อารักขสัมปทาเพื่อการดำรงอยู่และส่งเสริมพัฒนาประเพณีของชุมชนภาคอีสานตอนล่าง The Principle of Aruakkhasampadha Dhamma for the Existence and Development to the Community Traditional of Northeastern Lower Region
Main Article Content
บทคัดย่อ
การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษารูปแบบการสร้างและพัฒนาสื่อนวัตกรรมเพื่อสืบสานประเพณีบุญบั้งไฟ การสืบสานและสร้างคุณค่าประเพณีจุดไฟตูมกา และการเสริมสร้างคุณค่าประเพณีแห่มาลัยข้าวตอกเพื่อการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม ตามแนวอารักขสัมปทาเพื่อการดำรงอยู่และส่งเสริมพัฒนาประเพณีของชุมชนภาคอีสานตอนล่าง เป็นการวิจัยแบบผสมผสาน ประกอบด้วยโครงการวิจัยย่อย 3 โครงการ เพื่อนำเอาผลของการวิจัยและข้อค้นพบมาประยุกต์ใช้ในจัดการเรียนการสอนและการบูรณาการให้เข้ากับสภาพแวดล้อมเศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรมท้องถิ่น ผลการวิจัยพบว่า
- การส่งเสริมและการสร้างความร่วมมือจากชุมชน สถานศึกษา หน่วยงานภาครัฐและสถาบันทางศาสนาเป็นปัจจัยที่สำคัญมากต่อการสืบสานประเพณีอันดีงาม การสร้างสื่อนวัตกรรมเกี่ยวกับประเพณีบุญบั้งไฟควรให้ความสำคัญใน 3 ด้าน คือ (1) การบูรณาการประวัติประเพณีบุญบั้งไฟให้เข้ากับสถานการณ์ปัจจุบันในสื่ออนิเมชั่นอย่างลงตัว (2) เนื้อหาในสื่ออนิเมชั่น ควรมีการส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ที่เชื่อมโยงประชาคมอาเซียน และ (3) ควรมีการกล่าวถึงประวัติของประเพณีบุญบั้งไฟในสื่ออนิเมชั่นที่เข้าถึงและเข้าใจได้ง่าย
- ชุมชนมีองค์ความรู้จากการจัดงานประเพณีจุดไฟตูมกาได้อย่างถูกต้อง เนื่องจากคนในชุมชนที่เป็นแหล่งกำเนิดประเพณี แต่ยังบางกิจกรรมที่ไม่สอดคล้องอยู่บ้าง สิ่งเหล่านั้นถือว่าเป็นนันทนาการของงานประเพณี ซึ่งการชิงความหมายในลักษณะมักเกิดขึ้นอยู่เสมอในกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ การสืบสานและการสร้างคุณค่าประเพณีจุดไฟตูมกาจังหวัดยโสธรเป็นการสืบสานความเชื่อความเลื่อมใสที่สื่อแสดงออกมาในรูปแบบการพุทธบูชา ธรรมบูชา และสังฆบูชา
3. แนวทางการส่งเสริมวัฒนธรรมและประเพณีแห่มาลัยข้าวตอก คือ (1) ผู้นำทางศาสนาต้องมีการสร้างจิตสำนึกที่ดีต่อวัฒนธรรมประเพณีให้โดดเด่นยิ่งขึ้น (2) ผู้นำทางด้านพิธีกรรมต้องเป็นต้นแบบที่ดีในการสืบสานวัฒนธรรมประเพณีในชุมชน และ (3) องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นและสถานศึกษาในชุมชนมีความพร้อมในการสนับสนุนกิจกรรมและประเพณี
Article Details

This work is licensed under a Creative Commons Attribution-NonCommercial-NoDerivatives 4.0 International License.
References
กาญจนา คำผา. (2561). แนวทางการสืบทอดประเพณีฮีตสิบสองเพื่อการเสริมสร้างความเข้มแข็งของชุมชน. คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากร.
กองบริหารงานวิจัยและประกันคุณภาพการศึกษา. (2559). Thailand 4.0 โมเดลขับเคลื่อนประเทศไทยสู่ความมั่งคั่ง มั่นคงและยั่งยืน. กรุงเทพฯ: กองบริหารงานวิจัยและประกันคุณภาพการศึกษา.
ชนาวี ดลรุ้ง และคณะ. (2560). การสืบทอดมรดกทางวัฒนธรรมบุญสงกรานต์เพื่อพัฒนาการศึกษาตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา. วารสารชุมชนวิจัย, 11(3):95-109.
เทพศักดิ์ บุณยรัตพันธุ์. (2550). เอกสารการเรียนรู้การทำวิจัยด้วยตนเอง. (พิมพ์ครั้งที่ 2). นนทบุรี: มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช.
ประเพณีสยาม. (2562). ประเพณีไทย. สืบค้นเมื่อวันที่ 24 ธันวาคม พ.ศ. 2564 จาก http://siamtradition.blogspot.
สุดชีวัน นันทวัน ณ อยุธยา. (2558). การจัดการการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมโดยชุมชนเป็นศูนย์กลาง.รายงานการศึกษาอิสระปริญญาศิลปศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาเศรษฐศาสตร์การเมือง,บัณฑิตวิทยาลัย, มหาวิทยาลัยเชียงใหม่.
สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช).(2542).นวัตกรรมในภาคบริการ นวัตกรรม: กุญแจสู่ความสำเร็จของประเทศไทยในศตวรรษที่ 21. กรุงเทพฯ:สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ.
บจก. ปิยวัฒนา. (2564). Snowball Sampling Technique: การเรียนรู้และเข้าถึงชุมชนด้วยการอ้างอิงต่อเนื่องปากต่อปากในวิจัยแบบ PAR. สืบค้นเมื่อวันที่ 24 ธันวาคม พ.ศ. 2564 จาก: https://www.gotoknow.org/posts/428764
Enable survey. (2564). การสุ่มตัวอย่าง (Sampling). สืบค้นเมื่อวันที่ 25 ธันวาคม พ.ศ. 2564,จาก: https://www.enablesurvey.com/article-detail/5e098336-686a-4fbd-88b1-cc80636f5d80/sampling