วารสารครุศาสตร์ ราชภัฏเชียงใหม่
https://so07.tci-thaijo.org/index.php/cmredujo
<h3><strong>วัตถุประสงค์</strong></h3> <blockquote> <p><em><strong>วารสารครุศาสตร์ ราชภัฏเชียงใหม่ (Chiang Mai Rajabhat Education Journal) </strong>เป็นวารสารที่เผยแพร่บทความวิชาการและบทความวิจัย รวมถึงเป็นผลงานสร้างสรรค์ที่มีคุณภาพทางด้านครุศาสตร์ ศึกษาศาสตร์ </em></p> </blockquote> <h3><strong>กระบวนการพิจารณาบทความ</strong></h3> <blockquote> <p><em>บทความที่ส่งมาตีพิมพ์จะได้รับการประเมินจากผู้ทรงคุณวุฒิที่มีความเชี่ยวชาญเฉพาะสาขาวิชา อย่างน้อย </em><em>3 คน (Double-blind peer review) จากหลากหลายสถาบัน ผู้แต่งไม่ทราบชื่อผู้ประเมิน ผู้ประเมินไม่ทราบชื่อผู้แต่ง </em></p> </blockquote> <h3><strong> ขอบเขตการตีพิมพ์</strong></h3> <blockquote> <p><em>บทความต้องมีประเด็นที่น่าสนใจศึกษาทางด้านครุศาสตร์ ศึกษาศาสตร์ ได้แก่ </em></p> <em>- การศึกษาปฐมวัย - การประถมศึกษา<br />- พลศึกษาและนันทนาการ - คอมพิวเตอร์ศึกษา<br />- เกษตรศาสตร์ - เคมี<br /></em><em>- ชีววิทยา - ฟิสิกส์<br />- คณิตศาสตร์ - อุตสาหกรรมและเทคโนโลยีศึกษา<br />- ดนตรีศึกษา - นาฏศิลป์<br />- ภาษาไทยและภาษาต่างประเทศ - ศิลปศึกษา<br />- สังคมศึกษา - วิทยาศาสตร์ทั่วไป<br />- การศึกษาพิเศษ - จิตวิทยาการศึกษาและการแนะแนว <br />- หลักสูตรและการสอน - บริหารการศึกษา <br />- การวิจัยทางการศึกษา - การวัดและประเมินผลทางการศึกษา<br />- นวัตกรรมและเทคโนโลยีทางการศึกษา - สาขาที่เกี่ยวข้องกับทางการศึกษา</em></blockquote> <h3><strong>ประเภทบทความที่รับ</strong></h3> <ul> <li><em>บทความวิชาการ</em></li> <li><em>บทความวิจัย</em></li> </ul> <h3><strong>ภาษาที่รับตีพิมพ์</strong></h3> <ul> <li class="show"><em>ภาษาไทย</em></li> <li class="show"><em>ภาษาอังกฤษ</em></li> </ul> <h3><strong>กำหนดการออก</strong></h3> <p><em>วารสารตีพิมพ์ 3 ฉบับต่อปี (ราย 4 เดือน)<br /></em></p> <ul> <li class="show"><em>ฉบับที่ 1 มกราคม - เมษายน</em></li> <li class="show"><em>ฉบับที่ 2 พฤษภาคม - สิงหาคม</em></li> <li class="show"><em>ฉบับที่ 3 กันยายน - ธันวาคม</em></li> </ul> <h3><strong>ค่าใช้จ่ายในการตีพิมพ์</strong></h3> <p><em>ตั้งแต่ปี พ.ศ.</em><em>2565-2568การตีพิมพ์บทความ</em><em>ในวารสารครุศาสตร์ ราชภัฏเชียงใหม่ </em><em>ไม่เก็บค่าธรรมเนียมการตีพิมพ์ เนื่องด้วยได้รับการสนับสนุนงบประมาณจากทางมหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงใหม่ </em></p> <p><em>กรณีมีความประสงค์จะขอยกเลิกการตีพิมพ์หลังจากบทความเข้าสู่กระบวนการพิจารณาของวารสารแล้ว จะต้องชำระค่าธรรมเนียมการขอยกเลิกตีพิมพ์ บทความละ 2,500 บาท</em></p> <p><em><strong>ISSN: </strong>2821-9961 (Online)</em></p> <h3><strong>Publisher (เจ้าของวารสาร)</strong></h3> <blockquote> <p><em>คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงใหม่ (ศูนย์แม่ริม)</em><br /><em>เลขที่ 180 หมู่ 7 ถนนโชตนา (เชียงใหม่-ฝาง) ตำบลขี้เหล็ก อำเภอแม่ริม จังหวัดเชียงใหม่ 50180</em><br /><em><strong>โทร:</strong> 085-0388990<br /><span class="fontstyle0"><strong>อีเมล: </strong>edu.cmru.journal@g.cmru.ac.th</span></em></p> </blockquote>
