากการกระทำโดยเจตนาที่มุ่งผลประโยชน์ส่วนตัว สำหรับความต้องการและการมีส่วนร่วมภาคประชาชน พบว่า ประชาชนต้องการความรู้ด้านการจัดการน้ำ การอบรมศึกษาดูงาน การสร้างจิตสำนึกรักและ หวงแหนพื้นที่ริมตลิ่ง การดำเนินการก่อสร้างต้องเป็นไปตามกฎหมาย โปร่งใส และเท่าเทียม ซึ่งนำมาสู่รูปแบบเสริมสร้างการมีส่วนร่วมบริหารจัดการการพังทลายและภัยน้ำท่วมริมฝั่งแม่น้ำ ประกอบด้วย 1. การเกิดภัย ต้องดำเนินมาตรการเร่งด่วน 2. ก่อนเกิดภัย ต้องเตรียมความพร้อม 3. หลังเกิดภัย ต้องฟื้นฟูพื้นที่โดยเริ่มจากการให้ความช่วยเหลือตนเอง 4. แสวงหาความร่วมมือ โดยประสานงานและและสร้างเครือข่ายเพื่อแก้ไขความเสียหายอย่างตรงจุด และ 5. การจัดการและพัฒนาอย่างยั่งยืนระยะยาว พร้อมยึดหลักทางจิตใจเพื่อความเข้มแข็งของชุมชนในการอยู่ร่วมกับธรรมชาติ ซึ่งทำให้ชุมชนสามารถดูแลความปลอดภัยและการฟื้นฟูของตนเองได้ ส่งเสริมความสามัคคีและความรับผิดชอบร่วมกัน บูรณาการมิติทางวัฒนธรรมและจิตวิญญาณ เกิดการฝังรากลึกคุณค่าและประเพณีของผู้ประสบภัยได้อย่างมีประสิทธิภาพ อย่างไรก็ตาม ควรคำนึงถึงการตระหนักรู้และให้ความสำคัญต่อผลกระทบการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างการใช้พื้นที่และการบริหารจัดการ ซึ่งอาจสร้างแรงต้านจากประชาชนหากไม่ได้ออกแบบการมีส่วนร่วมอย่างรอบคอบและเหมาะสม</p> อำนวย ปิ่นพิลา, สนิท สิทธิ, กอบลาภ อารีศรีสม, ภาวิณี อารีศรีสม ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารศิลปะและวัฒนธรรมลุ่มแม่น้ำมูล https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so07.tci-thaijo.org/index.php/acj/article/view/8956 Sun, 07 Dec 2025 00:00:00 +0700 ต้นแบบการพัฒนาศาสนทายาทอย่างยั่งยืนของคณะสงฆ์จังหวัดศรีสะเกษ https://so07.tci-thaijo.org/index.php/acj/article/view/8714 <p>งานวิจัยนี้ มีวัตถุประสงค์ 1. เพื่อศึกษาสภาพทั่วไปเกี่ยวกับศาสนทายาทของคณะสงฆ์จังหวัดศรีสะเกษ 2. เพื่อศึกษาการพัฒนาศาสนทายาทของคณะสงฆ์จังหวัดศรีสะเกษ และ 3. เพื่อนำเสนอต้นแบบการพัฒนาศาสนทายาทอย่างยั่งยืนของคณะสงฆ์จังหวัดศรีสะเกษ งานวิจัยนี้เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพ ศึกษาข้อมูลเชิงเอกสาร การสังเกตแบบมีส่วนร่วม การสัมภาษณ์เชิงลึก และการสนทนากลุ่ม มีผู้ให้ข้อมูลสำคัญ จำนวน 29 รูป/คน ใช้วิธีการเลือกแบบเจาะจง แล้วนำเสนอเชิงพรรณนาวิเคราะห์ ผลการวิจัยพบว่า ปรากฏการณ์การเปลี่ยนของสังคมปัจจุบันส่งผลให้เกิดปัจจัยหลายด้านเกี่ยวกับศาสนทายาทในจังหวัดศรีสะเกษ ได้แก่ การบวชเรียนของเยาวชนรุ่นใหม่ลดลง ได้รับงบสนับสนุนจำกัด ขาดการบูรณาการศาสตร์สมัยใหม่ และเครือข่ายอินเตอร์เน็ตไม่เพียงพอต่อการใช้งานในบริบทสังคมยุคใหม่ คณะสงฆ์จังหวัดศรีสะเกษมีแนวทางการพัฒนาศาสนทายาทโดยยึดหลักภาวนา 4 ได้แก่ 1. กายภาวนา เน้นการดำรงชีวิตเรียบง่ายตามหลักพระวินัย บริโภคอาหารอย่างพอเพียง ออกกำลังกายและพักผ่อนที่เพียงพอ 2. ด้านสีลภาวนา มุ่งสร้างสังคมคุณธรรมผ่านการสื่อธรรมกับชุมชนอย่างมีเหตุผล 3. ด้านจิตตภาวนา ส่งเสริมการฝึกวิปัสสนากรรมฐาน เพื่อพัฒนาความสงบและความเข้มแข็งทางจิต 4. ด้านปัญญาภาวนา เน้นบูรณาการหลักพุทธธรรมกับศาสตร์สมัยใหม่ ด้วยการพัฒนาทักษะ การคิดวิเคราะห์ เพื่อความเข้าใจที่ลึกซึ้ง การพัฒนาทั้ง 4 ด้าน ช่วยให้ศาสนทายาท รู้จักอดออม ค้นคว้าอย่างหลากหลาย อดทนต่อสภาพสังคม ใช้เทคโนโลยีที่จำเป็น และรู้โยนิโสมนสิการ นอกจากนี้การประยุกต์ใช้ผลการวิจัยนี้สามารถนำไปเป็นต้นแบบการพัฒนาศาสนทายาท ให้มีคุณภาพทั้งทางกาย ศีล จิต และปัญญา ซึ่งเป็นการพัฒนาแบบองค์รวมที่เน้นให้มนุษย์เกิดความสมบูรณ์ อย่างยั่งยืนได้ กล่าวโดยสรุป งานวิจัยนี้ทำให้เห็นต้นแบบการพัฒนาศาสนทายาทตามแนวทางพระพุทธศาสนาที่เน้นการพัฒนาด้านกาย ศีล จิต และปัญญา ส่งผลให้ศาสนทายาทมีศักยภาพในการเผยแผ่พระพุทธศาสนาในยุคโลกาภิวัตน์ได้อย่างสง่างาม ทั้งจะเป็นประโยชน์ต่อเยาวชนรุ่นใหม่สนใจบวชเรียนมากขึ้น และก่อให้เกิดความสงบสุขในสังคมอย่างยั่งยืนต่อไป</p> พระอธิการอำพน จารุโภ, ธนรัฐ สะอาดเอี่ยม, ทวีศักดิ์ ทองทิพย์, ภัฏชวัชร์ สุขเสน ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารศิลปะและวัฒนธรรมลุ่มแม่น้ำมูล https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so07.tci-thaijo.org/index.php/acj/article/view/8714 Sun, 07 Dec 2025 00:00:00 +0700 การปรับสภาพที่อยู่อาศัยสำหรับผู้พิการทางการเคลื่อนไหวหรือทางร่างกายเพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีของผู้พิการ https://so07.tci-thaijo.org/index.php/acj/article/view/8750 <p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1. ศึกษาสภาพที่อยู่อาศัยของผู้พิการทางการเคลื่อนไหวหรือทางร่างกาย ที่มีความรุนแรงของความพิการระดับ 3 ในเขตเทศบาลเมือง จังหวัดปราจีนบุรี 2. วิเคราะห์สภาพที่อยู่อาศัยของผู้พิการฯ 3. ออกแบบร่างต้นแบบภาพ 2 มิติของที่อยู่อาศัยที่เหมาะสมกับผู้พิการ และ 4. สร้างต้นแบบที่อยู่อาศัยจากภาพร่างที่ออกแบบไว้ โดยใช้เทคโนโลยีความเป็นจริงเสริม (AR) และแอนิเมชัน เพื่อให้เห็นภาพเสมือนจริงและสามารถนำไปประเมินและปรับใช้ได้จริงในอนาคต กลุ่มผู้ให้ข้อมูลประกอบด้วยผู้พิการทางการเคลื่อนไหวหรือทางร่างกายที่มีความรุนแรงระดับ 3 ผู้ดูแล นักกิจกรรมบำบัด และนักกายภาพบำบัด จำนวน 12 คน คัดเลือกโดยวิธีการเลือกแบบเจาะจง และกลุ่มตัวอย่างสำหรับการประเมินผลต้นแบบที่อยู่อาศัย จำนวน 385 คน ได้จากการสุ่มอย่างง่าย ผลการวิจัย พบว่า 1. แนวคิดการออกแบบเน้นการจัดวางพื้นที่ใช้งาน เช่น เตียง โต๊ะเอนกประสงค์ ห้องน้ำ พื้นที่รอบห้อง และความกว้างของประตู ให้มีความปลอดภัยและสามารถใช้งานได้จริงตามหลักการออกแบบเพื่อการเข้าถึงอย่างเท่าเทียม และ 2. ผลการประเมินต้นแบบที่อยู่อาศัยจากเทคโนโลยี AR และแอนิเมชัน โดยกลุ่มตัวอย่างมีระดับความพึงพอใจโดยรวมอยู่ในระดับมากที่สุด (ค่าเฉลี่ย 4.757) และผลการประเมินทั้ง 8 ด้าน ได้แก่ 1. การออกแบบสัดส่วนการใช้งานในพื้นที่ 2. ความเหมาะสมกับการใช้งาน 3. คุณค่าทางความงดงาม 4. ความสามารถนำไปเป็นต้นแบบประยุกต์สร้าง ในพื้นที่อื่น 5. เป็นผลงานที่คนปกติสามารถใช้พื้นที่ร่วมด้วยได้ 6. เป็นประโยชน์แก่ผู้พิการ 7. มีรูปแบบไม่ซ้ำกับผลงานผู้อื่น และ 8. ความชื่นชอบผลงานการปรับสภาพที่อยู่อาศัยสำหรับผู้พิการทางการเคลื่อนไหวหรือทางร่างกาย ความรุนแรงของความพิการระดับ 3 อยู่ในระดับมากที่สุด โดยมีค่าเฉลี่ยอยู่ระหว่าง 4.701 - 4.865</p> บุญเสริม วัฒนกิจ, พูลพงศ์ สุขสว่าง, อุทัย หวังพัชรพล, การุณย์ อินทวาส, นฤทธิ์ วัฒนภู, ไกรสิทธิ์ วิไลเลิศ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารศิลปะและวัฒนธรรมลุ่มแม่น้ำมูล https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so07.tci-thaijo.org/index.php/acj/article/view/8750 Sun, 07 Dec 2025 00:00:00 +0700