https://so07.tci-thaijo.org/index.php/jmsc_journal/issue/feed
วารสารวิทยาการจัดการและการสื่อสาร
2024-12-21T13:14:53+07:00
Assistant Professor Dr. Anyamanee Pakdeemualchon
jmsc_cmru@cmru.ac.th
Open Journal Systems
<p>วารสารวิทยาการจัดการและการสื่อสาร ดำเนินการเพื่อเผยแพร่บทความวิจัย (Research Article) และบทความวิชาการ (Academic Article) ที่มีคุณภาพ ซึ่งผ่านการพิจารณากลั่นกรองคุณภาพจากผู้ทรงคุณวุฒิในสาขาวิชาที่เกี่ยวข้อง โดยเน้นสนับสนุนให้อาจารย์ นักวิชาการ นักวิจัย และผู้ทรงคุณวุฒิในสาขาวิชาทางด้านสังคมศาสตร์ นำเสนอผลงานวิชาการในสาขาวิชาบริหารธุรกิจ การจัดการ การบัญชีและการเงิน การจัดการเทคโนโลยีและนวัตกรรม เศรษฐศาสตร์ และนิเทศศาสตร์</p> <p>ISSN 2821-9821 (Print)</p> <p>ISSN 2821-9562 (Online)</p> <p> </p>
https://so07.tci-thaijo.org/index.php/jmsc_journal/article/view/5587
การวิเคราะห์ความสัมพันธ์ระหว่างการเติบโตทางเศรษฐกิจและการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (คาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) ในประเทศไทย: การประยุกต์ใช้แบบจำลอง VAR
2024-10-03T19:46:41+07:00
กรนิกา ปาละสอน
ann.konnika11@gmail.com
เพียงตะวัน พลอาจ
piangtawan_pol@cmru.ac.th
ธนพล รัตนสมัครการ
tanapol60@gmail.com
<p>การศึกษานี้มีวัตถุประสงค์เพื่อวิเคราะห์ความสัมพันธ์ระหว่างการเติบโตทางเศรษฐกิจและการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (CO<sub>2</sub>) ของประเทศไทย ซึ่งเป็นประเด็นสำคัญสำหรับการขับเคลื่อนเศรษฐกิจสีเขียวที่ยั่งยืนโดยการศึกษามุ่งเน้นที่การทำความเข้าใจถึงผลกระทบของการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ (CO<sub>2</sub>) ต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจ ทั้งในระดับมหภาคและรายได้ต่อหัวของประชากร ข้อมูลที่ใช้ในการศึกษาครั้งนี้ประกอบด้วยอัตราการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ อัตราการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ อัตราการใช้พลังงานทางเลือก และรายได้ต่อหัวของประชากร ซึ่งถูกวิเคราะห์ผ่านโมเดลเวกเตอร์ออโต้รีเกรสซีฟ (VAR Model) เพื่อประเมินความสัมพันธ์และการตอบสนองระหว่างตัวแปรเหล่านี้ในระยะสั้นและระยะยาว ซึ่งผลการศึกษาพบว่า การเปลี่ยนแปลงของอัตราการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์มีผลกระทบโดยตรงต่อการใช้พลังงานทางเลือก โดยเมื่ออัตราการปล่อย คาร์บอนไดออกไซด์ (CO<sub>2</sub>) เพิ่มขึ้น 1 ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) จะส่งผลให้อัตราการใช้พลังงานทางเลือกเพิ่มขึ้นในปีแรก และยิ่งสูงขึ้นในปีที่ 3 ก่อนที่จะปรับเข้าสู่ดุลยภาพ นอกจากนี้ การปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ไม่ได้มีผลกระทบโดยตรงต่อการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจทั้งในระดับภาพรวมและรายได้ต่อหัวของประชากร แต่การเพิ่มขึ้นของการปล่อย คาร์บอนไดออกไซด์ (CO<sub>2</sub>) ยังแสดงให้เห็นถึงการตอบสนองที่ต่ำเพียงเล็กน้อยของอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจและรายได้ต่อหัว