รูปแบบสมรรถนะขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในเขตภาคตะวันออกเฉียงเหนือ Competency Model of Local Government Organizations in the Northeastern Region

Main Article Content

กัญญาภัทร ขันอาษา
สัญญา เคณาภูมิ
ยุภาพร ยุภาศ

บทคัดย่อ

          การวิจัยนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อ ศึกษาระดับสมรรถนะขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในเขตภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ศึกษาปัจจัยที่ส่งผลต่อสมรรถนะขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น สร้างและยืนยันรูปแบบสมรรถนะขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ใช้ระเบียบวิธีการวิจัยแบบผสานวิธี แบ่งออกเป็น 2 ระยะ ได้แก่ ระยะที่ 1 ศึกษาระดับการมีส่วนร่วมและปัจจัยที่ส่งผลต่อสมรรถนะขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในเขตภาคตะวันออกเฉียงเหนือ กลุ่มตัวอย่าง คือ ประชาชนในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ จำนวน 706 คน ได้มาโดยการกำหนดกลุ่มตัวอย่างตามสูตรของทาโร่ ยามาเน่ และใช้วิธีการกำหนดสัดส่วนและวิธีสุ่มแบบง่าย เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล เป็นแบบสอบถามมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติเชิงพรรณนา ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และใช้การวิเคราะห์สมการโครงสร้าง (SEM) การสร้างและยืนยันรูปแบบสมรรถนะ โดยผู้ทรงคุณวุฒิและผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย จำนวน 20 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยใช้แบบสัมภาษณ์


          ผลการวิจัย พบว่า ระดับสมรรถนะขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในเขตภาคตะวันออกเฉียงเหนือ โดยรวมอยู่ในระดับมาก ปัจจัยที่ส่งผลต่อสมรรถนะขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในเขตภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ได้แก่ ปัจจัยด้านการบริหารภายในองค์กร ปัจจัยด้านความร่วมมือกับชุมชนและเครือข่าย และปัจจัยด้านบุคลากร สามารถอธิบายสมรรถนะขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในเขตภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ได้ร้อยละ 83.90 (R2 = 0.839) อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 ซึ่งโมเดลมีความสอดคล้องกลมกลืนกับข้อมูลเชิงประจักษ์ P-Value = 0.120, X2/df = 1.873, GFI = 0.986, CFI = 0.980, RMSEA = 0.04, SRMR = 0.03 และ (3) รูปแบบสมรรถนะขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในเขตภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ดังนี้ 3.1) การพัฒนาปัจจัยด้านการบริหารภายในองค์กร 3.2) การพัฒนาปัจจัยด้านความร่วมมือกับชุมชนและเครือข่าย และ 3.3) การพัฒนาปัจจัยด้านบุคลากร ผลการยืนยันรูปแบบมีความเหมาะสมในระดับมากที่สุดและผู้เชี่ยวชาญมีความเห็นสอดคล้องกัน โดยมีค่ามัธยฐานอยู่ระหว่าง 4.00-5.00 และมีค่าพิสัยระหว่างควอไทล์น้อยกว่า 1.5

Article Details

รูปแบบการอ้างอิง
ขันอาษา ก. ., เคณาภูมิ ส., & ยุภาศ ย. . (2025). รูปแบบสมรรถนะขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในเขตภาคตะวันออกเฉียงเหนือ: Competency Model of Local Government Organizations in the Northeastern Region. วารสารวิชาการรัตนบุศย์, 7(2), 1–15. สืบค้น จาก https://so07.tci-thaijo.org/index.php/rtnb/article/view/6744
ประเภทบทความ
บทความวิจัย

เอกสารอ้างอิง

กรมการปกครองส่วนท้องถิ่น. (2566). รายงานประจำปี 2566 กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น. กรุงเทพฯ: กรมการปกครองส่วนท้องถิ่น.

กัลยา วานิชย์บัญชา. (2551). การวิเคราะห์สถิติ: สถิติเพื่อการวิจัย (พิมพ์ครั้งที่ 5). กรุงเทพฯ: ธรรมสาร.

เขมณัฐ ภูกองไชย. (2561). รูปแบบองค์การที่มีสมรรถนะสูงของเทศบาลตำบล. วารสารมนุษย์ศาสตร์และสังคมศาสตร์, 36(2). 34-35.

ชลธิชา บุนนท์ และคณะ. (2564). การศึกษาองค์ประกอบขององค์กรสมรรถนะสูงของสถานศึกษาสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาเขต 21. (การประชุมวิชาการเสนอผลงานวิจัยระดับบัณฑิตศึกษาแห่งชาติ ครั้งที่ 22). มหาวิทยาลัยขอนแก่น.

ชำนาญ จันทร์เรือง. (2563). ปัญหาองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในปัจจุบัน. สืบค้นเมื่อ 20 ธันวาคม 2567จาก https://www.bangkokbiznews.com/columnist/1008930.

ณัฐฐศรัณฐ์ มังคละนาเคศวร. (2562). ปัจจัยและการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ที่ส่งผลต่อการเป็นองค์การสมรรถนะสูงกรณีศึกษา การยางแห่งประเทศไทย. รัฐประศาสนศาสตรมหาบัณฑิต. กรุงเทพ: สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์.

ธารารัตน์ ภูศักดิ์. (2558). ปัจจัยและกระบวนการบริหารที่ส่งผลต่อการเป็นองค์การ สมรรถนะสูงขององค์การบริหารส่วนจังหวัดขอนแก่น. วารสารมนุษย์ศาสตร์และสังคมศาสตร์, 3(3). 45-46.

บุญชม ศรีสะอาด. (2558). การวิจัยเบื้องต้น (พิมพ์ครั้งที่9). กรุงเทพฯ: สุริยาสาส์น.

พงษ์ศักดิ์ ยิ่งชนม์เจริญ. (2566). ปาฐกถาในการเสวนาเรื่อง “องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นไทยกับอนาคตการกระจายอำนาจ”. สืบค้นเมื่อ 20 ธันวาคม 2567 จาก https://thevotersthai.com.

วารุณี ภูมิศรีแก้ว. (2564). ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อการเป็นองค์กรที่มีสมรรถนะสูงของเทศบาลนครอุดรธานี. วารสารมนุษยศาสตร์สังคมศาสตร์ปริทัศน์, 9(1). 26-27.

สถาบันพระปกเกล้า. (2563). ท้องถิ่นกับภารกิจที่ท้าทายหลังโควิด-19. กรุงเทพฯ: วิทยาลัยพัฒนาการปกครองท้องถิ่น สถาบันพระปกเกล้า.

สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ. (2565). รายงานการพัฒนาภูมิภาคและพื้นที่: ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ. กรุงเทพฯ: สภาพัฒน์.

Ansell, C., & Gash, A. (2008). Collaborative governance in theory and practice. Journal of Public Administration Research and Theory, 18(4), 543-571.

Bohlander, G., Snell, S., & Sherman, A. W. (2018). Managing human resources: The role of leadership and performance management systems (17th ed.). Cengage Learning.

Boyne, G. A. (2003). Sources of public service improvement: A critical review and research agenda. Journal of Public Administration Research and Theory, 13(3), 367-394.

Brinkerhoff, J. M. (2002). Government–nonprofit partnership: A defining framework. Public Administration and Development, 22(1), 19-30.

Denhardt, R. B., & Denhardt, J. V. (2015). The New Public Service: Serving, Not Steering (3rd ed.). New York: Routledge.

Fung, A. (2006). Empowered participation: Reinventing urban democracy. Princeton University Press.

Hair, J. F., Black, W. C., Babin, B. J., & Anderson, R. E. (2010). Multivariate data analysis (7th ed.). Pearson Education.

O’Reilly, C. A., & Tushman, M. L. (2004). The ambidextrous organization. Harvard Business Review, 82(4), 74-81.

Osborne, D., & Gaebler, T. (1993). Reinventing Government: How the Entrepreneurial Spirit is Transforming the Public Sector. New York: Plume.

Putnam, R. D. (1993). Making democracy work: Civic traditions in modern Italy. Princeton University Press.

Skelcher, C., Navdeep, M., & Smith, M. (2005). The public governance of collaborative spaces: Discourse, design and democracy. Public Administration, 83(3), 573-596.

Yamane, T. (1973). Statistics: an introductory analysis. 3rd ed. New York (N.Y.): Harper and Row.