วารสารครุศาสตร์ ราชภัฏเชียงใหม่
https://so07.tci-thaijo.org/index.php/cmredujo
<h3><strong>วัตถุประสงค์</strong></h3> <blockquote> <p><em><strong>วารสารครุศาสตร์ ราชภัฏเชียงใหม่ (Chiang Mai Rajabhat Education Journal) </strong>เป็นวารสารที่เผยแพร่บทความวิชาการและบทความวิจัย รวมถึงเป็นผลงานสร้างสรรค์ที่มีคุณภาพทางด้านครุศาสตร์ ศึกษาศาสตร์ </em></p> </blockquote> <h3><strong>กระบวนการพิจารณาบทความ</strong></h3> <blockquote> <p><em>บทความที่ส่งมาตีพิมพ์จะได้รับการประเมินจากผู้ทรงคุณวุฒิที่มีความเชี่ยวชาญเฉพาะสาขาวิชา อย่างน้อย </em><em>3 คน (Double-blind peer review) จากหลากหลายสถาบัน ผู้แต่งไม่ทราบชื่อผู้ประเมิน ผู้ประเมินไม่ทราบชื่อผู้แต่ง </em></p> </blockquote> <h3><strong> ขอบเขตการตีพิมพ์</strong></h3> <blockquote> <p><em>บทความต้องมีประเด็นที่น่าสนใจศึกษาทางด้านครุศาสตร์ ศึกษาศาสตร์ ได้แก่ </em></p> <em>- การศึกษาปฐมวัย - การประถมศึกษา<br />- พลศึกษาและนันทนาการ - คอมพิวเตอร์ศึกษา<br />- เกษตรศาสตร์ - เคมี<br /></em><em>- ชีววิทยา - ฟิสิกส์<br />- คณิตศาสตร์ - อุตสาหกรรมและเทคโนโลยีศึกษา<br />- ดนตรีศึกษา - นาฏศิลป์<br />- ภาษาไทยและภาษาต่างประเทศ - ศิลปศึกษา<br />- สังคมศึกษา - วิทยาศาสตร์ทั่วไป<br />- การศึกษาพิเศษ - จิตวิทยาการศึกษาและการแนะแนว <br />- หลักสูตรและการสอน - บริหารการศึกษา <br />- การวิจัยทางการศึกษา - การวัดและประเมินผลทางการศึกษา<br />- นวัตกรรมและเทคโนโลยีทางการศึกษา - สาขาที่เกี่ยวข้องกับทางการศึกษา</em></blockquote> <h3><strong>ประเภทบทความที่รับ</strong></h3> <ul> <li><em>บทความวิชาการ</em></li> <li><em>บทความวิจัย</em></li> </ul> <h3><strong>ภาษาที่รับตีพิมพ์</strong></h3> <ul> <li class="show"><em>ภาษาไทย</em></li> <li class="show"><em>ภาษาอังกฤษ</em></li> </ul> <h3><strong>กำหนดการออก</strong></h3> <p><em>วารสารตีพิมพ์ 3 ฉบับต่อปี (ราย 4 เดือน)<br /></em></p> <ul> <li class="show"><em>ฉบับที่ 1 มกราคม - เมษายน</em></li> <li class="show"><em>ฉบับที่ 2 พฤษภาคม - สิงหาคม</em></li> <li class="show"><em>ฉบับที่ 3 กันยายน - ธันวาคม</em></li> </ul> <h3><strong>การเก็บค่าธรรมเนียมการตีพิมพ์บทความ</strong></h3> <p><em><strong> </strong></em><em>วารสารครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงใหม่ กำหนดเก็บค่าธรรมเนียมการตีพิมพ์บทความ เพื่อสนับสนุนการดำเนินงานและการพัฒนาคุณภาพวารสาร ดังนี้</em></p> <ul> <li><em><strong>บทความภาษาไทย </strong>ค่าธรรมเนียม 2,500 บาท ต่อบทความ</em></li> <li><em><strong>บทความภาษาอังกฤษ </strong> ค่าธรรมเนียม 3,500 บาท ต่อบทความ</em></li> </ul> <p><em> ผู้เขียนต้องชำระค่าธรรมเนียม <strong>หลังจากบทความผ่านการคัดกรองเบื้องต้นโดยกองบรรณาธิการ</strong> (ยังไม่ถือว่าผ่านการพิจารณาจากผู้ทรงคุณวุฒิ) เพื่อเข้าสู่กระบวนการตรวจประเมินโดยผู้ทรงคุณวุฒิ (Peer Review) ภายใน <strong>15 </strong><strong>วันทำการ</strong> นับจากวันที่ได้รับแจ้งจากกองบรรณาธิการ</em></p> <p><em> ในกรณีที่บทความได้รับผลการประเมินว่า “ผ่าน” จากผู้ทรงคุณวุฒิ 2 ใน 3 ท่าน ผู้เขียนต้องปรับปรุงบทความตามข้อเสนอแนะ และบทความจะถูกส่งให้ผู้ทรงคุณวุฒิเพิ่มเติมอีก 1 ท่านเพื่อตรวจสอบความสมบูรณ์ โดยผู้เขียนต้องชำระค่าธรรมเนียมเพิ่มเติมจำนวน <strong>500 </strong><strong>บาท</strong> สำหรับบทความภาษาไทย หรือ <strong>800 </strong><strong>บาท</strong> สำหรับบทความภาษาอังกฤษ</em></p> <p><strong>หมายเหตุ:</strong><br />การชำระค่าธรรมเนียมไม่เป็นการรับประกันการตีพิมพ์ บทความจะได้รับการตีพิมพ์เมื่อผ่านการประเมินจากผู้ทรงคุณวุฒิและได้รับความเห็นชอบจากกองบรรณาธิการเท่านั้น ทั้งนี้ ขอให้ผู้เขียนศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้จาก <a href="https://drive.google.com/file/d/12RNOmSBreVLgKkzawTlwo9XeEeK4y8Vr/view?usp=drive_link"><strong>ประกาศวารสารครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงใหม่ เรื่อง การเก็บค่าธรรมเนียมการตีพิมพ์บทความ </strong></a> </p> <p><em><strong>ISSN: </strong>2821-9961 (Online)</em></p> <h3><strong>Publisher (เจ้าของวารสาร)</strong></h3> <blockquote> <p><em>คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงใหม่ (ศูนย์แม่ริม)</em><br /><em>เลขที่ 180 หมู่ 7 ถนนโชตนา (เชียงใหม่-ฝาง) ตำบลขี้เหล็ก อำเภอแม่ริม จังหวัดเชียงใหม่ 50180</em><br /><em><strong>โทร:</strong> 085-0388990<br /><span class="fontstyle0"><strong>อีเมล: </strong>edu.cmru.journal@g.cmru.ac.th</span></em></p> </blockquote>
คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงใหม่
th-TH
วารสารครุศาสตร์ ราชภัฏเชียงใหม่
2821-9961
<p>วารสาร TCI อยู่ภายใต้การอนุญาต <a href="https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0/"><strong>Creative Commons Attribution-NonCommercial-NoDerivatives 4.0 International (CC BY-NC-ND 4.0)</strong></a> เว้นแต่จะระบุไว้เป็นอย่างอื่น โปรดอ่านหน้านโยบายของเราสําหรับข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับการเข้าถึงแบบเปิด ลิขสิทธิ์ และการอนุญาต</p>
-
ปัจจัยการบริหารสถานศึกษาที่ส่งผลต่อการเป็นองค์กรแห่งความสุข สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาพะเยา
https://so07.tci-thaijo.org/index.php/cmredujo/article/view/7002
<p> การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา 1) ระดับปัจจัยการบริหารสถานศึกษาที่เกี่ยวข้องกับการเป็นองค์กรแห่งความสุข 2) ระดับการเป็นองค์กรแห่งความสุขของสถานคึกษา 3) ความสัมพันธ์ระหว่างปัจจัยการบริหารสถานศึกษากับการเป็นองค์กรแห่งความสุข และ 4) ปัจจัยการบริหารสถานศึกษาที่ส่งผลต่อการเป็นองค์กรแห่งความสุข กลุ่มตัวอย่าง คือ ผู้บริหารสถานศึกษา ครู และบุคลากรทางการศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาพะเยา ปีการศึกษา 2566 จำนวน 270 คน โดยคำนวณสูตรของเครจซี่และมอร์แกน และการสุ่มกลุ่มตัวอย่างแบบแบ่งชั้น เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยเป็นแบบสอบถามมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ ค่าความเที่ยงตรง อยู่ระหว่าง 0.67 – 1.00 และค่าความเชื่อมั่นของแบบสอบถามคือ 0.943 และ 0.938 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ยเลขคณิต ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การวิเคราะห์ค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ของเพียร์สัน และการวิเคราะห์การถดถอยพหุคูณแบบขั้นตอน</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า 1) ระดับปัจจัยการบริหารสถานศึกษาที่เกี่ยวข้องกับการเป็นองค์กรแห่งความสุข โดยรวมอยู่ในระดับมาก 2) ระดับการเป็นองค์กรแห่งความสุข โดยรวมอยู่ในระดับมาก 3) ปัจจัยการบริหารสถานศึกษากับการเป็นองค์กรแห่งความสุข มีความสัมพันธ์กัน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 และ <br />4) ปัจจัยการบริหารสถานศึกษาที่ส่งผลต่อการเป็นองค์กรแห่งความสุข ประกอบด้วย 4 ปัจจัย คือ ปัจจัยด้านงบประมาณ (X<sub>2</sub>), ปัจจัยด้านการพัฒนาบุคลากร (X<sub>4</sub>), ปัจจัยด้านภาวะผู้นำ (X<sub>1</sub>) และปัจจัยด้านบรรยากาศและวัฒนธรรม (X<sub>3</sub>) สามารถพยากรณ์การเป็นองค์กรแห่งความสุข ได้ร้อยละ 45.90 อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 ดังสมการพยากรณ์ต่อไปนี้ สมการรูปคะแนนดิบ = 0.164 + 0.293(X<sub>2</sub>) + 0.305(X<sub>4</sub>) + 0.200(X<sub>1</sub>) + 0.128(X<sub>3</sub>) และสมการรูปคะแนนมาตรฐาน Ẑ = 0.303(X<sub>2</sub>) + 0.249(X<sub>4</sub>) + 0.210(X<sub>1</sub>) + 0.121(X<sub>3</sub>) </p> <p> </p>
สุจิตรา ปัญสุวรรณ
อาภาพรรณ ประทุมไทย
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารครุศาสตร์ ราชภัฏเชียงใหม่
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-10-27
2025-10-27
4 3
17
31
-
แนวทางการพัฒนาภาวะผู้นำยุคดิจิทัลของผู้บริหารสถานศึกษา กลุ่มเครือข่ายพัฒนาการศึกษาดอยนางนอน สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงราย เขต 3
https://so07.tci-thaijo.org/index.php/cmredujo/article/view/4325
<p> การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาความต้องการจำเป็น ภาวะผู้นำในยุคดิจิทัลของผู้บริหารสถานศึกษา 2) ศึกษาปัจจัยสำคัญที่ส่งเสริม พัฒนาภาวะผู้นำในยุคดิจิทัลของผู้บริหารสถานศึกษา 3) เสนอแนวทางการพัฒนาภาวะผู้นำยุคดิจิทัลผู้บริหารสถานศึกษา การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงสำรวจ ประชากรที่ใช้ในการวิจัย คือ ข้าราชการครู กลุ่มเครือข่ายพัฒนาการศึกษาดอยนางนอน จำนวน 131 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยได้แก่ แบบสอบถามความต้องการจำเป็น แบบสัมภาษณ์แบบกึ่งโครงสร้าง และเอกสารประกอบการสนทนากลุ่ม วิเคราะห์ข้อมูลทางสถิติ โดยหาค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ค่าดัชนีความต้องการจำเป็นและการวิเคราะห์เนื้อหา สรุปในรูปแบบตารางประกอบการบรรยาย</p> <p> ผลการวิจัย พบว่า ความต้องการจำเป็นของการพัฒนาภาวะผู้นำยุคดิจิทัลผู้บริหารสถานศึกษา