https://so07.tci-thaijo.org/index.php/tft/issue/feed
วารสารวิชาการการบิน การเดินทาง และการบริการ
2024-12-31T22:22:03+07:00
Research and Innovation Center
research@tft.co.th
Open Journal Systems
<p><span class="Apple-converted-space">วารสารวิชาการการบิน การเดินทางและการบริการ (Journal of Aviation, Travel, and Service) เป็น</span>วารสารวิชาการด้านการบินฝั่งเอกชนแห่งแรกของประเทศไทยในปัจจุบัน มีวัตถุประสงค์ในการเผยแพร่ความรู้เชิงวิชาการเพื่อประโยชน์แก่เศรษฐกิจ สังคมและประเทศชาติ ดำเนินงานโดยศูนย์วิจัยและนวัตกรรม บริษัท ไทยไฟลท์เทรนนิ่ง จำกัด บริษัทภายใต้กำกับของ บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) ร่วมกับผู้ทรงคุณวุฒิภายนอกจากมหาวิทยาลัยและองค์ชั้นนำด้านการบินและบริหารธุรกิจ มากกว่า 10 แห่ง</p> <p><span class="Apple-converted-space"> </span>เปิดรับบทความวิจัยและบทความทางวิชาการ ด้านการจัดการธุรกิจการบิน การท่องเที่ยว ธุรกิจบริการและด้านบริหารธุรกิจในสาขาที่เกี่ยวข้อง บทความจะถูกกลั่นกรองในรูปแบบ Double Blinded Review ใช้ผู้ทรงคุณวุฒิประเมิน 3 ท่านต่อ 1 บทความ กำหนดออกปีละ 2 ฉบับ ได้แก่ ฉบับแรก เดือนมกราคม-มิถุนายน และฉบับที่สอง เดือนกรกฎาคม-ธันวาคม</p> <p><span class="Apple-converted-space"> </span>บทความที่ผ่านการคัดเลือกจะได้รับใบตอบรับพร้อมทั้งประกาศนียบัตรเชิดชูเกียรติจากทางบริษัทฯ</p> <p><strong>ISSN 2822-0129 (Print)</strong></p> <p><strong>ISSN 2822-0137 (Online)</strong></p> <p> </p> <p>ท่านสามารถส่งบทความได้ที่ปุ่ม Make Submission หรือ <a href="https://so07.tci-thaijo.org/index.php/tft/about/submissions">คลิกที่นี่</a></p> <p>Template บทความภาษาไทย <a href="https://docs.google.com/document/d/1TPkzBdOE-HbajQ55LtXe6XWpKI2dwr-U/edit?usp=share_link&ouid=113177586107592201679&rtpof=true&sd=true">คลิกที่นี่</a></p> <p>Template บทความภาษาอังกฤษ <a href="https://docs.google.com/document/d/1TPkzBdOE-HbajQ55LtXe6XWpKI2dwr-U/edit?usp=share_link&ouid=113177586107592201679&rtpof=true&sd=true">คลิกที่นี่</a></p> <p>Author guideline รูปแบบการจัดเอกสารและการอ้างอิง <a href="https://drive.google.com/file/d/1n5U_CcnUAv84WXzG84THuJADu_aP35U_/view?usp=share_link">คลิกที่นี่</a></p> <p>หากท่านมีข้อสงสัยสามารถสอบถามได้ที่ research@tft.co.th<br />หรือ โทร 02-545-3082</p> <p> </p>
https://so07.tci-thaijo.org/index.php/tft/article/view/6205
The Learning for the Future Workforce Through Digital Innovation
2024-12-01T16:27:40+07:00
Vongsa Laovoravit
vongsa.lao@dpu.ac.th
Watana Manon
watana.man@dpu.ac.th
Wilawan Inchamnan
wilawan.inn@dpu.ac.th
Banyapon Poolsawas
banyapon.poo@dpu.ac.th
<p>This qualitative research aimed to 1) specify virtual reality technology's quality characteristics and reinforcement factors in transformative learning of higher education that supports students' learning ability and 2) understand virtual reality technology's role in shaping attitude and behavior based on pedagogical values through intrinsic motivation that enhances students' learning performance and satisfaction. The data were gathered and utilized using focus group discussions and observation methods from 36 undergraduate students in their second and third year at the College of Aviation Development and Training, Dhurakij Pundit University, who all were key informants. The result indicated that applying virtual reality technology as a tool to bridge new educational challenges in response to the Thai higher education reform policy to leverage the country's workforce competency level helps researchers understand the importance of positive reinforcement in 3 areas that are 1) stimulation and motivation for learning 2) promoting understanding during learning and 3) building confidence in the learning outcomes. While digital innovation plays an essential role in shaping the future of education, ensuring that new teaching tools are used effectively will require a new generation of educators who understand the importance of students' connection in the classroom. Moreover, the research results also help deepen the researchers' understanding of the role of digital technology innovation in increasing students' perceptions. The pragmatic quality and the hedonic quality indicators were found to enhance the linkages of the learning transformation process towards the learners' development of behavior, attitudes, and beliefs that promote their competencies to a higher level.</p>
2024-12-31T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 วารสารวิชาการการบิน การเดินทาง และการบริการ
https://so07.tci-thaijo.org/index.php/tft/article/view/6232
แนวทางการส่งเสริมทางการตลาดการท่องเที่ยวเชิงกีฬา จังหวัดเชียงราย
2024-12-04T22:51:59+07:00
ปฏิพัทธ์ ตันมิ่ง
patipat.tunming@gmail.com
นนท์ลฉัตร วีรานุวัตติ์
nontlachatara@npu.ac.th
ณัฐกานศ์ ตันมิ่ง
nattakhan.npj@gmail.com
ธาวิษ ถนอมจิตศ์
dr.taviz@gmail.com
พรพิมล ไชยสนิท
pornpimol.cha@mfu.ac.th