th-TH
<p>วารสาร TCI อยู่ภายใต้การอนุญาต <a href="https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0/"><strong>Creative Commons Attribution-NonCommercial-NoDerivatives 4.0 International (CC BY-NC-ND 4.0)</strong></a> เว้นแต่จะระบุไว้เป็นอย่างอื่น โปรดอ่านหน้านโยบายของเราสําหรับข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับการเข้าถึงแบบเปิด ลิขสิทธิ์ และการอนุญาต</p>
edu.cmru.journal@g.cmru.ac.th (บรรณาธิการวารสาร / Journal Editor)
edu.cmru.journal@g.cmru.ac.th (ฝ่ายดูแลระบบ / Technical Support Team)
Thu, 19 Dec 2024 12:54:15 +0700
OJS 3.3.0.8
http://blogs.law.harvard.edu/tech/rss
60
-
การจัดการเรียนรู้โดยใช้กระบวนการเรียนรู้ 5 ขั้นตอน ร่วมกับกระบวนการแก้ปัญหาของ โพลยา เพื่อพัฒนาความสามารถแก้โจทย์ปัญหาคณิตศาสตร์ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1
https://so07.tci-thaijo.org/index.php/cmredujo/article/view/4691
<p> การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) สร้างและประเมินความเหมาะสมของแผนการจัดการเรียนรู้ เรื่อง สมการเชิงเส้นตัวแปรเดียว โดยใช้กระบวนการเรียนรู้ 5 ขั้นตอน ร่วมกับกระบวนการแก้ปัญหาของโพลยา 2) ศึกษาความสามารถในการแก้โจทย์ปัญหาคณิตศาสตร์ เรื่อง สมการเชิงเส้นตัวแปรเดียว จากการจัดการเรียนรู้โดยใช้กระบวนการเรียนรู้ 5 ขั้นตอน ร่วมกับกระบวนการแก้ปัญหาของโพลยา ใช้รูปแบบการวิจัยปฏิบัติการ กลุ่มตัวอย่าง คือ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนวัดบวกครกเหนือ อำเภอสารภี จังหวัดเชียงใหม่ ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2566 จำนวน 1 ห้องเรียน จำนวน 20 คน ได้มาจากการเลือกตัวอย่างแบบกลุ่ม เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ 1) แผนการจัดการเรียนรู้ เรื่อง สมการเชิงเส้นตัวแปรเดียว โดยใช้กระบวนการเรียนรู้ 5 ขั้นตอน ร่วมกับกระบวนการแก้ปัญหาของโพลยา 2) แบบประเมินความเหมาะสมของแผนการจัดการเรียนรู้ 3) แบบทดสอบอัตนัยวัดความสามารถในการแก้โจทย์ปัญหาคณิตศาสตร์ เรื่อง สมการเชิงเส้นตัวแปรเดียว 4) แบบประเมินความสามารถในการแก้โจทย์ปัญหา เรื่อง สมการเชิงเส้นตัวแปรเดียว ด้านกระบวนการ สถิติที่ใช้ ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ฐานนิยม และสถิติทดสอบ t-test</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า 1) แผนการจัดการเรียนรู้ เรื่อง สมการเชิงเส้นตัวแปรเดียว โดยใช้กระบวนการเรียนรู้ 5 ขั้นตอน ร่วมกับกระบวนการแก้ปัญหาของโพลยา จำนวน 10 แผน ทุกแผนฯ มีความเหมาะสมอยู่ในระดับมากที่สุด 2) นักเรียนมีความสามารถในการแก้โจทย์ปัญหาคณิตศาสตร์ เรื่อง สมการเชิงเส้นตัวแปรเดียว ด้านกระบวนการ ส่วนใหญ่อยู่ในระดับดีมาก และการทดสอบค่าเฉลี่ย t - test พบว่าคะแนนเฉลี่ยหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.01</p>
จารุวรรณ สวนจันทร์, วีระศักดิ์ ชมภูคำ
Copyright (c) 2024 วารสารครุศาสตร์ ราชภัฏเชียงใหม่
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
https://so07.tci-thaijo.org/index.php/cmredujo/article/view/4691
Thu, 19 Dec 2024 00:00:00 +0700
-
การศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนและความพึงพอใจของนักศึกษาต่อสื่อการเรียนรู้การควบคุมคุณภาพของเครื่องอัลตราซาวด์