โดยภาพรวมทุกด้านมีความต้องการจำเป็นในการพัฒนาภาวะผู้นำยุคดิจิทัลของผู้บริหารสถานศึกษาและด้านที่มีความต้องการจำเป็นสูงสุด 3 อันดับแรก คือ ด้านการสร้างวัฒนธรรมการเรียนรู้ในยุคดิจิทัล รองลงมาคือ ด้านการพัฒนาบุคลากรด้านเทคโนโลยีดิจิทัล<strong> </strong>และลำดับที่สาม ด้านการจัดการความรู้โดยใช้เทคโนโลยีดิจิทัล ตามลำดับ ส่วนปัจจัยสำคัญที่ส่งเสริมพัฒนาภาวะผู้นำในยุคดิจิทัลของผู้บริหารสถานศึกษาทั้ง 3 ด้านคือ ด้านการสร้างวัฒนธรรมการเรียนรู้ในยุคดิจิทัล<strong> </strong>ปัจจัยภายในที่สำคัญ คือ ปัจจัยกลยุทธ์ขององค์กร กับปัจจัยรูปแบบการบริหารจัดการ และปัจจัยภายนอกที่สำคัญ คือ ปัจจัยกฎหมายกับปัจจัยสังคม ด้านการพัฒนาบุคลากรด้านเทคโนโลยีดิจิทัล<strong> </strong>ปัจจัยภายในที่สำคัญ คือ ปัจจัยรูปแบบการบริหารจัดการกับปัจจัยทักษะความรู้ความสามารถและปัจจัยภายนอกที่สำคัญ คือ ปัจจัยเทคโนโลยีกับปัจจัยสังคม ด้านการจัดการความรู้โดยใช้เทคโนโลยีดิจิทัล ปัจจัยภายในที่สำคัญ คือ ปัจจัยปัจจัยทักษะความรู้ความสามารถกับปัจจัยระบบปฏิบัติงานและปัจจัยภายนอกที่สำคัญ คือ ปัจจัยเทคโนโลยีกับปัจจัยสังคม แนวทางการพัฒนาภาวะผู้นำยุคดิจิทัลของผู้บริหารสถานศึกษา ด้านการสร้างวัฒนธรรมการเรียนรู้ในยุคดิจิทัล ได้แก่การส่งเสริมให้บุคลากรเข้ารับการฝึกอบรมด้านเทคโนโลยีดิจิทัล การใช้สื่อดิจิทัลในการประชาสัมพันธ์โรงเรียนให้กับผู้ปกครอง คณะกรรมการสถานศึกษาชุมชน ตลอดจนหน่วยงานต้นสังกัด และมีการออกแบบให้สถานที่ทำงาน บรรยากาศในการทำงานมีเทคโนโลยีที่เอื้ออำนวยก่อให้เกิดการร่วมแรง ร่วมใจ และประสานพลัง ด้านการพัฒนาบุคลากรด้านเทคโนโลยีดิจิทัล ได้แก่ การกำหนดเป้าหมายในการพัฒนาครูและบุคลากรด้านเทคโนโลยีดิจิทัลในสถานศึกษา เปิดโอกาสให้ครูและบุคลากรทางการศึกษาเข้ารับการฝึกอบรมด้านเทคโนโลยีดิจิทัลในการจัดการเรียนการสอน และการดูแลจัดการให้ครูและบุคลากรนำสิ่งที่ได้รับจากการพัฒนาด้านเทคโนโลยีดิจิทัลไปสู่การปฏิบัติจริงในสถานศึกษา และด้านการจัดการความรู้โดยใช้เทคโนโลยีดิจิทัล ได้แก่ การใช้เทคโนโลยีดิจิทัลในการบริหารงาน เพื่อสั่งการหรือมอบหมายงาน มีการสนับสนุนการใช้เทคโนโลยีดิจิทัลให้เพียงพอต่อการใช้งานในโรงเรียน และมีการใช้เทคโนโลยีดิจิทัลติดต่อประสานงานระหว่างหน่วยงาน</p>
สมบัติ สุทธิชัยกุล
สมเกียรติ ตุ่นแก้ว
ไพรภ รัตนชูวงศ์
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารครุศาสตร์ ราชภัฏเชียงใหม่
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-10-27
2025-10-27
4 3
33
47
-
การบริหารหลักสูตรฐานสมรรถนะโรงเรียนนำร่องพื้นที่นวัตกรรมของโรงเรียนบ้านเหล่าเป้า ตำบลดอยหล่อ อำเภอดอยหล่อ จังหวัดเชียงใหม่
https://so07.tci-thaijo.org/index.php/cmredujo/article/view/6525
