ความสัมพันธ์ระหว่างการฟื้นฟูพลังใจในภาวะวิกฤตและการฝังตรึงในงานของพนักงานบริษัทผู้ผลิตชิ้นส่วนรถยนต์
Main Article Content
บทคัดย่อ
ภาวะเศรษฐกิจที่ถดถอยและวิกฤตเนื่องจากสถานการณ์การระบาดของโควิด 19 ทำให้พนักงานในองค์การต่างได้รับผลกระทบอย่างมากในหลายๆด้าน หากพนักงานมีการฟื้นฟูพลังใจในภาวะวิกฤตสูงน่าจะมีความสัมพันธ์กับการฝังตรึงของพนักงานในองค์การซึ่งส่งผลดีต่อองค์การ การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ (1) ศึกษาระดับการฟื้นฟูพลังใจในภาวะวิกฤตและระดับการฝังตรึงในงานของพนักงานบริษัทผู้ผลิตชิ้นส่วนรถยนต์ (2) ศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างการฟื้นฟูพลังใจในภาวะวิกฤตและการฝังตรึงในงานของพนักงานบริษัทผู้ผลิตชิ้นส่วนรถยนต์ กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการศึกษาวิจัยเป็นพนักงานบริษัทผู้ผลิตชิ้นส่วนรถยนต์ รวมจำนวน 316 คน โดยใช้วิธีการสุ่มกลุ่มตัวอย่าง เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยคือ แบบสอบถาม มีค่าความเชื่อมั่นมากกว่า 0.7 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลประกอบด้วยค่าความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐานและค่า สัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์แบบเพียร์สัน ผลการวิจัยพบว่า (1) ระดับการฟื้นฟูพลังใจในภาวะวิกฤตและระดับการฝังตรึงในงานของพนักงานบริษัทผู้ผลิตชิ้นส่วนรถยนต์มีค่าเฉลี่ยอยู่ในระดับมาก ( = 4.06, 3.74 SD = 0.38, 0.40 ตามลำดับ) (2) การฟื้นฟูพลังใจในภาวะวิกฤตมีความสัมพันธ์ทางบวกกับการฝังตรึงในงานของพนักงานบริษัทผู้ผลิตชิ้นส่วนรถยนต์ อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 (r=.507) โดยการฟื้นฟูพลังใจในภาวะวิกฤต ด้านการทนต่อแรงกดดัน ด้านการมีกำลังใจและด้านการต่อสู้เอาชนะอุปสรรคมีความสัมพันธ์ทางบวกกับการฝังตรึงในงานของพนักงานบริษัทผู้ผลิตชิ้นส่วนรถยนต์ อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 (r=.424, .446 และ .479 ตามลำดับ) จากความสัมพันธ์ดังกล่าวสามารถเป็นแนวทางสำหรับผู้บริหารระดับสูงนำไปพิจารณาปรับปรุง พัฒนา นโยบายขององค์การ และจัดกิจกรรมส่งเสริมในด้านต่างๆต่อไป
Article Details

This work is licensed under a Creative Commons Attribution-NonCommercial-NoDerivatives 4.0 International License.
บทความที่ได้รับการตีพิมพ์เป็นลิขสิทธิ์ของสมาคมจิตวิทยาแห่งประเทศไทย
ข้อความที่ปรากฎในบทความแต่ละเรื่องในวารสารวิชาการเล่มนี้เป็นความคิดเห็นส่วนตัวของผู้เขียนแต่ละท่านไม่เกี่ยวข้องกับสมาคมจิตวิทยาแห่งประเทศไทย แต่อย่างใด ความรับผิดชอบองค์ประกอบทั้งหมดของบทความแต่ละเรื่องเป็นของผู้เขียนแต่ละท่าน หากมีความผิดพลาดใด ๆ ผู้เขียนแต่ละท่านจะรับผิดชอบบทความของตนเองแต่ผู้เดียว
References
กรมสุขภาพจิต. (2563). เปลี่ยนร้ายกลายเป็นดี RQ พลังสุขภาพจิตพาคุณก้าวผ่านวิกฤตและความไม่แน่นอนของชีวิตได้อย่างสง่างาม. พิมพ์ครั้งที่ 4. บริษัท บียอนด์พับ
ลิสชิ่ง จำกัด.
ชินกร น้อยคํายางและปภาดา น้อยคํายาง. (2555). ปัจจัยที่ส่งผลต่อดัชนีความสุขในการ ทํางานของบุคลากรสํานักหอสมุดกลาง มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ. รายงาน
การวิจัย. สํานักหอสมุดกลาง มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ.
ทิพย์สิริ กาญจนวาสี และศิริชัย กาญจนวสี. (2559). วิธีวิทยาการวิจัย. สำนักพิมพ์จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย.
บุญธรรม กิจปรีดาบริสุทธิ์และพิสมัย เสรีขจรกิจเจริญ. (2560). ระเบียบวิธีการวิจัยทางการสาธารณสุข: กรณีศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปร. พิมพ์ครั้งที่ 1. จามจุรีโป
รดักท์.
ไพศาล วรคํา. (2559). การวิจัยทางการศึกษา. ตักสิลาการพิมพ์.
พงษ์เทพ สันติกุล. (2560). การวิจัยทางวิทยาศาสตร์สังคม สำหรับนักศึกษาและผู้ปฏิบัติงาน สวัสดิการสังคมและสังคมสงเคราะห์. สํานักพิมพ์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์.
พิสณุ ฟองศรี. (2552). การสร้างและพัฒนาเครื่องมือวิจัย. ด่านสุทธาการพิมพ์.
ยุทธ ไกยวรรณ์. (2562). ระเบียบวิธีวิจัยทางด้านการaโรงแรมและการท่องเที่ยว. สำนักพิมพ์จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย.
สุดารัตน์ พงษ์พิทักษ์. (2559). บีโอไอกับพัฒนาการอุตสาหกรรมยานยนต์. วารสารส่งเสริมการลงทุน.
http://www.faq108.co.th/common/topic/auto_industry.php
Cronbach, L. J. (1990). Essentials of Psychological Testing. 5th edition. Harper & Collins.
Jeonghwa Cho., Junghee Yu., Kawoun Seo. (2019). “Effects of Resilience and Authentic Leadership on Job Embeddedness of Clinical Nurses in
Korea”. Indian Journal of Public Health Research & Development,10(11), 4557-4562.
Krejcie, R. V. and Morgan, D. W. (1970). “Determining sample size for research activities.” Educational and Psychological Measurement, 30,
-610.
Mitchell, T.R., et al (2001). “Why people stay : Using job embeddedness to predict voluntary turnover”. Academy of Management Journal, 44,
-1121.