https://so07.tci-thaijo.org/index.php/cmredujo/article/view/3967
<p> การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อพัฒนาสื่อการเรียนรู้เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนและหลังการใช้สื่อ และศึกษาความพึงพอใจของนักศึกษาที่มีต่อสื่อการควบคุมคุณภาพของเครื่องอัลตราซาวด์ ของกลุ่มตัวอย่างนักศึกษาสาขาวิชารังสีเทคนิค คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยรามคำแหง จำนวน 100 คน ในภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2563 โดยเป็นการเลือกกลุ่มตัวอย่างแบบตัวอย่างแบบความน่าจะเป็นโดยวิธีการที่เหมาะสม เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยมี 3 ชนิดคือ 1. สื่อการเรียนรู้การควบคุมคุณภาพของเครื่องอัลตราซาวด์ 2. แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนชนิด 4 ตัวเลือก และ 3. แบบสอบถามความพึงพอใจของนักศึกษาต่อสื่อการเรียนรู้การควบคุมคุณภาพของเครื่องอัลตราซาวด์</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า 1. สื่อการเรียนรู้ที่พัฒนาขึ้นสามารถส่งเสริมต่อการเรียนรู้ 2. นักศึกษามีคะแนนเฉลี่ยผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน อย่างมีนัยสำคัญที่ระดับ .05 โดยใช้ค่าสถิติ t-test และ 3. นักศึกษามีความพึงพอใจต่อสื่อการเรียนรู้การควบคุมคุณภาพของเครื่องอัลตราซาวด์อยู่ในระดับมาก แสดงให้เห็นว่าสื่อการเรียนรู้ข้างต้นสามารถนำไปใช้ในการจัดการเรียนการสอนได้อย่างมีประสิทธิภาพและประสิทธิผล ตลอดจนสามารถใช้เป็นแนวทางในการจัดการเรียนรู้ของเนื้อหาอัลตราซาวด์เพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ต่อไปได้</p>
พณพณ สาวิโรจน์, วิยะดา เสนาะสันต์, สุกัญญา สำโรงพล, นิศารัตน์ ต้นภูบาล, กฤตพร ศรีสุภาพ
Copyright (c) 2024 วารสารครุศาสตร์ ราชภัฏเชียงใหม่
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
https://so07.tci-thaijo.org/index.php/cmredujo/article/view/3967
Thu, 19 Dec 2024 00:00:00 +0700
-
ผลการใช้ชุดกิจกรรมพัฒนาทักษะการคิดอย่างมีวิจารณญาณจากวรรณคดี เรื่อง ขุนช้างขุนแผน ตอนกำเนิดพลายงาม ของนักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 6
https://so07.tci-thaijo.org/index.php/cmredujo/article/view/3989
<p> การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) พัฒนาชุดกิจกรรมพัฒนาทักษะการคิดอย่างมีวิจารณญาณจากวรรณคดีเรื่องขุนช้างขุนแผน ตอนกำเนิดพลายงาม ของนักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 และ 2) ศึกษาทักษะการคิดอย่างมีวิจารณญาณจากวรรณคดีเรื่องขุนช้างขุนแผน ตอนกำเนิดพลายงามของนักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ประชากร คือ นักเรียนที่ชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 จำนวน 14 คน ของโรงเรียน ก. ในอำเภอแห่งหนึ่งของจังหวัดนครศรีธรรมราช ภาคเรียนที่ 2/2566 เครื่องมือที่ใช้ในการศึกษาวิจัย ประกอบด้วย 1) แผนการจัดการเรียนรู้ 2) ชุดกิจกรรมพัฒนาทักษะการคิดอย่างมีวิจารณญาณจากวรรณคดีเรื่องขุนช้างขุนแผน ตอน กำเนิดพลายงาม ของนักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 3) แบบประเมินทักษะการคิดอย่างมีวิจารณญาณจากวรรณคดีเรื่องขุนช้างขุนแผน ตอน กำเนิดพลายงาม ของนักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 และ 4) แบบทดสอบทักษะการคิดอย่างมีวิจารณญาณ สถิติที่ใช้ได้แก่ ร้อยละ (%) ค่าเฉลี่ย (<img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\bar{x}" alt="equation" /><span style="font-size: 0.875rem;">) ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) และค่าประสิทธิภาพ (E</span><sub>1</sub><span style="font-size: 0.875rem;">/E</span><sub>2</sub><span style="font-size: 0.875rem;">)</span></p> <p> ผลการวิจัยพบว่า 1) ชุดกิจกรรมพัฒนาทักษะการคิดอย่างมีวิจารณญาณจากวรรณคดี เรื่อง ขุนช้างขุนแผน ตอนกำเนิดพลายงาม ของนักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 มีค่าประสิทธิภาพตามเกณฑ์ 75/75 และ 2) ทักษะการคิดอย่างมีวิจารณญาณจากวรรณคดีเรื่องขุนช้างขุนแผน ตอนกำเนิดพลายงาม ของนักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 อยู่ในระดับคุณภาพ ยอดเยี่ยม คิดเป็นร้อยละ 76.30</p>
กันต์ศุภณัช เกื้อกิ้ม, กิ่งกาญจน์ รักไทรทอง, พัชรี นวลจันทร์, กฤษณา บุญมา, กิตติศักดิ์ ใจอ่อน, อารี สาริปา
Copyright (c) 2024 วารสารครุศาสตร์ ราชภัฏเชียงใหม่
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
https://so07.tci-thaijo.org/index.php/cmredujo/article/view/3989
Thu, 19 Dec 2024 00:00:00 +0700
-
การศึกษาความสามารถด้านการหาร โดยใช้แบบจำลองพื้นที่การหาร สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4
https://so07.tci-thaijo.org/index.php/cmredujo/article/view/3933
<p> การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาความสามารถด้านการหารสำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 โดยใช้แบบจำลองพื้นที่การหาร ให้มีคะแนนอย่างน้อยร้อยละ 70 ของคะแนนเต็ม 100 กลุ่มตัวอย่างในการวิจัยนี้ คือ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 จำนวน 34 คน ณ โรงเรียนสังคมพัฒนา อำเภอนามน จังหวัดกาฬสินธุ์ กำลังศึกษาอยู่ในภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2566 เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ 1. แผนการเรียนรู้คณิตศาสตร์โดยใช้แบบจำลองพื้นที่การหาร และ 2. แบบทดสอบความสามารถด้านการหาร จำนวน 2 ชุด เป็นข้อสอบแบบเขียนตอบ 5 ข้อ 20 คะแนน สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน </p> <p> ผลการวิจัยพบว่า นักเรียนในกลุ่มตัวอย่างมีคะแนนความสามารถด้านการหารหลังการจัดการเรียนรู้โดยใช้แบบจำลองพื้นที่การหารเพิ่มขึ้น โดยในวงจรปฏิบัติการที่ 1 กลุ่มตัวอย่างจำนวน 34 คน มีนักเรียนผ่านเกณฑ์ร้อยละ 70 จำนวน 18 คน คิดเป็นร้อยละ 52.94 และไม่ผ่านเกณฑ์ร้อยละ 70 จำนวน 16 คนคิดเป็นร้อยละ 47.05 และเมื่อวิเคราะห์คะแนนความสามารถด้านการหาร ของนักเรียน ในขั้นที่ 1 ขั้นเขียนโจทย์ให้ถูกต้อง มีค่าเฉลี่ย 4.68 คิดเป็นร้อยละ 93.60 ขั้นที่ 2 ขั้นแสดงวิธีทำ มีค่าเฉลี่ย 4.05 คิดเป็นร้อยละ 81 ขั้นที่ 3 ขั้นแสดงคำตอบ มีค่าเฉลี่ย 3.17 คิดเป็นร้อยละ 63.40 และขั้นที่ 4 ขั้นตรวจคำตอบ มีค่าเฉลี่ย 3.25 คิดเป็นร้อยละ 65 วงจรปฏิบัติการที่ 2 จากนักเรียนกลุ่มตัวอย่างที่ไม่ผ่านเกณฑ์วงจรปฏิบัติที่ 1 จำนวน 16 คน มีนักเรียนผ่านเกณฑ์ร้อยละ 70 จำนวน 16 คน คิดเป็นร้อยละ 100 และไม่ผ่านเกณฑ์ร้อยละ 70 จำนวน 0 คนคิดเป็นร้อยละ 0.00 คะแนนความสามารถด้านการหารของนักเรียนที่ไม่ผ่านเกณฑ์ร้อยละ 70 ในขั้นที่ 1 ขั้นเขียนโจทย์ให้ถูกต้อง มีค่าเฉลี่ย 4.97 คิดเป็นร้อยละ 99.40 ขั้นที่ 2 ขั้นแสดงวิธีทำ มีค่าเฉลี่ย 4.94 คิดเป็นร้อยละ 98.80 ขั้นที่ 3 ขั้นแสดงคำตอบ มีค่าเฉลี่ย 3.09 คิดเป็นร้อยละ 61.80 และขั้นที่ 4 ขั้นตรวจคำตอบ มีค่าเฉลี่ย 2.97 คิดเป็นร้อยละ 59.40 ซึ่งเห็นได้จากคะแนนความสามารถด้านการหาร ของนักเรียนกลุ่มตัวอย่างในแต่ละวงจรปฏิบัติการมีแนวโน้มดีขึ้นทุกวงรอบ</p>