<p>การศึกษานี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อวิเคราะห์ปัจจัยองค์ประกอบการตลาดการท่องเที่ยวเชิงกีฬา จังหวัดเชียงราย และ 2) เพื่อเสนอแนวทางการส่งเสริมทางการตลาดการท่องเที่ยวเชิงกีฬา จังหวัดเชียงราย โดยมีวิธีดำเนินการวิจัย คือ กำหนดกกลุ่มตัวอย่างนักท่องเที่ยวที่เดินทางมาเข้าร่วมหรือเข้าชมกีฬา จังหวัดเชียงราย จำนวน 600 คน ด้วยการใช้แบบสอบถาม จากนั้น ดำเนินการวิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติเชิงพรรณนา และการวิเคราะห์ปัจจัยองค์ประกอบเชิงยืนยัน (Confirmatory Factor Analysis: CFA) ผลการศึกษา พบว่า ปัจจัยองค์ประกอบการตลาดการท่องเที่ยวเชิงกีฬา จังหวัดเชียงราย เป็นไปตามดัชนีความสอดคล้อง (Goodness of fit index model) และมีค่า p-value เท่ากับ 0.283 ซึ่งมากกว่า 0.05 โดยมีปัจจัยองค์ประกอบการตลาดการท่องเที่ยวเชิงกีฬา จังหวัดเชียงราย ประกอบด้วย ด้านผลิตภัณฑ์และการบริการการท่องเที่ยว ด้านราคา ด้านสถานที่ตั้ง ด้านการส่งเสริมการตลาด ด้านบุคลากรที่ให้บริการ ด้านกระบวนการให้บริการ และด้านลักษณะทางกายภาพ ดังนั้น จึงสามารถเสนอแนวทางการส่งเสริมทางการตลาดการท่องเที่ยวเชิงกีฬาจังหวัดเชียงรายเป็นไปตามปัจจัยองค์ประกอบการตลาดการท่องเที่ยวเชิงกีฬา จังหวัดเชียงรายต่อไป</p>
2024-12-31T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 วารสารวิชาการการบิน การเดินทาง และการบริการ
https://so07.tci-thaijo.org/index.php/tft/article/view/6272
แนวทางการพัฒนาการจัดการโรงแรมบูติค ในย่านเมืองเก่าสงขลา
2024-12-18T22:34:56+07:00
พิชญ์สินี จิตละเอียด
pitsinee.j@gmail.com
ศิริภัสสร ปฐมนุพงศ์
siripatsornkp@gmail.com
ภัชรพล ลิ่มกิตติคุณ
Phatcharapon.lim@gmail.com
กานต์พิชชา ดุลยะลา
kanphitcha.d@psu.ac.th
<p> การศึกษาครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาการจัดการโรงแรมบูติค ในย่านเมืองเก่าสงขลา 2) เสนอแนวทางการพัฒนาการจัดการโรงแรมบูติค ในย่านเมืองเก่าสงขลา การวิจัยนี้เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพ โดยใช้เครื่องมือวิจัย คือแบบสัมภาษณ์กึ่งโครงสร้าง เก็บรวบรวมข้อมูลโดยการสัมภาษณ์เชิงลึกเจ้าของกิจการของโรงแรมบูติคจำนวน 3 โรงแรม ในพื้นที่ย่านเมืองเก่าสงขลา</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า การจัดการโรงแรมบูติคในย่านเมืองเก่าสงขลา ประกอบด้วย 5 ปัจจัย คือ ปัจจัยด้านทำเลที่ตั้ง ปัจจัยด้านการบริการ ปัจจัยด้านบุคลากร ปัจจัยด้านการตลาด และปัจจัยด้านเทคโนโลยี โดยปัจจัยด้านทำเลที่ตั้ง อยู่ในพื้นที่เมืองเก่าที่มีชื่อเสียง สามารถดึงดูดนักท่องเที่ยวได้ ปัจจัยด้านการบริการ มีลักษณะการบริการที่เน้นการบริการแบบเป็นกันเอง เน้นใส่ใจรายละเอียดของผู้มาใช้บริการ ปัจจัยด้านบุคลากร พนักงานหรือเจ้าของกิจการมีทัศนคติที่ดีต่อการทำงานบริการ มีประสบการณ์ในตำแหน่งงาน ให้คำแนะนำและนำเสนอเรื่องราวความเป็นมาในพื้นที่ได้ดี ปัจจัยด้านการตลาด มีกลุ่มเป้าหมาย 2 กลุ่ม คือนักท่องเที่ยวชาวไทยและต่างชาติ มีการใช้สื่อโฆษณาผ่านช่องทางออนไลน์ และปัจจัยด้านเทคโนโลยี ทุกโรงแรมมีการนำเทคโนโลยีมาใช้เพื่ออำนวยความสะดวกให้แก่ผู้มาใช้บริการ เช่น การจองห้องพักผ่าน Facebook page สำหรับแนวทางการพัฒนาการจัดการโรงแรมบูติคในย่านเมืองเก่าสงขลา