ปัจจัยนวัตกรรมชุมชนที่ส่งผลต่อความยั่งยืนในการดำเนินงานของผู้ประกอบการชุมชนในจังหวัดสมุทรสาคร
Main Article Content
บทคัดย่อ
งานวิจัยฉบับนี้มีวัตถุประสงค์หลักเพื่อ 1) ศึกษาลำดับความสำคัญปัจจัยนวัตกรรมชุมชน และปัจจัยความยั่งยืนของผู้ประกอบการในพื้นที่จังหวัดสมุทรสาคร 2) ศึกษาปัจจัยส่วนบุคคลที่ส่งผลต่อความยั่งยืนในการดำเนินงานของผู้ประกอบการในพื้นที่จังหวัดสมุทรสาคร และ 3) ศึกษานวัตกรรมชุมชนที่ส่งผลต่อความยั่งยืนในการดำเนินงานของผู้ประกอบการในพื้นที่จังหวัดสมุทรสาคร การศึกษาใช้วิธีวิจัยเชิงปริมาณ โดยเก็บรวบรวมข้อมูลจากกลุ่มตัวอย่างผู้ประกอบการจำนวน 400 ราย เครื่องมือที่ใช้คือแบบสอบถาม และสถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และ ค่า t - test ค่า F - test ผลการศึกษาพบว่า กลุ่มตัวอย่างผู้ตอบแบบสอบถามเป็นเพศหญิงอายุระหว่าง 31 - 40 ปี มีระดับการศึกษาปริญญาตรีประเภทของผู้ประกอบการชุมชนกลุ่มการผลิตสินค้า จำนวนสมาชิกในกลุ่ม 6 - 10 คน จำนวนปีที่จัดตั้ง 4 - 6 ปี และประสบการณ์ดำเนินธุรกิจ น้อยกว่า 5ปี กว่า 5 ปี ปัจจัยทางนวัตกรรมชมชุน ในภาพ อยู่ในระดับมากที่สุด ( = 4.27, S.D. = 0.231) ความยั่งยืนในการดำเนินงานของผู้ประกอบการ ในภาพรวม อยู่ในระดับมากที่สุด (
= 4.27, S.D. = 0.266) ผลการทดสอบสมมติฐาน พบว่า ประเภทของผู้ประกอบการที่แตกต่างกันส่งผลให้ความยั่งยืนในการดำเนินงานแตกต่างกันในทุกด้านอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 ข้อค้นพบที่น่าสนใจคือ ผู้ประกอบการที่มีประสบการณ์ดำเนินธุรกิจน้อยกว่า 5 ปี มีระดับความยั่งยืนในการดำเนินงานสูงกว่ากลุ่มที่มีประสบการณ์ยาวนานกว่าในทุกมิติของนวัตกรรมชุมชน ซึ่งอาจเกิดจากความยืดหยุ่นในการปรับตัว นอกจากนี้ การสนับสนุนจากภายนอกยังมีอิทธิพลเชิงบวกต่อความยั่งยืนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.01 เป็นแนวทางสำคัญให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องใช้ในการส่งเสริมเศรษฐกิจฐานรากให้เติบโตอย่างมั่นคง
Article Details

อนุญาตภายใต้เงื่อนไข Creative Commons Attribution-NonCommercial-NoDerivatives 4.0 International License.
เอกสารอ้างอิง
กัลยา วาณิชย์บัญชา. (2545). สถิติสำหรับงานวิจัย. (พิมพ์ครั้งที่ 2). กรุงเทพมหานคร: สำนักพิมพ์จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย.
สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ. (2565). แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 13 (พ.ศ. 2566-2570). กรุงเทพมหานคร: สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ.
สุวิมล ตั้งกิจ. (2566). การปรับตัวของผู้ประกอบการชุมชนสู่เศรษฐกิจดิจิทัล: กรณีศึกษาตลาดน้ำ. วารสารบริหารธุรกิจ, 10(2), 15-30.
Best, J. W. (1977). Research in Education. (3rd ed.). Englewood Cliffs. New Jersey: Prentice Hall.
Cochran, W. G. (1963). Sampling Techniques. (2nd ed.). New York: John Wiley & Sons.
Nahapiet, J. & Ghoshal, S. (1998). Social Capital, Intellectual Capital, and the Organizational Advantage. Academy of Management Review, 23(2), 242-266.
Nunnally, J. C. (1978). Psychometric theory. (2nd ed.). New York: McGraw-Hill.
Porter, M. E. & Kramer, M. R. (2011). Creating Shared Value. Harvard Business Review, 89(1-2), 62-77.
Rogers, E. M. (2003). Diffusion of Innovations. (5th ed.). New York: Free Press.
Rovinelli, R. J. & Hambleton, R. K. (1977). On the use of content specialists in the assessmentof criterionreferenced test item validity. Tijdschrift voor Onderwijsresearch, 2(2), 49-60.
Schumpeter, J. A. (1934). The Theory of Economic Development. Cambridge, MA: Harvard University Press.
Sulistyo, H. & Siyamtinah. (2016). Innovation Capability of SMEs Through Entrepreneurship, Marketing Capability, Relational Capital and Empowerment. Asia Pacific Management Review, 21(4), 196-203.