อรัญญา ธรรมเกสร, วรรณธิดา ยลวิลาศ
Copyright (c) 2024 วารสารครุศาสตร์ ราชภัฏเชียงใหม่
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
https://so07.tci-thaijo.org/index.php/cmredujo/article/view/3933
Thu, 19 Dec 2024 00:00:00 +0700
-
การศึกษาความพึงพอใจของนักศึกษาต่อการให้บริการหอพักนักศึกษาของมหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงใหม่ ศูนย์แม่ริม อ.แม่ริม จ.เชียงใหม่ ปี 2566
https://so07.tci-thaijo.org/index.php/cmredujo/article/view/4697
<p> การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาระดับความพึงพอใจของนักศึกษา ต่อการให้บริการหอพักนักศึกษามหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงใหม่ ศูนย์แม่ริม 2) เพื่อศึกษาข้อมูลส่วนบุคคลของนักศึกษาที่ส่งผลต่อระดับความพึงพอใจของนักศึกษาต่อการให้บริการหอพักนักศึกษา มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงใหม่ ศูนย์แม่ริม โดยมีนักศึกษาที่ใช้บริการหอพักนักศึกษาทั้งหมดจำนวน 2,866 คน สุ่มตัวอย่างนักศึกษาได้จำนวน 345 คน โดยใช้การสุ่มแบบแบ่งชั้นภูมิ (Stratified Random Sampling) ตามสัดส่วนประชากร จำแนกตามเพศ ชั้นปีที่ศึกษา และหอพักที่อาศัย และใช้แบบสอบถามเป็นเครื่องมือในการเก็บรวบรวมข้อมูล สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการเปรียบเทียบค่าเฉลี่ย ด้วยสถิติทดสอบแบบ t-test และ F-test</p> <p> ผลการศึกษาพบว่า นักศึกษาที่ใช้บริการหอพักภายในมหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงใหม่ ศูนย์แม่ริม มีความพึงพอใจต่อการให้บริการหอพักภายในมหาวิทยาลัยในภาพรวม ด้านความปลอดภัย (<img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\bar{x}" alt="equation" /> = 6.51) ด้านกายภาพ (<img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\bar{x}" alt="equation" /> = 6.45) ด้านบริการและสวัสดิการ (<img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\bar{x}" alt="equation" /> = 6.44) และด้านกิจกรรม (<img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\bar{x}" alt="equation" /> = 6.43) แสดงว่าความพึงพอใจอยู่ในระดับมาก</p> <p> เพศของนักศึกษา ชั้นปีที่ศึกษา และหอพักที่แตกต่างกัน ไม่ส่งผลต่อระดับความพึงพอใจต่อการให้บริการหอพักภายในมหาวิทยาลัยทั้ง 4 ด้าน คือ ด้านความปลอดภัย ด้านกายภาพ ด้านบริการและสวัสดิการ และด้านกิจกรรม อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05</p>
วริสา ดาโท้, อนุสรณ์ ตุ่นจาอ้าย, ลักษณา บุศย์น้ำเพชร, ปิยะชาติ เวียงนาค, ศันทนี คุณชยางกูร
Copyright (c) 2024 วารสารครุศาสตร์ ราชภัฏเชียงใหม่
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
https://so07.tci-thaijo.org/index.php/cmredujo/article/view/4697
Thu, 19 Dec 2024 00:00:00 +0700