ปัจจัยด้านทำเลที่ตั้งของโรงแรมบูติคในย่านเมืองเก่าสงขลา ทั้ง 3 โรงแรม ควรปรับปรุงซ่อมแซมพื้นที่สำหรับขยายธุรกิจ อาจซื้อตึกใหม่หรือรีโนเวทตึกเก่าในพื้นที่ใกล้เคียงเพื่อสร้างเป็นโรงแรมที่มีความแตกต่างจากเดิม ด้านการบริการ ควรมีพนักงานบริการลูกค้าตลอดเวลา มีบริการรถรับ-ส่ง ผู้เข้าพัก ด้านบุคลากร ควรมีการพัฒนาด้านบุคลากร อบรมพัฒนาความรู้และทักษะอย่างสม่ำเสมอ ด้านการตลาด ควรจำแนกกลุ่มลูกค้า กำหนดกลยุทธ์ในการสร้างความแตกต่างให้กับสินค้าหรือบริการของตนเอง เน้นการทำการตลาดออนไลน์ ด้านเทคโนโลยี ควรนำเทคโนโลยีมาใช้สำหรับการบริการผู้เข้าพักและอำนวยความสะดวกสำหรับพนักงานบริการ อาทิ ระบบการสำรองห้องพัก ระบบเช็คอินหรือเช็คเอาท์ ระบบการจ่ายเงินผ่านระบบ Mobile Banking</p>
2024-12-31T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 วารสารวิชาการการบิน การเดินทาง และการบริการ
https://so07.tci-thaijo.org/index.php/tft/article/view/6273
กระบวนการและกลยุทธ์การสื่อสารภายใต้ภาวะวิกฤตของสายการบินไทยแอร์เอเชีย กรณีศึกษา: แอปพลิเคชัน AirAsia MOVE
2024-12-18T21:41:01+07:00
ธวัช เวศตัน
tawatweston@gmail.com
<p>การศึกษาวิจัยเรื่อง “กระบวนการ และกลยุทธ์การสื่อสารภายใต้ภาวะวิกฤตของสายการบินไทยแอร์เอเชีย กรณีศึกษา: แอปพลิเคชัน AirAsia MOVE” มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) เพื่อศึกษากระบวนการการสื่อสารภายใต้ภาวะวิกฤตของสายการบินไทยแอร์เอเชียกรณีศึกษาแอปพลิเคชัน AirAsia MOVE 2) เพื่อกำหนดกลยุทธ์การสื่อสารภายใต้ภาวะวิกฤตของสายการบินไทยแอร์เอเชียกรณีศึกษาแอปพลิเคชัน AirAsia MOVE ควรเป็นอย่างไร โดยใช้ระเบียบวิธีวิจัยเชิงคุณภาพ (Qualitative Research) โดยมุ่งเน้นการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึกผ่านกระบวนการวิเคราะห์เนื้อหา (Content Analysis) ในแถลงการณ์อย่างเป็นทางการ (Official Announcements) จากเว็บไซด์ https://newsroom.airasia.com/ ตั้งแต่วันที่ 1 ธันวาคม 2567 ถึงวันที่ 13 ธันวาคม 2567 ผลการศึกษาพบว่า <br />1) กระบวนการสื่อสารในภาวะวิกฤตของ AirAsia MOVE เน้นการ ตอบสนองอย่างรวดเร็ว ชัดเจน และโปร่งใส เพื่อแก้ไขปัญหาอย่างมีประสิทธิภาพ และสร้างความเชื่อมั่นในแบรนด์ให้กับลูกค้าในระยะยาว 2) กลยุทธ์การสื่อสารในภาวะวิกฤตของ AirAsia MOVE คือ การยอมรับและแสดงความรับผิดชอบ ยอมรับปัญหา และให้ข้อมูลอย่างโปร่งใส รวมถึงอธิบายวิธีการแก้ไขอย่างชัดเจน โดยการสื่อสารเชิงรุกผ่านช่องทางหลากหลายเพื่อเข้าถึงลูกค้า และลดช่องว่างในการสื่อสาร รวมถึงการสร้างความมั่นใจ ดำเนินมาตรการแก้ไขความกังวลของลูกค้าเกี่ยวกับความปลอดภัยของข้อมูลส่วนตัว</p>
2024-12-31T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 วารสารวิชาการการบิน การเดินทาง และการบริการ
https://so07.tci-thaijo.org/index.php/tft/article/view/6244