นอกจากนี้ ผลการศึกษาเน้นย้ำถึงความจำเป็นของการใช้เครื่องมือทางเศรษฐกิจและนโยบายสาธารณะที่มีประสิทธิภาพในการจัดการความเสี่ยงด้านสิ่งแวดล้อม เพื่อให้ประเทศไทยสามารถบรรลุเป้าหมาย Carbon Neutral และ Net Zero Emission ได้สำเร็จ โดยการสนับสนุนการดำเนินกิจกรรมทางเศรษฐกิจแบบเศรษฐกิจชีวภาพ – เศรษฐกิจหมุนเวียน – เศรษฐกิจสีเขียว (Bio-Circular-Green Economy: BCG Model) เพื่อความยั่งยืนในระยะยาวของประเทศ</p>
2024-12-21T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 คณะวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงใหม่
https://so07.tci-thaijo.org/index.php/jmsc_journal/article/view/5817
การศึกษาการจัดแสง โทนสีภายในห้องเพื่อสื่ออารมณ์
2024-10-05T22:26:05+07:00
เบญนภา พัฒนาพิภัทร
bennapa_c@rmutt.ac.th
ธณัฐพงศ์ โพธิ์ศิริ
bennapa_c@rmutt.ac.th
สนทรรศน์ จันทรบุตร
bennapa_c@rmutt.ac.th
ณัฐพงศ์ จันทรา
bennapa_c@rmutt.ac.th
<p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ (1) เพื่อศึกษาการจัดแสง โทนสีภายในห้องเพื่อสื่ออารมณ์ในงาน 3 มิติ(2) เพื่อประเมินคุณภาพที่มีต่อภาพการจัดแสง โทนสีภายในห้องเพื่อสื่ออารมณ์โดยผู้เชี่ยวชาญ (3) เพื่อประเมินการรับรู้ที่มีต่อการจัดแสง โทนสีภายในห้องเพื่อสื่ออารมณ์ในงาน 3 มิติ โดยมีระเบียบวิธีวิจัยเริ่มจากการออกแบบการจัดแสง โทนสีในห้องเพื่อสื่อสารอารมณ์ทั้ง 9 ภาพ ได้แก่ อารมณ์สุข 3 ภาพ อารมณ์เหงา 3 ภาพ และอารมณ์กลัว 3 ภาพ แล้วนำไปประเมินคุณภาพโดยผู้เชี่ยวชาญ และหลังจากนั้นจึงนำไปทดสอบกับกลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ นักศึกษาคณะเทคโนโลยีสื่อสารมวลชน มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี จำนวน 34 คน ผลการวิจัยพบว่าพบว่าระดับการรับรู้ที่มีต่อชุดภาพ การจัดแสง โทนสีเพื่อสื่อถึงความกลัว อยู่ในระดับมากที่สุด ( <strong> x̄</strong>= 4.48, S.D. = 0.34) รองลงมา ระดับการรับรู้ที่มีต่อชุดภาพ การจัดแสง โทนสีเพื่อสื่อถึงความเหงา เศร้า (x̄<strong> </strong>= 4.33, S.D. = 0.48) และระดับการรับรู้ที่มีต่อชุดภาพ การจัดแสง โทนสีเพื่อสื่อถึงความสุข อยู่ในระดับมาก ( x̄<strong> </strong>= 3.63, S.D. = 0.50) ตามลำดับ</p>
2024-12-21T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 คณะวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงใหม่
https://so07.tci-thaijo.org/index.php/jmsc_journal/article/view/5189
การสื่อสารการตลาดเนื้อหาเชิงวัฒนธรรมของผลิตภัณฑ์โอทอปประเภทเครื่องแต่งกาย ในจังหวัดเชียงใหม่ ผ่านสื่อออนไลน์
2024-06-30T11:36:08+07:00
ศรัญญา ทะนาวา
saranyata.21@gmail.com
ขวัญฟ้า ศรีประพันธ์
Saranyata.21@gmail.com