<p> การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาการบริหารหลักสูตรฐานสมรรถนะในโรงเรียนนำร่องพื้นที่นวัตกรรม โรงเรียนบ้านเหล่าเป้า 2) ขับเคลื่อนการดำเนินงานหลักสูตรฐานสมรรถนะในโรงเรียนดังกล่าว และ 3) ศึกษาระดับความพึงพอใจของผู้มีส่วนร่วมต่อการบริหารหลักสูตรฯ การศึกษาแบ่งกลุ่มประชากรออกเป็น 2 กลุ่ม ได้แก่ กลุ่มผู้บริหาร หน่วยงานภายนอก และผู้ทรงคุณวุฒิ จำนวน 81 คน สำหรับวัตถุประสงค์ข้อ 1 และ 2 และกลุ่มครู นักเรียน ผู้ปกครอง และภาคีเครือข่าย จำนวน 116 คน สำหรับวัตถุประสงค์ข้อ 3 ดำเนินการวิจัยในโรงเรียนบ้านเหล่าเป้า จังหวัดเชียงใหม่ ปีการศึกษา 2566–2567 เครื่องมือวิจัย ได้แก่ แบบสอบถามและแบบสัมภาษณ์ ซึ่งผ่านการตรวจสอบความตรงเชิงเนื้อหาโดยผู้เชี่ยวชาญ และมีค่าสัมประสิทธิ์ความเชื่อมั่นของแบบสอบถามเท่ากับ 0.550 การวิเคราะห์ข้อมูลใช้สถิติเชิงพรรณนา ได้แก่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน พร้อมการวิเคราะห์เนื้อหาเชิงคุณภาพ</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า</p> <p> 1) การบริหารหลักสูตรฐานสมรรถนะของโรงเรียนบ้านเหล่าเป้าดำเนินการอย่างเป็นระบบ มีขั้นตอนสำคัญ เช่น การจัดทำหลักสูตรสถานศึกษา การวิเคราะห์บริบท การออกแบบหน่วยการเรียนรู้ การจัดกิจกรรมแบบ Active Learning การประเมินผลแบบพัฒนาสมรรถนะ การทำงานเป็นทีมของครู (PLC) และการสื่อสารกับชุมชน รวมถึงการส่งเสริมสนับสนุนในระดับสถานศึกษา และการกำกับติดตามอย่างต่อเนื่อง</p> <p> 2) การขับเคลื่อนหลักสูตรมีการวางแผน กำหนดขั้นตอนที่ชัดเจน และสอดคล้องกับพระราชบัญญัติพื้นที่นวัตกรรมการศึกษา พ.ศ. 2562 โดยโรงเรียนบ้านเหล่าเป้าเป็นโรงเรียนแห่งแรกใน สพป.เชียงใหม่ เขต 4 ที่ดำเนินงานขับเคลื่อนหลักสูตรดังกล่าว</p> <p> 3) ความพึงพอใจของผู้มีส่วนร่วมต่อการบริหารหลักสูตรอยู่ในระดับมาก (mean = 4.21, SD = 0.47) รายการที่ได้รับความพึงพอใจสูงสุด ได้แก่ ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียน และผลการบริหารหลักสูตรฐานสมรรถนะ โดยผลการวิเคราะห์เชิงคุณภาพพบจุดแข็ง ได้แก่ ความมุ่งมั่นของครูในการพัฒนาหลักสูตร ความเชื่อมโยงกับบริบทท้องถิ่น ความยืดหยุ่นในการจัดหาสื่อ และการบูรณาการกับระบบประกันคุณภาพภายในโรงเรียน</p>
ติณณภพ หลวงมณีวรรณ์
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารครุศาสตร์ ราชภัฏเชียงใหม่
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-10-27
2025-10-27
4 3
49
64
-
การจัดการเรียนรู้โดยใช้เกมเป็นฐานเพื่อพัฒนาทักษะการคิดคำนวณ เรื่องการคูณ การหารทศนิยม สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5
https://so07.tci-thaijo.org/index.php/cmredujo/article/view/6112
<p> การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) พัฒนาทักษะการคิดคำนวณ เรื่องการคูณ การหารทศนิยม สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 โดยใช้เกมเป็นฐาน 2) เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนและหลังเรียนการจัดการเรียนรู้ และ 3) ศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการจัดการเรียนรู้ กลุ่มเป้าหมายที่ใช้ในการวิจัย คือ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 ภาคเรียนที่ 1 ปี การศึกษา 2567 โรงเรียนสงเปลือยวิทยายน อำเภอนามน จังหวัดกาฬสินธุ์ จำนวน 35 คน ซึ่งได้มาจากการเลือกแบบเจาะจง เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แผนการจัดการเรียนรู้ แบบวัดทักษะการคิดคำนวณคณิตศาสตร์ แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน และ แบบสอบถามความพึงพอใจ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล คือ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และ The Wilcoxon signed-ranks test ผลการศึกษา พบว่า 1) นักเรียนมีทักษะการคิดคำนวณ เรื่องการคูณ การหารทศนิยม หลังการจัดการเรียนรู้โดยใช้เกมเป็นฐาน คิดเป็นร้อยละ 73.79 2) ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 และ 3) ความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการจัดการเรียนรู้ โดยรวมอยู่ในระดับมาก</p>
วรศักดิ์ สีกา
ปวีณา ขันธ์ศิลา
ประภาพร หนองหารพิทักษ์
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารครุศาสตร์ ราชภัฏเชียงใหม่
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-10-27
2025-10-27
4 3
65
78
-
การพัฒนาสู่การเปลี่ยนแปลงความท้าทายในบทบาทของผู้ช่วยสอนคนหูหนวกในระดับอุดมศึกษา
https://so07.tci-thaijo.org/index.php/cmredujo/article/view/7635
<p> บทความนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) วิเคราะห์บทบาทและความสำคัญของผู้ช่วยสอนคนหูหนวกในระบบการศึกษาระดับอุดมศึกษา 2) ศึกษาความท้าทายในการพัฒนาศักยภาพของผู้ช่วยสอนคนหูหนวกในบริบทการศึกษาไทย และ 3) นำเสนอแนวทางการพัฒนาระบบสนับสนุนและการพัฒนาศักยภาพของผู้ช่วยสอนคนหูหนวกอย่างยั่งยืน โดยมีขอบเขตการศึกษาเฉพาะในบริบทของการจัดการศึกษาสำหรับคนหูหนวกในระดับอุดมศึกษา โดยเฉพาะในสถาบันราชสุดา มหาวิทยาลัยมหิดล ซึ่งเป็นสถาบันที่มีความเชี่ยวชาญด้านการจัดการศึกษาสำหรับคนหูหนวก บทความนี้ใช้วิธีการสังเคราะห์องค์ความรู้ผ่านการวิเคราะห์เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องทั้งในและต่างประเทศ ร่วมกับการถอดบทเรียนจากประสบการณ์การปฏิบัติงานในสถาบันราชสุดา ผลการศึกษาพบว่าผู้ช่วยสอนคนหูหนวกมีบทบาทสำคัญในระบบการศึกษาแบบบูรณาการทั้งในด้านการสื่อสารผ่านภาษามือ การเชื่อมโยงช่องว่างระหว่างอาจารย์ผู้สอนหลักกับนักศึกษาหูหนวก การจัดการเรียนการสอนที่เหมาะสม และการสร้างแรงบันดาลใจให้กับนักศึกษา อย่างไรก็ตาม ยังพบความท้าทายหลายประการในการพัฒนาศักยภาพของผู้ช่วยสอนคนหูหนวก ได้แก่ ข้อจำกัดด้านทักษะภาษา การสื่อสาร และการขาดแคลนบุคลากรที่มีคุณสมบัติเหมาะสม บทความนี้ได้นำเสนอแนวทางการพัฒนาศักยภาพผู้ช่วยสอนคนหูหนวกผ่านโมเดล DEAF Development ซึ่งครอบคลุมการพัฒนาทักษะพื้นฐาน การศึกษาต่อเนื่อง การปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลง และการบูรณาการบทบาทสู่อนาคต รวมถึงแนวทางการพัฒนาระบบสนับสนุนผู้ช่วยสอนคนหูหนวกในรูปแบบการทำงานเป็นทีมที่มีประสิทธิภาพ เพื่อยกระดับคุณภาพการศึกษาสำหรับนักศึกษาหูหนวกและสร้างโอกาสในการพัฒนาวิชาชีพของผู้ช่วยสอนคนหูหนวก</p>
ชนิตา มะธุ
ธีรธร เลอศิลป์
ธิติมา เทียนทอง
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารครุศาสตร์ ราชภัฏเชียงใหม่
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-10-27
2025-10-27
4 3
1
16