การศึกษาปัจจัยการพัฒนาองค์กรอย่างยั่งยืน ภายหลังสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อโคโรนาไวรัส 2019 (COVID-19) ในประเทศไทย ตามแนวคิด Honeybee Leadership กรณีศึกษา กลุ่มอุตสาหกรรมการขนส่งทางอากาศ
2024-12-11T15:17:52+07:00
กัญญภัส มหาพัฒนไทย
lavater_art@hotmail.com
สุเทพ นิ่มสาย
ajarnsuthep@gmail.com
<p>การศึกษาวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาปัจจัยที่มีผลต่อความพึงพอใจในการทำงานและความสำเร็จขององค์กรที่พนักงานรับรู้ได้ ภายหลังสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อโคโรนาไวรัส 2019 (COVID-19) ตามแนวคิด Sustainable Leadership ของ Honeybee Leadership Framework ของบริษัทในกลุ่มอุตสาหกรรมการขนส่งทางอากาศในประเทศไทย โดยการศึกษาวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงปริมาณ (Quantitative Research) ใช้การสุ่มตัวอย่างแบบวิจารณญาณ (Judgement Sampling) ผ่านการเก็บข้อมูลโดยการใช้แบบสอบถามออนไลน์ (Online Questionnaire) ข้อมูลถูกทำการวิเคราะห์ทางสถิติจากพนักงานระดับบริหาร พนักงานระดับบังคับบัญชา และพนักงานระดับปฏิบัติการ จากบริษัทในกลุ่มอุตสาหกรรมการขนส่งทางอากาศที่เน้นการให้บริการในต่างประเทศ จำนวน 396 ตัวอย่าง ผลการศึกษาพบว่า ปัจจัยที่มีผลต่อความพึงพอใจในการทำงาน ประกอบด้วย 4 ปัจจัย ได้แก่ การวางแผนการสืบทอดตำแหน่งงานในองค์กร (Succession Planning), ความรับผิดชอบต่อสังคม (Social Responsibility), ความไว้วางใจ (Trust) และนวัตกรรม (Innovation) ส่วนปัจจัยที่มีผลต่อความสำเร็จขององค์กรที่พนักงานรับรู้ได้ ประกอบด้วย 2 ปัจจัย ได้แก่ การเปลี่ยนแปลงองค์กร (Organizational Change) และความไว้วางใจ (Trust)</p>
2024-12-31T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 วารสารวิชาการการบิน การเดินทาง และการบริการ
https://so07.tci-thaijo.org/index.php/tft/article/view/6245
การศึกษาปัจจัยการพัฒนาองค์กรอย่างยั่งยืน ภายหลังสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อโคโรน่าไวรัส 2019 ในประเทศไทย ตามแนวคิด Sustainable Leadership กรณีศึกษาอุตสาหกรรมโรงแรม
2024-12-11T20:37:32+07:00
พิชากร ใบสุวรรณ
pichakorn.bai@mahidol.ac.th
สุเทพ นิ่มสาย
ajarnsuthep@gmail.com
<p>งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาความพึงพอใจในการทำงานที่พนักงานรับรู้ได้หลังสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อโคโรน่าไวรัส 2019 และ 2) ศึกษาปัจจัยที่มีผลต่อความสำเร็จขององค์กรหลังสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อโคโรน่าไวรัส 2019 ตามแนวคิด Honeybee Sustainable Leadership ของอุตสาหกรรมโรงแรม โดยเป็นการวิจัยเชิงปริมาณ วิธีการเลือกกลุ่มตัวอย่างแบบเจาะจง (Purposive Sampling) และเก็บข้อมูลผ่านแบบสอบถามออนไลน์จำนวน 372 ชุด จากการวิเคราะห์การถดถอยพหุคูณ (Multiple Regression Analysis) พบว่า ปัจจัยที่ส่งผลต่อความพึงพอใจของพนักงาน ได้แก่ การสร้างเครือข่ายในองค์กร วัฒนธรรมองค์กร การพัฒนาบุคลากร ความสัมพันธ์กับพนักงาน การให้คุณค่ากับบุคลากรในองค์กร ความรับผิดชอบต่อสังคม และการรักษาพนักงานในระยะยาว ตามลำดับ ส่วนปัจจัยที่มีผลต่อความสำเร็จขององค์กรที่พนักงานรับรู้ได้ ได้แก่ การให้คุณค่ากับพนักงานในองค์กร ความผูกพันในองค์กร การจัดการด้วยตนเอง ความรับผิดชอบต่อสังคม ความเป็นอิสระด้านการเงินจากตลาด และการรักษาพนักงานในระยะยาว ตามลำดับ</p>
2024-12-31T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 วารสารวิชาการการบิน การเดินทาง และการบริการ
https://so07.tci-thaijo.org/index.php/tft/article/view/6200
แนวคิดองค์การแห่งการเรียนรู้สำหรับการประกอบสร้างบุคลากรทางการบิน หลักสูตรบริหารธุรกิจบัณฑิต สาขาวิชาการจัดการธุรกิจการบิน
2024-11-30T14:57:33+07:00
ปวริศ อนุสรณ์พานิช
pawaris.anusornphanich@gmail.com
<p>การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพ (Qualitative Research) มุ่งศึกษาเกี่ยวกับแนวคิดองค์การแห่งการเรียนรู้ภายในหลักสูตรบริหารธุรกิจบัณฑิต สาขาวิชาการจัดการธุรกิจการบิน มหาวิทยาลัยเกริก ดังนี้ 1) สภาพการณ์การใช้แนวคิดองค์การแห่งการเรียนรู้ 2) แนวทางการประกอบสร้างคุณลักษณะอันพึงประสงค์บุคลากรทางการบินอย่างมีอัตลักษณ์ จากกลุ่มประชากรจำนวน 39 คน (Purposive Sampling) โดยใช้เครื่องมือ ได้แก่ 1) การศึกษาเชิงเอกสาร (Documentary Research) 2) การศึกษาเรียนรู้จากประสบการณ์ตรง (Experiential Learning) 3) การสัมภาษณ์ระดับลึก (In-depth interview) เพื่อรวบรวมความคิดเห็น 4) การถอดบทเรียน (Lesson Learned) และ 5) การวิเคราะห์ข้อมูลเชิงเนื้อหา (Content Analysis) โดยการสังเคราะห์ข้อมูลทั้งจากการสรุปเอกสารและบทสัมภาษณ์ เพื่อบูรณาการเชิงเหตุผลออกมาเป็นองค์ความรู้ใหม่</p> <p class="s6"> ผลการวิจัยพบว่า การประกอบสร้างบุคลากรทางการบินของสาขาวิชาการจัดการธุรกิจการบินมหาวิทยาลัยเกริก ได้มีการใช้แนวคิดองค์การแห่งการเรียนรู้ผ่านการจัดกิจกรรมสร้างเสริมทางด้านความรู้ ทักษะ และทัศนคติ ทั้งภายในและภายนอกชั้นเรียน อาทิ กิจกรรมสัมมนา โดยมุ่งเน้นการใช้หลักการขององค์การการบินพลเรือนระหว่างประเทศ (ICAO) เกี่ยวกับความสามารถ 8 ประการ ดังนี้ 1) การติดต่อสื่อสาร 2) การจัดการควบคุมด้วยมือ 3) การจัดการระบบอัตโนมัติ 4) ภาวะผู้นำและการทำงานเป็นทีม 5) การแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าและการตัดสินใจ 6) การทำงานเป็นขั้นเป็นตอน 7) การจัดการภาระงาน และ 8) การตระหนักรู้ต่อสถานการณ์ รวมถึงการนำปรัชญาของมหาวิทยาลัยเกริก “ความรู้ทำให้องอาจ” มาใช้สร้างเสริมอัตลักษณ์ในการประกอบสร้างบัณฑิตมหาวิทยาลัยเกริกที่มีคุณลักษณะอันพึงประสงค์สู่อุตสาหกรรมการบิน</p>
2024-12-31T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 วารสารวิชาการการบิน การเดินทาง และการบริการ