<p>การศึกษาเรื่องการสื่อสารการตลาดเนื้อหาเชิงวัฒนธรรมของผลิตภัณฑ์โอทอปประเภทเครื่องแต่งกาย ในจังหวัดเชียงใหม่ โดยมีวัตถุประสงค์ดังนี้ 1. เพื่อวิเคราะห์เนื้อหาการสื่อสารการตลาดเชิงวัฒนธรรมผลิตภัณฑ์โอทอปประเภทผ้าเครื่องแต่งกายจังหวัดเชียงใหม่ 2. เพื่อวิเคราะห์รูปแบบการสื่อสารการตลาดเชิงวัฒนธรรมของผลิตภัณฑ์โอทอปประเภทเครื่องแต่งกาย ในจังหวัดเชียงใหม่ ใช้รูปแบบวิธีวิจัยเชิงคุณภาพ ด้วยการสัมภาษณ์ร่วมกับการวิเคราะห์เนื้อหากลุ่มผู้ให้ข้อมูลผู้ประกอบการผลิตภัณฑ์โอทอป ประเภทเครื่องแต่งกาย จำนวน 8 ราย <br />ผลการศึกษาพบว่า 1. เนื้อหาการสื่อสารการตลาดเชิงวัฒนธรรมผลิตภัณฑ์โอทอปประเภทผ้าเครื่องแต่งกายจังหวัดเชียงใหม่ ประกอบด้วย 4 ประเด็นดังนี้ 1) เนื้อหาเชิงวัฒนธรรมด้านคุณค่า 2) เนื้อหาเชิงการสร้างการจดจำ 3) เนื้อหาเชิงวัฒนธรรมด้านจุดเด่น และ 4) เนื้อหาเชิงวัฒนธรรมด้านการใช้ประสบการณ์ทางวัฒนธรรม หรือความเชื่อท้องถิ่น โดยนำเสนอเนื้อหาในเชิงวัฒนธรรมผ่านภาพลักษณ์ท้องถิ่น ภายใต้เนื้อหาประวัติศาสตร์และวัฒนธรรม ความเฉพาะของภูมิศาสตร์ที่พัฒนาเป็นสังคมท้องถิ่น และการนำเสนอผ่านคุณลักษณ์สำคัญของผลิตภัณฑ์ ภายใต้เนื้อหาโครงสร้างด้านการตัดเย็บเสื้อผ้า ด้านวัสดุที่พบได้ในท้องถิ่น และด้านเทคนิคการสร้างลวดลายบนผลิตภัณฑ์ <span style="font-size: 0.875rem;">2. ด้านรูปแบบการสื่อสารการตลาดเชิงวัฒนธรรม ประกอบด้วย 3 ประเด็น ได้แก่ 1) ประเด็นการสื่อสารการตลาดเชิงวัฒนธรรม พบว่า อัลบั้มภาพมีจำนวนมากที่สุด การนำเสนอผ่านรูปแบบเนื้อหา 4 ประเด็น ได้แก่ คุณค่า การจดจำ จุดเด่น และการนำเสนอการใช้ประสบการณ์ทางวัฒนธรรม หรือความเชื่อท้องถิ่น 2) ประเด็นรูปแบบการสื่อสารการตลาดเชิงวัฒนธรรม พบว่าการขายมีจำนวนมากที่สุด มีการนำเสนอรูปแบบเนื้อหาการขาย 3 ประเด็น ได้แก่ คุณค่า การจดจำ และจุดเด่น และ 3) ประเด็นการตลาดโดยใช้ผู้มีอิทธิพลทางความคิด เป็นผู้ประกอบการมีจำนวนมากที่สุด ด้านคุณลักษณะผู้นำทางความคิดทางการตลาด ประกอบด้วย 5 มิติ ดังนี้ ความน่าเชื่อถือ ความเชี่ยวชาญ ความน่าไว้วางใจ ความน่าดึงดูดใจ และความเหมือนกับกลุ่มเป้าหมาย</span></p>
2024-12-21T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 คณะวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงใหม่
https://so07.tci-thaijo.org/index.php/jmsc_journal/article/view/5390
การศึกษาเปรียบเทียบความคาดหวังที่มีต่อที่พักประเภทโรงแรมกับพฤติกรรมของนักท่องเที่ยว ในอำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา
2024-10-08T18:51:52+07:00
ขนิษฐา สวัสดี
651101036@tsu.ac.th
ณภัทร มงคลสวัสดิ์
651101036@tsu.ac.th
เนตรชนก จุลรังษรี
651101036@tsu.ac.th
วัชรพล จันทร์หอม
651101036@tsu.ac.th
ศิษฏ์สินี ภาณุมาศ ณ อยุธยา
651101036@tsu.ac.th
จารุวรรณ ทองเนื้อแข็ง
651101036@tsu.ac.th
<p>บทความนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาพฤติกรรมของนักท่องเที่ยวที่มีผลต่อที่พักประเภทโรงแรมในอำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา 2) ศึกษาระดับความคาดหวังของนักท่องเที่ยวที่มีผลต่อที่พักประเภทโรงแรมในอำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา 3) เพื่อศึกษาเปรียบเทียบความคาดหวังที่มีต่อที่พักประเภทโรงแรมกับพฤติกรรมของนักท่องเที่ยว ในอำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา กลุ่มตัวอย่างคือ นักท่องเที่ยวชาวไทยและชาวต่างชาติที่เข้ามาพักแรมในอำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา จำนวนทั้งหมด 400 คน เป็นการวิจัยเชิงปริมาณ ใช้แบบสอบถามเป็นการเก็บข้อมูล ระดับความเชื่อมั่นไม่เกินร้อยละ 90 ใช้วิธีการสุ่มตัวอย่างแบบเจาะจง<br />ผลจากการวิจัย พบว่า 1) กลุ่มนักท่องเที่ยวมีจุดประสงค์ในการเข้ามาพักเพื่อพักผ่อน/ท่องเที่ยว ร้อยละ 68.7 เข้าพักแบบครอบครัว ร้อยละ 39.30 งบประมาณในการเข้าพัก 2,500 บาท ร้อยละ 26.00 เหตุผลในการเข้าพัก คือ ความสวยงาม ร้อยละ 35.3 ส่วนใหญ่กลับมาใช้บริการโรงแรมอีก ร้อยละ 35.30 มีความพึงพอใจในบริการประทับใจ ร้อยละ 22.70 เข้าพักในโรงแรมช่วงวันหยุดนักฤกษ์ ร้อยละ 60 และผู้ที่มีอิทธิพในการเลือกใช้บริการที่พักในโรงแรม คือ ตัวฉัน ร้อยละ 44.00 2) ความคาดหวังของนักท่องเที่ยวที่มีผลต่อที่พักประเภทโรงแรมในอำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา พบว่า อันดับแรก ได้แก่ ด้านความปลอดภัย (x̄ = 3.37, S.D.=0.68) รองลงมา ได้แก่ ด้านทำเลที่ตั้ง (x̄= 3.96, S.D.=0.75) และอันดับสุดท้าย ได้แก่ ด้านผู้ให้บริการ (x̄ = 3.37, S.D.=0.68) และ 3) ผลการศึกษาเปรียบเทียบ พบว่า นักท่องเที่ยวที่มีความคาดหวังต่อ ที่พักประเภทโรงแรมแตกต่างกันมีพฤติกรรมการท่องเที่ยวแตกต่างกัน</p>
2024-12-21T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 คณะวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงใหม่
https://so07.tci-thaijo.org/index.php/jmsc_journal/article/view/5530
ปัจจัยที่ส่งผลในการเลือกใช้บริการร้านคาเฟ่ของนิสิตมหาวิทยาลัยทักษิณในจังหวัดสงขลา
2024-10-08T13:46:35+07:00
ฐิรดา รัตนอุไร
651101012@tsu.ac.th
บงกชมาศ หนูน้อย
saree.b@tsu.ac.th
อารียา บุญมาชารี
saree.b@tsu.ac.th
เสรี บุญรัตน์
saree.b@tsu.ac.th
<p>การวิจัยมีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาพฤติกรรมการเลือกใช้บริการคาเฟ่ของนิสิตมหาวิทยาลัยทักษิณในจังหวัดสงขลา 2) ศึกษาส่วนประสมทางการตลาดที่เป็นปัจจัยที่ส่งผลในการเลือกใช้บริการร้านคาเฟ่ของนิสิตมหาวิทยาลัยทักษิณในจังหวัดสงขลา ใช้การวิจัยเชิงปริมาณ (Quantitative Research) โดยวิธีการสำรวจ (Survey Research) เก็บแบบสอบถามกลุ่มตัวอย่างคือ นิสิตมหาวิทยาลัยทักษิณจำนวน ทั้งหมด 389 คน ใช้วิธีการสุ่มตัวอย่างตามสะดวก (Convenience Sampling)<br />ผลการวิจัย พบว่า 1) นิสิตมหาวิทยาลัยทักษิณ มีพฤติกรรมการเข้าใช้บริการคาเฟ่ 1-2 ครั้งต่อสัปดาห์ ใช้บริการในช่วงเวลา 16.00-18.00 น. ระยะเวลาที่เข้าใช้บริการคาเฟ่ 1-2 ชั่วโมง โดยมีค่าใช้บริการไม่เกินครั้งละ 80 บาท เข้าใช้บริการเพื่อรับประทานอาหารในร้านโดยมากับเพื่อนเป็นส่วนมาก 2) ปัจจัยที่ส่วนประสมทางการตลาดที่ส่งผลต่อการเลือกใช้บริการร้านคาเฟ่ของนิสิตมหาวิทยาลัยทักษิณ จังหวัดสงขลา อันดับแรก ได้แก่ ด้านผลิตภัณฑ์ (x̄ = 4.54, S.D.=0.71) รองลงมาได้แก่ ด้านราคา (x̄ = 4.50, S.D.=0.73) และอันดับสุดท้าย ได้แก่ ด้านการส่งเสริมการตลาด (x̄ = 4.05, S.D.=0.80)</p>
2024-12-21T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 คณะวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงใหม่